เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 มีนาคม 2024, 22:33:12
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293193 ครั้ง)
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #160 เมื่อ: วันที่ 17 พฤษภาคม 2011, 13:16:43 »

และตอนนี้ บ.ร่วมทุนจากญี่ปุนบุกไทยแล้วครับ ตั้งแต่โดนสึนามิ แล้วท่านๆ ทั้งหลายคิด ว่ากว่า 80 เปอร์ ของ GDP ในตลาดหุ้นไทย ไม่มีของญี่ปุ่นด้วยเหรอ ทำไม่ปี 40 ญี่ปุ่นถึงให้เงิน มิยาซาวา ไทยมาครับ คิดกว้างๆ ครับ...ปี 40 หุ้นไม่ได้ลงเท่าปีที่ผมเข้าตลาดครั้งแรก..ว่าแต่เปลี่ยนหัวแล้วนะครับท่านวายุ...
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #161 เมื่อ: วันที่ 20 พฤษภาคม 2011, 16:14:56 »

     โอ้โห...ไม่ได้เข้ามาอ่านเสียนาน  ลูกค้าบานเบอะเลย  ตอนนี้ผมไม่ค่อยว่างครับ  เดี๋ยวผมจะเข้ามาตอบคำถามก็แล้วกันนะ  ใครที่ถามไว้รอก่อนนะครับ  วันนี้ผมมีสาระมาฝาก  เชิญอ่านตามอัธยาศัย  พอดีพิมพ์ไว้ที่บ้าน  แล้วค่อยๆมาทยอยลง  เพราะที่บ้านไม่ได้ติดเนตครับ  ส่วนที่ถามว่าขายของที่ไหน  ผมขายอยู่หน้าบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต  ก่อนถึงซอย 18 มิถุนาครับ  ขายเฉพาะตอนเย็น  หยุดทุกวันเสาร์ครับ

ซับไพร์ม
     ผมเพิ่งดู VCD เรื่อง INSIDE JOB จบ  เนื้อหาในนั้นบอกถึงวิกฤตที่ผ่านมาของสหรัฐว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร  สำหรับคนที่ชอบดูข่าวหรือสกู๊ป  เรื่องนี้เหมาะมากในการชม

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
     สมัยก่อนเวลาเราไปกู้เงินเพื่อซื้อบ้านกับธนาคาร  ธนาคารจำเป็นต้องตรวจสอบลูกหนี้อย่างละเอียด  เนื่องจากว่าหนี้นั้นเป็นแบบระยะยาวหลายสิบปี  เขาจึงต้องแน่ใจว่าหนี้นั้นมีคุณภาพ  แต่เมื่อไม่นานมานี้  มีคนคิดนวัตกรรมใหม่ทางการเงินขึ้นมาใช้  ซึ่งพวกเขาไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงนั้นไว้เอง  กล่าวคือ
ลูกหนี้ไปขอกู้เงินจาก-----ธนาคาร
ธนาคารนำเอาลูกหนี้อย่างพวกเราไปขายต่อให้-----วาณิชธนกิจ
และวาณิชธนกิจก็เอาหนี้ของพวกเราไปแปลงเป็นตราสารที่เรียกว่า CDO นำออกขายให้กับ-----นักลงทุนทั่วโลก
ซึ่งวาณิชธนกิจเหล่านั้นก็เอาเงินไปจ้าง-----บริษัทจัดเรตติ้งเพื่อประเมินตราสารเหล่านั้นว่าน่าสนใจลงทุน

     เมื่อลูกหนี้ชำระเงินค่าผ่อนบ้าน  เงินนั้นจะถูกส่งต่อไปยังผู้ซื้อตราสารนั้น  นั่นเท่ากับว่า  นักลงทุนที่ซื้อตราสารเหล่านั้นไว้เป็นคนแบกรับความเสี่ยงแทนธนาคาร  เมื่อธนาคารไม่ต้องรับความเสี่ยงเอง  ธนาคารเหล่านั้นก็เลยปล่อยกู้โดยไม่ต้องคัดกรองผู้กู้อีกต่อไป  แต่เน้นไปที่ปริมาณโดยไม่ต้องดูคุณภาพเลย  มันจึงทำให้  ใครต่อใครก็สามารถกู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้  ส่วนวาณิชธนกิจก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน  เพราะถ้าขายตราสารได้มาก  เขาก็กำไรมากขึ้น

AIG
     แล้ว AIG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ AIA เกี่ยวอะไรด้วย?  เกี่ยวแน่...เพราะว่า AIG รับทำประกันให้กับตราสารด้อยคุณภาพพวกนั้น  กล่าวคือ  เมื่อผู้ลงทุนเห็นว่าการซื้อตราสาร CDO เหล่านั้นเป็นความเสี่ยง  พวกเขาก็เลยทำประกันไว้กับ AIG โดยหากว่าถ้าตราสารเหล่านั้นเสียหาย  AIG จะจ่ายเงินให้กับคนที่ทำประกันไว้  แต่มันไม่เหมือนประกันภัยแบบทั่วไป  เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สามารถซื้อประกันตราสารของผู้อื่นได้ด้วย  กล่าวคือ  ในการประกันภัยทั่วไป  เราจะสามารถประกันในสิ่งที่เป็นของตัวเองเท่านั้น  แต่การประกัน CDO ผู้อื่นสามารถซื้อของเราได้ด้วย  หรือเราสามารถซื้อของคนอื่นได้เหมือนกัน  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าเรามีบ้าน 1 หลัง  เราก็ทำประกันไฟไหม้บ้านของเราไว้  แต่ทีนี้  คนอื่นก็ดันมาซื้อประกันไฟไหม้บ้านของเราด้วยเช่นกัน  หากมีคนสัก 50 คนมาซื้อประกันของบ้านเรา  แล้วถ้าบ้านเราเกิดไฟไหม้ขึ้นมา AIG ก็ต้องจ่ายมากเป็นเงาตามตัว  เมื่อเป็นเช่นนี้  พอตราสาร CDO เสีย  AIG ก็เลยเดือดร้อน

