เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 22:02:51
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293285 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #400 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2011, 15:33:56 »

ถึงท่านวัยทอง
     ที่บอกว่าให้มาเอารายงานประจำปี  2010  ที่ผมนั้น  ไม่ต้องเสียเวลามาก็ได้  โหลดเอาเลยเร็วกว่า
  ไปที่หัวข้อ  Annual Report  2010

http://www.7eleven.co.th/corp/investorzone_companyprofileprospectusannual.php

เมื่อโหลดมาแล้วให้ดูข้อมูลที่สำคัญมากๆก็พอ  อย่างเช่น  กำไร แนวโน้มการทำธุรกิจในอนาคต  เป็นต้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #401 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2011, 20:52:53 »

ถึงท่านวัยทอง
     ที่บอกว่าให้มาเอารายงานประจำปี  2010  ที่ผมนั้น  ไม่ต้องเสียเวลามาก็ได้  โหลดเอาเลยเร็วกว่า
  ไปที่หัวข้อ  Annual Report  2010

http://www.7eleven.co.th/corp/investorzone_companyprofileprospectusannual.php

เมื่อโหลดมาแล้วให้ดูข้อมูลที่สำคัญมากๆก็พอ  อย่างเช่น  กำไร แนวโน้มการทำธุรกิจในอนาคต  เป็นต้น

ขอบคุณมากครับ ท่านวายุ

ตอนนี้จอคอมบ้านเสีย

เลยต้องพึ่งร้านเน็ตไปก่อน

รอสิ้นเดือนค่อยว่ากันใหม่ 55+
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #402 เมื่อ: วันที่ 22 สิงหาคม 2011, 15:53:47 »

         แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยื่นขออนุญาตนำหุ้นสโมสรราว 25 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์แล้ว คาดเสร็จสิ้นในช่วงปลายปี ก่อนได้เงินก้อนโตมาปลดหนี้ให้ตระกูลเกลเซอร์ต่อไป


        "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ยื่นขออนุญาตนำหุ้นบางส่วนของสโมสร เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยหวังระดมทุนเพื่อลดหนี้ก้อนใหญ่มูลค่า 515 ล้านปอนด์ (ประมาณ 25,750 ล้านบาท) และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย. นี้ ตามรายงานจากสำนักข่าว "บีบีซี" ของอังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา


         เดิมที "ปีศาจแดง" เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นลอนดอน ก่อนที่ตระกูล เกลเซอร์ จากสหรัฐฯ จะเข้ามาเทกโอเวอร์ ภายใต้วงเงิน 790 ล้านปอนด์ (ประมาณ 39,500 ล้านบาท) เมื่อปี 2005 แต่ด้วยภาวะหนี้สินในปัจจุบัน ทำให้มหาเศรษฐีชาวอเมริกันมีแผนนำหุ้นราว 25 เปอร์เซ็นต์ กลับสู่ตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง พร้อมว่าจ้าง เครดิต สวิส ให้เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ และเปลี่ยนจากตลาดหลักทรัพย์หั่งเส็งของฮ่องกง มาเป็นที่สิงคโปร์แทน


         ทั้งนี้ การเลือกนำหุ้นสโมสรเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แดนลอดช่อง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของฐานแฟนบอลในภูมิภาคเอเชียของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีจำนวนถึง 190 ล้านคน หรือราวสองในสามของกองเชียร์สโมสรทั่วโลกที่มีอยู่กว่า 300 ล้านคน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #403 เมื่อ: วันที่ 23 สิงหาคม 2011, 22:17:32 »

     วันนี้ไม่มีอะไรครับ  แค่มาเช็คเรทติ้งเฉยๆ  อยากรู้ว่าทุกวันนี้มีคนตามอ่านอยู่เท่าไหร่  เดี๋ยวสักพักจะเข้ามานับ  ยินดีด้วยที่หลวมตัวเข้ามาให้นับครับ  ตอนที่กำลังเริ่มนับ  ตัวเลขอยู่ที่  13792  เหอ  เหอ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #404 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 15:39:23 »

VI
     ดูๆไปแล้วคำว่า  VI  นี้เหมือนกับเลข  6  ในตัวเลขโรมันเลย  และในความเห็นของผม  เลข  6  นี้  ถ้าจะให้มันมาเกี่ยวข้องกับการลงทุนก็ได้คือ  กว่าจะรู้ว่า  VI  คืออะไรก็ต้อง  หกล้มหกลุก  หัวหกก้นขวิด  หกคะเมนตีลังกา  ฯลฯ  กว่าที่เราจะรู้แจ้งเห็นจริงได้  เราคงต้องคลุกคลีอยู่กับสิ่งที่เกี่ยวข้องนานพอสมควร  แล้วจึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

     แรกเริ่มเลยคำว่า  VI  นี้มาจากอาจารย์ของบัฟเฟตที่ชื่อ  เบน  เกรแฮม  ซึ่งคำว่า  VI   นี้ย่อมาจาก  Value  Investor  ซึ่งมีความหมายว่า  ให้ลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ตามที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าของมัน  ยกตัวอย่างเช่น  มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่ง  สมมติว่าชื่อหุ้น  VI  ก็แล้วกัน  อันว่าหุ้น  VI  นี้มีหุ้นอยู่ทั้งหมด  100  หุ้น  ราคาซื้อขายในตลาดขณะนั้นหุ้นละ  1  บาท  แต่เมื่อเราไปดูที่กิจการก็พบว่า  ถ้าเอาเงินสดบวกทรัพย์สินต่างๆของบริษัท  แล้วลบออกด้วยหนี้ที่มีอยู่  เงินที่เหลือเบ็ดเสร็จทั้งหมดก็ยังมากกว่าหุ้นละ  1  บาทอยู่ดี  อย่างนี้ทำให้ทราบว่า  ถ้าเราลงทุนในหุ้น  VI  ไป  เราไม่มีทางขาดทุนแน่นอน  อย่างนี้เท่ากับว่า  ความเสี่ยงเท่ากับศูนย์หรือเหลือความเสี่ยงน้อยมาก  เพราะฉะนั้นหุ้นนี้  เป็นหุ้นที่น่าลงทุนในแนว  VI  เป็นอย่างยิ่ง  แต่หลักการนี้มันมีจุดอ่อนอยู่ตรงที่  เราเลือกซื้อแต่หุ้นที่มันถูก  โดยที่ไม่ได้สนใจองค์ประกอบอื่นเลยว่า  บริษัทมันดีไหม  มีความสามารถในการแข่งขันมากเพียงใด  ยังเติบโตได้อีกหรือไม่  เพราะฉะนั้นแล้ว  เมื่อบัฟเฟตได้เรียนรู้หลักการลงทุนในแบบ  VI  มา  ซึ่งหัวใจของมันคือความถูกเท่านั้น  แต่บัฟเฟตก็นำมาประยุกต์ใช้  โดยการซื้อหุ้นที่แข็งแกร่ง  มีความสามารถในการแข่งขันสูง  เป็นยี่ห้อที่มีคนนิยม  มีกำไรที่ดี  หรือพูดง่ายๆว่า  เป็นบริษัทที่มีองค์ประกอบที่บริษัทที่ดีควรจะมี  และเมื่อหมายตาบริษัทไหนไว้แล้ว  เขาก็จะรอจนตลาดพัง  แล้วเขาก็จะเข้าไปซื้อหุ้นที่หมายตาไว้เป็นจำนวนมาก  แต่กว่าที่เขาจะซื้อหุ้นที่เขาหมายตาไว้ได้  บางทีก็ใช้เวลานานเป็นปีๆ  แต่เขาก็รอด้วยความอดทน  เมื่อได้โอกาสตลาดลดราคาให้เขา  เขาก็จะรีบคว้าโอกาสนั้นไว้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งหลักการนี้เขาได้อธิบายไว้ว่า  เวลาจะซื้อหุ้น  ต้องมี  Margin  of  safety  ไว้ด้วย  ถ้าให้แปลก็คือ  ต้องมีค่าความเผื่อของราคาหุ้นไว้  สมมติถ้าเข้าซื้อแล้วหุ้นตก  ราคาที่เราเข้าซื้อก็ยังเป็นราคาที่ไม่แพงเกินไป  เขายกตัวอย่างง่ายๆให้ดูคือ  หาซื้อแบงค์ร้อยในราคาสี่สิบ  บางคนฟังแล้วตลก  แต่เมื่อถึงเหตุการณ์จริงจะรู้ว่าใช่  โดยเฉพาะพวกที่ชอบ  Cut  loss  จะขายหนีตายกันอลหม่าน  ทำให้ตลาดตกลงอย่างรุนแรง  และเมื่อซื้อหุ้นได้มากแล้ว  เขาก็มีความอดทนที่จะรอให้ตลาดหุ้นกลับมาทบทวนราคาของหุ้นที่เขาซื้อเข้ามา  และนำราคาหุ้นที่เขาซื้อเข้ามานั้น  กลับไปยังจุดเหมาะสมที่มันควรจะเป็น  ดูๆแล้วเขาก็ใช้หลักการของ  VI  ที่ต้องซื้อของถูกเท่านั้น  แต่เขาดัดแปลงด้วยการต้องซื้อบริษัทที่ดีด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  จะถือว่าเขาเป็น  VI  มันก็ใช่  เพราะเขาซื้อของถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน  แต่มันก็ไม่ใช่  VI  ในความหมายดั้งเดิม  มันเป็นสไตล์ที่แตกแขนงออกมา  แล้วทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง

     ในตลาดหุ้นตอนนี้  มีหลายคนมากที่อ้างตัวว่าเป็น  VI   แล้ว  VI  คืออะไร  เขารู้ครอบคลุมแล้วหรือยัง  หรือเขาเพียงแค่ดูว่า  คนไหนถือยาวก็เหมาว่าเป็น  VI  หมด  จริงๆแล้วถ้าจะให้พูดตรงๆแบบเนื้อๆเลยก็คือ  คนที่เป็น  VI  หลักใหญ่ต้องเข้าซื้อหุ้นตอนมันราคาถูกเท่านั้น  ถ้าคนที่ซื้อมาแพงหรือซื้อมาในราคาที่เหมาะสมแต่ถือยาว  ผมก็ว่ายังไม่ใช่  VI  ผมมีคำถามว่า  ถ้ามีคนหนึ่งเอาเป็นว่าชื่อวายุก็แล้วกัน  ตั้งแต่เขาซื้อหุ้นเข้ามา  ราคาหุ้นนั้นตกมาตลอด  ทำให้เขาไม่สามารถขายออกเพื่อเอาทุนคืนมาได้เลย  มันจึงทำให้เขาต้องอดทนถือหุ้นนั้นมานานมากแล้ว  อย่างนี้จะเรียกว่า  ท่านวายุคนนี้เป็น  VI  ได้ไหม

