เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 09:54:07
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293301 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #120 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2011, 18:25:55 »

ตอบคุณ suddum
     ถ้าอยากอ่านงบการเงินเก่งๆ  ขอแนะนำหนังสือ "กลยุทธหุ้นห่านทองคำ" ครับ  แต่จริงๆแล้ว  การดูงบการเงิน  คือการดูอดีตนะครับ  เหมือนเรารู้จักคนหนึ่งคน  คนๆนี้ฐานะดีมาก  แต่ในอนาคต  เราจะรู้หรือไม่ว่า  ฐานะเขาจะยังดีเหมือนเดิมหรือไม่เพราะ "การซื้อหุ้นคือการซื้ออนาคตครับ"  เราจะมัวแต่ดูอดีตอย่างเดียวไม่ได้  เราจะต้องมองไปข้างหน้า  ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างสักเล็กน้อย  ขอยกตัวอย่างธุรกิจเครือข่ายโทรศัพท์มือถือก็แล้วกันนะครับ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่มือถือกำลังมาใหม่  ใครๆก็ยังไม่มีใช้กัน  ถ้าเรามองว่า  มันเป็นสิ่งจำเป็น  และจะมีคนใช้กันเป็นจำนวนมาก  เราก็ซื้อหุ้นนั้นไว้  เมื่อเวลาผ่านไปพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ  ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นตามกำไรที่เติบโต  แต่เดี๋ยวนี้  ใครๆก็มีใช้กันหมดแล้ว  มันจึงถึงภาวะอิ่มตัวของธุรกิจ  ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนเหมือนกับการอิ่มตัวของธุรกิจนั่นเอง  แต่ถ้าจะให้ผมตอบแบบคร่าวๆหยาบๆว่า  เราจะดูว่าธุรกิจไหนดีหรือไม่  ให้ดูที่กำไรเป็นหลักครับ  เมื่อกำไรโต  ราคาหุ้นก็จะวิ่งไปพร้อมกับกำไร  ถ้าราคาหุ้นไม่วิ่ง  นั่นคือโอกาสในการซื้อของเราครับ  หรือในมุมกลับ  ถ้ากำไรตกแล้วราคาหุ้นไม่ตก  นั่นก็เป็นโอกาสในการขายของเราครับ  เพราะไม่ช้าก็เร็ว  ราคาหุ้นนั้นย่อมตกลงมาแน่นอน  แต่ถ้าอยากรู้อะไรที่มันครอบคลุมทุกมิติการลงทุน  ผมว่า  อ่านหนังสือเหนือกว่าวอลสตรีทของ  ปีเตอร์  ลินซ์  ครับ  และยังมีอีกหลายเล่ม เอาไว้คราวหน้าจะมาแนะนำเพิ่ม

ตอบคุณนิสา
     เล่นน้อยๆก่อนก็ดีครับ  เป็นการหาประสบการณ์  ถึงแม้ว่าเราจะอ่านคู่มือการขี่จักรยานจนเชี่ยวชาญเพียงใด  แต่ถ้าเราไม่เคยลงมือทำเลย  ของที่เรามีมันก็แค่ทฤษฏีเท่านั้น  ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินมากมาย  แต่ถ้าเรา"ไม่เป็น"แล้ว  มันก็หมดได้ครับ  ผมอยากให้ข้อคิดนิดนึงว่า  ระหว่างเงินแปดหมื่นกับแปดแสน  ต่างกันตรงไหน ฮืม     คำตอบคือ  เลขศูนย์ตัวเดียวครับ.....
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
boondin
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 70


« ตอบ #121 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 15:45:30 »

ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีครับโบรกเกอร์ของเชียงรายมีของบริษัทไหนบ้างครับแล้วอยู่แถวไหนครับ
IP : บันทึกการเข้า
pandora
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #122 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:32:17 »

เท่าที่ทราบนะคะ
1. บล.ธนชาต ตั้งอยู่ในธนาคารนครหลวงไทยสาขาเชียงราย(ธ.ธนชาตจะควบรวมกับธ.นครหลวง)
2.บล.เอเชียพลัส ตั้งอยู่ในธนาคารกรุงเทพสาขาห้าแยกพ่อขุน
3.บล.ซีจีเอส อยู่ตรงข้ามทวียนต์
4.บล.เคจีไอ ใกล้ธนาคารออมสิน
5.บล.ฟินันเซีย  อันนี้อยู่แม่สายค่ะ
6.บล.เคทีซิมิโก้ ตั้งอยู่ที่ธนาคารกรุงไทยสาขาห้าแยกพ่อขุน

ผิดพลาดข้อมูลประการใดก็ขอสุมาตวยเน้อเจ้า  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #123 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 13:01:38 »