วิธีการทำ
     เนื่องจากตราสารเหล่านั้น  ออกโดยพวกวาณิชธนกิจหลายเจ้า  ซึ่งแต่ละเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นหนี้เน่า  พวกเขาขายตราสารเหล่านั้นให้กับลูกค้า  แค่คัวเองดันไปทำประกันไว้อีกทางหนึ่ง  ซึ่งหลายๆบริษัทก็พากันทำตาม  และได้ทำประกันความเสี่ยงแบบเดียวกันนี้กับตราสารซึ่งออกโดยวาณิชธนกิจเจ้าอื่นด้วย  เมื่อตราสารเหล่านั้นล้มเหลว  บรรดาลูกค้าของพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายหมดตัว  แต่ตัวของผู้ออกตราสารเหล่านั้นซึ่งก็คือพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายได้เงินกันถ้วนหน้าจากการทำประกันความเสี่ยงเอาไว้  การกระทำแบบนี้ชั่วร้ายมาก  เนื่องจากว่าไม่สนใจคนที่ต้องได้รับความเดือดร้อนจากการซื้อหนี้เน่าที่พวกเขาทำมันออกมาขายเลย

ตลาดพัง
     ปี 2008 อัตราการยึดบ้านของสหรัฐสูงลิบลิ่ว  เนื่องจากคนที่กู้เงินซื้อบ้านไม่มีคุณภาพในการชำระเงิน  แล้วห่วงโซ่ของการทำประกันก็พังลง  ธนาคารต่างๆขายผู้กู้ให้กับวาณิชธนกิจอีกไม่ได้แล้ว  เมื่อเงินกู้เริ่มเสีย  ธนาคารหลายแห่งก็เริ่มพังพินาศจนเป็นโดมิโน่  และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เมื่อยึดบ้านมาได้แล้ว  ธนาคารก็เอาบ้านเหล่านั้นไปขายต่อในราคาถูก  ซึ่งเป็นผลทำให้บ้านต่างๆในละแวกใกล้เคียงราคาลดต่ำลงไปด้วย  มันจึงทำให้ระบบการเงินเสียไปทั้งระบบ  นี่คือสาเหตุที่ว่า  ไม่มีการคัดกรองผู้กู้ตั้งแต่ตอนแรกนั่นเอง  เมื่อตลาดพัง  คนที่ทำประกันไว้ก็ควรจะได้เงิน  แต่จำนวนเงินนั้น  มันมากมายมหาศาลจนบริษัทรับทำประกันไม่มีจะจ่าย  จนทำท่าจะเจ๊งอยู่รอมร่อ  รัฐบาลสหรัฐจึงต้องเข้ามาช่วยอุ้มไว้เพื่อไม่ให้ประเทศล่มจมโดยการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา  แล้วนำไปให้บริษัทประกันเอาไปจ่ายให้กับผู้ทำประกัน  ส่วนพวกวาณิชธนกิจทั้งหลายก็ถือตราสารเน่าๆกับบ้านที่ขายไม่ออกไว้เป็นจำนวนมากหลายแสนล้าน

     เมื่ออ่านจบแล้วท่านทั้งหลายรู้สึกอย่างไรบ้างครับ  สำหรับผมแล้ว  มันเป็นเรื่องที่ไร้จรรยาบรรณ  ไม่มีสำนึก  ขาดความรับผิดชอบ  เห็นแก่ตัว  และชั่วร้ายที่สุดเลยทีเดียว  มันไม่สนใจเลยว่าคนอื่นจะเดือดร้อนขนาดไหน  จะหมดตัวหรือเป็นหนี้ไปเท่าไหร่  มันได้คนเดียวก็พอ  ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้  ไม่มีคนติดคุกแม้แต่คนเดียว !!!
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #162 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:00:49 »

ตอบคุณ บ่าวเริงปอย
     ช่วงนี้ผมขายหุ้นไปหมดแล้วครับ  ถึงแม้ว่าผมจะมั่นใจในหุ้น 7-11 มากก็ตาม  แต่ผมไม่ไว้ใจตลาดว่ามันจะพังเมื่อไหร่  เพราะตอนนี้ราคาหุ้นก็หืดจับแล้วครับ  ฝรั่งก็ไม่ไล่ราคาแล้ว  ขอออกไปดูข้างสนามก่อนดีกว่าครับ  ถ้าตลาดพังเมื่อไหร่ค่อยเจอกัน  ตอนนี้ตุนเงินไว้มากๆ  เวลาหุ้นตกหนักๆจะได้มีเงินไว้ช๊อปปิ้ง  โดยส่วนตัวแล้วผมประเมินว่า  ถ้าหุ้นจะขึ้น  มันก็คงจะค่อยๆขึ้นไปตามพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัว  คงจะไม่หวือหวาเหมือนช่วงที่เราเข้ากันแล้ว  แต่ถ้ามีเหตุการณ์อะไรรุนแรง  หุ้นก็คงตกหนักน่าดู  เพราะตอนนี้มองไปในตลาด  อะไรก็แพงไปหมด  ขอเอาเงินไปฝากแล้วนอนหลับให้สบายๆดีกว่าครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #163 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:01:58 »

ตอบคุณ sencha
     ผมขอตอบคำถามเป็นข้อๆดังนี้ครับ  เมื่ออ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณด้วยก็ดี  เพราะบางทีอาจมีความคิดเห็นส่วนตัวของผมลงไปผสมกับหลักการบ้าง

