เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 18:02:05
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 [16] 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293356 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #300 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 12:58:21 »

คงต้องเรียกเสี่ยวายุ  ยิงฟันยิ้ม

ท่านก็ว่าไป
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #301 เมื่อ: วันที่ 06 กรกฎาคม 2011, 16:13:56 »

โครงสร้างและข้อจำกัด
     ก่อนที่เราจะเลือกลงทุนกับบริษัทไหนก็แล้วแต่  สิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือ  โครงสร้างของรายได้บริษัท  เราต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่า  รายได้ของบริษัทนั้นมาจากไหน  สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตลอดหรือไม่  สามารถขยายงานได้อีกไหม  มีความยั่งยืนมากแค่ไหน  เดี๋ยวเรามาดูตัวอย่างกันเช่น  บริษัทรับเหมาก่อสร้าง

     งานรับเหมาก่อสร้างนั้น  การที่เราจะได้งานก็ต้องมาจากการประมูล  และการประมูลก็ต้องมีการแข่งขันประกวดราคา  ซึ่งหมายความว่า  บริษัทไหนรับทำงานในราคาต่ำที่สุด  บริษัทนั้นจะได้งาน  ซึ่งตรงนี้เป็นเหตุผลที่หนึ่งแล้ว  ในการทำกำไรได้น้อย  และอย่างที่สอง  ควบคุมต้นทุนลำบาก  เพราะราคาวัสดุนั้นแกว่งตัวอยู่ตลอดเวลา  ถ้าช่วงนั้นวัสดุก่อสร้างราคาพุ่งขึ้น  บริษัทอาจถึงขั้นขาดทุน  อย่างที่สามก็คือ  งานมันไม่ได้มีตลอด  เพราะฉะนั้นมันจึงทำให้  รายได้ไม่แน่นอน  บริษัทอย่างนี้  คาดการณ์ผลประกอบการณ์ลำบาก  เพราะบางปีอาจไม่มีงาน  บางปีก็งานเยอะ  แต่งานเยอะก็ใช่ว่าจะได้กำไรเยอะ  บริษัทแบบนี้  ถ้าผมวิเคราะห์ไม่ได้  ผมจะหลีกเลี่ยง  หรืออีกอุตสาหกรรมหนึ่ง  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ส่งโรงงาน

     สมมติว่าบริษัทนี้รับทำชิ้นส่วนรถยนต์ส่งค่ายรถต่างๆ  แล้วแต่ว่าใครจะมาจ้าง  ซึ่งบางที  อาจมีแค่ 1-2  ยี่ห้อมาสั่งให้ผลิตเป็นประจำ  ซึ่งเราก็สามารถอยู่ได้เรื่อยๆ  แต่ถ้าสมมติว่ายี่ห้อหนึ่งเกิดอยากลดต้นทุน  สร้างโรงงานผลิตขึ้นมาเอง  เมื่อถึงคราวนั้น  ก็เป็นวิกฤตของบริษัทเลยทีเดียว  หรือถ้าเขาไม่เลิกสั่ง  เขาก็มีข้อต่อรองมากมาย  ทำให้กำไรที่ควรจะได้ลดน้อยลง  เนื่องจากตกเป็นเบี้ยล่างเขา  ซึ่งถ้าเราดูแล้วว่า  บริษัทนี้มีลูกค้าไม่กี่ราย  ถ้าเพียงแค่ลูกค้าไม่สั่งซื้อแค่เพียง 1-2 รายก็อาจเป็นหายนะของบริษัทได้  บริษัทนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  ก่อนลงทุนก็พยายามทำความเข้าใจในตัวบริษัทสักนิดนะครับ  ส่วนหัวข้อต่อไปก็คือข้อจำกัด

