ตอบคุณ sencha
ผมขอตอบคำถามเป็นข้อๆดังนี้ครับ เมื่ออ่านแล้วก็ใช้วิจารณญาณด้วยก็ดี เพราะบางทีอาจมีความคิดเห็นส่วนตัวของผมลงไปผสมกับหลักการบ้าง
1.หุ้นระยะยาวหมายถึง หุ้นปันผลใช่หรือไม่..... มีทั้งใช่และไม่ใช่ครับ ถ้าพูดถึงระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นๆ นั่นมันเป็นความพอใจของตัวผู้ลงทุนเองต่างหากว่า เขาต้องการถือหุ้นนั้นนานขนาดไหน ซึ่งถ้าเราต้องการหุ้นปันผลจริงๆ เราก็ต้องสืบประวัติของหุ้นตัวนั้นๆก่อนเข้าลงทุนว่า มีนโยบายปันผลกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไร และที่ผ่านๆมาเขาทำได้จริงไหม ถ้าอยากรู้รายละเอียด ผมแนะนำว่าให้เข้าเว็ป
www.set.or.thแล้วเข้าไปดูข้อมูลรายหลักทรัพย์ครับว่า หุ้นแต่ละตัวมีนโยบายปันผลอย่างไร
2. หุ้นระยะยาวมีช่วงเวลาเท่าไรบ้าง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 5 ปี 10 ปี..... อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ลงทุนอีกนั่นแหละครับว่า เขาพอใจจะถือนานแค่ไหน บางคนเขาอาจจะไฮเปอร์มาก อยู่เฉยๆไม่ได้ เขาก็อาจจะถือสั้นหน่อย แต่ถ้าให้ผมแนะนำแล้ว การถือยาวจะใช้ไม่ได้ผล หากหุ้นนั้นไม่มีการเติบโตในอนาคต ซ้ำร้ายกว่านั้น ถ้าบริษัทที่คุณไปลงทุนไม่เติบโตไม่พอ แต่ยังมีผลดำเนินงานขาดทุนไปเรื่อยๆ ราคาของหุ้นนั้นก็จะลดลงไปเรื่อยๆตามพื้นฐานของมันครับ และจังหวะเข้าซื้อก็มีส่วนสำคัญ เพราะถึงแม้ว่าเราจะตั้งธงไว้ว่าจะถือยาวไปสัก 10 ปี แต่ถ้าจังหวะที่คุณเข้าไปซื้อนั้น ราคามันเป็นยอดดอยแล้ว ผลตอบแทนต่อราคาหุ้นก็น้อยนิด ถ้าเป็นอย่างนี้ ถึงจะทนถือหุ้นนานขนาดไหนก็ยังอึดอัดครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณเจอหุ้นตัวหนึ่งดีมาก ปันผลปีละ 1 บาท แต่ราคาที่คุณเข้าไปซื้อคือ 40 บาท ถ้ามันไม่มีการเติบโตและไม่มีคู่แข่งมาทำให้กำไรลดลง คุณต้องถือหุ้นไป 40 ปีถึงจะคืนทุน หงำเหงือกกันพอดี ยกหุ้นให้ลูกถือต่อได้เลยครับ แต่ถ้ามันมีการเติบโตแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าซื้อแพงไปบ้างแต่ถ้าปันผลมันเพิ่มขึ้นทุกปีก็น่าสนครับเช่น ราคาหุ้นที่ซื้อ 40 บาท ปีแรกปัน 1 บาท และปีต่อๆไปปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะวิ่งตามปันผลขึ้นไปเองครับ อันนี้แม้ว่าเราจะซื้อแพงไปหน่อย แต่เราก็ถือยาวได้ครับ
3.การขาดทุนของหุ้นปันผลหมายถึงอะไร..... อันนี้ผมก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน เอาไว้รอให้มีผู้รู้ท่านอื่นมาตอบนะครับ
4. (หุ้นปันผล) เปอร์เซ็นที่จะปันผลมีการกำหนดที่แน่นอนชัดเจนตั้งแต่ตอนซื้อหุ้นหรือเปล่าว่ากี่เปอร์เซ็น หรือไม่ได้กำหนดแน่นอน แล้วถ้าไม่ได้กำหนด ขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย.... ต้องบอกก่อนว่าเปอร์เซ็นในที่นี้หมายถึง เปอร์เซ็นในส่วนของกำไรในธุรกิจเขานะครับ ไม่ใช่ในส่วนของราคาที่เราเข้าซื้อ เพราะหุ้นที่เราซื้อขายกันนั้น มันเป็นความพอใจของนักลงทุนด้วยกันเอง