1.หุ้นระยะยาวหมายถึง หุ้นปันผลใช่หรือไม่.....  มีทั้งใช่และไม่ใช่ครับ  ถ้าพูดถึงระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นๆ  นั่นมันเป็นความพอใจของตัวผู้ลงทุนเองต่างหากว่า  เขาต้องการถือหุ้นนั้นนานขนาดไหน  ซึ่งถ้าเราต้องการหุ้นปันผลจริงๆ  เราก็ต้องสืบประวัติของหุ้นตัวนั้นๆก่อนเข้าลงทุนว่า  มีนโยบายปันผลกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไร  และที่ผ่านๆมาเขาทำได้จริงไหม  ถ้าอยากรู้รายละเอียด  ผมแนะนำว่าให้เข้าเว็ป
www.set.or.th
แล้วเข้าไปดูข้อมูลรายหลักทรัพย์ครับว่า  หุ้นแต่ละตัวมีนโยบายปันผลอย่างไร

2. หุ้นระยะยาวมีช่วงเวลาเท่าไรบ้าง  3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี.....  อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ลงทุนอีกนั่นแหละครับว่า  เขาพอใจจะถือนานแค่ไหน  บางคนเขาอาจจะไฮเปอร์มาก  อยู่เฉยๆไม่ได้  เขาก็อาจจะถือสั้นหน่อย  แต่ถ้าให้ผมแนะนำแล้ว  การถือยาวจะใช้ไม่ได้ผล  หากหุ้นนั้นไม่มีการเติบโตในอนาคต  ซ้ำร้ายกว่านั้น  ถ้าบริษัทที่คุณไปลงทุนไม่เติบโตไม่พอ  แต่ยังมีผลดำเนินงานขาดทุนไปเรื่อยๆ  ราคาของหุ้นนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามพื้นฐานของมันครับ  และจังหวะเข้าซื้อก็มีส่วนสำคัญ  เพราะถึงแม้ว่าเราจะตั้งธงไว้ว่าจะถือยาวไปสัก 10 ปี  แต่ถ้าจังหวะที่คุณเข้าไปซื้อนั้น  ราคามันเป็นยอดดอยแล้ว  ผลตอบแทนต่อราคาหุ้นก็น้อยนิด  ถ้าเป็นอย่างนี้  ถึงจะทนถือหุ้นนานขนาดไหนก็ยังอึดอัดครับ  ยกตัวอย่างเช่น  คุณเจอหุ้นตัวหนึ่งดีมาก  ปันผลปีละ 1 บาท  แต่ราคาที่คุณเข้าไปซื้อคือ 40 บาท  ถ้ามันไม่มีการเติบโตและไม่มีคู่แข่งมาทำให้กำไรลดลง  คุณต้องถือหุ้นไป 40 ปีถึงจะคืนทุน  หงำเหงือกกันพอดี  ยกหุ้นให้ลูกถือต่อได้เลยครับ  แต่ถ้ามันมีการเติบโตแล้ว  ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าซื้อแพงไปบ้างแต่ถ้าปันผลมันเพิ่มขึ้นทุกปีก็น่าสนครับเช่น  ราคาหุ้นที่ซื้อ 40 บาท  ปีแรกปัน 1 บาท  และปีต่อๆไปปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ราคาหุ้นก็จะวิ่งตามปันผลขึ้นไปเองครับ  อันนี้แม้ว่าเราจะซื้อแพงไปหน่อย  แต่เราก็ถือยาวได้ครับ

3.การขาดทุนของหุ้นปันผลหมายถึงอะไร.....  อันนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน  เอาไว้รอให้มีผู้รู้ท่านอื่นมาตอบนะครับ

4. (หุ้นปันผล) เปอร์เซ็นที่จะปันผลมีการกำหนดที่แน่นอนชัดเจนตั้งแต่ตอนซื้อหุ้นหรือเปล่าว่ากี่เปอร์เซ็น หรือไม่ได้กำหนดแน่นอน  แล้วถ้าไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย....  ต้องบอกก่อนว่าเปอร์เซ็นในที่นี้หมายถึง  เปอร์เซ็นในส่วนของกำไรในธุรกิจเขานะครับ  ไม่ใช่ในส่วนของราคาที่เราเข้าซื้อ  เพราะหุ้นที่เราซื้อขายกันนั้น  มันเป็นความพอใจของนักลงทุนด้วยกันเอง  ไม่เกี่ยวกับบริษัท  เปอร์เซ็นที่เขากำหนดว่าจะจ่ายเช่น  50 เปอร์เซ็นของกำไร  ถ้าปีนี้เขากำไร 2 บาทต่อหุ้น  เขาก็จะจ่ายปันผลออกมาหุ้นละ 1 บาท  ถ้าเราอยากได้ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต่อราคาหุ้นมากๆ  เราก็ต้องเข้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นต่ำๆครับ  ส่วนนโยบายปันผลนี้เขาจะกำหนดแน่นอนตั้งแต่ต้นเลย  แต่ก็อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ได้ปันผลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ครับ  เราต้องติดตามข่าวสารของบริษัทด้วย  ยกตัวอย่างเช่น  ช่วงนั้นบริษัทแอดวานซ์จะต้องเก็บเงินไว้ประมูล 3 G  พอดีมีการล้มประมูลเกิดขึ้น  บริษัทก็เลยเอาเงินที่เตรียมไว้มาจ่ายเป็นปันผลพิเศษ  ทำให้ได้ปันผลมากกว่าปกติครับ  ส่วนที่ถามว่าขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย  อันนี้ขอตอบว่า  ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจครับ  ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ดี  มีนโยบายจ่ายปันผลสูง  เราก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีครับ

5.ถ้าราคาหุ้นที่เราถืออยู่สูงขึ้น เราสามารถขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรได้หรือไม่.....  ได้ครับ  อันนี้มันก็อยู่ที่ความพอใจของเรา  แต่การที่เรามีหุ้นแล้วขายออกไป  เขาเรียกว่าทำกำไรครับ  ไม่ใช่เก็งกำไร

