เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 23:27:17
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 [26] 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293288 ครั้ง)
lucky girl
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #500 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 19:16:35 »

ดีนะคะจะได้เข้าห้องนี้บ่อยๆ ปกติเข้าเวปบอร์สินธร พันทิพค่ะ

ช่วงนี้ลงทุนในหุ้นกู้ไทยพาณิช์ค่ะ

รอเก็บของถูกค่ะ  PTTGC / CPALL

IP : บันทึกการเข้า
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #501 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 22:26:42 »

วันนี้มีประชุม
ปันผลเป็นหุ้น 1:1 ครับ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #502 เมื่อ: วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012, 15:11:46 »

วันนี้มีประชุม
ปันผลเป็นหุ้น 1:1 ครับ

  ซื้อง่าย ขายคล่องอีกแล้วล่ะซิ... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
chater_fender
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,984


LINE ของร้าน ID : @own5352i มี @ นำหน้าด้วยนะครับ


« ตอบ #503 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 16:00:30 »

ผมอยากเล่นหุ้น แต่ผมยังไม่รู้วิธีเล่นและไม่มีข้อมูลอะไรเลยครับ ไม่ทราบว่าในเชียงรายพอจะมีที่ไหนสอนเล่นหุ้นบ้างครับหรือผมควรจะเริ่มต้นที่ไหนยังไงดีครับ (รบกวนขอข้อมูลด้วยครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012, 19:31:27 โดย chater_fender » IP : บันทึกการเข้า

มิ้น & โม โซล่าเซลล์(เชียงราย) จำหน่ายสปอร์ตไลท์ ไฟถนน ฯลฯ พลังงานแสงอาทิตย์ http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=970673.0
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #504 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 15:22:08 »

นานๆเข้ามาทีครับ  ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย  เดี๋ยวตอบรวมๆก็แล้วกันนะครับ

     เรื่องปันผลเป็นหุ้นนั้น  โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเท่าไหร่  ก็อย่างที่ได้เคยอธิบายไปในตอนเปรียบเทียบเรื่องพ่อมีลูกเยอะนั่นแหละครับ  ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าสัวเขาทำไปทำไม  แต่การลงทุนในหุ้นก็คือ  การที่เราเอาเงินของเราไปร่วมลงทุนกับคนอื่นเขา  ซึ่งธุรกิจนั้นเราอาจจะไม่มีความรู้หรือความสามารถเทียบเท่ากับเขา  เราก็เลยไปลงทุนกับเขา  เพราะฉะนั้นแล้วเหตุการณ์นี้  ผมเชื่อใจเจ้าสัวครับว่า  จะไม่ทำให้ผมและผู้ถือหุ้นท่านอื่น  รวมทั้งตัวของเจ้าสัวเองเดือดร้อน  และหน้าที่ของนักลงทุนอย่างผมก็คือ  การให้คนอื่นสร้างความมั่งคั่งให้กับผม  ถ้าผมไม่ชอบใจในวิธีการของเขา  ผมก็ไม่ควรไปร่วมลงทุนกับเขาครับ

     และสำหรับคุณ  chater_fender ที่ส่งข้อความมาหาผม  ผมอ่านแล้วนะครับ  ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหุ้นก็ถามมาในห้องนี้ได้ครับ  บางทีผมอาจจะเข้ามาตอบ  หรือบางทีท่านอื่นที่มีความรู้จะเข้ามาตอบให้  ยินดีด้วยนะครับที่สนใจเรื่องการลงทุน  เพราะผมเคยเห็นหลายคนที่ได้พูดว่า  เพียงแต่ถ้าผมได้ทำมันก่อนหน้านี้เท่านั้น  ทุกวันนี้ผมก็จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้  ที่เขาพูดก็เพราะ  เขาเสียดายที่ไม่ได้ทำมันครับ  และมันก็ย้อนเวลากลับไปทำอะไรไม่ได้อีกแล้วด้วย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
montonsiri
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12


« ตอบ #505 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 21:45:59 »

ขอรบกวนท่านวายุหรือผู้รู้ท่านอื่นช่วยดูตัว jmartและitให้หน่อยว่าถือต่อหรือขายทิ้งดี ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #506 เมื่อ: วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2012, 23:58:37 »