กิจการ  VS  ตลาดหุ้น
     เมื่อเอ่ยถึงการลงทุนในหุ้นแล้ว  หลายคนมักคิดถึงตลาดหุ้นเป็นอันดับแรก  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ตลาดเป็นแค่สถานที่ซื้อขายเปลี่ยนมือของหุ้นในกิจการต่างๆเท่านั้น  และคนจำนวนมาก  ก็เข้ามาทำมาหากินในลักษณะซื้อมาขายไปเหมือนตลาดสดขายผักหรือผลไม้  ซึ่งถ้าจะดูให้ถึงต้นตอจริงๆ  เราควรดูที่ตัวกิจการจะสำคัญกว่า  เพราะราคามักจะสะท้อนกิจการเสมอ  สาเหตุที่หุ้นผันผวนในทุกวันนี้ก็เนื่องจากพวกที่มักเข้ามาซื้อมาขายไปในตลาดนั่นเอง  และนั่นก็เป็นคนส่วนใหญ่ของตลาดเสียด้วยสิ  นั่นเป็นเพราะว่า  หลายคนอยากทำเงินมากๆในเวลาสั้นๆ  แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้  เพราะที่สหรัฐ  จากการวิจัยพบว่า  ในจำนวนนักเล่นหุ้น 10 คน  จะมีคนขาดทุนอยู่ 7 คน  เท่าทุนอยู่ 2 คน  และได้กำไรเพียงคนเดียว  หากนักเล่นหุ้นได้ยินเขาพูดถึงสถิตินี้แล้ว  ก็คงจะแปลกใจมิใช่น้อย  ในเมื่อมีคนกำไรแค่คนเดียว  แล้วทำไมคนอเมริกันจึงพากันไปเล่นหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆล่ะ  เหตุผลไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย  เพราะ 7 คนไม่ยอมแพ้  จะเอาคืนให้ได้  อีก 2 คนก็อยากสู้ต่อ  ส่วนที่ได้กำไรเพียงคนเดียวก็อยากได้เพิ่มขึ้น
     แต่ถ้าจะให้เอ่ยถึงการลงทุนทั้งสองแบบนี้  การลงทุนทั้งสองแบบนั้นใช้ทักษะต่างกัน  ทักษะที่จำเป็นสำหรับการดูกิจการก็คือ  งบการเงิน  ตำแหน่งความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาด  สินค้าของบริษัท  คู่แข่งที่สำคัญ  ผู้บริหารบริษัท  เงินปันผล  การอิ่มตัวของกิจการ ฯลฯ  การลงทุนแบบนี้ดีตรงที่เราเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนไม่ซับซ้อน  วิเคราะห์ง่าย  แต่ต้องมีความรู้ทางการเงินและมีจินตนาการคาดเดาอนาคตของตัวบริษัท  และต้องอดทนพอควรเพื่อให้เวลากับบริษัทที่เราเลือกนั้นทำให้บรรลุตามเป้าหมาย  ถ้าเรามองอนาคตของบริษัทไม่ออกว่า  อีก 5  หรือ 10  ปีข้างหน้าบริษัทจะเป็นอย่างไร  เราก็ไม่ควรซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  ยกตัวอย่างเช่น  คุณคิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าระหว่าง KFC กับบริษัทเขียนโปรแกรมคอมฯ  ใครจะยังอยู่  และสินค้าของเขาจะยังขายได้อยู่หรือไม่  แน่นอน  เรารู้ว่า KFC ขายไก่ทอดมานาน  และจะยังขายอีกต่อไป  แต่บริษัทเขียนโปรแกรมคอม อาจจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้  เพราะทุกวันนี้  โลกไซเบอร์เราเปลี่ยนเทรนด์เร็วมาก  แต่นี่ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น  ไม่ได้ชี้นำในเรื่องไหนนะครับ
     ส่วนการลงทุนในตลาด  จะใช้ทักษะต่างออกไป  และต้องมีเวลาเหลือเฟือในการนั่งมองตลาดทุกวินาที  การลงทุนในตลาดนั้น  สิ่งที่ควรรู้ก็มี  การอ่านกราฟทางเทคนิค  จำนวนหุ้นที่ซื้อขายหรือที่เขาเรียกว่าโวลุ่ม  ราคาย้อนหลัง  แนวรับแนวต้าน  ค่าพีอี  การซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่(ต่างชาติ)  เทคนิคในการซื้อขาย  ฯลฯ
     สำหรับเรื่องเทคนิคในการซื้อขาย  ผมพอมีความรู้อยู่บ้าง  อาจจะแนะนำได้พอสมควร  แต่ผมไม่แนะนำให้คนเล่นด้วยวิธีพวกนี้แบบจริงจัง  เพราะมันไม่มีอะไรจะมารับรองได้ว่า  คุณจะได้ทุกคน  เพราะตามสถิติของสหรัฐ  คุณก็น่าจะเข้าใจว่า  มันเป็นการเล่นหุ้นมากกว่าการลงทุน  และผมก็เป็นคนหนึ่งซึ่งเคยลองทำมาก่อนและพบว่า  สุขภาพจิตเสีย  นอนไม่ค่อยหลับ  ถ้าจะให้ดีที่สุด  ตามความเห็นของผมแล้ว  ถ้าเราสามารถผสมผสานระหว่างการดูพื้นฐานกิจการที่จะซื้อก่อน  แล้วค่อยมาทำตามเทคนิคการซื้อขาย  ผมพบว่า  วิธีนี้  น่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในการลงทุนถ้าเราทำเป็นทั้ง 2 วิธี  แต่สำหรับเรื่องเทคนิคในการซื้อขายนี้  มันมีรายละเอียดปลีกย่อยมาก  เอาไว้ผมจะทยอยลงให้อ่านก็แล้วกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #124 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 16:32:51 »

คุยกันก่อน

     โดยทั่วไปแล้ววิธีการเล่นของแต่ละคน  มักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่เป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับตัวผู้เล่นเอง  ทั้งในด้านกำลังเงิน  สภาพแวดล้อมของการดำเนินชีวิต  และนิสัยใจคอ  ผู้ที่มีความแตกต่างกันในปัจจัยเหล่านี้  เวลาเล่นหุ้นก็ควรเล่นคนละแบบ  ไม่ควรเอาอย่างกัน  แต่น่าเสียดายที่นักเล่นหุ้นหน้าใหม่  ส่วนใหญ่เมื่อก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นแล้ว  จะพากันเล่นเก็งกำไรระยะสั้นทันที  การเข้าตลาดแบบนี้นับว่าเสี่ยงมาก  เพราะต้องเข้าไวออกไว  ที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดมีขึ้นมีลงตลอดเวลา  เมื่อคุณเล่นสั้นจนเป็นนิสัยแล้ว  หุ้นขึ้นก็เก็ง  หุ้นลงก็เก็ง  ไล่เล่นมันทั้งขึ้นทั้งลง  โดนค่าคอมฯหัวบานมากกว่า  การเล่นสั้นต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ใจจดใจจ่ออยู่กับเบาะแสและสัญญาณต่างๆ   เครียดหนักกว่าการทำงานธรรมดาเสียอีก  อย่างไรก็ดี  ถ้าคุณถลำตัวเข้าสู่วงจรเก็งกำไรไปแล้วก็ยังพอจะมีประโยชน์จากการเล่นเสียตรงที่  สำรวจดูว่ามันมีผลกระทบต่อจิตใจเราอย่างไร  หากรู้สึกว่าท้อแท้  อ่อนอกอ่อนใจกับความผิดพลาด  ก็อย่าเล่นแบบนี้อีก  แต่หากรู้สึกว่าสนุกดี  มันส์จริงๆ  ก็จัดได้ว่า  คุณยังเหมาะที่จะเล่นหุ้นแบบนั้นต่อไป  เพียงแต่ว่าต้องรีบสรุปหาบทเรียนขจัดข้อบกพร่องและความไม่รู้ของตนออกไปให้รวดเร็ว