6.หุ้นระยะสั้นหมายถึงหุ้นปั่นใช่หรือไม่.....  จริงๆแล้วการถือสั้นหรือยาวนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวหุ้น  แต่เป็นอุปนิสัยของผู้ลงทุนมากกว่า  เพราะบางทีหุ้นที่น่าจะถือยาว  เขากลับมาเล่นแบบซื้อๆขายๆระยะสั้นไป  ทำให้ต้องเสียค่าคอมมากโดยใช่เหตุ  ถ้าเล่นอย่างนี้นานๆเข้า  คุณจะเป็นบุคคลที่โบรกให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษครับ  บางครั้งการที่หุ้นนั้นกลายเป็นหุ้นระยะสั้นก็เนื่องจากว่า  มันทำธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นน้ำมัน  ราคาน้ำมันรายวันก็จะมีผลต่อราคาหุ้นได้ครับ  หรือบางครั้ง  ก็เป็นหุ้นที่มีข่าวออกมาเช่น  ช่วงก่อนหน้านี้มีเรื่องการประมูล 3 G  หุ้นกลุ่มสื่อสารก็วิ่งขึ้นวิ่งลงกันอยู่  โดยเขาพากันเก็งว่า  ใครจะได้ใบอนุญาตไป

     ส่วนเรื่องที่คุณสนใจกองทุนรวมนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกครับ  ถ้าคุณไม่มีความรู้ในการลงทุน  เราก็ควรปล่อยให้มืออาชีพจัดการไป  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ “ความเป็นนักลงทุน”  มากกว่าสิ่งที่เราลงทุนไปครับ  และที่สำคัญ  กองทุนรวมนั้นเก็บค่าบริหารกองทุนตลอดเวลา  ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน  เพราะกองทุนนั้น  ตีกรอบความรับผิดชอบไว้ว่า  จะพยายามทำให้ราคาหุ้นขึ้นมากกว่าตลาดในช่วงขาขึ้น  และจะทำให้ลดลงน้อยกว่าตลาดในช่วงขาลง  ไม่มีกองทุนไหนกล้ารับประกันเลยว่าจะไม่ขาดทุน  และทุกครั้งที่เราทำธุรกรรมซื้อขาย  เราก็จะถูกค่าคอมกินอีกต่อหนึ่งด้วย  ถ้าเราสามารถจัดการเองได้  ค่าใช้จ่ายทางด้านนี้ก็จะประหยัดลงไปครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #164 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:03:06 »

ตอบคุณ  Temujin
     ที่ท่านแนะนำให้ดูช่องการเงินนั่นก็ถูกของท่านนะครับ  เพราะถ้าเราอยากจะทำอาหารเป็น  เราก็ควรดูช่องสอนทำอาหารถูกต้องไหมครับ  แต่เวลาเราดูช่องการเงิน  ก็ควรใช้วิจารณญาณด้วย  เพราะกว่าที่จะมาเป็นข่าวออกทางหน้าจอได้  ข่าวนั้นก็ผ่านคนรับรู้มาไม่รู้กี่คนแล้ว  พอมาถึงเราก็อาจจะช้าเกินไปที่จะลงมือก็ได้  เพราะฉะนั้น  ต้องเลือกที่จะเชื่อครับ  และที่ท่านบอกว่าไม่ค่อยได้จ้องพอร์ตตัวเองนั้น  ผมว่านั่นก็ถูกนะครับ  เราควรจับจ้องที่พื้นฐานธุรกิจของบริษัทที่เราลงทุนอยู่มากกว่า  แต่พูดก็พูดเถอะ  ผมก็ชอบมองพอร์ตตัวเองบ่อยๆเหมือนกันเวลาที่ได้กำไร  แต่ผมชอบดูให้มันครึ้มใจเล่นอย่างนั้นเองแหละครับ

     บางทีท่านชอบอ้างถึงบัฟเฟตว่าเขาก็ไม่ดูพอร์ตตัวเองเหมือนกัน  อันนี้ผมว่ามันคนละแบบกันครับ  ที่เขาไม่มองก็เพราะว่าเขาไม่คิดจะขายมัน  เปรียบเหมือนกับว่า  ผมคงไม่อยากรู้ราคาบ้านที่ผมอยู่หรอกครับว่ามันราคาเท่าไหร่ถ้าเรายังไม่คิดจะขายมัน

     ส่วนข้อที่ว่า...ทำไมปี 40 ญี่ปุ่นถึงให้เงินมิยาซาวาไทยมา  พอดีตอนนั้นผมยังไม่ได้สนใจเศรษฐกิจเลย  ถ้ายังไงรบกวนท่านช่วยพิมพ์บอกความรู้อันนี้แบบละเอียดให้ผมอ่านหน่อยก็ดีครับ  ผมก็อยากรู้เหมือนกัน  ส่วนเรื่องว่าแต่เปลี่ยนหัวแล้วนะครับท่านวายุ...  อันนี้ผมงงมาก  ไม่เข้าใจ  ช่วยอธิบายหน่อยนะครับ  ขอบคุณท่านเตมูยินมาก  อีกหน่อยท่านก็จะเป็นเจงกีสข่านแล้ว

     และที่ท่านบอกในกระทู้ 237 ว่า “หุ้นไม่มีขาลง” นั้น  ผมเข้าใจว่าท่านคงจะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของหุ้นก็เป็นได้  เพราะช่วงก่อนเห็นท่านเชียร์ forex อยู่  เนื่องจาก forex เล่นกันที่ตลาดเงิน  เอาเป็นว่า  ถ้าท่านติดตามเรื่องการลงทุนมานาน  ท่านจะตอบเหตุการณ์ที่เกิดกับตลาดหุ้นในปี 40 และวิกฤตซับไพร์มว่าอย่างไรครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #165 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 19:59:10 »