     และตอนที่ราคาหุ้นมันถูกก็คือตอนที่ตลาดมีความกังวลสูง  เศรษฐกิจไม่ดี  ไม่มีใครกล้าซื้อหุ้น  มีแต่คนอยากขาย  ตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย  นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์อย่างน่ากลัวถึงแนวโน้มของตลาด  เมื่อถึงตอนนั้น  ถ้าคุณปิดหูไม่ต้องฟังเสียงอะไรทั้งนั้น  ใช้แค่ตาคุณดูที่ตัวเลขก็พอว่า  หุ้นไฟฟ้าหรือมาม่า  มันเคยมีราคามากกว่านี้  แล้วตอนนี้ทำไมถึงไม่ซื้อ  ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี  แต่คนก็ยังต้องกินต้องใช้ของพวกนี้อยู่ไม่ใช่หรือ  แล้วเราจะกลัวว่าบริษัทจะเจ๊งหรือขายของไม่ได้ไปทำไมกัน  ถ้าคุณเป็น  VI  ขนานแท้  ช่วงเวลาแบบนี้เหมาะกับคุณมาก  เพราะคนส่วนใหญ่มักจะไม่กล้าเวลาของถูก  เพราะกลัวว่ามันจะถูกลงไปอีก  แต่เชื่อผมเถอะ  ถ้าบริษัทนั้นแข็งแกร่งจริง  มูลค่ามันต้องกลับมา  แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ตาม  เพียงแต่ว่าคุณต้องอดทนเท่านั้นเอง  ผมก็เลยเน้นที่กระทู้ว่า  ต้องมีเงินเย็นเท่านั้น  เพราะมันเอาเวลาแน่นอนไม่ได้  และการอดทนถือหุ้นแบบนี้นี่เอง  ที่ทำให้ใครต่อใครเข้าใจผิดว่า  VI  ต้องถือยาว  จริงๆแล้วมันก็ไม่เชิงหรอก  ที่เขาถือยาวก็เพราะรอให้มูลค่าที่ลดลงไปมันกลับมาต่างหาก  ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร  แต่ถ้าเกิดมันกลับมาแล้วดันพุ่งขึ้นไปจนเกินพื้นฐาน  VI  ขนานแท้ก็จะต้องขายมันออกไป  เนื่องจากว่าราคามันไม่เหมาะสมแล้ว  สู้เอาเงินกำไรที่ได้  ไปหาซื้อหุ้นตัวอื่นที่มันมีราคาถูกกว่าพื้นฐานดีกว่า  ผมรู้สึกตลกมาก  ที่เขาเอาการถือยาวหรือสั้นมากำหนดการเป็น  VI   ที่จริงแล้ว  VI  ก็ไม่ได้กำหนดเหมือนกันหรอกว่าต้องถือนานขนาดไหน  เอาเป็นว่าถ้าหุ้นนั้นยังมีราคาเหมาะสมกับตัวมันเองอยู่  เขาก็ยังถือต่อไป  ถ้าราคามันตกลงมามากๆ  เขาก็ซื้อเพิ่ม  ถ้ามันขึ้นไปเกินพื้นฐาน  เขาก็ขายออก  มันไม่เกี่ยวกับระยะเวลา  แต่มันเกี่ยวกับราคาและมูลค่าต่างหาก  ถ้ามันสมดุลกัน  เขาก็ยังไม่ทำอะไร  ถ้าถามผมว่า  ทุกวันนี้ผมลงทุนแนวไหน  ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน  รู้เพียงแค่ว่า  เรารู้จักหุ้นไหน  เราอยากเป็นเจ้าของหุ้นไหน  เราเข้าใจหุ้นไหน  และเรารู้ว่า  เมื่อซื้อหุ้นนั้นมาแล้ว  เราควรจะทำอย่างไรกับมันเช่น  ถือหรือขาย  ก็แค่นั้นเอง  สำหรับการลงทุนของผม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #405 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 17:14:21 »

ส่วนผมถ้าหุ้นนั้นถูก แต่ส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยผมก็ไม่เอาด้วย ต่อให้เป็นปัจจัยพื้นฐานก็ตาม

รวมทั้งผู้บริหาร ธรรมาภิบาล การรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ ก็ควรนำมาพิจารณาด้วยเหมือนกัน...ครับ.
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #406 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2011, 18:20:37 »

เลือกกระแสเงินสด
     สิ่งหนึ่งที่ผมเลือกก่อนที่จะลงทุนในหุ้นของบริษัทใดๆก็ตามก็คือ  “กระแสเงินสด”  ของกิจการนั้นๆ  เพราะการที่เราจะคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตได้ดีมีความแม่นยำสูง  หรืออย่างน้อยก็มีความมั่นคงพอที่จะทำให้เราอุ่นใจได้บ้างว่า  มันยังคงเป็นกิจการที่ดีอยู่  อันว่ากระแสเงินสดนี้  เราควรทำความเข้าใจกันก่อนสักเล็กน้อย  เพื่อจะได้ต่อยอดทางความคิดไปในบทความที่ผมกำลังจะอธิบายให้ได้รู้กัน

     กระแสเงินสดก็คล้ายกับการหารายได้ของคนสองคน  เหมือนอย่างเรื่องที่ผมเคยลงไปแล้วว่า  มีการรับจ้างนำน้ำมาส่งให้คนในหมู่บ้านใช้  คนหนึ่งซื้อรถและถังน้ำเพื่อไปตักและขับมาส่งให้ลูกค้า  ถ้าไม่ทำก็ไม่มีรายได้  ส่วนอีกคนหนึ่งติดปั๊มน้ำ  ต่อท่อตรงเข้ามายังบ้านทุกหลัง  เขาไม่ต้องไปทำงานให้เหนื่อยอีกเลย  เพราะในขณะที่ลูกค้าเปิดน้ำจากก๊อก  เงินก็ไหลเข้ากระเป๋าของเขาตลอดเวลา

     หุ้นที่ออกแนวกระแสเงินสดนี้มีอะไรบ้าง  ก็มีหลายอุตสาหกรรมเช่น  ไฟฟ้า  ประปา  โทรศัพท์  พลังงาน  อาหาร  ธนาคาร  ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้  มีอัตราการซื้อซ้ำสูง  มันจึงยังขายได้เรื่อยๆ  แต่ถ้าเราเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่า  มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียว  มันจะมีแยกย่อยในรายละเอียดอีกเล็กน้อย  เดี๋ยวเราลองมาแยกดูกัน

     ไฟฟ้า  ประปา  โทรศัพท์  เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า  3  สิ่งนี้คือปัจจัยพื้นฐานของปัจจุบัน  เราจะขาดสิ่งใดไปก็คงไม่ได้  เพราะฉะนั้น  3  อุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงอยู่และขายได้เรื่อยๆ  แต่ที่มันไม่น่าลงทุนก็เนื่องจากว่า  มันไม่โตแล้ว  เพราะอัตราการใช้มันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมาย  และบริษัทก็ยังไม่สามารถลดต้นทุนลงได้มาก  แต่ถ้ามีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเช่น  ราคาขายเพิ่มขึ้น  มันก็จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นตาม

     พลังงาน  ในที่นี้ก็มีหลายอย่าง  แต่ที่มีให้เห็นหลักๆก็คือ  น้ำมัน  ก๊าซ  และถ่านหิน  สินค้าพวกนี้เราต้องใช้อยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นโรงงานหรือใช้ตามบ้านเรือน  แต่สิ่งที่มันกระทบกับผลกำไรของบริษัทก็คือ  ราคาขายของมันไม่สามารถควบคุมได้  ราคาของมันจะเหวี่ยงขึ้นลงตามตลาดโลก  แนวโน้มเศรษฐกิจ  และจำนวนผู้จำหน่ายทั่วโลก  เพราะฉะนั้น  เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่คิดจะลงทุนในหุ้นพวกนี้ก็คือ  คาดการณ์ผลกำไรยาก

     อาหาร  อันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนเราต้องกิน  แต่เหตุผลที่มันไม่ค่อยน่าลงทุนก็เหตุผลเดียวกับพลังงานนั่นก็คือ  ราคาสินค้าเราควบคุมไม่ได้ทั้งเนื้อหมู  เนื้อไก่  และสินค้าเกษตรเช่นข้าว  เนื่องจากหมูและไก่เขาก็เลี้ยงกันทั่วโลก  เพราะฉะนั้น  เวลาของมีมากกว่าความต้องการ  ราคามันก็จะถูกลง  แต่ที่ผมลงทุนใน  7-11  นั้น  เขาก็ขายอาหารเหมือนกัน  แต่ที่แตกต่างไปเล็กน้อยก็คือ  อาหารที่เขาขายนั้นมันสำเร็จรูป  ซึ่งตรงนี้ช่วยปลดล็อกเรื่องราคาขายไปได้  เพราะถ้าต้นทุนสูงขึ้น  เขาก็สามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคได้  ไม่มีใครมาคอยควบคุมราคาขาย  และยิ่งถ้าอาหารอร่อยหรือสะดวกซื้อ  มันก็ขายได้มากกว่า  ลองดูร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็ได้  ทั้งๆที่ขายก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน  แต่รสชาติต่างกัน  คนจึงเข้าร้านไม่เท่ากัน

     ธนาคาร  การปล่อยกู้แล้วเก็บดอกกินนี่ถือว่าสบายมาก  เป็นเสือนอนกินเลยทีเดียว  กระแสเงินสดเพิ่มพูนเห็นๆ  แต่ต้องระวังเรื่องหนี้เสียไว้บ้าง  ถ้าธนาคารไหนเสี่ยงปล่อยกู้ให้ลูกหนี้คุณภาพต่ำมากเกินไปก็ไม่ค่อยดี  แต่โดยรวมก็ถือว่ากระแสเงินสดดีมาก  ไม่แปลกใจเลยที่กลุ่มแบงค์จะมีการซื้อขายหุ้นกันอย่างโดดเด่นในแต่ละวัน

     สำหรับหุ้นที่ออกแนวต้องหากำไรหรือหางานทำไม่งั้นก็ไม่มีกินเช่น  รับเหมาก่อสร้าง  ถ้าไม่มีงาน  ก็ไม่มีเงิน  หรือรับจ้างทำงานต่างๆเช่น  รับทำโฆษณา  รับจ้างซ่อม  หรือขายสินค้าที่ไม่ต้องซื้อซ้ำบ่อยเช่น  อสังหา  เครื่องใช้ไฟฟ้า  รถยนต์  หุ้นพวกนี้คาดการณ์อนาคตยาก  ผมไม่ชอบเลย  แต่สำหรับอสังหา  เราต้องดูว่าเขาหากินอย่างไร  ถ้าสร้างเพื่อให้เช่า  อันนี้ก็นับเป็นหุ้นกระแสเงินสดได้  แต่ถ้าสร้างบ้านขายอย่างเดียว  สมมติว่าสร้างแล้วขายได้  ก็รอดตัวไป  พอขายเสร็จ  ก็หาที่ดินมาสร้างบ้านเพื่อขายอีก  แต่ถ้าสร้างแล้วขายไม่ออกล่ะ  อันนี้น่ากลัว  ดูๆแล้วคล้ายทำไร่เลื่อนลอยอย่างไรไม่รู้  ปีนี้ปลูกเสร็จเก็บเกี่ยวไปขาย  ได้เงินมาก็รอดตัว  พอถึงปีหน้าปลูกแล้วเก็บเกี่ยวไม่ได้  จะด้วยเหตุผลใดก็ช่าง  ตายสถานเดียว  แล้วเราในฐานะผู้ถือหุ้น  ถ้าได้ข่าวช้าขายหุ้นไม่ทัน  ก็คงจะต้องวิ่งหายาดมกันอุตลุด  ข้อทิ้งท้ายสำหรับการเลือกซื้อหุ้นแนวนี้ก็คือ  มีธุรกิจที่ขายสินค้าได้สม่ำเสมอเยอะแยะ  ทำไมต้องไปเสี่ยงกับหุ้นที่ไม่มีความสม่ำเสมอ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 1,890


« ตอบ #407 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2011, 21:59:10 »

.

ผมมองอย่างเดียว คือ อนาคตครับ

เพราะเราซื้อวันนี้ เราไม่ได้วันนี้ แต่เราได้ในอนาคต

.
IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #408 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2011, 16:09:18 »

ทฤษฎี 'สองสูง' ป็อกเด้ง 'ซีพี ออลล์'

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 29 สิงหาคม 2554 01:00

เคยสงสัยบ้างมั๊ยว่า ทำไม! เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) จึง 'เชียร์' นโยบาย "หว่าน" ของพรรคเพื่อไทย เพราะทฤษฎี 'สองสูง' ของเจ้าสัวธนินท์ คือ 'ป็อกเด้ง' ของ 'ซีพี ออลล์'

เพิ่งเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า "ทฤษฎีสองสูง" ที่ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกมานานหลายปี สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็ "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) นั่นเอง!!

แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" นั้น สูงแรกเน้นว่า "ราคาสินค้าเกษตรจะต้องสูง" เหตุผลอยู่ที่ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเป็นแรงขับเคลื่อนตัวสำคัญต่ออุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ภายใต้มุมมองระยะยาวว่าโลกจะไม่มี "ยุคอาหารถูก" และ "น้ำมันถูก" อีกต่อไป การที่ Demand สูง แต่ Supply สินค้าเกษตรผลิตไม่ทันหรือไม่เพียงพอนั่นแปลว่าราคาสินค้าเกษตรจะต้อง "สูง"

สูงที่สอง "รายได้หรือค่าจ้างของประชาชนจะต้องสูง" ซึ่งเข้าล็อกกับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แนวคิด "ทฤษฎีสองสูง" จะมุ่งเน้นรายได้ประชาชน 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.เกษตรกรในชนบท (รากหญ้า) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจะต้องทำให้มีรายได้สูงขึ้น 2. รายได้ข้าราชการและผู้ใช้แรงงานในเมืองก็จะต้องสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือแนวคิดเจ้าสัวธนินท์ ที่พรรคเพื่อไทยเขียนเป็นนโยบายหาเสียงและได้รับการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

อย่าแปลกใจว่าทำไม! เครือซีพีจึงออกมาสบับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ผู้บริหารระดับสูงในเครือซีพีแทบทุกหน่วยงานประสานเสียงออกมา "เชียร์" ในเรื่องนี้ และช่วยรัฐบาล "กดดัน" เอกชนรายอื่นกลายๆ

สำหรับการบริหารงานทฤษฎีของเจ้าสัวธนินท์ มองว่า จากนี้จะหมดยุค "ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก" แต่เข้าสู่ยุค "ปลาเร็ว กินปลาช้า" ดังจะเห็นว่าเซเว่นอีเลฟเว่นขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปสู่ตัวอำเภอต่างๆในประเทศไทย อำเภอขนาดใหญ่จะมีร้าน 7-11 ถึง 2 แห่ง เพราะเจ้าสัวมองว่านโยบาย "หว่าน" ของรัฐบาล จะทำให้ "รากหญ้า" มี "กำลังซื้อ" มากขึ้น

ปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเครือข่ายร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ของบริษัทจากนี้จะเป็น “ร้านอิ่มสะดวก” ตามแผนงานจะขยายสาขาปีละ 500 สาขา ทำให้รายได้และกำไรยังคงเติบโตต่อเนื่องทุกปี และจะมุ่งเน้นไปที่ "ต่างจังหวัด" มากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการเติบโตสูงอย่าง "ภาคอีสาน" และจะมุ่งเน้นขยายสาขาแฟรนไชส์มากกว่าเปิดสาขาเอง (จะได้ขยายตัวเร็ว) ปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์ 52% และทุกปีจะขยายสาขามากกว่าที่บริษัทเปิดเอง 3%

"ที่น่าสนใจคือรายได้จากสาขาแฟรนไชส์ (แต่ละสาขา) มากกว่าสาขาที่บริษัทเปิดเองประมาณ 1% แสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการร้านที่ดี ขณะนี้เรายังไม่ลดสปีดในการเปิดสาขาลง คาดว่าภายในปี 2556 จะมีสาขาแตะ 7,000 สาขา และภายในปี 2557 น่าจะมีสาขาแซงหน้าสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นฉบับแฟรนไชส์ โดยเรามีเป้าหมายสำคัญที่ 10,000 สาขาภายใน 5 ปีจากนี้"

ปิยะวัฒน์ เล่าต่อว่า กลยุทธ์สำคัญคือการนำสินค้าใหม่ๆมาวางจำหน่ายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น โดยจะเน้นสินค้าอาหารเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 70% มาเป็น 73% ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ต่อปี เนื่องจากอาหารมาร์จิ้นสูงประมาณ 30% สินค้าทั่วไปอยู่ที่ 10% ขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าเพียง 0.2% ส่วนงบการตลาดยังคงอยู่ที่ 0.3% ของรายได้รวมเช่นเดิม

สำหรับสินค้าที่จะเพิ่มในร้านเซเว่นจะเน้นผลิตภัณฑ์ในเครือซีพี และจากบริษัทลูกซีพี ออลล์ เป็นหลัก เช่น แซนด์วิชอบร้อน, ขนมจีบซาลาเปา, อาหารกล่อง, เบเกอรี่แบรนด์คัดสรร (Kudsan) เป็นต้น นอกจากนี้ มีแผนขยายขนาดสาขาที่มีศักยภาพ 50-60 สาขาให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับสินค้าใหม่เช่น อาหารเพื่อสุขภาพที่มีมาร์จิ้นสูง ผลิตภัณฑ์ยาเอ็กซ์ต้า รวมถึงขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซรูปแบบ "บีทูซี" รองรับการมาของ 3G พัฒนาระบบจำหน่ายสินค้าผ่านแคทตาล็อกลงในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ลงทุนศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่จังหวัดลำพูน จะเปิดดำเนินการในปี 2555 หลังจากปีนี้ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ขอนแก่นไปแล้วเมื่อต้นปี รวมถึงมีแผนขยายกำลังผลิตของบริษัทลูก CPRAM รองรับการขายอาหารมากขึ้นในอนาคต

ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า นโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ จะส่งผลดีต่อยอดขายของเซเว่นอีเลฟเว่นอย่างแน่นอน ขณะที่ต้นทุนพนักงานซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูงสุดยังไม่สามารถประเมินได้ อย่างไรก็ตามพนักงานเซเว่นที่รับค่าแรงต่ำกว่า 300 บาท ปัจจุบันมีสัดส่วนไม่มาก (ส่วนใหญ่ได้สูงกว่า 300 บาทอยู่แล้ว)

“ราคาหุ้น CPALL ขึ้นทันทีเมื่อซีอีโอของเรา (ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์) ออกมาสนับสนุนการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เป็นไปได้ว่าอาจทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ”

เป้าหมายในอนาคตของเซเว่น ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทยังคงรอผลการขอใบอนุญาติเปิดร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่ประเทศเวียดนามและมณฑลใกล้กรุงเซี่ยงไฮ้ของจีน ตอนนี้ทำได้แค่รอผลตอบกลับมาจากเจ้าของแฟรนไชส์เท่านั้น

“เรายังตั้งเป้ารายได้เติบโต 15% ทุกปี รวมถึงยอดขายร้านเดิมเติบโตในระดับ 3-5% ขณะที่เป้าหมายระยะยาวเราต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้อาหารเป็น 74-75% และมีสัดส่วนร้านแฟรนไชส์เพิ่มเป็น 58%”

สรุปว่าใครได้ประโยชน์สูงสุดจากนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท "เครือเจริญโภคภัณฑ์" (ซีพี) ของท่านเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ คือคำตอบ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #409 เมื่อ: วันที่ 02 กันยายน 2011, 14:55:56 »

PE ตลาด
     ผมดูรายการหนึ่งทางช่องการเงิน  แล้วมีนักวิเคราะห์ที่ออกแนวทอมๆตัดผมทรงกะลาครอบมาให้ข้อมูลว่า  หุ้นที่ผมถืออยู่นี้มีค่า  PE  30  ซึ่งถือว่ามากเกินกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดแล้ว  เพราะ  PE  ของตลาดขณะนี้อยู่ที่ประมาณสิบกว่าเท่านั้น  ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า  เขาไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นตัวนี้เนื่องจากว่าราคาของมันแพงกว่าชาวบ้านเขา  ผมค้านขึ้นในใจทันที  แต่ที่ผมค้านไม่ใช่เพราะลำเอียงเข้าข้างหุ้นที่ผมถืออยู่  ผมเองก็ว่าหุ้นที่ผมมี  ณ  ขณะนี้  ราคามันก็แพงไปมากแล้วจริงๆ  แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น  ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  การชั่งน้ำหนักของหุ้นโดยหลักการก็คือ  เอาหุ้นทั้งตลาดมารวมกัน  จากนั้นก็หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด  แล้วมันก็จะได้ค่าเฉลี่ยของตลาด  ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่จุดที่ควรให้ความสำคัญมากนัก  เนื่องจากว่าอัตราการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้นไม่เท่ากัน  ถ้าคุณจะเอาหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและเห็นอนาคตได้ชัดเจนมาเปรียบเทียบกับบริษัทที่คลุมเครือไม่รู้อนาคต  ไม่มีการเติบโต  ไม่มีเงินปันผล  มีหนี้เยอะแยะบานตะเกียง  อย่างนั้นมันไม่ได้หรอก  ผู้ซื้อหุ้นรายใหญ่ที่มีเงินหนาเขาคงไม่โง่มั้ง?  แต่ที่ผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า  การคิดโดยตรรกะแบบนั้น  มันมีช่องโหว่อยู่  2  จุดใหญ่ด้วยกันนั่นก็คือ

1.หุ้นบางตัวแบกหุ้นส่วนใหญ่ไว้  ในตลาดมีหุ้นหลายร้อยตัว  ถ้าคุณเป็นนักลงทุนมือเก๋าหรืออยู่ในตลาดมานานพอที่จะสังเกตได้ว่า  เวลาที่หุ้นขนาดใหญ่ซึ่งมีมูลค่าการตลาดเยอะ(มาร์เก็ตแค็ป)ขยับไปทางใด  ตลาดหุ้นโดยรวมก็มักจะเป็นไปในทางนั้น  ทุกวันนี้แค่หุ้นในกลุ่ม  ปตท.ก็กินมูลค่าตลาดไปบานเบอะแล้ว  ถ้าทฤษฏีของถูกใช้ได้จริง  ทำไมนักลงทุนท่านอื่นไม่กระโจนเข้าไปคว้าเอาตัวที่มี  PE  ถูกๆแต่ไม่รู้อนาคตเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเงินซื้อไว้ได้ล่ะ  นั่นเป็นเพราะว่าเขาซื้ออนาคต  เขามองว่าอนาคตจะดีกว่านี้  เขาจึงยอมซื้อราคาของวันพรุ่งนี้ในวันนี้  และการที่หุ้นแค็ปใหญ่นั้นมีผลในการคำนวณค่า  PE  ของตลาด  เราจึงอาจตกหลุมพรางหุ้นที่ใกล้เจ๊งโดยที่ค่า  PE  ของมันน้อยกว่าชาวบ้านเขาก็ได้ถ้าคุณไม่ดูให้ดี  ซึ่งตรงนี้ก็มีสถิติบอกเอาไว้ด้วยว่า  เวลาหุ้นบางตัวเจ๊งจนถึงขั้นต้องถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป  หุ้นตัวนั้นจะถูกถอดออกมาราวกับว่าไม่เคยมีมันอยู่ในตลาดมาก่อน  ซึ่งเวลาถอดหุ้นบางตัวนั้นออกมาแล้ว  PE  ของตลาดไม่ได้ถูกลดทอนลงไปเลยสักนิด  เขายังใช้หลักการเดิมนั่นก็คือ  นำหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดมารวมกันแล้วหาร  ถ้าเขาเอาหุ้นที่เคยเจ๊งมากองรวมกันแล้วหารออกมาตามส่วนอย่างที่นักวิเคราะห์ทอมคนนั้นพูด  ป่านนี้ค่า  PE  ของตลาดมันคงโดนดึงไว้จากหุ้นที่เจ๊งเหล่านั้นแล้ว  และคงไม่มีค่า  PE  ตลาดเท่าทุกวันนี้ที่มันเป็นอยู่หรอก  ซึ่งค่า  PE  ของตลาดตรงนี้  มันดูดีเกินจริง!!!

