แตกประเด็น
สำหรับช่วงนี้ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมานำเสนอ ก็เผอิญว่ามีข้อความส่งมาหาผมพอดี และในข้อความดังกล่าว สามารถนำมาแยกประเด็นออกมาได้หลายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ผมก็เลยนำข้อความนั้นมาแยกประเด็นแล้วก็นำมาตีแผ่ให้คุณๆได้อ่านกัน เพื่อรับรู้ถึงแนวความคิดของผมเอง ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า ไม่ได้มีเรื่องเคืองใจกับเจ้าของข้อความ และประเด็นที่ผมจะนำเสนอนี้ อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจคนอื่นก็ได้ อย่างไรเสีย ก็อ่านไว้เพื่อประดับความรู้ก็แล้วกันนะครับ
อันนี้เป็นข้อความแรกที่ส่งถึงผมจะอธิบายว่าทำไมทองคำถึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นนะค่ะ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ้งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย ถ้าจะถามว่าทองคำเกิดขึ้นได้อย่างไรทองคำคือแร่ธาตุ(ถูกต้องไหมค่ะ) การเกิดทองคำไม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาปีสองปี มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั้นเป็นร้อยๆ ปีแล้วเหมืองแร่ทองคำไม่ได้มีทุกที่ทุกจังหวัดหรือทุกจุดทั่วโลก กว่าจะพบเหมืองแร่ทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิค่ะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสิ้นค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไมค่ะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้อยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ บอกรายละเอียดเท่านี้คุณวายุคงจะพอจะนึกภาพออกไหมค่ะ มีปัญหาหรือสงสัยเรื่องทองคำเอ..หรือสนใจอยากจะลงทุนตรงนี้ก็ติดต่อที่ micky.04@live.com ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ๊งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) สำหรับเรื่องของทองคำ ผมได้ลงไว้ให้อ่านไปแล้ว และผมก็หมายความตามนั้นแหละว่า ทุกวันนี้คนเราอุปโลกน์ตีค่าราคาของทุกอย่างบนโลกนี้ขึ้นมากันทั้งนั้น ผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด แต่มันอยู่ที่ความนิยมต่างหาก ถ้าของสิ่งใดก็ช่างมีคนต้องการมัน ของสิ่งนั้นก็ยังมีราคาอยู่ ถ้าของสิ่งใดไม่มีใครต้องการมัน มันก็ไม่มีราคา แต่ตอนนี้ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องการทำธุรกิจนะครับ
สาเหตุหลักในการลงทุนทำธุรกิจอย่างแรกเลยก็คือ ถ้าเราทำสำเร็จ การลงทุนนั้นมันก็จะตอบแทนเราด้วย “กระแสเงินสด” ที่เราไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น ก็เพราะเราต้องการกระแสเงินสดใช่หรือไม่? กระแสเงินสดก็คือเงินรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือแม้แต่รายชั่วโมง เราต้องการกระแสเงินสดตรงนี้เพื่อมาหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยในชีวิต คงไม่มีใครไปทำงานโดยหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตก็จะขายตำแหน่งเพื่อทำกำไร การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน เราลงทุนทำธุรกิจก็จะได้กำไร และกำไรส่วนนั้นก็จะกลายมาเป็นกระแสเงินสดให้เราไปจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง อาจจะมีบ้างบางคนที่สร้างธุรกิจนั้นให้ดี และสุดท้ายก็ขายมันในราคาแพง และก็ดำเนินกระบวนการนั้นต่อไปเพื่อทำกำไร(อย่างที่เขาเซ้งกิจการกัน) แต่การธุรกิจมันก็มีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงพวกนั้น เราสามารถจัดการหรือควบคุมมันได้ ยกตัวอย่างเช่น เราขายอาหารเพราะเราทำอร่อย และพอขายไปเรื่อยๆก็มีคู่แข่งโผล่ออกมา เขาอาจจะทำไม่อร่อย แต่เขาหาจุดขายด้วยการขายปริมาณเยอะ แล้วคุณคิดว่า ใครจะอยู่ใครจะไป จากประสบการณ์จริงของผมแล้ว มันจะอยู่ได้ทั้งสองเจ้า เพราะเขาใช้กลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า ถึงแม้ว่าจะทำธุรกิจอย่างเดียวกัน แต่จุดขายต่างกัน ก็สามารถจับลูกค้าคนละกลุ่มกันได้ แต่ถ้าเจ้าแรกเห็นว่า เขาได้เปรียบเรื่องรสชาติอยู่แล้ว เขาพยายามจะจับลูกค้าทั้งสองกลุ่มเลย เขาก็เน้นปริมาณขึ้นอีกหน่อย เพื่อไปกินลูกค้าในส่วนที่ชอบปริมาณเยอะ ถ้าเจ้าที่สองอยากอยู่รอด ก็คงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์กันต่อไป เมื่อดูดังนี้จะเห็นว่า ในการทำธุรกิจ เราสามารถจัดการและควบคุมความเสี่ยงได้ ซึ่งต่างจากการลงทุนในทอง เพราะราคาทองคำ เราไม่สามารถควบคุมราคาได้เลย แล้วอย่างนี้ท่านคิดว่า อะไรเสี่ยงกว่ากัน แต่ในเมื่อมันมีเสียมันก็ต้องมีดี เพราะถ้าเรารู้อะไรบางอย่าง และเราสามารถคาดการณ์มันได้ถูกต้อง เราก็สามารถทำเงินจากมันได้ เพราะผมเคยบอกมาแล้วว่า “ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย นั่นคือการพนัน แต่ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั่นคือการลงทุน”
ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย อันนี้โดยความเห็นส่วนตัวแล้วมันก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ เพราะอย่างไรเสียทองก็ยังเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไปอยู่ แต่การเล่นบนราคาโดยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาอ้างอิงนั้นไม่มีใครตอบได้ว่าราคามันจะไปอยู่ที่ตรงไหน คล้ายกับการเล่นหุ้นปั่นนั่นแหละ ถ้าผมถามว่า พรุ่งนี้ สัปดาห์หน้า เดือนหน้า ปีหน้า ราคาทองจะขึ้นหรือลง และจะขึ้นหรือลงไปที่ราคาเท่าไหร่ ผมว่าคงไม่มีใครตอบได้ จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดมา ราคาทองมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองตัวนั่นก็คือ ความต้องการทองและปริมาณเงินดอลล่าร์ ถ้าเราดูกันที่ปริมาณเงิน ตอนนี้ถ้าคิดอย่างง่ายๆว่า ถ้าเราลงทุนในทองคำโดยหวังจะได้กำไรสักหนึ่งเท่าตัว ปริมาณเงินที่จะต้องมีเพิ่มขึ้นมาในระบบมันก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวเช่นกัน แล้วเราคิดว่ามันมีทางเป็นไปได้ไหม ในโลกนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ แต่เราจะรู้หรือไม่ว่ามันจะเกิดไหม และจะเกิดเมื่อไหร่ ถ้าคุณรู้ คุณก็ลงทุนได้ ถ้าคุณไม่รู้ คุณก็กำลังพนันอยู่
ทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิคะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสินค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไม่คะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้ยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหละค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ คำถามของผมก็คือ...จริงหรือ? ที่ว่าใครต่อใครก็อยากครอบครองทองคำ ผมว่า สาเหตุหนึ่งที่เขานิยมทองคำนั้น ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดเองหรอกว่ามันมีค่าสำหรับตัวเขา แต่เขามองดูจากคนอื่นว่า คนอื่นเขานิยม เขาก็เลยนิยมตาม เพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไป สาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจาก มันทนกรด ทนไฟ ไม่เป็นสนิม ไม่ว่าจะหลอมหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์มันออกมาเป็นอย่างไรก็ช่าง มันก็ยังมีอณูหรือโมเลกุลเป็นทองคำอยู่ดี ถ้าวันหนึ่งเขาเลิกนิยมทองแล้วหันไปนิยมอย่างอื่นแทน ผมว่าคงจะมีคนทิ้งทองกันบานเบอะเหมือนกัน เพราะคนพวกนี้ชอบแห่ตามกัน แห่ไปแห่มาก็เลยคล้ายๆแมงเม่า