ถ้าวิเคราะห์ขาดครับหุ้นไม่มีขาลง ลองไปหาหนังสือเล่นหุ้นปีทองของ ดร.นิเวศน์มาอ่านครับ ส่วนปี 40 ที่ผมว่าเรื่อง มิยาซาวา ที่ญีปุ่นเอาเงินมาช่วยไทยเพื่อที่จะให้คนไทยมีเงินไปซื้อ คูโบต้า ยามาฮ่า ฮอนด้า โตโยต้า โซนี่ พานาฯ ฯลฯ กลัวไม่มีเงินกลับประเทศครับ อย่าลืมประเทศไทยเป็นหนึ่งใน GDP ญีปุ่นด้วย ไทยโตเค้าก็โตด้วย แต่ปัจจุบันได้ผันมาเป็นกองทุนหมู่บ้านแล้ว หมู่ฯละกี่ล้านไปแล้วล่ะ ขรก.ท้องถิ่นขึ้นที 100 เปอร์ ขรก.ประจำอีก ใหนจะค่าแรงที่จ่อจะขึ้นอีก ถึงแม้พี่เจ จะโดนซึนามิ ถ้าได้ติดตามข่าว BOI บอกว่าพี่เจ ไม่ได้ลดเงินที่ลงทุนในไทย กลับเพิ่ม...ก็ให้วิเคราะห์ต่อว่าแต่ละท่านจะเข็นตัวใหนเข้าพอร์ต...ครับ..ถ้า อเมริกาก็แย่ ยุโรปก็อ่วม เอเชียยังแย่อีก ผมว่ามันเลวร้ายที่สุดแล้วครับ...
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #166 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 21:33:03 »

และญี่ปุ่นประกาศกร้าวเลยว่า ถ้าเศรษฐกิจไทยล่มเหมือนปี ๔๐ เขาจะยื่นมือเข้ามาอุ้มก่อน...ผมก็ว่าจริงครับ ผมไปมาแล้วหลายนิคมอุตสาหกรรมในประเทศนี้ ของพี่เจ เกินครึ่งครับ พี่เจไปแทรกอยู่เกือบทุก GDP ของหลายประเทศครับ อย่างสมมติว่าไทยโต ๖ คิดหรือว่าเป็นของพี่ไทยทั้งหมด ผมเชื่อในศักยภาพพี่เจครับ ขนาดโดนสึนามิ ค่าเงินยังแข็งเลย ไม่รู้ไปขนมาจากไหน...อย่างเยอะเลย... ตอนนี้สินค้าเกษตรก็แพง อะไรก็ขึ้น ก็วิเคราะห์กันไปครับ เลือกมาสัก ๕ ตัวก็พอแล้วครับ...ตอบเรื่อง Forex  บ้าง ในตลาดนี้มันไม่ได้มีแต่ค่าเงิน อย่างเดียวครับ มันมีอย่างอื่นด้วย ผมสามารถเล่น เงิน หรือทองได้ในเงินที่ต่ำ ๆ ครับ ค่อยศึกษาครับ เอาเรื่องหุ้นให้รอดก่อน... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #167 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 16:12:09 »

ไปหน้ากับถอยหลัง
     ความเป็นจริงแล้วผลตอบแทนที่ได้จากหุ้นจะไม่เหมือนกับที่ได้จากการฝากเงินหรือการลงทุนอย่างอื่น  แต่โดยส่วนมากเวลาที่เราจะลงทุน  เรามักจะเอาหุ้นและการฝากเงินมาเปรียบเทียบกัน  โดยคำนวณว่า  อย่างไหนผลตอบแทนมากกว่า  ซึ่งอันนี้ผมก็อยากอธิบายสักเล็กน้อยถึงความแตกต่างนั้น

     การลงทุนในหุ้นแบบมีปันผลจะได้ผลตอบแทนแบบถอยหลัง  กล่าวคือ  ตอนแรกเราควักเงินลงทุนไปก่อนเป็นก้อนใหญ่  ซึ่งเวลามีปันผลออกมาในแต่ละปี  มันก็จะค่อยๆถอยหลังกลับมาหาต้นทุนของเราเรื่อยๆ  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี  ปันผลที่เราได้รับมาก็หักกลบลบต้นทุนที่เราได้ควักออกไปตั้งแต่ตอนแรกหมด  หลังจากนั้น  เงินปันผลที่จะได้รับในปีต่อๆไป  ก็จะเป็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากเงินลงทุนของเราครับ

     ส่วนการฝากเงินนั้น  เป็นผลตอบแทนแบบไปข้างหน้า  ถ้าเราฝากเงินไว้ครบปี  พอสิ้นปีมีดอกมาให้  ถ้าเราถอนออกมา  พอขึ้นปีหน้าก็ต้องนับหนึ่งใหม่  แต่ถ้าเราไม่ถอนออกมา  ปล่อยให้มันทบต้นไปเรื่อยๆ  เงินมันก็จะโตไปเรื่อยๆเช่น  ฝากเงินไว้ 100 บาท  อัตราดอกเบี้ย 5 % ต่อปี  พอถึงสิ้นปีแรก  เราก็จะมีเงินในธนาคารอยู่ 105 บาท  ถ้าเราถอน 5 บาทออกมา  ต้นมันก็จะเหลือ 100 บาทอย่างเดิม  เมื่อถึงสิ้นปีที่สอง  เราก็จะมีเงิน 105 บาทเหมือนกับปีแรก  แต่ถ้าเราไม่ถอนมันออกมาเลย  ในปีแรกเราจะมีเงิน 105 บาท  แต่พอปีที่สอง เราจะได้ดอกเบี้ยของ 5 บาทนั้นด้วย  กลายเป็นว่า  แทนที่จะได้ดอก 5 บาท  กลับกลายเป็นเราจะได้ดอกในปีที่สอง 5 บาทกว่าๆ  เมื่อปล่อยให้เงินมันทบต้นไปเรื่อยๆ  เงินมันก็จะพอกพูนขึ้นมากกว่าครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 17:40:29 »