2.ศักยภาพของหุ้นมีไม่เท่ากัน  ยกตัวอย่าง่ายๆดีกว่าครับเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน  ถ้าเปรียบตลาดหุ้นเป็นประเทศไทย  ตลาดหุ้นมีหุ้นหลายอุตสาหกรรม  เหมือนประเทศไทยมีหลายจังหวัด  และในแต่อุตสาหกรรมก็มีหุ้นหลายตัว  ก็เหมือนกับแต่ละจังหวัดมีหลายอำเภอ  ทีนี้ถ้ามีคนจะหาซื้อที่สักแปลงหนึ่งในจังหวัดเชียงราย  และเขาก็บอกว่า  ที่ดินแถวๆอำเภอเวียงชัยซื้อขายกันในราคาไร่ละ  1  แสนบาท  เพราะฉะนั้นแล้ว  เขาจะมาหาซื้อที่ในตัวเมืองโดยให้ราคาไร่ละ  1  แสนบาทเหมือนกัน  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะขายที่ให้เขาไหม?  ผมคิดว่าคุณคงไม่บ้าหรือโง่พอจริงไหมครับ  ที่เราไม่ขายให้เขาก็เนื่องมาจากสาเหตุอะไรครับ?  เพราะว่าที่ดินในเมืองมี  “ศักยภาพ”  ในการเติบโตหรือมีราคามากกว่าที่ดินทางเวียงชัยใช่ไหม  ถึงแม้ว่าที่ดินจะมีขนาดเท่ากัน  แต่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าที่ดินนั้นไม่เท่ากัน  ถ้าจะมาเปรียบกับหุ้น  ถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน  แต่การเติบโตของแต่ละบริษัทไม่เท่ากัน  ค่า  PE  จึงต้องใช้ต่างกัน  ซึ่งถ้าจะใช้หลักการเดียวกับทอมคนนั้นจริง  ก็ให้ทอมคนนั้นประกาศหาซื้อที่ดินแถวๆสีลมโดยให้ราคาเท่ากับเชียงรายดูหน่อยสิครับ  หวังว่าคงจะมีคนแย่งกันเอามาขายให้จนซื้อแทบไม่ทัน!!!
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #410 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2011, 21:31:40 »

วิเคราะห์ต่างประเทศ  posttoday

01 กันยายน 2554 เวลา 07:16 น.
 
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างไม่กะพริบกับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกสำคัญหลังจากนี้ ภายหลังจากที่ เบน เบอร์แนนคี ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณว่า “กระตุ้นแน่” แต่ทว่าจะเป็นไปในรูปแบบใดนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านการหารือของเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดอีกครั้งในเดือนนี้

ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่นัก เพราะในช่วงที่ผ่านมาการคาดการณ์ว่าเฟดจะใช้มาตรการกระตุ้นแบบผ่อนปรนเชิงปริมาณ หรือ Quantive Easing รอบ 3 นั้นได้มีการพูดถึงกันมาเป็นระยะๆ

ดังในการประชุมของผู้กำหนดนโยบายเฟดครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดการประชุมว่าบรรดาเจ้าหน้าที่หัวกะทิของเฟดเองได้ถกเถียงกันอย่างหนักหน่วงถึงมาตรการกระตุ้นแบบคิวอีดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ก็มีการพูดถึงผลกระทบที่อาจจะตามมา

ดังนั้น ในที่ประชุมจึงเสนอทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงนโยบายคิวอี ซึ่งเป็นนโยบายที่สหรัฐจะพิมพ์ธนบัตรหว่านเข้าสู่ระบบผ่านการเข้าซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งด้วยวิธีการนี้แน่นอนว่าจะสร้างผลข้างเคียงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐที่จะอ่อนตัวลงมากกว่าเดิม

ที่ประชุมจึงมีการเสนอทางเลือกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการ “พิมพ์แบงก์” ครั้งใหม่ เช่น การปล่อยขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการซื้อคืนพันธบัตรระยะยาว ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีความเป็นไปได้ ซึ่งนโยบายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทางเลือกที่เฟดพยายามใช้กดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐให้อยู่ในระดับต่ำที่ 0-0.25% ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นคิวอี หรือเป็นไปในรูปแบบใดก็ตาม ดูเหมือนว่าเอเชียย่อมหลีกไม่พ้นต่อผลกระทบข้างเคียงจากการใช้ยาแรงของสหรัฐในครั้งนี้ ในเมื่ออัตราดอกเบี้ยในเอเชียนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าในสหรัฐย่อมเป็นแรงดึงดูดให้ทุนร้อนหลั่งไหลทะลักเข้ามาเก็งกำไรกันเช่นเดิม

อีกทั้งสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐจากปัญหาหนี้สาธารณะ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ ที่จะทำให้มีกระแสเงินเหรียญสหรัฐไหลเข้าไปสู่ระบบการเงินมากขึ้น ก็จะทำให้มูลค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนยวบยาบต่อไป สวนทางกับค่าเงินสกุลต่างๆ ในเอเชียที่จะแข็งค่าขึ้นดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเมื่อเฟดได้ประกาศใช้มาตรการคิวอี 2 ในระหว่างเดือน พ.ย. 2010-มิ.ย. 2011

ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับกันว่า ช่วงจังหวะเวลาที่เฟดกำลังจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านั้น ถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ “ย่ำแย่” พอเหมาะพอเจาะกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชีย ที่หลายประเทศกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเงินแข็งค่าอยู่แล้ว อีกทั้งทั่วภูมิภาคเอเชียกำลังถูกปกคลุมไปด้วยปัญหาเงินเฟ้ออย่างหนัก

ส่วนประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องพึ่งพาการส่งออกในย่านนี้ก็อาจจะต้องเผชิญหน้ากับภาวะซบเซาของการส่งออกตามสภาวะเชื่องช้าของเศรษฐกิจทั้งในสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น

หนึ่งในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเอเชียในขณะนี้ ก็คือ เอเชียไม่สามารถที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้อย่างเต็มที่นัก เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยใดๆ ก็ตามจะยิ่งเป็นแรงดึงดูดให้กระแสทุนร้อนจากตะวันตกยิ่งถาโถมเข้ามาสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น และจะยิ่งสร้างความเสี่ยงให้กับค่าเงินและตลาดทุนในภูมิภาค โดยเฉพาะที่ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐและยุโรปอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เอเชียยังจำเป็นที่จะต้องหาทางสกัดเงินทุนเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิม

ยิ่งไปกว่านั้นในท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะคลอดมาตรการเศรษฐกิจออกมาหรือไม่ แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแน่ ก็คือการตอกย้ำของผู้ว่าการเฟดก่อนหน้านี้ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่สุดลากยาวไปถึงกลางปี 2013 ซึ่งถือว่านานมากกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์เอาไว้ ประกอบกับเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วแทบจะไม่ขยับตัวในช่วงที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำให้ความเสี่ยงจากกระแสทุนร้อนจากโลกตะวันตกที่จะหลั่งไหลมายังเอเชียนั้นก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

การหลั่งไหลของกระแสทุนเข้าสู่เอเชียนั้นยังทำให้เกิดภาพลวงตาของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่บรรดาผู้กำหนดนโยบายของเอเชียจำเป็นต้องพึงระวังอย่างสูงสุด

ดังเช่นตัวอย่างของอินโดนีเซีย การเติบโตของจีดีพีอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นมากกว่า 6.5% ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากกระแสทุนจากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นความร้อนแรงของเศรษฐกิจได้ปั่นให้ระดับเงินเฟ้อของอินโดนีเซียเบ่งบานขึ้นอย่างน่ากลัว โดยดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในอินโดนีเซียปรับเพิ่มขึ้นถึง 5.98% ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นั่นถือเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดของบรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของอินโดนีเซีย ที่มองข้ามผลกระทบจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐที่ทำให้กระแสทุนหลั่งไหลเข้าไปยังอินโดนีเซียอย่างผิดปกติในช่วงปีที่ผ่านมา

ภาวะดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่เจ้าหน้าที่รัฐทั่วเอเชียยังต้องพึงระวัง เรื่องจากกระแสทุนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาลนั้น นอกเหนือจะทำให้เกิดการแข็งค่าของสกุลเงินในเอเชียแล้ว จะยังเป็นแรงดันให้เกิดการเติบโตแบบลวงๆ ของเศรษฐกิจในเอเชียด้วย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการตระหนักที่ผิดๆ ว่า เศรษฐกิจเอเชียกำลังเดินหน้าสู่การฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แต่แท้จริงแล้วคือการสร้างภาวะฟองสบู่ครั้งใหม่ขึ้นมาต่างหาก

อีกทั้งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เพราะเหตุใดเศรษฐกิจของเอเชียซึ่งแม้ว่าจะดูดีกว่าในสหรัฐและยุโรป แต่ก็ยังไม่คึกคักอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าเอเชียเองก็อาจจะไม่รอดจากภาวะ Stagflation ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจเกิดเงินเฟ้อขึ้นทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงซบเซา ดังที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐแล้ว

แม้ว่าที่ผ่านมาเอเชียอาจจะเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิดจากภาวะวิกฤตการเงินโลกในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าการลงทุนของธนาคารเอเชียส่วนใหญ่ในภาคการเงินสหรัฐและยุโรปนั้นมีไม่มากนัก

แต่ทว่าตลอดปีที่แล้วก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเอเชียก็ไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามที่ทึกทักกันไปเอง เมื่อกระแสทุนจากตะวันตกได้ทะลักเข้าเก็งกำไรในเอเชียอย่างบ้าคลั่งในช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้นโยบายคิวอี 2 ที่ทำให้หลายประเทศเจอกับวิกฤตค่าเงินแข็งค่า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ยังต้องพึ่งพาการส่งออก ตลอดไปจนถึงภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจแบบลวงๆ อันเป็นผลมาจากการหลั่งไหลเข้ามาของกระแสทุนชั่วคราวจากโลกตะวันตก

และยิ่งในครั้งนี้สหรัฐยังไม่บอกกันชัดๆ ว่าจะใช้ไม้ไหนกับการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ เอเชียยิ่งต้องเตรียมตัว และระมัดระวังตัวมากขึ้นว่าผลข้างเคียงจากยาแรงของพี่ใหญ่จะเป็นพายุทุนที่พัดมาในรูปแบบเดิม หรือจะมาในรูปแบบใหม่ที่เอเชียอาจจะไม่ทันได้ตั้งตัว...!
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #411 เมื่อ: วันที่ 05 กันยายน 2011, 16:16:42 »

คนฉลาดที่สุดในโลก  VS  คนรวยที่สุดในโลก
     เมื่อเอาคำถามที่ว่า  คุณอยากเป็นอะไร  ระหว่างคนรวยและคนฉลาด  คำตอบที่ได้ก็อาจไม่เหมือนกัน  แต่ผมเชื่อว่า  ส่วนใหญ่คงต้องการเป็นคนรวย  ไม่มีคำตอบไหนดีไปกว่ากัน  เพราะมันขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน  แต่ถ้าคุณต้องการเป็นคนฉลาด  คุณก็ต้องมีความพยายามศึกษาหาความรู้ให้มากๆ  และถึงแม้ว่าคุณจะพยายามอย่างไร  มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้เป็นคนฉลาดสมใจ  เพราะบางทีมันก็อยู่ที่พรสวรรค์ด้วย  บางคนเกิดมาพร้อมกับความเป็นอัจฉริยะ  นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะเป็นคนฉลาดโดยไม่ต้องพยายามมากนัก

     ถ้าเราลองมาสังเกตดูโดยการสืบค้นข้อมูลจะพบว่า  คนที่ฉลาดที่สุดในโลกนั้นไม่ได้รวยติดอันดับโลกเลย  และคนที่รวยติดอันดับโลก  ก็ไม่ได้ฉลาดติดอันดับโลกเหมือนกัน  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ผมคาดว่าคนที่ฉลาดก็คือ  คนที่รู้เรื่องบนโลกใบนี้มากแทบทุกอย่าง  แต่เว้นอยู่อย่างเดียวคือเรื่องการเงิน  เพราะการวัดไอคิวส่วนมาก  ทำโดยการตั้งโจทย์ทางวิชาการหรือคณิตศาสตร์หรือความรู้รอบตัว  คนที่รู้เรื่องและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ก็มักจะกลายเป็นคนฉลาด  แต่ที่เขาไม่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอาจมาจาก  เขาไม่เคยหรือไม่สนใจหรือไม่มีความสามารถในด้านการเงิน  ทุกวันนี้คนฉลาดกลายเป็นลูกจ้างนายทุน  หรือเราจะเข้าใจว่านายทุนฉลาดกว่าก็ไม่น่าจะใช่  ผมว่านายทุนพวกนั้นเป็นคนที่กล้าเสี่ยงกล้าลงทุนมากกว่า  เพราะคนฉลาดนั้นมักคิดคำนวณหาคำตอบตามหลักการที่ถูกต้อง  100  %  เสมอ  แต่ถ้าสิ่งที่เขาคำนวณออกมาไม่ได้อย่างเช่นความเสี่ยง  เขาก็มักเลือกที่จะไม่ทำมัน  มันก็เลยทำให้คนฉลาดไม่รวย  เนื่องจากไม่กล้าลงทุน  เพราะคำตอบที่เขาต้องการหรือคิดว่าถูกต้องนั้น  ต้องคำนวณหรือคาดการณ์ได้  100  %