     วันนี้พอจะว่าง  เข้ามาตอบคำถามก็แล้วกันนะครับ

สำหรับคุณ  Oconner

ยิงฟันยิ้ม ช่วงนี้พี่หรั่งจัดหนักตลอด ใครมีวิธีสู้บอกที



การลงทุนมิใช่การสู้รบกับคนอื่นครับ  เราควรต่อสู้กับความโลภและความไม่รู้ของตัวเราเองจะดีกว่า  คุณว่าช่วงนี้ฝรั่งซื้อใช่ไหม  แล้วคุณว่าฝรั่งจะไล่ซื้อหุ้นจนมันแพงไปหรือไม่?  คำตอบของผมก็คือไม่  หุ้นทุกตัวควรมีราคาที่เป็นธรรมสำหรับตัวมัน  เพราะถ้าราคาที่กำลังซื้อขายกันอยู่นั้นมันไม่ยุติธรรม  การซื้อขายจะไม่เกิดขึ้น  ตอนนี้สิ่งที่คุณควรทำก็คือ  ประเมินราคาหุ้นที่คุณสนใจเอาเองว่า  ราคาเท่าไหร่ที่คุณเรียกว่าแพง  และถ้ามันเกินไปกว่านั้น  คุณก็ตัดสินใจเอาเองเถอะนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 00:19:02 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #507 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 00:11:37 »

สำหรับคุณ  lucky girl

ดีนะคะจะได้เข้าห้องนี้บ่อยๆ ปกติเข้าเวปบอร์สินธร พันทิพค่ะ

ช่วงนี้ลงทุนในหุ้นกู้ไทยพาณิช์ค่ะ

รอเก็บของถูกค่ะ  PTTGC / CPALL



ที่คุณว่ารอเก็บของถูกนั้นคือเมื่อไหร่  คุณคิดว่าเวลานั้นจะเกิดขึ้นจริงไหม?  อันนี้ไม่มีใครรู้หรอกนะครับ  ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน  ถ้าสมมุติว่าหุ้น  7-11  มันขึ้นไปถึงร้อยแล้วมันตกลงมาเหลือแปดสิบ  ถึงเวลานั้นคุณจะว่ามันถูกหรือเปล่า?  อันนี้ก็บอกไม่ได้อยู่ดี  แต่เท่าที่ผมอ่านเสาหลักของการลงทุนในหุ้นทั้งสองปรมาจารย์มา  ผมเห็นว่าเกรแฮมจะซื้อหุ้นตัวที่มันราคาถูก  โดยไม่สนใจพื้นฐานของมัน  และเขาจะขายเมื่อราคามันได้ปรับขึ้น  นั่นคือการลงทุนในแบบที่เรียกว่า  VI  ส่วนการลงทุนในแบบของฟิลลิปนั้น  เขาสนใจแต่หุ้นคุณภาพสูง  และยังสามารถโตไปได้อีก  ถ้าเขาเห็นว่าหุ้นนั้นยังจะโตไปได้อีก  เขาก็มักจะไม่สนใจว่ามันราคาถูกหรือไม่  เพราะเขาเคยเล่าให้ฟังว่า  เคยมีลูกค้าของเขาอยากได้หุ้นตัวหนึ่งมาก  และลูกค้าได้สั่งให้เขาตั้งราคารับไว้  แต่จนแล้วจนรอดหุ้นนั้นก็ไม่ยอมตกลงมาสักที  ที่ว่ายังไม่ตกลงมาก็คือ  เพียงแค่เขาขยับราคาให้แพงขึ้นไปอีกสองช่อง  ลูกค้าเขาก็จะได้หุ้นนั้นแล้ว  แต่ด้วยความอยากประหยัดเงินเพียงแค่สองช่อง  มันจึงทำให้ลูกค้าของเขาไม่ได้หุ้น  และเมื่อการตกของหุ้นสิ้นสุดลง  ราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปอีกมากมาย  นั่นทำให้ลูกค้าของเขาชวดกำไรที่ควรจะได้เป็นเงินจำนวนมาก  แล้วตอนนี้คุณคิดออกหรือยังว่า  คุณควรซื้อหุ้นตัวที่คุณเล็งไว้หรือไม่?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #508 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 00:17:59 »