สำหรับท่านที่ฝากเงินครับ อย่าลืมว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะลดการคุ้มครองลงแล้วนะครับ ต่อให้บางธนาคารบอกว่า รัฐบาลเป็นประกันก็เหอะ (แต่ผมก็คงไม่มีเงินฝากเท่านั้นหรอก  ยิงฟันยิ้ม ) และถ้าดอกเบี้ยที่ท่านฝากชนะเงินเฟ้อหลายเปอร์ฯ ก็อย่าลืมแนะนำผม ผมก็จะฝากครับ แต่นี่ไม่ใช่ครับ ผลิตภัณท์ทางการเงินมีเยอะครับที่ได้ผลตอบแทนแล้วชนะเงินเฟ้อ แนะนำดู มันนี่แชนแนล ต่อครับ.. ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 03:03:48 โดย Temujin » IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #169 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 15:18:31 »

     อยากให้ท่านเตมูยินช่วยอธิบายเนื้อหาในหนังสือเล่นหุ้นปีทองของ ดร.นิเวศน์ ให้ทราบหน่อยครับว่า  ทำไมจึงบอกว่าหุ้นไม่มีขาลง  พอดีคาใจมากจริงๆ  จะได้เป็นความรู้ให้กับผมและท่านอื่นๆด้วย  เพราะคำที่ใช้กันมานานแล้วก็คือ ขาขึ้นขาลง  กระทิงและหมี  ในเมื่อมีคำที่เขาใช้อ้างอิงอธิบายสถานการณ์ในภาวะอย่างนั้นได้  ทำไม่ในหนังสือที่ท่านอ่านจึงบอกไม่มี  ขอบคุณครับสำหรับความรู้ที่จะนำมาบอกกล่าว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #170 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 15:40:33 »

ถ้าวิเคราะห์อย่าง ดร.นิเวศน์ ครับ... ยอมรับว่าท่านรู้รอบจริง ๆ อยากให้คนที่ลงทุนในหุ้นคิดและวิเคราะห์เหมือนท่านครับ แนวคิดนี้ที่ทำให้ ผอ.โรงพยาบาล หนองกี่ (ถ้าจำไม่ผิด ปัจจุปันเป็น ประทานนักลงทุนหุ้น VI แทน ดร.นิเวศน์) ส่วนหมี หรือกระทิงคือแนวโน้มตลาด ว่ามันคึกคักหรือซบเทรา มากกว่านะสำหรับผม... ยิงฟันยิ้ม ผมไม่อยากให้ทุกท่านกลัวตลาดครับ มีบางท่านว่าตอนนี้ขาลง ผมเคยแนะนำท่านนึงไป เค้าบอกว่าตอนนี้มันขึ้นมาสูงแล้ว รอมันเท่านั้นเท่านี้ก่อน ณ ปัจจุบันผมก็ยังไม่เห็น แต่อย่าลืมเวลาและโอกาสมันไม่หยุดรอใครครับ ผมอยากให้ทุกท่านคิดว่ามันเป็นโอกาส แต่ทุกท่านต้องจำกัดความเสี่ยงก่อน ตามที่ผมแนะนำไปในกระทู้ผมครับ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 15:49:14 โดย Temujin » IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #171 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 21:41:03 »

ตอบคุณ inhermood
     คงต้องรอสักพักครับ  จ้าวยุทธจักรมีหลายท่าน  แต่ละท่านก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป  เอาไว้เดี๋ยวค่อยไปนัดท่านเตมูยินกับท่านคิวปิดด้วยดีกว่า  ว่าจะหลอกล้วงท่านทั้งสองสักหน่อย  เหอ เหอ  ไม่แน่วันอาทิตย์หน้าอาจจะว่างครับ  เดี๋ยวอาจจะนัดอีกที
อันนี้ผมขอปฏิเสธล่วงหน้าเลยนะครับ ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ครับ ถ้าคิดว่าข้อมูลผมมีประโยชน์ก็จะวนเวียนอยู่ในบอร์ดนี้แหละครับ มีพี่ที่ดูแลบอร์ดบางท่านก็เป็นนักลงทุนในหุ้นเหมือนกันครับ ส่วนตัวผม.... เป็นลูกจ้างเขางานหลาย เจ้านายเขาด่า ทางอออกคือหลอย....เว็บนี้ครับ... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #172 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 23:18:05 »

ตอบคุณ inhermood
     คงต้องรอสักพักครับ  จ้าวยุทธจักรมีหลายท่าน  แต่ละท่านก็มีประสบการณ์แตกต่างกันไป  เอาไว้เดี๋ยวค่อยไปนัดท่านเตมูยินกับท่านคิวปิดด้วยดีกว่า  ว่าจะหลอกล้วงท่านทั้งสองสักหน่อย  เหอ เหอ  ไม่แน่วันอาทิตย์หน้าอาจจะว่างครับ  เดี๋ยวอาจจะนัดอีกที
อันนี้ผมขอปฏิเสธล่วงหน้าเลยนะครับ ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ครับ ถ้าคิดว่าข้อมูลผมมีประโยชน์ก็จะวนเวียนอยู่ในบอร์ดนี้แหละครับ มีพี่ที่ดูแลบอร์ดบางท่านก็เป็นนักลงทุนในหุ้นเหมือนกันครับ ส่วนตัวผม.... เป็นลูกจ้างเขางานหลาย เจ้านายเขาด่า ทางอออกคือหลอย....เว็บนี้ครับ... ยิงฟันยิ้ม

    สำหรับผม ด้วยความยินดีครับ เพราะสิ่งที่เรียนรู้ และรับรู้จากห้องค้า (ใน กทม.) หลายอย่างนำเสนอสู่สาธารณชนไม่ได้
    บางอย่างก็เรียบเรียงเป็นตัวหนังสือค่อนข้างยาก
   