ไม่เกี่ยวกับบริษัท เปอร์เซ็นที่เขากำหนดว่าจะจ่ายเช่น 50 เปอร์เซ็นของกำไร ถ้าปีนี้เขากำไร 2 บาทต่อหุ้น เขาก็จะจ่ายปันผลออกมาหุ้นละ 1 บาท ถ้าเราอยากได้ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต่อราคาหุ้นมากๆ เราก็ต้องเข้าซื้อตอนที่ราคาหุ้นต่ำๆครับ ส่วนนโยบายปันผลนี้เขาจะกำหนดแน่นอนตั้งแต่ต้นเลย แต่ก็อาจจะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ได้ปันผลมากขึ้นหรือน้อยลงก็ได้ครับ เราต้องติดตามข่าวสารของบริษัทด้วย ยกตัวอย่างเช่น ช่วงนั้นบริษัทแอดวานซ์จะต้องเก็บเงินไว้ประมูล 3 G พอดีมีการล้มประมูลเกิดขึ้น บริษัทก็เลยเอาเงินที่เตรียมไว้มาจ่ายเป็นปันผลพิเศษ ทำให้ได้ปันผลมากกว่าปกติครับ ส่วนที่ถามว่าขึ้นอยู่กับอะไรว่าจะได้ปันผลในเปอร์เซ็นมากหรือน้อย อันนี้ขอตอบว่า ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจครับ ถ้าเราเลือกบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ดี มีนโยบายจ่ายปันผลสูง เราก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีครับ
5.ถ้าราคาหุ้นที่เราถืออยู่สูงขึ้น เราสามารถขายหุ้นเพื่อเก็งกำไรได้หรือไม่..... ได้ครับ อันนี้มันก็อยู่ที่ความพอใจของเรา แต่การที่เรามีหุ้นแล้วขายออกไป เขาเรียกว่าทำกำไรครับ ไม่ใช่เก็งกำไร
6.หุ้นระยะสั้นหมายถึงหุ้นปั่นใช่หรือไม่..... จริงๆแล้วการถือสั้นหรือยาวนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวหุ้น แต่เป็นอุปนิสัยของผู้ลงทุนมากกว่า เพราะบางทีหุ้นที่น่าจะถือยาว เขากลับมาเล่นแบบซื้อๆขายๆระยะสั้นไป ทำให้ต้องเสียค่าคอมมากโดยใช่เหตุ ถ้าเล่นอย่างนี้นานๆเข้า คุณจะเป็นบุคคลที่โบรกให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษครับ บางครั้งการที่หุ้นนั้นกลายเป็นหุ้นระยะสั้นก็เนื่องจากว่า มันทำธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นน้ำมัน ราคาน้ำมันรายวันก็จะมีผลต่อราคาหุ้นได้ครับ หรือบางครั้ง ก็เป็นหุ้นที่มีข่าวออกมาเช่น ช่วงก่อนหน้านี้มีเรื่องการประมูล 3 G หุ้นกลุ่มสื่อสารก็วิ่งขึ้นวิ่งลงกันอยู่ โดยเขาพากันเก็งว่า ใครจะได้ใบอนุญาตไป
ส่วนเรื่องที่คุณสนใจกองทุนรวมนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกครับ ถ้าคุณไม่มีความรู้ในการลงทุน เราก็ควรปล่อยให้มืออาชีพจัดการไป แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ “ความเป็นนักลงทุน” มากกว่าสิ่งที่เราลงทุนไปครับ และที่สำคัญ กองทุนรวมนั้นเก็บค่าบริหารกองทุนตลอดเวลา ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน เพราะกองทุนนั้น ตีกรอบความรับผิดชอบไว้ว่า จะพยายามทำให้ราคาหุ้นขึ้นมากกว่าตลาดในช่วงขาขึ้น และจะทำให้ลดลงน้อยกว่าตลาดในช่วงขาลง ไม่มีกองทุนไหนกล้ารับประกันเลยว่าจะไม่ขาดทุน และทุกครั้งที่เราทำธุรกรรมซื้อขาย เราก็จะถูกค่าคอมกินอีกต่อหนึ่งด้วย ถ้าเราสามารถจัดการเองได้ ค่าใช้จ่ายทางด้านนี้ก็จะประหยัดลงไปครับ