สำหรับคุณ  montonsiri
ขอรบกวนท่านวายุหรือผู้รู้ท่านอื่นช่วยดูตัว jmartและitให้หน่อยว่าถือต่อหรือขายทิ้งดี ขอบคุณครับ
คำถามที่คุณถามมานั้น  ผมอยากจะถามคุณกลับหน่อยนะครับว่า  ก่อนคุณซื้อ  คุณได้ศึกษาหุ้นพวกนั้นดีหรือยัง  เพราะคำถามทำนองนี้ที่ว่าซื้อดีไหมขายดีไหม  ผมตอบไม่ได้หรอกครับ  เพราะการซื้อขายให้ได้เงิน  มันเกี่ยวกับตลาด  มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวหุ้น  ถ้าคุณอยากจะปรึกษาผมจริงๆแล้วล่ะก็  ผมขอถามคุณดังนี้

-หุ้นพวกนั้นมีสินค้าอะไรบ้าง
-มีคู่แข่งคือใคร
-ปันผลเป็นอย่างไร
-กำไรของบริษัทเป็นอย่างไร

เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #509 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 15:21:45 »

แจกหุ้น   
     ช่วงนี้ได้มีการพูดถึงเรื่องการแจกหุ้นของ  7-11  พอสมควร  ผมก็เลยอยากแสดงความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างนะครับ

     การแจกหุ้นนี้ก็คือหนึ่งในวิธีการเพิ่มทุนและเพิ่มสภาพคล่องของบริษัท  โดยปกติแล้วเรามักจะรู้จักและคุ้นเคยกับการเพิ่มทุนของบริษัทด้วยการที่เราต้องเอาเงินของเราเองไปซื้อหุ้นของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นมา  แต่การแจกหุ้นนี้แตกต่างออกไป  ถ้าบริษัทไหนก็ตามที่เพิ่มทุนด้วยการขายหุ้นที่ออกมาใหม่ให้กับคนอื่น  ผมว่าบริษัทนั้น  “ใช้ไม่ได้”  ครับ  นี่เป็นสัญญาณอันตรายว่า  บริษัทนั้นกำลังขาดเงิน  หรือบริหารงานผิดพลาด  หรือไม่มีความสามารถในการทำธุรกิจ  จนทำให้บริษัทขาดทุน  ซึ่งการที่จะทำให้บริษัทไม่ล้มนั้นก็มีวิธีอื่นอีกเช่น  ไปกู้เงินมาทำธุรกิจ  แต่ตัวผู้บริหารเองไม่อยากเสี่ยงหรือเสียเครดิต  ก็เลยผลักภาระความเสี่ยงนั้นมาให้ผู้อื่นแทน  โดยการออกหุ้นใหม่และนำมาขายเพื่อเอาเงินไปทำธุรกิจต่อ  ซึ่งถ้าบริษัทไหนทำอย่างนี้  ในความเห็นของผมแล้ว  บริษัทนั้นไม่เหมาะที่จะลงทุนอีกต่อไป  เนื่องจากสัญญาณอันตรายแรกมาแล้ว  นั่นก็คือบริษัทต้องการเงินทุนก้อนใหม่  และถ้าเรายอมซื้อหุ้นที่ออกมาใหม่นั้นโดยการใส่เงินเพิ่มเข้าไปอีกในขณะที่บริษัทกำลังแย่  อย่างนี้เราก็จะแย่ตามไปด้วย  และถ้าสมมุติว่าบริษัทสามารถกลับมาที่จุดเดิมได้  แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ  หุ้นมันมีจำนวนมากขึ้น  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นมันก็จะไม่เท่าเดิม  เนื่องจากมันมีตัวหารเพิ่มมากขึ้น  นั่นเป็นเพราะว่า  เวลาที่บริษัทมีรายได้เข้ามาเท่าเดิม  แต่ต้องเอารายได้เหล่านั้นไปแตกส่วนให้กับทุกหุ้นนั่นเอง