     สำหรับคนรวยที่สุดในโลกนั้น  จากการสืบค้นจะพบว่า  หนึ่งในนั้นคือ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก  บัฟเฟตรวยขึ้นมาติดอันดับโลกได้ด้วยการลงทุนในบริษัทต่างๆที่เขาเห็นว่าดีผ่านทาง  “หุ้น”  เพียงอย่างเดียว  การที่เขารวยขึ้นมาได้นั้น  ส่วนหนึ่งผมว่ามาจากความฉลาดทางการเงินและความเข้าใจในหุ้น  เขาเป็นคนที่มีเหตุผลบนความไม่มีเหตุผลของตลาดหุ้น  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารวย  การคำนวณแบบนักวิทยาศาสตร์ใช้ไม่ได้ในตลาดหุ้นเนื่องจากว่า  ในตลาดหุ้นไม่มีอะไร  100  %  ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางด้านธุรกิจหรือความผันผวนทางด้านอารมณ์ในตลาดหุ้น  การลงทุนจำพวกนี้ต้องใช้จินตนาการในการคาดการณ์อนาคต  และต้องมีความมั่นคงทางอารมณ์สูง  ไอน์สไตน์ยังเคยพูดหลังจากที่เขาขาดทุนในตลาดหุ้นว่า  ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของสวรรค์ได้  แต่ผมไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของมนุษย์ได้  ที่บัฟเฟตรวยก็เพราะเขาสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี  เขามีเหตุผลในการลงทุนอย่างเพียงพอ  ไม่ได้โดนชักจูงการตัดสินใจการลงทุนของเขาด้วยคนอื่นหรือความผันผวนในตลาดหุ้น  เขามักชอบพูดอยู่เสมอว่า  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดก็คือ  “ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า”  ความหมายก็คือ  ตลาดตื่นกลัวจนทำให้หุ้นของบริษัทดีๆมีราคาถูกลง  เขาก็จะเข้าไปรับซื้อให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเงินซื้อได้

     เมื่อเรามามองดูก็จะพบว่า  การเป็นคนรวยนั้น  เปิดโอกาสให้กับทุกคน  เพราะเราสามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ทุกคนเหมือนกับที่บัฟเฟตทำ  ส่วนการเป็นคนฉลาดนั้น  ต้องมีความเป็นอัจฉริยะหรือใช้ความพยายามสูงกว่า  ถ้าเราเลือกที่จะเป็นคนรวย  เราควรเริ่มศึกษาเรื่องการเงินการลงทุนเสียตั้งแต่วันนี้  หรือศึกษาจากตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จแล้วว่าเขาคิดอย่างไรและทำอย่างไร  เพราะของแบบนี้ต้องใช้เวลาในการตกผลึกทางความคิดพอสมควร  ใครเริ่มก่อนก็มักจะได้เปรียบ  ขนาดบัฟเฟตเองเริ่มซื้อหุ้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึง  10  ขวบ  เขาก็ยังพูดว่า  เขาเริ่มต้นช้าไป!!!  เคยมีนักพัฒนาชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งบอกว่า  เขาอยากจะปลูกต้นไม้ไว้ตามริมถนนเส้นหนึ่ง  แต่มีบางคนค้านขึ้นว่า  กว่าต้นไม้ชนิดนี้จะใหญ่จนใช้การได้ก็ต้องใช้เวลาถึง  80  ปีทีเดียว  เขาก็ตอบทันทีว่า  ถ้าอย่างนั้นเราต้องเริ่มลงมือปลูกเดี๋ยวนี้เลย!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 กันยายน 2011, 15:35:48 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
dominomanz
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 444


ต่อนยอน กันเถอะ


« ตอบ #412 เมื่อ: วันที่ 06 กันยายน 2011, 07:46:03 »

เข้ามาอ่านอยู่บ่อย ๆ บทความที่ดีมีค่าและเป็นกำลังใจให้อีกหลายคน ขอชื่นชม
IP : บันทึกการเข้า

ต่อนยอน กันเถอะ
ติดต่อ 061-684-7013
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=593719.0
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #413 เมื่อ: วันที่ 10 กันยายน 2011, 18:03:59 »

     อันนี้พิมพ์มาให้ทุกท่านอ่าน  และที่สำคัญ  อยากให้คุณ  pui_k  ได้อ่านด้วย   หลังจากที่คุณปุ้ยได้ส่งข้อความส่วนตัวหาผมแล้วนะครับ

อันนี้เป็นของคุณปุ้ยที่ส่งมาให้ผมอ่าน  ผมขออนุญาติเอามาแนบให้ท่านอื่นได้อ่านความคิดเห็นของคุณปุ้ยด้วยครับ

จะอธิบายว่าทำไมทองคำถึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นนะค่ะ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ้งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย ถ้าจะถามว่าทองคำเกิดขึ้นได้อย่างไรทองคำคือแร่ธาตุ(ถูกต้องไหมค่ะ) การเกิดทองคำไ้ม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาปีสองปี มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั้นเป็นร้อยๆ ปีแล้วเหมืองแร่ทองคำไม่ได้มีทุกที่ทุกจังหวัดหรือทุกจุดทั่วโลก กว่าจะพบเหมืองแร่ทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิค่ะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสิ้นค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไมค่ะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้อยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ บอกรายละเอียดเท่านี้คุณวายุคงจะพอจะนึกภาพออกไหมค่ะ มีปัญหาหรือสงสัยเรื่องทองคำเอ..หรือสนใจอยากจะลงทุนตรงนี้ก็ติดต่อที่ micky.04@live.com


สิ่งที่มีค่า
     สิ่งที่มีค่าที่สุดสามารถแยกออกมาได้  2  ประเภทใหญ่ๆในความคิดของผม  นั่นก็คือ  สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปและสิ่งที่มีค่าสำหรับแต่ละคน

     สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปนั้น  มันจะมีลักษณะเป็นสิ่งของหรืออะไรต่างๆที่ผู้อื่นก็เห็นว่ามันมีค่าหรือมีราคาเช่นเดียวกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ธนบัตร  ทอง  ที่ดิน  หุ้น  ภาพเขียน  เพชร  ฯลฯ  ซึ่งสิ่งที่มีค่าเหล่านี้  คนส่วนใหญ่จะยอมรับในความมีค่าของมัน

     และก่อนที่ผมจะบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่มีค่าเฉพาะบุคคลนั้น  ผมขอออกตัวก่อนสักเล็กน้อยว่า  สิ่งที่ผมกำลังจะเผยแพร่ออกไปนี้  อาจจะมีความขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเคยกล่าวอ้างมาตลอดเวลาว่า  เราต้องทำเงินให้มากขึ้น  หรือเราควรสร้างร่ำรวยขึ้นเพื่ออนาคต  แต่สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้  เป็นความรู้สึกที่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ  ซึ่งที่ผ่านมาทั้งหมด  ผมก็แค่พยายามเล่นไปตามเกมของสิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไปเพียงเท่านั้น  แต่เมื่อมามองความคิดหลักของผมจริงๆแล้ว  ผมรู้สึกศรัทธาในกระแสพระราชดำรัสของในหลวงท่านมากว่า  “เงินทองเป็นมายา  ข้าวปลาเป็นของจริง”  เนื่องจากว่าที่ผมรู้สึกได้นั้นก็คือ  เราไม่มีเงินหรือทองเราก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเราไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ตายแน่นอน

     สิ่งที่มีค่าเฉพาะบุคคลนั้น  อาจหมายถึงอะไรก็ได้  ซึ่งบางทีมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นของมีค่าสำหรับอีกคนเช่น  สัตว์เลี้ยง  ของสะสม  ลูกหลานญาติพี่น้อง  สามีภรรยา  ดอกไม้ที่ได้รับดอกแรกในชีวิต  ฯลฯ  สิ่งต่างๆเหล่านี้เท่าที่วิเคราะห์ดูจะพบว่า  มันมักมีค่าทางจิตใจมากกว่าเงินทองเสียอีก  เพราะของบางอย่างเช่น  ของประจำตระกูลนั้น  มันไม่สามารถหาที่ไหนมาชดเชยได้  ไม่ว่าจะใช้เงินอีกสักเท่าไหร่มันก็หาซื้อไม่ได้  บางครั้งสิ่งที่ผมมองว่ามีค่า  คนอื่นอาจจะคิดว่าไร้ค่าอย่างเช่น  ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้  “ดิน”  มีค่ามากกว่าทอง  คุณคิดว่าผมตลกไหม  ถ้าคุณคิดว่าผมตลก  แล้วคุณเอาอะไรมาวัดว่าดินด้อยกว่าทอง  ต้นไม้งอกออกมาจากทองได้ไหม?  ผมว่าทุกวันนี้คนบนโลกให้คุณค่ากับวัตถุประเภทนี้มากเกินไป  ถ้าเรามีที่ดิน  เราสามารถปลูกอะไรให้มันงอกออกมาก็ได้  และไม่มีวันหมดด้วย  แต่บางคนอาจแย้งว่า  ถ้าเรามีทอง  เราก็เอาไปขาย  แล้วนำเงินนั้นมาซื้อที่ดินเอาสิ  นั่นมันก็ใช่  เพราะทองมันเป็น  “สิ่งที่มีค่าโดยความนิยมทั่วไป”  แต่ผมกำลังนึกเล่นๆว่า  วันไหนที่คนทั้งโลกไม่ได้ให้ความสำคัญกับทองแล้ว  ตัวของทองคำเองมันจะใช้การอะไรได้  มันก็เป็นแค่แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่เอามาหลอมรวมเป็นก้อนหรือทำเป็นเครื่องประดับเท่านั้น  ทุกวันนี้ที่เรามีอากาศบริสุทธิ์หายใจ  นั่นก็มาจากต้นไม้  และต้นไม้ก็ต้องพึ่งพาดิน  ที่เรามีข้าวกินทุกวันนี้  ผลผลิตพวกนั้นก็มาจากดิน  และมีอีกหลายๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับดินซึ่งจาระไนไม่หมด  แล้วทองคำทำประโยชน์ให้กับชีวิตเราได้มากเท่าดินหรือไม่?

     สมัยก่อนสิ่งที่มีค่าพอๆกับทองก็มีเช่น  เพชร  พลอย  ไข่มุก  ทับทิม  มรกต  ฯลฯ  แล้วตอนนี้ล่ะ  ใครให้คุณค่ามันมากเท่ากับทองไหม  ของพวกนี้มันเป็นสิ่งสมมติ  คนเราอุปโลกน์ตีค่ามันขึ้นมาเอง  เมื่อถึงวันหนึ่งที่คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับทองเหมือนตอนนี้ที่เราไม่สนใจไข่มุกหรือเพชรแล้ว  เมื่อถึงตอนนั้น  คุณอยากจะมีทองไว้ในครอบครองอีกหรือไม่  ของพวกนี้เห่อเป็นช่วงๆ  เมื่อก่อนไม่นานมานี้คนก็บ้าจตุคามกันมาก  แล้วดูตอนนี้สิ  มีใครพูดถึงกันบ้าง  และผมขอสมมติตัวอย่างแบบสุดโต่งอีกตัวอย่างหนึ่งว่า  สมมติว่าโลกของเราประสบภาวะวิกฤต  มนุษย์ทุกคนไม่สามารถออกจากบ้านได้เป็นเวลา  1  ปี  และในขณะนั้น  คุณมีข้าวเก็บไว้ในยุ้งเพียงพอสำหรับให้คนในครอบครัวเก็บไว้กินได้เป็นเวลา  1  ปีพอดี  และมีบางคนที่ไม่มีข้าวเลย  มาขอแลกข้าวของคุณ  1  กระสอบต่อทอง  1  กิโล  หรือให้ราคาข้าวกระสอบละล้าน  คุณจะยอมแลกไหม....

     ผมอยากให้ทุกคนลงทุนทุกอย่างด้วยความมีสติ  ไม่ควรเห่อตามกระแสสังคม  ถ้าคุณกำลังตื่นเต้นที่จะลงทุนในอะไรก็ตาม  คนที่รู้จักการลงทุนประเภทนั้นดีกว่าคุณก็กำลังตื่นเต้นที่จะขายการลงทุนนั้นให้กับคุณเหมือนกัน  หลักการลงทุนง่ายๆที่ใช้ได้ผลเป็นอย่างยิ่งก็คือ  เราคิดว่าอันไหนดีสำหรับเรา  หรือเรารู้และเข้าใจ  หรือเราทำได้ดี  หรือเราเห็นว่ามีค่าในสายตาเรา  เราควรลงทุนในสิ่งนั้นจะดีที่สุด  เพราะถ้าเราทำในสิ่งที่เรารู้จักมันดีที่สุด  เราก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง  ถึงแม้ว่าบางคนไม่รู้จักการลงทุนในอะไรเลย  ตัวเขาก็เลยไม่ลงทุนอะไรสักอย่าง  นั่นผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี  เพราะถ้าเขาลงทุนไปโดยไม่มีความรู้  มันก็จะมีแต่เสีย  อย่างน้อยเขาก็ทำได้ดีและถูกต้องตรงที่  เขาไม่ได้เสียเงินไป  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเงินงอกออกมาก็ตาม  แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าการลงทุนในทองเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำนะ  เพราะถ้าคุณเข้าใจมัน  หรือรู้ว่าควรทำอย่างไร  คุณก็สำเร็จได้  ขนาดบางคนเล่นหุ้นปั่นก็ยังร่ำรวยขึ้นมาได้  สำคัญตรงที่ว่า  คุณเข้าใจหรือรู้จักมันไหมเท่านั้นเอง  สุดท้ายสำหรับมุมมองของผม  สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง  เพราะมีเพียงแต่เราเท่านั้นที่จะทำให้การลงทุนใดๆก็ตามประสบความสำเร็จดังใจปรารถนา  หรือล้มเหลวจนหมดเนื้อหมดตัวอย่างที่คนสมัยเก่าชอบขู่ว่าอย่าไปยุ่งกับหุ้น  แต่มาวันนี้  คนที่ยุ่งกับหุ้นมาตั้งแต่เด็กอย่างบัฟเฟต  กลับติดอันดับร่ำรวยที่สุดในโลก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 กันยายน 2011, 18:07:34 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #414 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:31:06 »

แตกประเด็น
     สำหรับช่วงนี้ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรมานำเสนอ  ก็เผอิญว่ามีข้อความส่งมาหาผมพอดี  และในข้อความดังกล่าว  สามารถนำมาแยกประเด็นออกมาได้หลายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว  ผมก็เลยนำข้อความนั้นมาแยกประเด็นแล้วก็นำมาตีแผ่ให้คุณๆได้อ่านกัน  เพื่อรับรู้ถึงแนวความคิดของผมเอง  ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่า  ไม่ได้มีเรื่องเคืองใจกับเจ้าของข้อความ  และประเด็นที่ผมจะนำเสนอนี้  อาจจะถูกใจหรือไม่ถูกใจคนอื่นก็ได้  อย่างไรเสีย  ก็อ่านไว้เพื่อประดับความรู้ก็แล้วกันนะครับ

อันนี้เป็นข้อความแรกที่ส่งถึงผม

จะอธิบายว่าทำไมทองคำถึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์อย่างอื่นนะค่ะ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ้งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ) ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย ถ้าจะถามว่าทองคำเกิดขึ้นได้อย่างไรทองคำคือแร่ธาตุ(ถูกต้องไหมค่ะ) การเกิดทองคำไม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาปีสองปี มันอาจจะเกิดขึ้นได้นั้นเป็นร้อยๆ ปีแล้วเหมืองแร่ทองคำไม่ได้มีทุกที่ทุกจังหวัดหรือทุกจุดทั่วโลก กว่าจะพบเหมืองแร่ทองคำไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิค่ะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสิ้นค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไมค่ะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้อยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ บอกรายละเอียดเท่านี้คุณวายุคงจะพอจะนึกภาพออกไหมค่ะ มีปัญหาหรือสงสัยเรื่องทองคำเอ..หรือสนใจอยากจะลงทุนตรงนี้ก็ติดต่อที่ micky.04@live.com

     ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าในตัวเอง ไม่เหมือนกับหุ้น สมมุติว่าคุณต้องการทำกิจการอะไรสักอย่างแล้วลงหุ้นกันแล้วกิจการนั้นทำไปแล้วไม่ดีเกิดเจ๊งเงินที่ลงทุนไปก็เป็นศูนย์(ถูกต้องหรือไม่ค่ะ)  สำหรับเรื่องของทองคำ  ผมได้ลงไว้ให้อ่านไปแล้ว  และผมก็หมายความตามนั้นแหละว่า  ทุกวันนี้คนเราอุปโลกน์ตีค่าราคาของทุกอย่างบนโลกนี้ขึ้นมากันทั้งนั้น  ผมไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือผิด  แต่มันอยู่ที่ความนิยมต่างหาก  ถ้าของสิ่งใดก็ช่างมีคนต้องการมัน  ของสิ่งนั้นก็ยังมีราคาอยู่  ถ้าของสิ่งใดไม่มีใครต้องการมัน  มันก็ไม่มีราคา  แต่ตอนนี้ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องการทำธุรกิจนะครับ

     สาเหตุหลักในการลงทุนทำธุรกิจอย่างแรกเลยก็คือ  ถ้าเราทำสำเร็จ  การลงทุนนั้นมันก็จะตอบแทนเราด้วย  “กระแสเงินสด”  ที่เราไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น  ก็เพราะเราต้องการกระแสเงินสดใช่หรือไม่?  กระแสเงินสดก็คือเงินรายเดือน  รายสัปดาห์  รายวัน  หรือแม้แต่รายชั่วโมง  เราต้องการกระแสเงินสดตรงนี้เพื่อมาหมุนเวียนจับจ่ายใช้สอยในชีวิต  คงไม่มีใครไปทำงานโดยหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตก็จะขายตำแหน่งเพื่อทำกำไร  การทำธุรกิจก็เช่นเดียวกัน  เราลงทุนทำธุรกิจก็จะได้กำไร  และกำไรส่วนนั้นก็จะกลายมาเป็นกระแสเงินสดให้เราไปจับจ่ายใช้สอยนั่นเอง  อาจจะมีบ้างบางคนที่สร้างธุรกิจนั้นให้ดี  และสุดท้ายก็ขายมันในราคาแพง  และก็ดำเนินกระบวนการนั้นต่อไปเพื่อทำกำไร(อย่างที่เขาเซ้งกิจการกัน)  แต่การธุรกิจมันก็มีความเสี่ยง  แต่ความเสี่ยงพวกนั้น  เราสามารถจัดการหรือควบคุมมันได้  ยกตัวอย่างเช่น  เราขายอาหารเพราะเราทำอร่อย  และพอขายไปเรื่อยๆก็มีคู่แข่งโผล่ออกมา  เขาอาจจะทำไม่อร่อย  แต่เขาหาจุดขายด้วยการขายปริมาณเยอะ  แล้วคุณคิดว่า  ใครจะอยู่ใครจะไป  จากประสบการณ์จริงของผมแล้ว  มันจะอยู่ได้ทั้งสองเจ้า  เพราะเขาใช้กลยุทธ์การขายที่ไม่เหมือนกัน  ซึ่งตรงนี้จะเห็นว่า  ถึงแม้ว่าจะทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  แต่จุดขายต่างกัน  ก็สามารถจับลูกค้าคนละกลุ่มกันได้  แต่ถ้าเจ้าแรกเห็นว่า  เขาได้เปรียบเรื่องรสชาติอยู่แล้ว  เขาพยายามจะจับลูกค้าทั้งสองกลุ่มเลย  เขาก็เน้นปริมาณขึ้นอีกหน่อย  เพื่อไปกินลูกค้าในส่วนที่ชอบปริมาณเยอะ  ถ้าเจ้าที่สองอยากอยู่รอด  ก็คงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์กันต่อไป  เมื่อดูดังนี้จะเห็นว่า  ในการทำธุรกิจ  เราสามารถจัดการและควบคุมความเสี่ยงได้  ซึ่งต่างจากการลงทุนในทอง  เพราะราคาทองคำ  เราไม่สามารถควบคุมราคาได้เลย  แล้วอย่างนี้ท่านคิดว่า  อะไรเสี่ยงกว่ากัน  แต่ในเมื่อมันมีเสียมันก็ต้องมีดี  เพราะถ้าเรารู้อะไรบางอย่าง  และเราสามารถคาดการณ์มันได้ถูกต้อง  เราก็สามารถทำเงินจากมันได้  เพราะผมเคยบอกมาแล้วว่า  “ถ้าเราไม่รู้อะไรเลย  นั่นคือการพนัน  แต่ถ้าเรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  นั่นคือการลงทุน”

     ส่วนทองคำถามว่ามีโอกาสเป็นศูนย์หรือไม่ มีแต่น้อย หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย   อันนี้โดยความเห็นส่วนตัวแล้วมันก็คงจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ  เพราะอย่างไรเสียทองก็ยังเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไปอยู่  แต่การเล่นบนราคาโดยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาอ้างอิงนั้นไม่มีใครตอบได้ว่าราคามันจะไปอยู่ที่ตรงไหน  คล้ายกับการเล่นหุ้นปั่นนั่นแหละ  ถ้าผมถามว่า  พรุ่งนี้  สัปดาห์หน้า  เดือนหน้า  ปีหน้า  ราคาทองจะขึ้นหรือลง  และจะขึ้นหรือลงไปที่ราคาเท่าไหร่  ผมว่าคงไม่มีใครตอบได้  จากประสบการณ์ที่อยู่ในตลาดมา  ราคาทองมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองตัวนั่นก็คือ  ความต้องการทองและปริมาณเงินดอลล่าร์  ถ้าเราดูกันที่ปริมาณเงิน  ตอนนี้ถ้าคิดอย่างง่ายๆว่า  ถ้าเราลงทุนในทองคำโดยหวังจะได้กำไรสักหนึ่งเท่าตัว  ปริมาณเงินที่จะต้องมีเพิ่มขึ้นมาในระบบมันก็ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัวเช่นกัน  แล้วเราคิดว่ามันมีทางเป็นไปได้ไหม  ในโลกนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ  แต่เราจะรู้หรือไม่ว่ามันจะเกิดไหม  และจะเกิดเมื่อไหร่  ถ้าคุณรู้  คุณก็ลงทุนได้  ถ้าคุณไม่รู้  คุณก็กำลังพนันอยู่