     เมื่อเราเลือกบริษัทที่มองว่า  สามารถเติบโตด้วยตนเองได้แล้ว  ขั้นต่อไปก็คือ  ดูว่ามีการขยายงานหรือมีการเติบโตหรือไม่  การเติบโตของบริษัทนี่สำคัญมาก  เพราะมันจะเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นให้วิ่งขึ้นไปตามการขยายงาน  การลดต้นทุนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้กำไรมากขึ้น  แต่การลดต้นทุนมันก็มีข้อจำกัด  กล่าวคือ  สมมติถ้าเราไม่ยอมจ้างคนงานเพิ่มเพื่อจะประหยัดค่าจ้าง  แต่เมื่อบริษัทขยายถึงจุดหนึ่ง  เราก็ต้องใช้พนักงานเพิ่มอยู่ดี  เรื่องการลดต้นทุนนี้มีหลายวิธี  แต่มันก็มีข้อจำกัดในด้านต่างๆ  ไม่ว่าจะทำตรงไหนก็ช่าง  สุดท้ายมันก็จะถึงข้อจำกัด  เหมือนกับเด็กกำลังโต  จะให้ประหยัดเรื่องการกินมากๆ  เดี๋ยวเด็กก็จะไม่โตซะเปล่าๆ  เพราะฉะนั้นแล้ว  สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือ  ต้องหารายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

     โดยสรุปก็คือ  ลงทุนกับบริษัทที่มีการเติบโต  สามารถคาดการณ์ผลประกอบการณ์ได้  บริษัทสามารถพึ่งพาตัวเองได้  มีความสามารถในการแข่งขันสูง  สินค้าเป็นที่นิยมในตลาด  สามารถสร้างกระแสเงินสดได้แน่นอน  บริษัทไหนที่มีโครงสร้างไม่ดีอย่างที่กล่าวมาแล้ว  ยากที่จะเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #302 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:32:29 »

ตั้งแต่เริ่มเล่นมาน่าจะเดือนกว่าได้แล้วมั้งครับ และได้อ่านข้อความต่างๆจากทุกๆท่านทำให้ได้ความรู้ขึ้นมาก ตอนนี้ตัวเลขยังแดงอยู่แต่ก็ได้คืนมามั้งแล้ว ค่อยๆเก็บคืนรายวันอีกไม่นานคงครบ ท่านๆทั้งหลายพอจะมีไรแนะนำผมอีกบ้างครับ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #303 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:40:15 »

ตั้งแต่เริ่มเล่นมาน่าจะเดือนกว่าได้แล้วมั้งครับ และได้อ่านข้อความต่างๆจากทุกๆท่านทำให้ได้ความรู้ขึ้นมาก ตอนนี้ตัวเลขยังแดงอยู่แต่ก็ได้คืนมามั้งแล้ว ค่อยๆเก็บคืนรายวันอีกไม่นานคงครบ ท่านๆทั้งหลายพอจะมีไรแนะนำผมอีกบ้างครับ ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
TF เหรอ ถึงตอนนี้น่าจะถือลุ้นไปเรื่อยๆ จนกำไรบานเบอะ หรือ ขาดทุนกันไปข้างนึง  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #304 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 15:52:30 »

เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #305 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:10:34 »

เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ก็น่านนะซี ผมก็ยังสงสัย ทุกครั้งที่รับปันผล ผมก็แค่ไปดูบัญชีธนาคารว่ามันเข้าให้ตามกำหนดหรือไม่ จบแค่นั้น
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #306 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:15:17 »

เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ก็น่านนะซี ผมก็ยังสงสัย ทุกครั้งที่รับปันผล ผมก็แค่ไปดูบัญชีธนาคารว่ามันเข้าให้ตามกำหนดหรือไม่ จบแค่นั้น


ไปดูที่กระทู้ผมก่อนเลยครับ หน้า 9 ถ้าไม่ละเอียดพอ สอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