     นักเก็งกำไรที่เราเห็นอยู่ในตลาดนั้นมีมากเหลือเกิน  และมีบางส่วนที่ไม่เหมาะมาเล่นหุ้นแบบนี้เลย  พวกเขาไม่เข้าใจตลาด  ไม่รู้จักเลือกหุ้น  ตัดสินใจไม่เป็น  จังหวะที่พอได้กำไรกลับขาดทุน  มักจะเข้าซื้อตอนที่ราคาเริ่มอ่อนลงหลังจากพุ่งแรงมาแล้ว  หรือไม่ก็เทขายตอนราคาใกล้จะเงยหัวขึ้นมา  เรียกว่าไม่ถูกจังหวะทั้งขึ้นทั้งล่อง  จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า  การเล่นหุ้นระยะกลางและระยะยาวโดยอิงอยู่กับความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่เราจะซื้อขาย  จะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการเล่นสั้น  และไม่ต้องเครียดเกินไปด้วย  ดังนั้น  หากรู้ว่าตัวเองไม่อยู่ในประเภทเล่นสั้น  แต่เป็นนักลงทุนที่ต้องการมีรายได้และกำไรงอกเงยจากเงินที่เรามีอยู่  นอกเวลางานยังพอมีเวลาติดตามข่าวสาร  ก็จงเล่นแบบกลางถึงยาวจะดีกว่า  ซื้อแล้วติดตามไปเรื่อยๆ  ไม่ต้องตกใจกับความผันผวน  รอจนกระทั่งราคาขึ้นถึงระดับที่พอใจ  แล้วจึงขายเอากำไรเพิ่มเข้าไปในบัญชีเงินฝาก  หรือหมุนเข้าไปในการซื้อขายหุ้นอีกครั้งก็ยังได้  อย่างนี้แล้วคุณจะเป็นนักเล่นหุ้นที่มีความสุข  แม้จะไม่สะใจเท่าบรรดานักซิ่งในการเล่นสั้นก็ตาม
 
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #125 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2011, 18:15:10 »

ร่วมกันเลือกนางงาม

     การตัดสินใจเล่นหุ้นนั้น   ลำพังแค่สายตาเราคนเดียวยังไม่พอ  ยังต้องดูคนอื่นเขาด้วยว่า  เขาเล่นตัวไหนอยู่  นี่ผมพูดถึงเฉพาะพวกเก็งกำไรนะครับ  เราต้องวางตัวประหนึ่งว่าเป็นคณะกรรมการเลือกนางงาม  เพราะนางงามที่ได้รับเลือกนั้น  เป็นผลของการลงคะแนนของคณะกรรมการทั้งหมด  ซึ่งโดยส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง  สาวงามที่คุณเห็นคนเดียวว่าสวยกว่าใคร  ไม่จำเป็นต้องได้รับตำแหน่งชนะเลิศ  ในการเลือกหุ้นที่จะวิ่งดีนั้น  จะใช้มุมมองของเราคนเดียวไม่ได้  แต่จะต้องมองว่า  บรรดานักลงทุนทั้งหลายเล็งกันอยู่หรือเปล่า  เพราะหุ้นนั้น  ซื้อคนเดียวมันก็ไม่ขึ้น  แต่จะดีกว่า  หากเราเล่นหุ้นนั้นโดยดูพื้นฐานกิจการด้วย
 
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #126 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 14:04:43 »

กลยุทธ์กำหนดจุดขายแน่นอน

     เนื่องจากว่า  ตลาดมักจะผันผวนตลอดเวลา  ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจุดสูงสุดมันอยู่ตรงไหน  การกำหนดจุดขายแน่นอนจะช่วยเราไม่ให้ปวดหัวมากนัก  ในการขายสามารถขายได้ทั้งแบบจังหวะเดียวหรือทยอยขาย  เช่น  หากซื้อมาราคา 5 บาท  จำนวน  10000  หุ้น  เมื่อขึ้นไป 50  สตางค์เราก็แบ่งขายออกมา 5000  หุ้น  หากวิ่งขึ้นไปอีก  50  สตางค์เราก็อาจขายทั้งหมดเลยก็ได้  วิธีนี้จะช่วยในภาวะที่ว่า  หากเราขายหมดในคราวเดียวแล้วหุ้นวิ่งขึ้นต่อ  เราก็จะไม่เสียโอกาสที่จะได้ขายในราคาที่สูงขึ้นกว่ารอบแรก