     ทองคำเป็นสัญญาลักษณ์ของความร่ำรวย ใครๆ ก็อยากครอบครอง แล้วคุณวายุคิดดูสิคะว่าความต้องการในตัวสินค้ามีมากแต่ตัวสินค้ามีน้อย (ราคาของทองคำก็ย่อมสูงขึ้นถูกหรือไม่คะ)แล้วอีกอย่างหนึ่งปัจจุบันจำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น ความต้องการก็ย่อมมีมากขึ้นแล้วทองคำก็จะเป็นสินค้าที่หาได้ยากขึ้นเนื่องจากใครๆๆ ก็อยากครอบครอง นี่แหละค่ะคือเหตุผลว่าทำไมความเสี่ยงต่ำถ้าเราลงทุนทองคำ  คำถามของผมก็คือ...จริงหรือ?  ที่ว่าใครต่อใครก็อยากครอบครองทองคำ  ผมว่า  สาเหตุหนึ่งที่เขานิยมทองคำนั้น  ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดเองหรอกว่ามันมีค่าสำหรับตัวเขา  แต่เขามองดูจากคนอื่นว่า  คนอื่นเขานิยม  เขาก็เลยนิยมตาม  เพราะทองคำเป็นสิ่งที่มีความนิยมโดยทั่วไป  สาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจาก  มันทนกรด  ทนไฟ  ไม่เป็นสนิม  ไม่ว่าจะหลอมหรือเปลี่ยนรูปลักษณ์มันออกมาเป็นอย่างไรก็ช่าง  มันก็ยังมีอณูหรือโมเลกุลเป็นทองคำอยู่ดี  ถ้าวันหนึ่งเขาเลิกนิยมทองแล้วหันไปนิยมอย่างอื่นแทน  ผมว่าคงจะมีคนทิ้งทองกันบานเบอะเหมือนกัน  เพราะคนพวกนี้ชอบแห่ตามกัน  แห่ไปแห่มาก็เลยคล้ายๆแมงเม่า  และคนปั่นก็เล่นกับความโลภของคน(แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามีบางคนปั่นราคาทองนะครับ)  คนที่เห็นความเคลื่อนไหวของราคาแล้วก็เกิดจินตนาการว่ามันต้องไปต่อ  ก็จะกระโดดเข้ามาช่วยกันเป่าลมคนละนิดคนละหน่อย  ช่วยกันหลายคนฟองสบู่ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเร็ว  แต่พอมันแตกเมื่อไหร่มันก็บรรลัยล่ะคร้าบ  ถ้าใครเคยดูสารคดีเกี่ยวกับหนูเล็มมิงค์ก็จะเห็นว่า  มันต่างแย่งกัน  เบียดเสียดยัดเยียดกัน  เหยียบกัน  และพยายามวิ่งไปให้ถึงหน้าผาให้เร็วที่สุด  และพอสุดหน้าผามันก็ตกลงไปในทะเล  แล้วมันก็พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเพื่อแย่งกันไปตายกลางทะเล  แล้วก็จบสำหรับนิทานเรื่องนักลงทุนตามแห่  เอ้ย…!!!...ไม่ใช่  สารคดีเรื่องหนูเล็มมิงค์

     ส่วนที่บอกว่าทองคำหายากขึ้น  อันนี้ก็จริงนะครับ  เพราะขุดกันมาตั้งแต่สมัยฝรั่งตื่นทองแล้ว  และคุณทราบไหมครับว่าสมัยนั้นใครรวย  คนที่รวยจากสมัยนั้นเขาเรียกกลยุทธ์การหารายได้แบบนี้ว่าขุดและตัก  ช่วงนั้นฝรั่งตื่นทองเป็นอันมาก  ต่างคนต่างก็มุ่งหน้าไปที่เหมืองเพื่อหาทองคำกัน  แต่ไม่มีใครได้อะไรมากสักเท่าไหร่หรอก  คนที่ได้เยอะรู้ไหมใคร?  คนที่ขายพลั่ว  จอบ  และตะแกรงร่อนให้กับนักเสี่ยงโชคทั้งหลายนั่นแหละที่รวย  เพราะขายกันไม่หวาดไม่ไหว  เพราะนักเสี่ยงโชคแต่ละคนก็มุ่งหน้าเข้าไปอยู่จนกลายเป็นเมืองเลยทีเดียว  คนที่ค้าขายให้กับคนพวกนี้ก็ขายของกันอย่างสนุกสนาน  ได้กำรี้กำไรกันไปจนหน้าบานเชียว  ยกตัวอย่างเช่น  ยีนส์ลีวายส์ก็เกิดในสมัยนี้  ที่เขาขายยีนส์ได้ก็เนื่องจาก  เขาเอาผ้าที่มีความทนทานและราคาถูกมาเย็บขาย  ทำให้นักขุดทองพอใจเป็นอันมากที่ไม่ต้องเสียเวลามาเปลี่ยนชุดบ่อย  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการงมหาเศษทอง...หุ  หุ  และลองมาดูในประเทศไทยสิ  บ้านใครหรือตรงไหนมีของแปลกๆผิดธรรมชาติ  ก็จะมีนักเล่นหวยแห่กันไปเป็นจำนวนมาก  คนที่ได้แน่ๆก็คือคนที่ขายดอกไม้ธูปเทียนให้กับคนพวกนี้นั่นเอง  และยัง...ยังไม่พอ  ตอนนี้มีการตื่นทองรอบใหม่กันคุณคิดว่าใครรวย  ก็คนที่ขนเอาเครื่องมือทางการเล่นทองทั้งหลายมาขายให้กับคนอยากรวยนั่นแหละเช่น  กองทุนรวม  นายหน้า  มาร์เก็ตติ้ง  โบรกต่างๆ  และตลาดอนุพันธ์  คนพวกนี้เขาได้แน่ๆ  ได้ค่าคอมฯจากเราไง  เราลงทุนเสร็จก็ไปวัดดวงเอาเอง  เขาไม่เกี่ยว  เราซื้อเขาก็ได้เงิน  เราขายเขาก็ได้เงิน  ไม่มีความเสี่ยง  เหอ  เหอ  และยิ่งพวกที่ขายอนุพันธ์นี่ยิ่งไปใหญ่  คนพวกนี้จะบอกว่ามันไม่ใช่จะได้กำไรจากการขึ้นเพียงอย่างเดียว  ถ้าทองมันลง  เราก็ขายก่อนแล้วค่อยมาซื้อคืนทีหลังก็ได้ตังค์เหมือนกัน  ฟังดูดีนะ  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องทำอะไรตอนไหน  ถ้าผมถามว่าพรุ่งนี้ทองจะเป็นอย่างไร  คุณตอบได้ไหม  ถ้าคุณไม่รู้  คุณก็กำลังพนันอยู่  และถ้าคุณเสียนี่  เสียหนักด้วย  เพราะถ้าเราเสียเขาก็จะทวงให้เอาเงินไปเติม  ถ้าเราไม่เอาเงินไปเติม  เขาก็จะขายสัญญาของเราออกมาซะงั้น  เราจะฉิบหายอย่างไรช่างมัน  ขอให้กรูได้เงินก็พอแล้ว

     และข้อความนี้เป็นข้อความที่สองที่ส่งถึงผม  ผมขออนุญาตนำมาลงเพื่อเป็นการอ้างอิงก็แล้วกันนะครับ


ถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ) ดิฉันจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ เท่านั้นนะค่ะ ถ้าคุณไม่ได้สนใจตรงจุดนี้ดิฉันคงตอบคำถามมากไม่ได้ การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว)
ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้


     ถามว่าถ้าทองลงเหลืออะไร ก็เหลือทองคำสิค่ะ สมมุติว่าเราซื้อทองมายี่สิบบาทถือเก็บไว้เมื่อทองคำลงก็ยังเหลือทองคำเก็บไว้(การซื้อทองก็เหมือนเป็นการซื้อแร่ธาตุ ถือแร่ฯ ที่มีค่าในตัวเองก็ดีกว่าถือลมไว้ถูกต้องไหมค่ะ)  คำถามต่อไปก็คือแค่ถือเก็บไว้โดยไม่ได้ผลตอบแทนน่ะหรือครับ  มันเป็นการลงทุนแบบคิดชั้นเดียวเท่านั้น  ถ้าราคาทองมันไม่กลับมาเลยคุณจะทำอย่างไรครับ  ถ้าผมซื้อหุ้นแล้วหุ้นมันตก  ระหว่างที่ถือผมก็ยังได้ผลตอบแทนจากเงินปันผลบ้างนะครับ  ก่อนที่ผมจะซื้อหุ้น  ผมจะทำการตรวจสอบถึงเงินปันผลทุกครั้ง  เพราะผมก็ไม่ได้ไว้ใจตลาดหรือบริษัทที่ผมถือหุ้นไว้มากมายนัก  ผมจึงต้องมีแผนสำรองไว้เผื่อฉุกเฉินไงครับ  ถ้าผมถามกลับไปว่า  ถ้าเราซื้อหุ้นในราคา  10  บาท  แล้วหุ้นนั้นสามารถปันผลให้เราได้ปีละ  1  บาทไปตลอด  คุณคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ผมคิดว่าคุณคงตอบว่าดี  เพราะแค่  10  ปีคุณก็ได้เงินคืนหมดแล้ว  และหลังจากนั้นเราก็จะได้เงินเข้ากระเป๋าฟรีๆทุกปีโดยไม่มีความเสี่ยง  แล้วยิ่งดีเข้าไปใหญ่  ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลให้เราเพิ่มได้ทุกปี  จริงๆแล้วผมสามารถลงทุนแบบนี้ได้โดยไม่ต้องมีเรื่องราคาหุ้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ได้  เพราะอย่างไรเสียผมก็ว่ามันเป็นการลงทุนที่ดี  แต่ในเมื่อมันมีหุ้นให้ซื้อขายกันได้ในตลาด  ราคาหุ้นนั้นก็ย่อมมีการเหวี่ยงขึ้นลงเป็นธรรมดา  ถ้าผลประกอบการมีแนวโน้มที่ดีขึ้น  เขาก็คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนหรือเงินปันผลเพิ่มขึ้นจากปีก่อน  ราคาหุ้นมันก็จะถูกซื้อขายกันในราคาที่แพงขึ้นไป  เพื่อให้เหมาะสมกับผลตอบแทน  เมื่อเป็นดังนี้  ผมก็เลยได้กำไร  2  เด้ง  เด้งที่หนึ่งจากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้น  และเด้งที่สองจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งการลงทุนแบบนี้  ไม่สามารถเกิดขึ้นกับทองคำได้  เพราะทองคำมีผลตอบแทนแค่ทางเดียวคือราคาเท่านั้น  และการที่ทองคำจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  เพราะผู้เล่นมีทั้งโลก  ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะขึ้นมาเป็นเท่าตัวได้  แต่สำหรับหุ้นแล้ว  ขึ้นเป็น  10  เท่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ  ดูหุ้น  ปตท.หรือบ้านปูก็ได้  ปตท.เข้าตลาดราคา  35  บาท  ทุกวันนี้ก็เหวี่ยงแถวๆ  350  บาท  ราคาขึ้นมา  10  เท่าตัวแล้วครับ  ราคาของทองมันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งโลก  ซึ่งกว้างไป  เราสามารถติดตามเหตุการณ์ของโลกทั้งใบได้หรือไม่  แต่สำหรับราคาหุ้นมันเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่ละแห่งซึ่งดูง่ายกว่า

     การซื้อขายทองคำของบริษัทมีทั้งทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง(แต่ดิฉันเชื่อว่าคุณวายุคงทราบอยู่แล้ว)  อันนี้ทราบแล้วครับ  และได้อธิบายไปแล้วด้วย