 Re: >>> ศิลปการลงทุนระยะยาว <<<
« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 17:43:18 »
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=92942.160
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:35:34 โดย cupid » IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #307 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 16:42:55 »

cpall เสี่ยวายุก็สุดยอด ปิดไฮเดิมซะด้วย  ยิงฟันยิ้ม กำไรเห็นๆ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #308 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 18:07:32 »

cpall เสี่ยวายุก็สุดยอด ปิดไฮเดิมซะด้วย  ยิงฟันยิ้ม กำไรเห็นๆ

ถูกๆๆๆ ต้องนะครับ เสี่ย
IP : บันทึกการเข้า

Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #309 เมื่อ: วันที่ 07 กรกฎาคม 2011, 19:03:23 »

เอาล่ะนะ...วันนี้มาขอความรู้บ้าง  จากที่แจกไปเยอะ
     ผมอยากทราบว่า  เวลาที่เราได้เงินปันผลแล้ว  ทุกธุรกิจที่เราลงทุน  รัฐบาลจะหักภาษีเท่ากันหรือไม่  อย่างเช่น  สื่อสารจะหักภาษีจากเงินปันผลมากกว่ากลุ่มค้าปลีกหรืออะไรทำนองนี้  หรือว่าจะหักเท่ากันหมดทุกรายการ

     และเรื่องขอคืนภาษี  ผมไม่เคยไปขอคืนสักที  มันมีข้อกำหนดในการขอคืนอย่างไรบ้าง  ผมว่าสำหรับผมเองคงขอคืนไม่ได้มั๊ง  เนื่องจากว่า  ไม่เคยเสียภาษีรายได้เลย  เมื่อผมคิดว่าคงขอคืนภาษีไม่ได้  ผมมักไม่ค่อยจะถือหุ้นเพื่อรับเงินปันผลเท่าไหร่  ผมจะขายหุ้นก่อนวัน XD  และมารับหุ้นคืนหลังจากนั้น  เพราะคำนวณแล้วว่า  ถ้าโดนค่าคอมกับโดนภาษี  ค่าคอมโบรกเกอร์ถูกกว่า  หรือว่าผมเข้าใจไม่ถูกน๊า..าาาาา

     ยังไงก็แนะนำหน่อยนะครับ
ผมก็เหมือนกันไม่เคยไปขอคืน แต่มันก็หักก่อนไม่ใช่เหรอที่จะโอนเข้าบัญชีเรา แต่ถ้า
บริษัทไหนขอ BOI ก็จะได้รับการยกเว้นไป ในใบสีส้มๆ ที่เค้าส่งให้มา..จะมีรายละเอียดอยู่...
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #310 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 15:19:01 »

ถึงท่านคิว
     เท่าที่อ่านของท่านคิวแล้ว

 บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้


     รู้สึกว่า  ถ้าเราไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว  เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปขอคืนภาษีได้  ผมคิดถูกไหม  ถ้าผมคิดถูก  งั้นก็แสดงว่าผมไม่มีสิทธิ์ไปขอคืนภาษี  ถ้าเป็นงั้นจริง  กระผมก็น้อมรับแต่โดยดี
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #311 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 15:30:06 »

ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #312 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 16:18:56 »

ถึงท่านคิว
     เท่าที่อ่านของท่านคิวแล้ว

 บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้


     รู้สึกว่า  ถ้าเราไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว  เราก็ไม่มีสิทธิ์จะไปขอคืนภาษีได้  ผมคิดถูกไหม  ถ้าผมคิดถูก  งั้นก็แสดงว่าผมไม่มีสิทธิ์ไปขอคืนภาษี  ถ้าเป็นงั้นจริง  กระผมก็น้อมรับแต่โดยดี


ขออนุญาตเรียนว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดครับ เมื่อท่านยื่นแบบฯแล้ว เงินได้พึงประเมินที่จะนำมา
คำนวณภาษีไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องชำระภาษี หรือคำนวณแล้วท่านต้องจ่ายน้อยกว่าภาษีที่ท่านถูก
หักไว้ ณ ที่จ่ายเท่าใด ก็ขอคืนได้ครับ หรือถูกหักไว้ไม่ครบจำนวนที่ต้องเสีย ก็ต้องเสียให้ครบครับ