    ว่าแต่จะมีเวลาว่างตรงกันเมื่อใดเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ก็อยากทำความรู้จักทั้งท่านวายุและท่านเตฯด้วยครับ

    ขอส่วนตัวนิดนึง เสียดายที่ท่านวายุขายข้าวมันไก่รอบเย็น ถ้าขายกลางวันผมคงไปอุดหนุนนานแล้ว (ผมงดมื้อเย็นมาหลายปีแล้วครับ)
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #173 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 00:21:01 »

เงินเดือนกะหนัก กินแห๋มน้อย อย่างนี้คุณพี่จะเก็บเงินไว้ที่ใหน วันอาทิตย์ผมไม่หยุด แต่ผมหยุดทุกวันพฤหัสครับ... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #174 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 06:24:52 »

เงินเดือนกะหนัก กินแห๋มน้อย อย่างนี้คุณพี่จะเก็บเงินไว้ที่ใหน วันอาทิตย์ผมไม่หยุด แต่ผมหยุดทุกวันพฤหัสครับ... ยิงฟันยิ้ม

ถ้าได้เจอกันแล้วจะรู้  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #175 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 15:55:04 »

ตอบคุณ BC COMPUTER(ฮักบ้านดู่) และ focus_lis
     ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากๆถามที่โบรกเกอร์ได้ครับ  เพราะเรากำลังจะไปเป็นลูกค้า  เขาคงจะตอบคำถามได้เป็นอย่างดี  ส่วนของผม  คงจำทำได้แค่แนะนำในด้านการลงทุนเท่านั้นครับ  เพราะรายละเอียดบางเรื่อง  ผมอาจจะไม่รู้ก็ได้  ขอบคุณที่สนใจการลงทุนครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #176 เมื่อ: วันที่ 25 พฤษภาคม 2011, 16:10:46 »

ตลาดนัดVSตลาดหุ้น
     เชื่อว่ามีใครหลายคนเคยประสบเหตุการณ์แบบกระอักกระอ่วนใจในการไปซื้อของที่ตลาดนัดมาแล้วไม่บ้างก็น้อย  กล่าวคือ  เวลาเราไปเดินหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  ก็พอดีว่าเดินไปไม่นานเท่าไหร่ก็เจอเสื้อแบบที่เราต้องการ  เสื้อนั้นเนื้อดีสีสวยถูกใจเรามาก  จนเราคิดในใจว่าถ้าไม่รีบซื้ออาจมีคนอื่นมาสอยไปก่อนเรา  คิดได้ดังนั้นเราก็ปรี่เข้าไปทันที  เสื้อบอกราคาไว้ 199  ในใจเราบอกว่าต้องต่อเสียหน่อยเผื่อได้ถูกอีกนิด  แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของร้านก็ไม่ลดให้  พอดีมีคนเข้าร้านมาเหมือนกัน  ในใจคิดว่าช้าหมดอดแน่  ก็เลยยอมควักเงินซื้อในทันที  เมื่อออกมานอกร้านแล้ว  รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมากเพราะได้ของถูกใจ  แต่พอเดินไปสักพักนึงก็ไปเจออีกร้าน  ร้านนี้ก็มีเสื้อแบบเดียวกับของเราเป๊ะเลย  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ราคา 150 เท่านั้น...ราคาถูกโดยไม่ต้องต่อ  จากอารมณ์ดีกลายเป็นอารมณ์บูดทันที  แล้วก็คิดแค้นใจตัวเองเป็นอย่างมากว่าไม่น่าใจเร็วด่วนได้เลย  น่าจะลองเดินสำรวจให้รอบๆก่อนว่าตรงไหนขายถูกกว่าแล้วค่อยซื้อ  จากที่ต้องการเสื้อตัวนั้นกลับกลายเป็นไม่ค่อยเต็มใจนัก  แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแบกมันกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่น

     เรื่องนี้บอกอะไรแก่เรา?  ผมดูแล้วตลาดนัดก็คล้ายๆกับตลาดหุ้น  มันเป็นที่ซื้อขายสินค้าต่างๆ  มีคนอยากซื้อ  แล้วก็มีคนอยากขาย  ถ้าเราเจอหุ้นตัวหนึ่งซึ่งวิเคราะห์แล้วว่าดีมากๆ  แต่ราคาในตอนนั้นมันแพงอยู่  ถ้าเราอยากได้มันมากๆ  เราก็อาจจะซื้อมัน  นั่นเพราะว่าในตลาดหุ้นตอนนั้นมีแต่คนแย่งกันซื้อ  แต่ถ้าเรามีความสุขุมเพียงพอ  เราก็อาจจะปล่อยให้คนอื่นซื้อกันไปก่อน  เพราะเมื่ออารมณ์เริ่มจาง  เหตุผลจะเข้ามาแทนที่  แล้วคนที่ไล่ซื้อของแพงกันอยู่ก็เริ่มจะรู้ตัวว่า  ราคาแพงขนาดนี้ซื้อมาได้ไงเนี่ย  จากนั้นก็จะคอยสอดส่ายสายตาว่า  มีใครกำลังจะขายหรือยัง  เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่า  ราคาหุ้นตอนนี้แพงมากๆ  เมื่อมีคนเริ่มเทขาย  คนที่อ่อนไหวก็จะเริ่มทำตามเพราะไม่อยากได้มันแล้ว  ส่วนคนที่คิดว่า  ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว  ก็แต้องแบกหุ้นนั้นกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่นเหมือนเสื้อที่ซื้อมาจากตลาดนัดนั่นเอง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #177 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 17:14:07 »