     ในด้านของการแจกหุ้น  เป็นอะไรที่แตกต่างออกไป  ส่วนมากบริษัทที่แจกหุ้น  มักจะเป็นบริษัทที่ไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน  ดูได้จากเขาเพิ่มหุ้นโดยที่ไม่ได้เรียกร้องเงินจากคนอื่น  แต่การเพิ่มหุ้นในลักษณะนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียคือ

ข้อดี  การที่บริษัททำการเพิ่มหุ้น  นั่นก็แสดงว่า  บริษัทมีความมั่นใจว่า  จะยังสามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตให้คงอยู่อย่างต่อเนื่องได้ต่อไปอีก  ซึ่งถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง  หุ้นที่เขาได้แจกมาให้นั้น  มันก็จะมีค่ามากกว่าที่จะได้รับปันผลที่ออกมาเป็นตัวเงินจริงๆเสียอีก  เนื่องจากว่า  ในวงการหุ้นนั้นมีค่า  PE  อยู่  ซึ่งค่า  PE  พวกนี้นี่แหละจะเป็นตัวที่เอามาคูณกับกำไรที่บริษัทจะทำได้  สมมุติว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้  1  บาทต่อหุ้น  ค่า  PE  พวกนี้ก็จะทำให้กำไร  1  บาทที่บริษัทหามาได้ทวีคูณขึ้นไปในทุกตัวหุ้น  ซึ่งตรงนี้เป็นผลตอบแทนที่มากกว่าการที่เราจะได้รับเป็นตัวเงินจริงๆ  และยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น  กำไรสะสมที่บริษัททำได้มีมากขึ้น  ราคาหุ้นทั้งที่มีอยู่เดิมและที่ได้รับแจกมาใหม่ก็จะทวีคูณขึ้นไปตาม  นี่จึงเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือจากเงินปันผล  ซึ่งเราก็คงต้องตามดูกันต่อไป  และการที่เราได้รับหุ้นมานั้น  ถ้าในอนาคตราคาหุ้นมันเพิ่มขึ้น  เราก็ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนั้นด้วย  ผิดกับการที่เราได้รับปันผลเป็นตัวเงิน  เพราะทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินออกมา  รัฐบาลก็จะหักเงินของเราไปทุกครั้งเช่นกัน

ข้อเสีย  การมีหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นมา  จะทำให้มีตัวหารเพิ่มขึ้น  ยิ่งแจกหุ้น  1:1  ด้วยแล้ว  ราคาหุ้นน่าจะลดลงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว  แต่ทฤษฏีนี้ก็จะไม่มีผลต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบันเลย  เนื่องจากว่าสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของการถือหุ้นยังคงเดิมอยู่  แต่มันจะไปมีผลในอนาคต  ถ้าบริษัทไม่ได้เติบโตอย่างที่คิดไว้  ราคาหุ้นก็จะขยับได้อืดมากหรือลดลง  เนื่องจากตัวหารเยอะนั่นเอง

     มีคนสงสัยและมาถามผมพอสมควรเหมือนกันว่า  แจกหุ้นแล้วมันดีอย่างไร  หลังจากนี้แล้วมันจะเป็นอย่างไร  คิดว่ามันดีหรือไม่  ผมก็เลยเอามาตอบรวมในที่เดียวเลยว่า  ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง  การที่ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้ก็เพราะว่ามันเติบโตอย่างโดดเด่น  ไม่ใช่เพราะว่ามันมีราคาถูก  ผมชื่นชอบในการบริหารของฝ่ายจัดการ  และผมก็ยังเชื่อใจในตัวเจ้าของหุ้นเองด้วยว่าจะไม่ทำให้ตัวเขาเองและผู้ถือหุ้นอย่างผมเสียหาย