อุทธาหรณ์ ท่านถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท เมื่อท่านยื่นแบบฯและคำนวณภาษีออกมา
แล้ว ปรากฎว่าท่านต้องเสียภาษีจำนวน 1,000 บาท เทากับว่าท่านถูกหักภาษีเกินไป 9,000 บาท
ท่านขอคืนเงินจำนวน 9,000 บาท ที่ถูกหักไว้เกินดังกล่าวได้

หรือ ท่าน ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท แต่เมื่อยื่นแบบคำนวณแล้วท่านต้องชำระภาษีจำ
นวน 12,000 บาท เท่ากับว่าท่านต้องชำระเพิ่มอีก 2,000 บาท ครับ



IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #313 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 21:20:20 »



ขออนุญาตเรียนว่า ท่านกำลังเข้าใจผิดครับ เมื่อท่านยื่นแบบฯแล้ว เงินได้พึงประเมินที่จะนำมา
คำนวณภาษีไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องชำระภาษี หรือคำนวณแล้วท่านต้องจ่ายน้อยกว่าภาษีที่ท่านถูก
หักไว้ ณ ที่จ่ายเท่าใด ก็ขอคืนได้ครับ หรือถูกหักไว้ไม่ครบจำนวนที่ต้องเสีย ก็ต้องเสียให้ครบครับ

อุทธาหรณ์ ท่านถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท เมื่อท่านยื่นแบบฯและคำนวณภาษีออกมา
แล้ว ปรากฎว่าท่านต้องเสียภาษีจำนวน 1,000 บาท เทากับว่าท่านถูกหักภาษีเกินไป 9,000 บาท
ท่านขอคืนเงินจำนวน 9,000 บาท ที่ถูกหักไว้เกินดังกล่าวได้

หรือ ท่าน ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ 10,000 บาท แต่เมื่อยื่นแบบคำนวณแล้วท่านต้องชำระภาษีจำ
นวน 12,000 บาท เท่ากับว่าท่านต้องชำระเพิ่มอีก 2,000 บาท ครับ






รับทราบครับท่านคิวฯ ละเอียดยังกะเขียนตอบกฎหมายเลยนะท่าน... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

รายได้ต่อปียังไม่ถึงเลยครับ ดูแลทั้งเมียพ่อและก็เมียเรานำไปลดหย่อนได้ก่อ...?   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
HipHopJaa
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 250


« ตอบ #314 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:16:32 »

ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

สนใจคับพี่วายุ...ผมน้องใหม่คับ มีตังมะถึง หมื่นบาท อยากจะลองเล่นสักครั้ง ไม่ทีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ผมติดตามอ่านบทความพี่แล้วอยากเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้างคับ โดยเฉพาะ หุ้น 7-11 น่าสนใจคับ
     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก

IP : บันทึกการเข้า

คนไทยไม่ควร"แยกสี"....เพราะเป็นหน้าที่ของ"โรงพิมพ์"
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #315 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:22:55 »

ท่าน HipHopJaa เข้ามาแล้ว กดอ้างถึงข้อความท่านวายุแล้ว

ก็แสดงความเห็นสักหน่อยสิครับ

จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กันกันครับ
IP : บันทึกการเข้า

HipHopJaa
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 250


« ตอบ #316 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 22:29:19 »

ใครสนใจหุ้น 7-11 ผมบ้าง  วันนี้เอาข่าวของบริษัทมาให้อ่าน

     เปิดกลยุทธ์สู่ความสำเร็จแฟรนไชส์ 7-11 หลังแจ้งเกิดครบรอบ20 ปี มุ่งเป้าขายอาหารอิ่มทันใจ ชี้อัตราซื้อซ้ำสูงกำไรงาม และเพิ่มช่องกระจายวัตถุดิบบริษัทแม่ ตั้งเป้าปูพรม 7,000 สาขาทั่วประเทศในอีก2 ปี พร้อมเร่งมอบส่งไม้บริหารแก่แฟรนไชซีหนุนขยายเครือข่าย ยอมรับตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่แข่งดุ ระบุหากปรับตัวพร้อมโอกาสโตยังเปิดกว้าง

     นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)ผู้บริหารแฟรนไชส์ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่นอีเลฟเว่น" (7-11) เผยในงานแถลงนโยบายร้าน7-11 ในโอกาสครบรอบ 20 ปีของการเปิดแฟรนไชส์ในเมืองไทยว่า บริษัทฯ ซื้อลิขสิทธิ์ร้าน7-11 มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีพ.ศ.2532 และเริ่มขายแฟรนไชส์ใน พ.ศ.2534 จำนวน 9 สาขา ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,094 สาขาแบ่งเป็นสัดส่วนแฟรนไชส์ 3,153 สาขา หรือ52% และบริหารโดยบริษัท 2,941 สาขา หรือ48% (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2554) และเชื่อว่าถึงสิ้นปีนี้ (2554) สัดส่วนแฟรนไชส์จะเพิ่มเป็น 53% โดยมีสาขาเพิ่มจากปีก่อน (2553)500 สาขา แบ่งเป็นของแฟรนไชส์ ประมาณ 400 สาขา และบริษัทประมาณ 100 สาขา

     สำหรับนโยบาย 7-11 จากนี้ ยังคงมุ่งสานต่อกลยุทธ์เป็นร้านขายอาหารอิ่มสะดวกของคนไทยที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศโดยมุ่งเน้นขายอาหารกินเป็นมื้อ ซึ่งในอดีตสัดส่วนรายได้ของร้าน 7-11 จากส่วนอาหารเพียง 20% และสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ 80%แต่ปัจจุบัน สัดส่วนในกลุ่มแรกเพิ่มเป็นกว่า70% ขณะที่กลุ่มหลังลดเหลือ 30% และตั้งเป้าว่า อนาคตจะเพิ่มสัดส่วนยอดขายกลุ่มอาหารให้ถึง 80%
"การวางกลยุทธ์เน้นขายอาหารสด เพราะเราอยากสร้างจุดต่าง ไม่ต้องไปแข่งขันกับร้านโชวห่วย หรือมินิมาร์ทรายอื่นๆ รวมถึง อาหารเป็นสินค้าที่ใช้แล้วหมดไป ทำให้มีอัตรากลับมาซื้อซ้ำสูง และกำไรต่อหน่วยสูงกว่า โดยกลุ่มอาหารกำไรกว่า 30% ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 10% เท่านั้น และที่สำคัญบริษัทแม่มีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบ และทีมงาน สามารถผลิตและป้อนสินค้าให้ได้สม่ำเสมอ" กก.ผจก. เผย
สำหรับเป้าหมายแฟรนไชส์ 7-11 ในอีก2 ปีข้างหน้า จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 7,000 แห่งทั่วประเทศ มุ่งทำเลถนนตัดใหม่ ควบคู่กับขยายสัดส่วนบริหารโดยแฟรนไชซีเติบโตต่อเนื่องปีละ 3% ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ต้องการสร้างคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจร้าน เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้ทั้งส่วนบริษัท มีช่องทางกระจายสินค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมกับได้สร้างอาชีพที่มั่นคงแก่คนรุ่นใหม่ และยังทำให้ระบบค้าปลีกของประเทศมีความก้าวหน้าอีกด้วย