ตลาดนัดVSตลาดหุ้น
     เชื่อว่ามีใครหลายคนเคยประสบเหตุการณ์แบบกระอักกระอ่วนใจในการไปซื้อของที่ตลาดนัดมาแล้วไม่บ้างก็น้อย  กล่าวคือ  เวลาเราไปเดินหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  ก็พอดีว่าเดินไปไม่นานเท่าไหร่ก็เจอเสื้อแบบที่เราต้องการ  เสื้อนั้นเนื้อดีสีสวยถูกใจเรามาก  จนเราคิดในใจว่าถ้าไม่รีบซื้ออาจมีคนอื่นมาสอยไปก่อนเรา  คิดได้ดังนั้นเราก็ปรี่เข้าไปทันที  เสื้อบอกราคาไว้ 199  ในใจเราบอกว่าต้องต่อเสียหน่อยเผื่อได้ถูกอีกนิด  แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของร้านก็ไม่ลดให้  พอดีมีคนเข้าร้านมาเหมือนกัน  ในใจคิดว่าช้าหมดอดแน่  ก็เลยยอมควักเงินซื้อในทันที  เมื่อออกมานอกร้านแล้ว  รู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมากเพราะได้ของถูกใจ  แต่พอเดินไปสักพักนึงก็ไปเจออีกร้าน  ร้านนี้ก็มีเสื้อแบบเดียวกับของเราเป๊ะเลย  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ราคา 150 เท่านั้น...ราคาถูกโดยไม่ต้องต่อ  จากอารมณ์ดีกลายเป็นอารมณ์บูดทันที  แล้วก็คิดแค้นใจตัวเองเป็นอย่างมากว่าไม่น่าใจเร็วด่วนได้เลย  น่าจะลองเดินสำรวจให้รอบๆก่อนว่าตรงไหนขายถูกกว่าแล้วค่อยซื้อ  จากที่ต้องการเสื้อตัวนั้นกลับกลายเป็นไม่ค่อยเต็มใจนัก  แต่ในเมื่อซื้อมาแล้วก็ต้องแบกมันกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่น

     เรื่องนี้บอกอะไรแก่เรา?  ผมดูแล้วตลาดนัดก็คล้ายๆกับตลาดหุ้น  มันเป็นที่ซื้อขายสินค้าต่างๆ  มีคนอยากซื้อ  แล้วก็มีคนอยากขาย  ถ้าเราเจอหุ้นตัวหนึ่งซึ่งวิเคราะห์แล้วว่าดีมากๆ  แต่ราคาในตอนนั้นมันแพงอยู่  ถ้าเราอยากได้มันมากๆ  เราก็อาจจะซื้อมัน  นั่นเพราะว่าในตลาดหุ้นตอนนั้นมีแต่คนแย่งกันซื้อ  แต่ถ้าเรามีความสุขุมเพียงพอ  เราก็อาจจะปล่อยให้คนอื่นซื้อกันไปก่อน  เพราะเมื่ออารมณ์เริ่มจาง  เหตุผลจะเข้ามาแทนที่  แล้วคนที่ไล่ซื้อของแพงกันอยู่ก็เริ่มจะรู้ตัวว่า  ราคาแพงขนาดนี้ซื้อมาได้ไงเนี่ย  จากนั้นก็จะคอยสอดส่ายสายตาว่า  มีใครกำลังจะขายหรือยัง  เพราะต่างคนก็ต่างรู้ว่า  ราคาหุ้นตอนนี้แพงมากๆ  เมื่อมีคนเริ่มเทขาย  คนที่อ่อนไหวก็จะเริ่มทำตามเพราะไม่อยากได้มันแล้ว  ส่วนคนที่คิดว่า  ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว  ก็แต้องแบกหุ้นนั้นกลับบ้านไปพร้อมกับความขมขื่นเหมือนเสื้อที่ซื้อมาจากตลาดนัดนั่นเอง

ท่านที่จะซื้อสินค้า หรือซื้อหุ้น ลองอ่านข้อความข้างบนนี้หลายๆครั้ง จะเห็นว่า ไม่ควร อยากได้ และไม่ต้องกลัวว่า จะไม่ได้ เพราะถ้าอยากได้ จะได้ของแพง
และตามอุทธาหรณ์ของ จขกท นี้ เกิดกับผมซ้ำซาก ทั้งการซื้อสินค้าในตลาด และการซื้อหุ้น จึงเรียนได้เลยว่า
อุทธาหรณ์นี้  แทงใจดำ จริงๆครับ... ยิ้มเท่ห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 17:36:00 โดย cupid » IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #178 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 21:54:25 »

เล็กๆน้อยๆสำหรับผู้สนใจการลงทุน
ลอกเขามา  ยิงฟันยิ้ม

.....ทหารหาญกล้า ไม่ดุร้ายใจดำ
.....นักสู้ฝีมือดี ไม่วู่วามต่ำช้า
.....ผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใส่ใจในเรื่องใดไม่สำคัญ
.....นักค้าหุ้นที่ประสพความสำเร็จไ ม่คิดหวังแต่กำไร......  ยิงฟันยิ้ม

อันสุดท้ายผม งง ไม่หวังกำไรแล้วหวังไรหนอ หวังปันผล เรอะ  ใครช่วยขยายความหน่อย
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #179 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 16:48:19 »

ตอบท่านเปา
     ด้วยมันสมองอันน้อยนิดของผมตีความได้ว่า  การจะคิดหวังแต่กำไรโดยไม่ดูว่ามีสิทธิ์จะขาดทุนด้วยนั้น  เหมือนการทำศึกโดยประมาท  ซุนวูกล่าวไว้ว่า  "รู้เขารู้เรา  ร้อยศึกร้อยชัย"  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าหวังจะซื้อถูกขายแพงเพียงอย่างเดียว  โดยไม่มีการประเมินก่อนว่า  ตอนนี้แพงไปหรือยัง  ถ้าซื้อแล้วมันตกลงมาจะทำอย่างไร  อันนี้เขาสอนให้เราระวังตัวด้วยครับ  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  เป็นธรรมดาของนักรบที่ต้องมีบาดแผลครับ  แต่ตัวกระผมนี่  แผลเป็นเยอะเอาเรื่องเหมือนกันครับ  เหอ เหอ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!