     ส่วนในกรณีหุ้นของคุณวายุดิฉันเข้าใจค่ะ แต่ในทางกลับกันถ้าหุ้นมันลงหรือไม่มีผลกำไรในปีนั้น หรืออาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40 ดิฉันก็ไม่ทราบว่าคนที่เล่นหุ้นเค้าจะได้อะไรตอบแทนน่ะค่ะ (เรื่องหุ้นดิฉันอาจจะไม่เก่งเท่าคุณวายุน่ะค่ะ)ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ตอบได้แค่นี้ ขอบคุณสำหรับคำถามที่ไม่ได้ไล่บี้  อันนี้ต้องแยกออกมาเป็นแต่ละประเด็นนะครับ  ถ้าหุ้นมันลง  คุณก็จะมีปันผล  ไม่มีผลกำไรในปีนั้น  อันนี้ต้องดูว่าเพราะอะไร  ถ้าหุ้นมันดีแต่มันเจอวิกฤต  ถ้าเราไม่อยากถือ  เราจะขายเอาเงินคืนมาก่อนก็ได้นี่ครับ  อาจจะเจอวิกฤติทางการเงินเหมือนเมื่อประมาณปี40  เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า  ที่คุณพูดนั้นคุณหมายถึงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นนะครับ  แต่ถ้าคุณลองมองลึกลงไปดีๆจะเห็นว่า  มันก็ไม่ได้แย่ไปทุกบริษัทนี่  มันก็จะมีบางบริษัทที่ยังอยู่ได้  หรือมีบางบริษัทที่ได้รับผลดีจากเหตุการณ์นั้นด้วยซ้ำยกตัวอย่างเช่น  ช่วงนั้นค่าเงินบาทอ่อนตัวอย่างรุนแรง  บริษัทที่ส่งออกจะกำไรดีมากขึ้นเป็นพิเศษ  และราคาหุ้นของพวกธุรกิจส่งออกก็พุ่งขึ้นมาในช่วงนั้นแหละ  คุณลองไปหาหนังสือ  “ตีแตก”  ของ  ดร.นิเวศน์  มาอ่านดูก็ได้ว่าเขารอดช่วงนั้นมาได้อย่างไร  และทำได้ดีด้วย  และที่สำคัญ  เราต้องรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส  ถ้าหุ้นมันลงเยอะเหมือนช่วงนั้น  คุณก็อย่ารอช้า  มีเงินเท่าไหร่ก็รีบสอยหุ้นดีราคาถูกมาให้หมดกระเป๋า!!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 กันยายน 2011, 16:04:26 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #415 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:40:05 »

มาซะยาวเลยกระทู้นี้ ขอเวลาอ่าน 1 วันครับ คริๆ

ขอบคุณท่านวายุมากครับ ที่นำเอาบทความดีๆมาลงอย่างสม่ำเสมอ
IP : บันทึกการเข้า

....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #416 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:46:57 »

จะซื้อทองหรือหุ้นแล้วแต่ถนัดเน้อ
แต่ถ้าทองผมว่าน่าจะซื้อเป็นทองจริงๆเก็บไว้ สำหรับ gold futures น่าจะเหมาะสำหรับคนมีทุนมากๆหรือพวกอาเฮียอาซ้อร้านทอง  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #417 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 15:48:56 »

คนทำงานแบบเราๆไม่มีเวลามานั่งจ้องราคาหรอกครับ

ซื้อของจริงดีกว่าสบายใจดี
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #418 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 16:10:49 »

ประกาศ!!!
     เสาร์นี้ว่าง  สนใจคุยเรื่องลงทุนกับผมก็เชิญได้  ใครมีที่ดีๆสงบๆหน่อยก็แนะนำด้วย  เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเข้ามาอ่านอีกที  ถ้าไม่มีที่ดีๆ  ผมเอา  CR  MALL  แล้วกันนะ  เพราะไม่รู้จะไปที่ไหน  หนวกหูหน่อยแต่ก็พอทน

     วันเสาร์  4  โมงเย็น  CR  MALL  ผมใส่กางเกงขายาวสีดำ  ผมสั้นเกรียนๆนะครับ  แล้วเจอกัน  แต่ถ้าใครมีที่ดีกว่านี้ก็แนะนำเข้ามา
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #419 เมื่อ: วันที่ 23 กันยายน 2011, 15:01:54 »

อิสรภาพ
     เมื่อกล่าวถึงอิสรภาพแล้ว  สิ่งที่ผมนึกถึงก็คือ  การทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนใครและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน  เราอยากกินอะไรก็กิน  เราอยากไปเที่ยวไหนก็ไป  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะไม่สามารถเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบหากเราขาดอีกสิ่งหนึ่งนั่นก็คือ  “อิสรภาพทางการเงิน”

     เมื่อกล่าวถึงอิสรภาพทางการเงินแล้วหลายคนอาจสงสัยว่ามันต้องมีลักษณะเป็นอย่างไร  ถ้าให้ผมจำกัดความก็คือ  เราต้องมีรายรับมากกว่ารายจ่ายโดยที่ไม่ต้องทำงาน   เราจึงจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา

     ทุกวันนี้เราต่างปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตของคนเรานี้ช่างยุ่งนักเชียว  เพราะต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆตั้งแต่ยังเป็นวุ้นอยู่ในตัวของพ่อเสียด้วยซ้ำ  พอพ่อมีเมียเราก็เข้าไปอยู่ในท้องแม่  แม่ก็ต้องไปเสียเงินฝากท้องอีก  ตอนคลอดก็ต้องเสียเงินอีก  พอเกิดมาและใช้ชีวิตจนตายไปแล้วก็ยังไม่วายต้องใช้เงินมาจัดงานศพอีก  เพราะฉะนั้นแล้ว  ชีวิตของเราต้องยุ่งเกี่ยวกับเงินไปตลอดชีวิต  และถ้าในช่วงชีวิตของเราที่ได้เกิดมาเป็นคนกับเขาทั้งที  ต้องมาทำงานเพื่อหาเงินกันทั้งชีวิตคงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  ผมเชื่อว่าหลายคนคงคิดแบบนั้น  แต่ก็ไม่รู้ว่า  “เมื่อไหร่”  ที่จะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างนั้นจริงๆ  คำว่าเมื่อไหร่นั้นดูเหมือนว่ามันอยู่ห่างไกลสำหรับใครหลายคน  และมันดูเหมือนกับว่าไม่สามารถเป็นจริงได้  เพราะในทุกๆวัน  ชีวิตเขาต้องถูกพันธนาการจากอะไรหลายอย่างเช่น  อาหารการกิน  คนที่ต้องเลี้ยงดู  ที่อยู่อาศัย  และของที่เขาเห็นว่าจำเป็น  แต่ถ้าเรามุ่งมั่นจะไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้  สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีก็คือ  “ความฉลาดทางการเงิน”

     ก่อนอื่นเราต้องเคลียร์ใจกันก่อนเลยว่า  เราถูกสอนให้มองเงินว่าเป็นสิ่งมีค่า  เป็นของหายาก  และต้องทำงานเท่านั้นจึงจะได้เงินมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่  ถ้าคำตอบคือใช่  ผมอยากให้คุณลืมคำสอนพวกนั้นไปเสีย  สลัดความคิดที่โดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กที่มองว่าเงินเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง  มาเป็นมองว่าเงินมันเป็นแค่ตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเท่านั้น  “เพราะเงินมันก็แค่เงิน”  ถ้าคุณลองหลับตานึกถึงเหตุผลจริงๆและตั้งคำถามว่า  เงินพวกนี้มาจากไหน  มันก็มาจากรัฐบาลหรือประเทศต่างๆพิมพ์ออกมาใช่หรือไม่  ลองดูหนังเรื่องคู่กรรมเป็นตัวอย่างก็ได้  ญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยแล้วก็พิมพ์เงินขึ้นมาเอง  โดยบังคับให้คนไทยต้องยอมรับในเงินที่พวกมันพิมพ์ขึ้นมา  แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม  เงินพวกนั้นก็ไม่มีความหมาย  หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมเคยเอามาลงแล้ว  ตอนเวียดนามใต้รู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้สงคราม  พวกชาวบ้านต่างก็เอาเงินไปแลกเป็นทองคำกันวุ่นวาย  เพราะถ้าเวียดนามใต้แพ้สงคราม  เงินพวกนั้นก็จะไม่มีความหมาย  เงินมันเป็นแค่เพียงตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้นเราควรมองให้ออกว่าสิ่งไหนมีค่า  และเราก็เอาเงินพวกนั้นไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา  หรือเป็นสิ่งที่คนอื่นก็เห็นว่ามันมีค่าเหมือนกัน  เพราะฉะนั้น  “อย่าเก็บเงินให้มากนัก”  เพราะ  “เงินมันก็แค่เงิน”  เราควรเอาเงินที่มีไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่า  หรือถ้าจะให้ดีที่สุด  ควรเอาไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่าเพิ่มขึ้นตลอดเวลาหรือสามารถให้ผลตอบแทนเราตลอดเวลาจะดีกว่า

     แล้วต้องทำอย่างไรล่ะเราถึงจะมีอิสรภาพทางการเงิน  คำถามนี้มีคำตอบเดียวแต่มีหลายวิธีการ  คำตอบเดียวก็คือ  มีรายรับไหลเข้ากระเป๋าโดยที่เราไม่ต้องทำงานอีกเลย  ส่วนหลายวิธีการนั้นก็ได้แก่  มีบ้านให้เช่า  ทำธุรกิจที่มีลูกน้องทำให้  หรือได้รับเงินปันผลจากหุ้น  แต่ที่ผมจะเน้นจริงๆก็คือหุ้น  เพราะว่าผมรู้จักมันดีที่สุด

     เงินปันผลของหุ้นนั้นมาจาก  ผลกำไรของบริษัทที่เรามีหุ้นของเขาอยู่  และเมื่อครบกำหนดจ่ายปันผล  เงินกำไรบางส่วนหรือทั้งหมดที่เขาทำได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้วก็จะถูกส่งมาให้เรา  มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ผลประกอบการและจำนวนหุ้นที่เราถืออยู่  คนที่ต้องการมีอิสรภาพจริงๆเขาจะมองเงินปันผลมากกว่าราคาหุ้น  เพราะเงินปันผลคือกระแสเงินสดที่จะได้รับจริงๆ  ส่วนราคาหุ้นเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น  คนที่มองราคาหุ้นเป็นหลัก  อย่างพวกเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่ชอบซื้อขายเป็นกิจวัตร  ตามความเห็นของผมแล้ว  คนพวกนี้ไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนเสียด้วยซ้ำ  เพราะนักลงทุนจะต้องปล่อยให้เงินไปทำงานแทน  มิใช่เป็นคนเข้าไปควบคุมเงินให้มันเคลื่อนไหวตลอดเวลา  คนพวกนี้จะมีชีวิตที่ไม่สงบสุขนัก  เพราะชีวิตในแต่ละวันก็จ้องที่จะซื้อจะขายอยู่ตลอด  นอกจากจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นแล้ว  คนพวกนี้จะเสียสุขภาพจิต  และเสียค่าคอมเยอะกว่าคนที่เป็นนักลงทุนจริงๆ  คนที่ซื้อขายหุ้นรายวัน  จะไม่มีวันมีอิสรภาพทางการใช้ชีวิตและอิสรภาพทางการเงินได้เลย  นักลงทุนตัวจริงจะซื้อก็ต่อเมื่อราคาหุ้นนั้นถูกหรือเหมาะสมกับผลตอบแทน  และจะขายเมื่อราคาหุ้นนั้นไม่คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับก็เท่านั้นเอง  เขาไม่ต้องมานั่งเก็งหรอกว่าพรุ่งนี้หรือชั่วโมงหน้าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร  เพราะสิ่งที่เขาจะได้รับจริงๆมันสัมผัสได้  ไม่ใช่ลอยอยู่ในอากาศเหมือนราคาหุ้นที่เหวี่ยงไปมา  คนที่ฉลาดจริงๆก็คือ  “กำไรเมื่อซื้อ  ไม่ใช่เมื่อขาย”

     ดังนั้น...หลักใหญ่ใจความก็คือ  เราต้องมีความฉลาดทางการเงิน  ควรรู้จักเปรียบเทียบเงินลงทุนกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  ไม่ใช่การประเมินราคาเพื่อซื้อมาขายไปทำกำไรเฉพาะหน้า  หรือเล่นกับกระแสของตลาด  และเราต้องรู้จักเอาเงินที่มีไปเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่มีค่า  ถ้าเมื่อไหร่ที่เงินปันผลที่เราได้รับเข้ามามีมากกว่ารายจ่าย  เมื่อนั้นอิสรภาพทางการเงินและอิสรภาพทางการใช้ชีวิตก็จะเป็นของคุณ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!