สนใจคับพี่วายุ...ผมน้องใหม่คับ มีตังมะถึง หมื่นบาท อยากจะลองเล่นสักครั้ง ไม่ทีความรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ผมติดตามอ่านบทความพี่แล้วอยากเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้างคับ โดยเฉพาะ หุ้น 7-11 น่าสนใจคับ
     นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ การแข่งขันกันสูงมาก โดยเฉพาะจากแบรนด์ใหม่ที่เปิดโดยห้างค้าปลีกรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ร้าน 7-11 ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 50%ซึ่งจากระบบที่วางมายาวนาน ประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่ปรับตัวอยู่เสมอ รวมถึงแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและจดจำ ผนวกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่คาดว่าปีนี้ GDP จะโต 4.5% จึงเชื่อว่าโอกาสของธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายตัวขึ้นยังเป็นไปได้สูง

     สำหรับแนวทางสำคัญในการบริหารแฟรนไชส์ 7-11 ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คือปรับตัวและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งส่วนเจ้าของร้านสาขา กับส่วนกลาง กล่าวคือ ในส่วนเจ้าของร้าน ทางบริษัทจะจัดอบรมความรู้ที่จำเป็นแก่แฟรนไชซีตลอดทั้งปี เพื่อสร้างมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และมีทีมปฏิบัติลงพื้นที่เข้าไปดูแลและแนะนำสาขาทุกสัปดาห์

     ขณะที่ส่วนกลาง ปรับตัวให้มีสินค้าและบริการตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะหันมาเน้นขายกลุ่มอาหาร ประกอบกับจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง นำเทคโนโลยีระบไอทีมาใช้เก็บข้อมูลสถิติต่างๆรวมถึง มีระบบคลังสินค้าที่สมบูรณ์ แบ่งเป็นคลังใหญ่ 4 จุด ได้แก่ ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง ส่วนภาคเหนือ และใต้ อีกอย่างละแห่ง อีกทั้ง มีคลังเล็ก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยกระจายสินค้าที่ต้องการความสดใหม่ เช่น อาหารและหนังสือพิมพ์ ให้ถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น พร้อมระบบคัดเลือกสินค้า เพื่อหมุนเวียนสินค้าที่ลูกค้าต้องการจริงๆ เข้ามาขายในร้าน
ผู้บริหารแฟรนไชส์เจ้าดัง เผยด้วยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้สนใจขอเปิดร้าน 7-11 เกือบหนึ่งหมื่นราย แต่ผ่านการคัดเลือกเพียง 5%เท่านั้น สำหรับหลักพิจารณา สำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยควรมีประสบการณ์ทำงานจริงมาก่อน มีเวลาบริหารเต็มที่ อายุควรมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้องผ่านการฝึกอบรมจากบริษัท ทั้งด้านบริหารร้าน บริหารพนักงาน บริหารสินค้า ฯลฯเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จต่อไปได้
ในส่วนการลงทุนนั้น มีให้เลือก TYPE B อยู่ที่ 480,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ อีก1,000,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) และTYPE C อยู่ที่ 1,730,000 บาท รวมค่าค้ำประกันต่างๆ 900,000 บาท (ได้รับคืนหลังครบสัญญา) ซึ่งปัจจุบันการเปิดร้านแฟรนไชส์เซเว่นฯ แทบทั้งหมดกว่า 95% จะเป็นร้านของบริษัทที่ให้ผู้สนใจ เลือกลงทุนไปดำเนินกิจการต่อ ส่วนการเปิดร้านจากทำเลของผู้ลงทุนเอง มีสัดส่วนเพียง 5% เท่านั้น