     แต่ถ้าสมมติว่า  หุ้นขึ้นมา  50  สตางค์  แล้วก็ตกลงไป  เราก็ไม่เสียโอกาสในการแบ่งขายทำกำไรในรอบแรกแล้ว 5000 หุ้น  เมื่อราคาตกลงไป  เราก็เอาเงินที่ได้ขายไปในตอนแรก 5000 หุ้นเป็นเงิน  27500 บาท กลับมาซื้อคืน  แถมยังมีกำไรอีก 2500 บาท  เมื่อราคาหุ้นตกลงมาเหลือ 5 บาทอย่างเดิม เราสามารถซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นได้อีก  500  หุ้น  รวมเป็น 5500 หุ้น  และเราก็หมุนมันไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มจำนวนหุ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 14:09:51 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #127 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 20:08:25 »

 ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 ธันวาคม 2013, 16:08:34 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #128 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:00:36 »

การขายแบบพีระมิดกลับหัว

     วิธีนี้ก็เป็นแบบการทยอยแบ่งขาย  แต่จะเป็นแบบขายตอนแรกน้อยๆ  และเริ่มขายจำนวนมากขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้น  วิธีนี้จะช่วยให้ทำกำไรได้มากกว่าการแบ่งขายรอบละเท่าๆกัน  แต่โอกาสได้น้อยกว่าก็มี  ถ้าราคาหุ้นขึ้นไปนิดหน่อยแล้วตกลงมา  เนื่องจากว่า  เราได้แบ่งขายไปหน่อยเดียว  กำไรที่ได้ก็ได้นิดเดียว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #129 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:02:11 »

ขายแบบไม่ขอกำไร 100 %

     การทยอยแบ่งขายหุ้นเป็นงวดๆ  เหมาะสำหรับผู้ที่มีหุ้นอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก  แต่สำหรับรายย่อยอย่างเราๆแล้ว  วิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้กำไรมากๆคือ  ขายเมื่อราคาวกกลับ เพราะเราไม่รู้ว่าราคาสูงสุดจะเป็นเท่าใด  เช่น  ซื้อหุ้นมาในราคา  5  บาท  แล้วราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ  เราจะยังไม่ขายจนกว่าจะเห็นว่าหุ้นนั้นราคาเริ่มจะวกกลับแล้ว  สมมติราคาหุ้นวิ่งไปที่  6  บาท  เมื่อมันตกลงมาเหลือ  5.80  บาท  เราก็ขายออกทันทีโดยไม่สนใจว่าหลังจากนั้นมันจะขึ้นหรือลง  วิธีนี้จะเห็นได้ว่า  ไม่ได้กำไร  100 %  แต่เราขอแค่  80-90  ก็ถือว่ามากแล้ว

     ข้อดีของการขายแบบนี้คือ  หากเราขายไปตอนที่ราคายังไม่วกกลับ  บรรยากาศในตลาดยังคึกคัก  เชื่อได้เลยว่าเราต้องนำเงินนั้นเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นตัวอื่นต่อ  การเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดขึ้นสูงแล้ว  ทุกคนย่อมรู้ว่าความเสี่ยงมีมากแค่ไหน  เพราะเมื่อมองไปรอบๆ  มีแต่คนได้กำไรทั้งนั้น  แต่ถ้าเมื่อใดตลาดวกกลับ  ทุกคนก็จะแย่งกันขายเพื่อรักษากำไรให้ได้มากที่สุด  ตลาดก็จะตกแรง  ทำให้เราซึ่งเข้าไปทีหลัง  ได้ของแพงไปทันที  แต่ถ้าคุณขายในช่วงที่ราคาวกกลับ  ด้วยมองว่าภาวะบูมของตลาดได้ยุติแล้ว  เราก็จะไม่ไล่ซื้อหุ้นตัวอื่น  แต่จะนั่งนับเงินกำไรที่ได้มาอย่างสบายใจ  พร้อมกับวางแผนการเข้าตลาดครั้งใหม่ต่อไป
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #130 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 19:04:05 »

ตัดไฟแต่ต้นลม ( cut  loss )

     เทคนิคการทำกำไรแบบขายเมื่อราคาวกกลับ  ทำให้เรารักษากำไรส่วนใหญ่ไว้ได้  ในทำนองเดียวกัน  การยอมขายขาดทุน ( cut  loss )  ก็เป็นการยับยั้งความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น  วิธีนี้คือ  การกำหนดจุดขายไว้แน่นอนในกรณีที่หุ้นนั้นไม่เป็นอย่างใจเราคิด  อาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือเป็นราคาก็ได้  เช่น  เราซื้อหุ้นมาราคา  5  บาท  พอราคาตกลงไป  50  สตางค์  เราก็ยอมขายขาดทุนทันที  เพราะหากปล่อยนานไป  อาจจะตกลงไป  1  บาท  ทำให้เราเสียเงินเพิ่มขึ้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #131 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2011, 15:46:28 »

การเติมหุ้น(ถัวเฉลี่ย)

     กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องแบ่งเงินเป็นหลายส่วน  เนื่องจากกลยุทธ์นี้สำคัญตรงที่  เมื่อเราซื้อหุ้นเข้ามาจำนวนหนึ่ง  แต่แล้วราคากลับตกลงมา  แทนที่เราจะขายขาดทุน  แต่เรากลับซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มเข้ามาอีก  ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของหุ้นตัวนั้นถูกลงเมื่อนำมาถัวเฉลี่ย  เช่น  ซื้อหุ้นมา  1000  หุ้นราคา  5  บาท  ใช้เงินไป  5000  บาท  แต่พอหุ้นตกลงมาเหลือ  4  บาท  เราก็ซื้อเพิ่มอีก  1000  หุ้น  ใช้เงินอีก  4  พันบาทรวมเป็นเงิน  9000  บาท  มีหุ้น  2000  หุ้น  เมื่อนำมาหารกันแล้ว  สรุปต้นทุนของหุ้นเราทั้งหมดอยู่ที่ราคา  4.50  บาท  เมื่อหุ้นดีดกลับไปที่ราคา  5  บาท  เราก็จะกำไรทันที  1000  บาท

     หรือถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง  ยิ่งตกมากยิ่งถัวมาก  จัดหนักกันไปเลย  เช่น  ซื้อหุ้นมา  1000  หุ้นราคา  5  บาท  ใช้เงินไป  5000  บาท แต่พอหุ้นตกลงมาเหลือ  4  บาท  เราก็ซื้อเพิ่มอีก  2000  หุ้น  ใช้เงินอีก  8000  พันบาทรวมเป็นเงิน  13000  บาท  มีหุ้น  3000  หุ้น  เมื่อนำมาหารกันแล้ว  สรุปต้นทุนของหุ้นเราทั้งหมดอยู่ที่ราคา  4.33  บาท  เมื่อหุ้นดีดกลับไปที่ราคา  5  บาท  เราก็จะกำไรทันที  2000  บาท
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #132 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2011, 15:57:49 »

ซื้อเมื่อราคาวกกลับ

     กลยุทธ์นี้ตรงข้างกับแบบขายแบบไม่ขอกำไร 100 %  แต่ใช้หลักเดียวกัน  กล่าวคือ  การขายแบบไม่ขอกำไร 100 % นั้น เป็นการรอขาย  แต่ถ้าเป็นการรอซื้อนั้น  ในช่วงที่ราคาหุ้นร่วงระนาว  เราไม่รู้ว่าจะเข้าไปรับหุ้นตอนไหน  เพราะบางทีเราเห็นว่าราคาถูกแล้ว  แต่มันยังลงต่อได้อีก  เหมือนการเข้าไปรับมีดตอนมันหล่น  รังแต่จะเสียเลือดเปล่าๆ  เพราะฉะนั้น  เราก็รอจนราคามันตกเรื่อยๆ  เมื่อราคามันกำลังวกกลับ  เราก็เข้าไปซื้อตอนนั้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #133 เมื่อ: วันที่ 04 มีนาคม 2011, 14:51:08 »

แบ่งขายครึ่งหนึ่งคลายเครียด

     วิธีนี้คือ  ในขณะที่มีกำไรบนกระดาน  แบ่งขายทำกำไรครึ่งหนึ่ง  แล้วเอากำไรที่ได้ไปเฉลี่ยเป็นต้นทุนกับหุ้นที่ยังเหลืออีกครึ่ง  เช่น  ซื้อหุ้นมา  5  บาท  10000 หุ้น  ใช้เงิน  50000  บาท  พอราคาขึ้นเป็น  5.50  บาท  ก็แบ่งขายออก  5000 หุ้น  ได้เงินมาทั้งหมด  27500  บาท  ลบด้วยต้นทุนแรก  50000  บาท  เหลือเงินที่อยู่ในหุ้น  22500  บาท  เมื่อถัวออกมาแล้ว  เท่ากับต้นทุนหุ้นที่มีอยู่เท่ากับ  4.50  บาท  หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น  เราก็ยังมีกำไรอยู่

     เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  พอต้นทุนต่ำ  ความมั่นใจก็ยิ่งสูง  ทำให้เราสามารถรอคอยเวลาให้หุ้นวิ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเพื่อรอขายตอนราคาวกกลับได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #134 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2011, 15:35:25 »

กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     วอร์เร็น บัฟเฟต  เมื่อพูดถึงบัฟเฟตแล้ว  ใครที่ลงทุนสไตล์ VI คงรู้จักดี  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  บัฟเฟตไม่ใช่นักเล่นหุ้น  เขาเป็นนักล่ากิจการมากกว่า  เขามักจะศึกษาบริษัทที่น่าสนใจและมียี่ห้อเป็นที่รู้จัก  มีผู้บริหารเก่ง  แล้วเขาก็จะรอเวลาที่จะครอบครองกิจการ  เมื่อตลาดหุ้นตก  เขาจะไม่รอช้าที่จะเข้าซื้อหุ้นจำนวนมาก  เขาจะซื้อมากพอจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้  ซึ่งกลยุทธ์ที่ใช้ก็คือ  Margin of safety  นั่นคือ  เขาจะซื้อหุ้นเมื่อเห็นว่าราคาถูกน่าสนใจ  โดยที่หากราคาหุ้นลดต่ำลงไปอีก  มันก็เป็นราคาที่ไม่แพงเกินไปสำหรับการซื้อกิจการนั้น  เมื่อซื้อกิจการพวกนั้นได้แล้ว  เขาจะไม่สนใจเลยว่า  ราคาหุ้นในตลาดจะเป็นเท่าไหร่  เพราะสิ่งที่เขาสนใจคือ  ตัวบริษัทและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้น  หากราคาหุ้นตกลงไปอีก  เขาก็ไม่ได้สนใจจะขายเลย  เพราะเขาเพียงต้องการครอบครองบริษัทที่เขาหมายตาไว้เท่านั้นเอง  ดังจะเห็นได้จากคำแนะนำของเขาที่ว่า  ซื้อหุ้นในกิจการที่ดี  มีผู้บริหารที่ดี  มี Margin of safety  มีความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม  และถือหุ้นนั้นไว้ตลอดชีวิต  ตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่  ในทุกๆปี  เขาจะส่งข้อความถึงผู้บริหารของแต่ละบริษัทโดยไม่ได้กำหนดถึงนโยบายการทำงานของผู้บริหารเลย  ข้อความที่เขาส่งถึงผู้บริหารมีเพียง 2 ข้อเท่านั้นคือ
1.อย่าทำให้ผู้ถือหุ้นเสียหายและ
2.ย้อนกลับไปดูข้อ 1

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ  เดี๋ยวถ้ามีเวลา  จะลงให้อ่านวันหลังครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #135 เมื่อ: วันที่ 01 เมษายน 2011, 12:17:53 »

กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     ปีเตอร์ ลินซ์  เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่มากๆในสหรัฐ  จุดมุ่งหมายของเขาคือ  การเพิ่มขึ้นของมูลค่าพอร์ตลงทุน  ซึ่งนี่ก็เป็นจุดหมายเดียวกันกับนักลงทุนราบย่อยอื่นๆจำนวนมาก  หากนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่ขึ้น  ก็ควรศึกษาวิธีการของปีเตอร์ ลินซ์  กลยุทธ์ของ ปีเตอร์ ลินซ์ มีหลากหลาย  เขาจะจัดหุ้นออกเป็นกลุ่มต่างๆ  และดำเนินกลยุทธ์ไปตามการจัดกลุ่มนั้นๆเช่น
1.หุ้นแข็งแกร่ง  เขาจะซื้อเมื่อราคาตกลงมากๆ  และเมื่อมันขึ้นถึงจุดตอนก่อนที่มันจะตกลงไป  เขามักจะขายเสมอ  เพราะมูลค่าของมัน  ก็จะเป็นประมาณเท่านั้น
2.หุ้นทรัพย์สินมาก  เขาจะซื้อเอาไว้หากคำนวณดูว่า  หุ้นมีกี่หุ้น  ราคาหุ้นตอนนี้เท่าไหร่  เมื่อนำมาคูณกัน  ราคามันก็ยังถูกกว่าทรัพย์สินที่บริษัทนั้นครอบครองอยู่
3.หุ้นโตเร็ว  หุ้นประเภทนี้มักจะทำให้พอร์ตโตเร็วมาก  ซึ่งการที่เราจะรู้ว่าต้องขายเมื่อไหร่นั้น  เคล็ดลับก็คือ  ให้ดูว่าบริษัทนั้น  เมื่อไหร่มันจะหยุดโต  แล้วเขาก็จะขายมันออกไป

     จริงๆแล้วกลยุทธ์ของเขามีมากกว่านี้  ถ้าอยากรู้รายละเอียดก็ให้ไปซื้อหนังสือของเขามาอ่านเอานะครับ  แต่สิ่งที่ได้มาจากเขาซึ่งทำให้พอร์ตโตมากนั่นก็คือ  จังหวะการลงทุนนั่นเอง  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีเงิน  100 บาท  แล้วเราซื้อหุ้นราคา 100 บาท  มันจะซื้อได้ 1 หุ้น  ถ้าราคาปรับลงมาเหลือ 50 บาท  นั่นเท่ากับว่าเราขาดทุน  50 %
     แต่ถ้าเราใจเย็นรอโอกาส  เงิน 100 เดียวกันนี้  สามารถนำไปซื้อหุ้นตัวเดียวกันในราคา 50 บาทก็จะได้ 2 หุ้น  เมื่อหุ้นกระเด้งกลับไปที่ 100 บาทเท่าเดิม  เราก็กำไร  100 %  และเงินเราก็เพิ่มขึ้นเป็น 200 บาท

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ จะลงให้อ่านวันหลังครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #136 เมื่อ: วันที่ 02 เมษายน 2011, 20:19:55 »

กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง
     เทพ รุ่งธนาภิรมย์  จริงๆแล้วแนวคิดของเขาก็ไปลอกแบบมาอีกทีหนึ่ง  เพียงแต่ว่า  เมื่อเขานำมาเขียนเป็นแบบไทยๆ  ก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ  ซึ่งจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ เงินปันผลของบริษัทต่างๆที่เขาถือหุ้นอยู่  ซึ่งกลยุทธ์ที่เขาใช้เรียกว่า  กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ  และการที่มันได้ชื่อว่ากลยุทธ์หุ้นห่านทองคำก็เนื่องจากว่า  อ้างอิงจากนิทานเรื่องห่านทองคำ  ซึ่งเรื่องย่อๆมีอยู่ว่า  สามีภรรยาคู่หนึ่งเข้าไปในป่า  แล้วไปพบห่าน  จึงเก็บมาเลี้ยง  แต่ห่านที่เอามาเลี้ยงนั้นเป็นห่านพิเศษ  ออกไข่เป็นทองคำให้ทุกวัน  ซึ่งทำให้บ้านนี้เอาไปขายจนฐานะร่ำรวยขึ้น  ต่อมาสามีเกิดโลภมาก  อยากได้ไข่เยอะๆ  จึงจับห่านผ่าท้องออก  แต่ก็ไม่พบอะไรเลย  หนำซ้ำ  ห่านก็ตายไปด้วย  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราอยากมีไข่ทองคำเรื่อยๆ  เราก็ไม่ควรขายหุ้นทิ้ง  แต่ควรจะมีหุ้นนั้นเก็บไว้  เปรียบได้กับการไม่ฆ่าห่าน  แต่ถ้าเราโลภฆ่าห่านเมื่อไหร่  ซึ่งก็เหมือนกับขายหุ้นนั้นทิ้งไป  เราก็จะไม่ได้รับไข่ทองคำอีกเลย

     วิธีการเลือกห่านของคุณเทพ  จะมองที่เงินปันผลสูงๆเป็นอันดับแรก  เมื่อเทียบเงินปันผลกับราคาหุ้นแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้ไม่ควรต่ำกว่า 10 % และเขาก็สามารถ  ใช้การซื้อขายหุ้นตามจังหวะตลาดมาประกอบกลยุทธ์  ทำให้ต้นทุนหุ้นถูกลงเรื่อยๆ  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในแบบที่เคยแนะนำไปแล้วคือ