     และถ้าถามผมว่า  ระหว่างปันผลเป็นเงินกับปันผลเป็นหุ้น  ผมชอบแบบไหนมากกว่ากัน?  มันก็มีดีมีเสียไปคนละอย่าง  ถ้าปันผลเป็นเงิน  ผมก็ว่าดี  เพราะเราสามารถนำเงินพวกนี้ไปทำอะไรก็ได้ตามใจเราได้ทันทีโดยไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่หุ้นมันจะขึ้น  หรือถ้าเราไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไร  เราจะเอาไปซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามาอีกเป็นการลงทุนแบบทบทวีคูณก็ได้  แต่ถ้าปันผลเป็นหุ้นอย่างเดียวโดยไม่มีเงินปันผลเลย  ผมก็ยอมรับได้นะ  ถ้าผู้บริหารสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากกว่าการจ่ายแต่เงินปันผล  ผมจะยอมเสี่ยงที่จะไม่ยอมรับปันผลเป็นเงินเลยก็ได้ถ้าฝ่ายบริหารจะเก็บเงินสดไว้เพื่อฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจในทุกโครงการที่ฝ่ายบริหารค้นพบ  แต่ตอนนี้ที่หุ้น  7-11  ทำนี่สิ  มันได้ทั้งสองอย่างเลย  แล้วคุณคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีไหมล่ะ?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #510 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012, 22:28:21 »

ผมจัดเพิ่มไปตั้งแต่วันที่ประกาศปันผลเป้นหุ้นแล้วหละครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
montonsiri
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12


« ตอบ #511 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2012, 20:05:49 »

ขอบคุณท่านวายุที่ให้คำแนะนำ พวกงบการเงินผมอ่านก่อนเข้าซื้อแล้วครับ ขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #512 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 15:34:55 »

ขอบคุณท่านวายุที่ให้คำแนะนำ พวกงบการเงินผมอ่านก่อนเข้าซื้อแล้วครับ ขอโทษที่รบกวนคุณนะครับ

ไม่ได้รบกวนหรอกนะครับ  แต่ผมอยากให้ท่านเป็นนักลงทุนที่รอบรู้ต่างหาก  บางคนอาจจะเป็นนักลงทุนอัจฉริยะ  บางคนอาจจะเป็นนักลงทุนเทวดา  แต่สิ่งที่ดีที่สุดผมว่าน่าจะเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้  ความหมายก็คือ  คุณไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรูปแบบธุรกิจเกี่ยวกับหุ้นทุกตัว  ขอเพียงคุณรู้ความตื้นลึกหนาบางของหุ้นตัวที่คุณสนใจก็เพียงพอแล้ว  ซึ่งนั่นจะทำให้คุณทำเงินได้ดีกว่า  อย่างผมทุกวันนี้  ผมก็ไม่รู้หรอกว่าโทรศัพท์ยี่ห้ออะไรที่เขานิยมใช้กัน  หรือว่าราคายางและน้ำมันทุกวันนี้เป็นอย่างไร  ขอให้คุณสร้างขอบเขตความรอบรู้ของคุณขึ้นมา  และคุณก็พยายามอยู่ในขอบเขตของความรอบรู้นั้น  สิ่งที่อันตรายที่สุดมันไม่ได้อยู่ที่ว่าความรอบรู้ของคุณนั้นมันมีน้อยขนาดไหน  แต่สิ่งที่อันตรายก็คือ  การไม่รู้ว่าขอบเขตที่คุณรู้นั้นมันอยู่ตรงไหน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
่jarun1914
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #513 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2012, 19:22:30 »

เงินสี่ด้าน คนสี่ประเภท ผมอ่านหลายรอบมากแต่ยังอยู่ในข้อลูกจ้างอยู่เลยครับ
พึ่งจะลงทุนไปครับ  แต่มีความเสี่ยงต่ำอยากลงทุนเกี่ยวกับธนาคารครับมีอะไรให้ลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำบ้างครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #514 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2012, 15:46:15 »

ตอบคุณ  jarun1914
     ความเสี่ยงต่ำ  ผลตอบแทนต่ำ  เอาไหมครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #515 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2012, 15:48:43 »