     ด้านผลตอบแทนของแฟรนไชซี แบบTYPE B มาจากผลตอบแทนจากการบริหารและกำไรส่วนเพิ่ม อัตราคืนเงินลงทุนประมาณ5-6 ปี ส่วนแบบ TYPE C จะมาจากยอดขายหักต้นทุน ซึ่งแฟรนไชซีจะได้ส่วนแบ่งกำไร54% บริษัทได้ส่วนแบ่งกำไร 46% อัตราการคืนทุนประมาณ 10 ปี โดยเฉลี่ยลูกค้าที่เข้าร้าน7-11 จะใช้จ่ายประมาณ 40-50 บาทต่อคนต่อครั้งที่เข้าร้าน แต่ละสาขาจะมีรายได้เฉลี่ยอย่างต่ำ 40,000-50,000 บาทต่อวัน (แล้วแต่สาขา และขนาดร้าน)
ขณะที่อัตราการยกเลิกกิจการของผู้ลงทุนแฟรนไชส์ 7-11 อยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งสาเหตุใหญ่มักเกิดจากความไม่พร้อมส่วนตัวของแฟรนไชซี เช่น ไม่มีเวลามาดูแล ขาดทายาทสืบต่อธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามอัตราดังกล่าวเมื่อเทียบกับการยกเลิกร้าน 7-11 ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ถือว่าต่ำมาก


ผมสนใจมากคับพี่วายุ ผมเป็นน้องใหม่นะคับ....ผมติดตามอ่านบทความของพี่แล้วอยากจะเปิดโอกาศให้กับตัวเองบ้าง แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะของ 7-11 สนใจมากคับ
IP : บันทึกการเข้า

คนไทยไม่ควร"แยกสี"....เพราะเป็นหน้าที่ของ"โรงพิมพ์"
singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #317 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2011, 09:54:14 »

http://www.youtube.com/watch?v=iYZHjKlk7Go&NR=1
อันนี้เอามาฝากเผื่อ นักลงทุนเชียงรายโฟกัส เงินเหลือจะทำมั้งก็ไม่ว่ากันครับ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #318 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2011, 11:28:21 »

http://www.youtube.com/watch?v=iYZHjKlk7Go&NR=1
อันนี้เอามาฝากเผื่อ นักลงทุนเชียงรายโฟกัส เงินเหลือจะทำมั้งก็ไม่ว่ากันครับ

แบบนี้ไม่ใช่เรียกว่าเิงินเหลือแล้วครับ

เรียกว่าโคตะระเหลือเฟือแล้วครับ 555+
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #319 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 15:47:03 »

ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้

ตอบคุณ HipHopJaa
     ถ้าสนใจก็ซื้อเลยสิครับ  ผมบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม.....  ก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่  ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ  เพราะถึงหุ้นจะดี  แต่ถ้ามันไม่เหมาะกับสไตล์คุณ  คุณก็อาจจะบอกไม่เห็นดีเลย  ดูอย่างวันก่อนนี้สิ  หุ้นพุ่งกระฉูด  แต่วันนี้มันลงมาแรงเลย  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะตกใจขายหรือเปล่า  หรือคุณจะเป็นทุกข์และนอนไม่หลับไหม  ถ้าใช่  หุ้นตัวนี้อาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้  บางทีคุณอาจจะชอบแบบสบายใจ  ไม่ชอบเอาหุ้นกลับบ้านไปนอนผวา  คุณก็ต้องเล่นแบบซื้อขายในวัน  ซึ่งเมื่อคุณเล่นแบบนั้น  คุณอาจจะว่าหุ้นพวกนั้นดีกว่าก็ได้  หรือคุณชอบแบบไม่ต้องขึ้นต้องลงมาก  คุณก็ต้องเล่นแบบหุ้นปันผลมากๆ  พยายามหาตัวเองให้พบก่อนครับ  แล้วหลังจากนั้นค่อยมาดูว่า  สไตล์ไหนเหมาะกับเรา  หรือถ้ายังไม่รู้อะไรเลย  ผมแนะนำให้ทำอย่างคุณวัยทองและคุณสิงโต  ไปเปิดบัญชีก่อน  แล้วหลังจากนั้นก็มาทดลองดู  ใช้เงินในตอนเริ่มแรกจำนวนน้อยๆ  ความฉลาดจะเกิดขึ้นได้เร็วจากการลงมือทำครับ  ถ้าเราเป็นแล้ว  เงินมากเท่าไหร่เราก็สามารถควบคุมได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 [16] 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!