     สมมติเรามองหุ้นราคา 10 บาท โดยหุ้นนี้สามารถให้เงินปันผลปีละ 1 บาท  ซึ่งก็เทียบเท่ากับ 10 % ต่อปี เราเข้าซื้อที่ราคา 10 บาท 1000 หุ้น  ใช้เงิน 10000 บาท เมื่อหุ้นราคาขึ้นไปเป็น 11 บาท  เขาก็แบ่งขายออกมา 500 หุ้น จะได้เงินมา 5500 บาท  เมื่อนำเงิน 5500 บาทไปลบกับต้นทุน 10000 บาท ทำให้เรายังเหลือต้นทุนในหุ้นอยู่แค่  4500  บาท  เมื่อนำมาหารกับหุ้นที่เหลืออยู่ในครอบครองของเรา 500 หุ้น  ก็จะทำให้ต้นทุนหุ้น 500 ที่เหลืออยู่  มีต้นทุนราคาแค่ 9 บาท  เมื่อได้เงินปันผล 1 บาทเท่าเดิม  แต่ผลตอบแทนของเราจะเพิ่มเป็น 11.11 % ซึ่งก็ได้ผลตอบแทนมากกว่าการถือไว้เฉยๆ

     และถ้าหลังจากที่เราขายหุ้นออกไป  หุ้นก็ตกลงมาที่ราคา 10 บาท  เราก็นำเงินที่ได้ขายออกไปในตอนแรกย้อนกลับมาซื้อหุ้นคืนอีก  เราก็จะใช้เงินแค่ 5000 บาทในการนำมาซื้อหุ้น  ซึ่งตอนนี้เราก็มีหุ้นอยู่ 1000 หุ้นเหมือนตอนแรก  แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ  ตอนนี้ต้นทุนหุ้น  1000 หุ้นของเราใช้เงินซื้อแค่ 9500 บาท(เพราะมีกำไรไป 500 บาทตอนขายรอบแรกแล้ว)  เมื่อนำ 9500 บาทมาหาร  1000 หุ้น  ทำให้ต้นทุนหุ้นของเราเหลือเพียง 9.50 บาท  เมื่อได้เงินปันผลหุ้นละ 1 บาท  เท่ากับเราจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 10.52 % เลยทีเดียว  และถ้าเราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  ผลตอบแทนก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ  หรือถ้าไม่อย่างนั้น  เราก็นำกำไรที่ได้จากการขายหุ้น  มาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  ซึ่งจะมีผลทำให้  เราจะมีหุ้นมากขึ้น  และเงินปันผลก็จะมากขึ้นตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับนักลงทุนชื่อดังท่านอื่นๆ จะลงให้อ่านวันหลังครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #137 เมื่อ: วันที่ 11 เมษายน 2011, 15:20:38 »

กลยุทธ์และจุดมุ่งหมายของนักลงทุนชื่อดัง

     คุณนำชัย  ผู้เขียนเรื่องอยากรวยต้องรู้  สำหรับจุดมุ่งหมายของเขาก็คือ  การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในพอร์ตเหมือนกับ ปีเตอร์ ลินซ์  เพียงแต่ว่า  เขาให้น้ำหนักกับภาวะตลาดมากกว่าตัวหุ้น  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ถึงแม้ว่าหุ้นนั้นจะมีพื้นฐานดีสุดยอดขนาดไหน  แต่ถ้าขาดแรงซื้อเสียแล้ว  หุ้นนั้นก็ไม่ขึ้น  เขามักจะติดตามการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของผู้ลงทุนประเภทต่างๆด้วย  สำหรับคำแนะนำในหนังสือของเขา  มีคำแนะนำให้ลงทุนในทรัพย์สิน 4 ประเภทคือ พันธบัตร เงินฝาก ทองคำ และหุ้น  ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ก็จะสร้างผลกระทบทั้งดีและเสียให้กับทรัพย์สินชนิดต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย  สังคม  ภาวะเศรษฐกิจโลก  ฯลฯ  ยกตัวอย่าง  เมื่อดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น  มันจะดีต่อเงินฝาก  แต่มันจะแย่สำหรับหุ้น  กล่าวคือ  เมื่อดอกเบี้ยกำลังขึ้น  คนที่มีเงินจะลงทุนก็มองว่า  หากเขาเอาเงินไปฝาก  จะได้ดอกเท่านี้  แต่ถ้าเอาไปซื้อหุ้นเพื่อเอาเงินปันผล  เขาต้องได้เงินปันผลเพิ่มเพื่อให้คุ้มกับเงินลงทุน  เพราะหุ้นนั้นต้องบวกค่าความเสี่ยงของการผันผวนด้านราคาเข้าไปด้วย  แต่ถ้าปันผลไม่เพิ่ม  ราคาของหุ้นนั้นก็จะปรับตัวลงมาเพื่อให้สอดคล้องกับความคุ้มค่าในด้านความเสี่ยง  หรือบางบริษัท  ไปกู้เงินเพื่อมาทำธุรกิจ  ก็ต้องมีภาระในการชำระดอกเพิ่มขึ้น  ซึ่งมีผลทำให้เงินปันผลลดลง  ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงเช่นกัน

     สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ  ในตลาดหุ้น  มีผู้ลงทุนแบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่  ต่างชาติ โบรกเกอร์ สถาบัน และรายย่อย  ซึ่งกลุ่มที่มีความสามารถในการกำหนดแนวโน้มของตลาดได้นั้น จะเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ  เนื่องจากว่า  มีเงินมาก  กลยุทธ์ที่คุณนำชัยใช้คือ  ให้ดูต่างชาติเป็นหลัก  ถ้าเขาซื้อเราก็ซื้อ  ถ้าเขาขายเราก็ขาย...ง่ายมาก  แต่ตามความเห็นของผมแล้ว  กลยุทธ์แบบนี้คล้ายๆเราจะเป็นเหาฉลามอย่างไรไม่รู้  เนื่องจากว่า  ต้องคอยตามแห่ขาใหญ่ไปตลอดเวลา