และคนปั่นก็เล่นกับความโลภของคน(แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามีบางคนปั่นราคาทองนะครับ) คนที่เห็นความเคลื่อนไหวของราคาแล้วก็เกิดจินตนาการว่ามันต้องไปต่อ ก็จะกระโดดเข้ามาช่วยกันเป่าลมคนละนิดคนละหน่อย ช่วยกันหลายคนฟองสบู่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเร็ว แต่พอมันแตกเมื่อไหร่มันก็บรรลัยล่ะคร้าบ ถ้าใครเคยดูสารคดีเกี่ยวกับหนูเล็มมิงค์ก็จะเห็นว่า มันต่างแย่งกัน เบียดเสียดยัดเยียดกัน เหยียบกัน และพยายามวิ่งไปให้ถึงหน้าผาให้เร็วที่สุด และพอสุดหน้าผามันก็ตกลงไปในทะเล แล้วมันก็พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเพื่อแย่งกันไปตายกลางทะเล แล้วก็จบสำหรับนิทานเรื่องนักลงทุนตามแห่ เอ้ย…!!!...ไม่ใช่ สารคดีเรื่องหนูเล็มมิงค์
ส่วนที่บอกว่าทองคำหายากขึ้น อันนี้ก็จริงนะครับ เพราะขุดกันมาตั้งแต่สมัยฝรั่งตื่นทองแล้ว และคุณทราบไหมครับว่าสมัยนั้นใครรวย คนที่รวยจากสมัยนั้นเขาเรียกกลยุทธ์การหารายได้แบบนี้ว่าขุดและตัก ช่วงนั้นฝรั่งตื่นทองเป็นอันมาก ต่างคนต่างก็มุ่งหน้าไปที่เหมืองเพื่อหาทองคำกัน แต่ไม่มีใครได้อะไรมากสักเท่าไหร่หรอก คนที่ได้เยอะรู้ไหมใคร? คนที่ขายพลั่ว จอบ และตะแกรงร่อนให้กับนักเสี่ยงโชคทั้งหลายนั่นแหละที่รวย เพราะขายกันไม่หวาดไม่ไหว เพราะนักเสี่ยงโชคแต่ละคนก็มุ่งหน้าเข้าไปอยู่จนกลายเป็นเมืองเลยทีเดียว คนที่ค้าขายให้กับคนพวกนี้ก็ขายของกันอย่างสนุกสนาน ได้กำรี้กำไรกันไปจนหน้าบานเชียว ยกตัวอย่างเช่น ยีนส์ลีวายส์ก็เกิดในสมัยนี้ ที่เขาขายยีนส์ได้ก็เนื่องจาก เขาเอาผ้าที่มีความทนทานและราคาถูกมาเย็บขาย ทำให้นักขุดทองพอใจเป็นอันมากที่ไม่ต้องเสียเวลามาเปลี่ยนชุดบ่อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการงมหาเศษทอง...หุ หุ และลองมาดูในประเทศไทยสิ บ้านใครหรือตรงไหนมีของแปลกๆผิดธรรมชาติ ก็จะมีนักเล่นหวยแห่กันไปเป็นจำนวนมาก คนที่ได้แน่ๆก็คือคนที่ขายดอกไม้ธูปเทียนให้กับคนพวกนี้นั่นเอง และยัง...ยังไม่พอ ตอนนี้มีการตื่นทองรอบใหม่กันคุณคิดว่าใครรวย ก็คนที่ขนเอาเครื่องมือทางการเล่นทองทั้งหลายมาขายให้กับคนอยากรวยนั่นแหละเช่น กองทุนรวม นายหน้า มาร์เก็ตติ้ง โบรกต่างๆ และตลาดอนุพันธ์ คนพวกนี้เขาได้แน่ๆ ได้ค่าคอมฯจากเราไง เราลงทุนเสร็จก็ไปวัดดวงเอาเอง เขาไม่เกี่ยว เราซื้อเขาก็ได้เงิน เราขายเขาก็ได้เงิน ไม่มีความเสี่ยง เหอ เหอ และยิ่งพวกที่ขายอนุพันธ์นี่ยิ่งไปใหญ่ คนพวกนี้จะบอกว่ามันไม่ใช่จะได้กำไรจากการขึ้นเพียงอย่างเดียว ถ้าทองมันลง เราก็ขายก่อนแล้วค่อยมาซื้อคืนทีหลังก็ได้ตังค์เหมือนกัน ฟังดูดีนะ แต่ปัญหาก็คือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องทำอะไรตอนไหน ถ้าผมถามว่าพรุ่งนี้ทองจะเป็นอย่างไร คุณตอบได้ไหม ถ้าคุณไม่รู้ คุณก็กำลังพนันอยู่ และถ้าคุณเสียนี่ เสียหนักด้วย เพราะถ้าเราเสียเขาก็จะทวงให้เอาเงินไปเติม ถ้าเราไม่เอาเงินไปเติม เขาก็จะขายสัญญาของเราออกมาซะงั้น เราจะฉิบหายอย่างไรช่างมัน ขอให้กรูได้เงินก็พอแล้ว
และข้อความนี้เป็นข้อความที่สองที่ส่งถึงผม ผมขออนุญาตนำมาลงเพื่อเป็นการอ้างอิงก็แล้วกันนะครับถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ) ดิฉันจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ เท่านั้นนะค่ะ ถ้าคุณไม่ได้สนใจตรงจุดนี้ดิฉันคงตอบคำถามมากไม่ได้ การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว)
ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้ ถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ) คำถามต่อไปก็คือแค่ถือเก็บไว้โดยไม่ได้ผลตอบแทนน่ะหรือครับ มันเป็นการลงทุนแบบคิดชั้นเดียวเท่านั้น ถ้าราคาทองมันไม่กลับมาเลยคุณจะทำอย่างไรครับ ถ้าผมซื้อหุ้นแล้วหุ้นมันตก ระหว่างที่ถือผมก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลบ้างนะครับ ก่อนที่ผมจะซื้อหุ้น ผมจะทำการตรวจสอบถึงเงินปันผลทุกครั้ง เพราะผมก็ไม่ได้ไว้ใจตลาดหรือบริษัทที่ผมถือหุ้นไว้มากมายนัก ผมจึงต้องมีแผนสำรองไว้เผื่อฉุกเฉินไงครับ ถ้าผมถามกลับไปว่า ถ้าเราซื้อหุ้นในราคา 10 บาท แล้วหุ้นนั้นสามารถปันผลให้เราได้ปีละ 1 บาทไปตลอด คุณคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีไหม ผมคิดว่าคุณคงตอบว่าดี เพราะแค่ 10 ปีคุณก็ได้เงินคืนหมดแล้ว และหลังจากนั้นเราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าฟรีๆทุกปีโดยไม่มีความเสี่ยง แล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลให้เราเพิ่มได้ทุกปี จริงๆแล้วผมสามารถลงทุนแบบนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรื่องราคาหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้ เพราะอย่างไรเสียผมก็ว่ามันเป็นการลงทุนที่ดี แต่ในเมื่อมันมีหุ้นให้ซื้อขายกันได้ในตลาด ราคาหุ้นนั้นก็ย่อมมีการเหวี่ยงขึ้นลงเป็นธรรมดา ถ้าผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เขาก็คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือเงินปันผลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ราคาหุ้นมันก็จะถูกซื้อขายกันในราคาที่แพงขึ้นไป เพื่อให้เหมาะสมกับผลตอบแทน เมื่อเป็นดังนี้ ผมก็เลยได้กำไร 2 เด้ง เด้งที่หนึ่งจากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น และเด้งที่สองจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนแบบนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นกับทองคำได้ เพราะทองคำมีผลตอบแทนแค่ทางเดียวคือราคาเท่านั้น และการที่ทองคำจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะผู้เล่นมีทั้งโลก ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะขึ้นมาเป็นเท่าตัวได้ แต่สำหรับหุ้นแล้ว ขึ้นเป็น 10 เท่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ดูหุ้น ปตท.หรือบ้านปูก็ได้ ปตท.เข้าตลาดราคา 35 บาท ทุกวันนี้ก็เหวี่ยงแถวๆ 350 บาท ราคาขึ้นมา 10 เท่าตัวแล้วครับ ราคาของทองมันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งโลก ซึ่งกว้างไป เราสามารถติดตามเหตุการณ์ของโลกทั้งใบได้หรือไม่ แต่สำหรับราคาหุ้นมันเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่ละแห่งซึ่งดูง่ายกว่า
การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว) อันนี้ทราบแล้วครับ และได้อธิบายไปแล้วด้วย
ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้ อันนี้ต้องแยกออกมาเป็นแต่ละประเด็นนะครับ
ถ้าหุ้นมันลง คุณก็จะมีปันผล
ไม่มีผลกำไรในปีนั้น อันนี้ต้องดูว่าเพราะอะไร ถ้าหุ้นมันดีแต่มันเจอวิกฤต ถ้าเราไม่อยากถือ เราจะขายเอาเงินคืนมาก่อนก็ได้นี่ครับ
อาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ที่คุณพูดนั้นคุณหมายถึงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนะครับ แต่ถ้าคุณลองมองลึกลงไปดีๆจะเห็นว่า มันก็ไม่ได้แย่ไปทุกบริษัทนี่ มันก็จะมีบางบริษัทที่ยังอยู่ได้ หรือมีบางบริษัทที่ได้รับผลดีจากเหตุการณ์นั้นด้วยซ้ำยกตัวอย่างเช่น ช่วงนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างรุนแรง บริษัทที่ส่งออกจะกำไรดีมากขึ้นเป็นพิเศษ และราคาหุ้นของพวกธุรกิจส่งออกก็พุ่งขึ้นมาในช่วงนั้นแหละ คุณลองไปหาหนังสือ “ตีแตก” ของ ดร.นิเวศน์ มาอ่านดูก็ได้ว่าเขารอดช่วงนั้นมาได้อย่างไร และทำได้ดีด้วย และที่สำคัญ เราต้องรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ถ้าหุ้นมันลงเยอะเหมือนช่วงนั้น คุณก็อย่ารอช้า มีเงินเท่าไหร่ก็รีบสอยหุ้นดีราคาถูกมาให้หมดกระเป๋า!!!