     มีเหตุผลหลักๆอยู่เพียง 2 ข้อในการซื้อหรือขายของนักลงทุนต่างชาตินั่นก็คือ  ประเทศที่เขาลงทุนและตัวเขาเอง  หากจะย้อนไปในปี 40  ตอนนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤตการเงินที่เรียกว่าต้มยำกุ้ง  รัฐบาลได้ออกมาประกาศลอยตัวค่าเงินบาท  ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง  ทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นจำนวนมาก  จึงเกิดการขายหุ้นทิ้งหนีตายของนักลงทุนต่างชาติกันอลหม่าน  ซึ่งมีผลทำให้  หุ้นของไทยร่วงไม่เป็นท่า  และเมื่อไม่นานมานี้  หุ้นไทยก็ร่วงหนักอีกครั้ง  แต่เป็นที่ตัวเขาเองเกิดปัญหาซับไพร์มขึ้น  นักลงทุนต่างชาติได้ขายทรัพย์สินที่ลงทุนไว้ทั่วโลกเพื่อหอบเงินกลับไปแก้ไขปัญหาในประเทศตัวเอง

     ดังนั้นแล้ว  การที่เราจะได้เงินจากตลาด  แค่เพียงการดูว่าเขากำลังซื้อหุ้น  อาจจะยังไม่เพียงพอ  เราจำเป็นต้องรู้ด้วยว่า  เวลาเขาเข้ามา  เขาจะซื้อหุ้นตัวไหน  จากประสบการณ์ของผมเอง  เขาจะซื้อหุ้นขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง  สำหรับบริษัทเล็กๆจำนวนหุ้นน้อยๆ  เขามักไม่ค่อยซื้อ  เพราะแค่เศษเงินของเขา  ก็ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แล้ว  ต้องไปทำรายงานส่งตลาดหลักทรัพย์กันวุ่นวาย  แต่หากจะลงลึกเป็นรายตัวจริงๆแล้ว  ผมแนะนำให้ดูที่เว็บของตลาดหลักทรัพย์  เพื่อจะได้ตามแกะรอยกันทัน  เนื่องจากว่าเขามีเงินเยอะ  เมื่อจะซื้อหุ้นอะไรแล้ว  ก็คงซื้อไม่ได้หมดในวันเดียว  แต่ต้องทยอยซื้อกันหลายวัน  ในทางกลับกัน  ถ้าเขาคิดจะขายแล้ว  ก็คงขายไม่ได้หมดในวันเดียว  เพราะฉะนั้น  หากเราหมั่นตรวจเช็คดู  ก็จะรู้ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติครับ

http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do;jsessionid=104A74B555D9228AF8BC6A401E02F79B

สำหรับผมคงจะพอเท่านี้ก่อน  ถ้าวันหลังนึกประเด็นอะไรได้แล้ว  ก็จะเอามาลงให้อ่านเพื่อประเทืองปัญญากันครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #138 เมื่อ: วันที่ 14 เมษายน 2011, 03:42:52 »

     เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์ของนักลงทุนทุกท่านแล้ว  สิ่งที่ดูจะเหมือนกันอยู่อย่างก็คือ  ซื้อหุ้นตอนที่มันราคาถูก  และเมื่อเรามามองดูหุ้นของบ้านเราในตอนนี้  ซึ่งขณะนี้มันทะลุพันจุดไปแล้ว  ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่า  สถานการณ์ราคาหุ้นตอนนี้  มันเรียกว่าเหมาะสมหรือว่าแพง  แต่ถ้าเป็นนักลงทุนชื่อดังทั้งหลาย  เขาคงจะไม่ไล่ซื้อเป็นแน่  เขาคงจะรอซื้อตอนที่มีคนขนหุ้นเอามาลดราคาให้  ซึ่งเหมือนกับที่บัฟเฟตพูดว่า  คล้ายกับการหาซื้อแบงค์หนึ่งดอลล่าร์ในราคาสี่สิบเซ็นต์  ฟังดูแล้วอาจจะตลก  และคงคิดว่าใครหนอถึงโง่ขนาดเอาแบงค์หนึ่งดอลล่าร์มาขายในราคาสี่สิบเซ็นต์  แต่ถ้าเป็นในตลาดหุ้น  อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ  แต่นี่ผมก็ไม่ได้ชี้แนะว่าควรขายหุ้นนะครับ  เพราะบางที  มันอาจจะขึ้นไปมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าตัวก็ได้  เพราะในตลาดหุ้น  อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ  ซึ่งข้อคิดที่ผมจะทิ้งไว้ให้ก็คือ  ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาท  และหุ้นขึ้นไปเป็น 100  บาท  เท่ากับว่า  เราได้ผลตอบแทน 100 %   แต่ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา  100  บาท  และเราต้องการผลตอบแทน 100 %  ราคาหุ้นก็ต้องวิ่งขึ้นอีก  100 บาทเลยทีเดียว

     เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว  ผลตอบแทน 100 % เท่ากัน  แต่ที่ไม่เท่าก็คือระยะที่จะต้องวิ่งขึ้นไป  การวิ่งขึ้น 50 บาทแล้วกำไร 1 เท่า  กับการต้องวิ่ง 100 บาทเพื่อกำไร 1 เท่า  อย่างไหนมันหนักกว่ากัน  และถ้าหุ้นวิ่งขึ้นเป็นราคา 200 บาทจริง  แล้วคุณคิดว่าคนที่ซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาทจะกำไรกี่เท่าครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #139 เมื่อ: วันที่ 14 เมษายน 2011, 11:33:23 »

สวัสดีท่าน จขกท และท่านที่มีเงินเยน (รวมถึงเงินดองด้วย)

ผมเป็นสมาชิกใหม่ของ ชรฟก ทึ่งในประวัติของ จขกท (คุณวายุ)

ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาระยะหนึ่ง (๕ - ๖ ปี ) ปัจจุบันพออยู่ได้

ว่างๆจะมาแลกเปลี่ยนประสพการณ์ในการซื้อขายหุ้น

วันนี้ ขอแนะนำตัวเท่านี้ครับ  ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์

ปล. เงินดอง หมายถึงเงินเวียตนามครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!