นิยามของความถูก
     เมื่อพูดถึงเรื่องถูกหรือแพงแล้ว  “ราคา”  มักจะเป็นสิ่งแรกที่เรานึกถึง  และคนโดยส่วนมากก็มักจะมีความตื่นเต้นกับคำว่าถูกอย่างอัตโนมัติ  เพราะโดยความเชื่อแล้ว  ความถูกนั้นหมายถึง  เป็นโอกาสที่ดีของผู้ซื้อ  ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมักจะต้านไม่อยู่  หากมีใครมาบอกว่า  ของสิ่งนั้นมันมีราคาถูก  แต่ก็ยังมีผู้บริโภคอยู่อีกจำนวนหนึ่ง  ที่มักจะมีความยับยั้งชั่งใจหรือมีเหตุผลเพียงพอที่จะตรวจสอบว่า  ราคาที่ว่าถูกนั้น  มันเหมาะสมกับคุณภาพหรือไม่  บางทีอาจเป็นไปได้ว่า  ของที่ว่าถูก  อาจจะเป็นสินค้าที่ใกล้หมดอายุแล้ว  หรือเป็นสินค้ามีตำหนิ  หรือเป็นสินค้าตกรุ่น  ฯลฯ  ซึ่งการกระทำแบบนี้ถือว่า  เป็นการกระทำที่ฉลาด  เพราะว่าเราไม่ได้ตกอยู่ภายใต้การชักนำด้วยเหตุผลเพียงอย่างเดียว  แต่ก็มีผู้บริโภคอยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยอมรับกับราคาถูกและความด้อยของคุณภาพสินค้าได้  เนื่องจากว่า  เขาไม่ได้มีเงินเพียงพอที่จะไปซื้อของที่มีราคาแพงแต่คุณภาพดี  หรืออาจจะมีเงินแต่งก  อันนี้มันก็แล้วแต่เหตุผลส่วนตัวและสภาพเศรษฐกิจของใครของมันนะครับ

     เมื่อพูดถึงการลงทุน  ความถูกก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนค้นหา  ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม  ไม่มีใครชอบของแพง  แต่นิยามของความถูกในการลงทุนนั้นกลับแตกต่างกันไปในแต่ละคน  บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่า  ความรู้หรือสไตล์ส่วนตัว  เป็นเรื่องที่แยกนักลงทุนเหล่านั้นให้มองของสิ่งเดียวกันไม่เหมือนกัน  เดี๋ยวเราลองมาจำแนกกันดูดีกว่า

ถ้าเป็นอสังหา  คนส่วนมากก็มักจะมองคล้ายๆกันว่า  ถ้าตรงไหนเจริญ  ตรงนั้นก็มักจะราคาดีกว่า  แต่การมองเพียงมิติเดียวนั้น  บางทีอาจจะพลาดในบางเรื่องได้  เพราะถ้าเราไม่สืบดูให้ดีเสียก่อนว่า  ทำไมเขาจึงขาย  และแถวๆนั้น  มันมีอะไรที่เป็นสิ่งรบกวนหรือไม่เช่น  ขโมยเยอะ  น้ำไม่ค่อยไหล  หรือในอนาคตจะมีโครงการเกิดขึ้นแถวๆนั้นและจะกระทบกับคนที่อยู่แถวนั้น  ถ้ามันออกแนวอย่างนี้  ถึงเขาจะขายถูก  เราก็ไม่ควรซื้อ  สิ่งนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบข้อมูลที่เราได้รับมา (คุณภาพของสินค้า)  กับราคาที่เราต้องจ่าย  แต่ก็จะมีคนประเภทที่ว่า  ยอมรับกับราคาถูกและความด้อยของคุณภาพสินค้าได้  อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หุ้น  อันนี้สามารถจำแนกออกมาได้หลายอย่างเลยในเรื่องมุมมองของนักลงทุนต่อสิ่งที่เรียกว่าถูก

1.ถูกกว่าตลาด  คำนี้เป็นคำที่ใช้กันเยอะมากคำหนึ่งในการที่จะยกมาประกอบให้เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือสำหรับการลงทุน  และคนที่ใช้คำนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นนักวิเคราะห์เสียด้วย  ซึ่งคำพูดของนักวิเคราะห์พวกนี้มักจะมีน้ำหนักมากสำหรับคนที่ไม่รู้จริง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า  แค่คำนี้เพียงคำเดียว  มันจะสามารถปกป้องการสูญเสียหรือเราจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าคนที่ลงทุนในหุ้นตัวอื่นได้อย่างไร  ถ้าสมมุติเขาบอกว่า  ตลาดมีค่า  PE  15  เท่า  ในขณะที่หุ้นตัวนี้มี  PE  แค่  10  เท่า  เท่านั้น  เพราะฉะนั้น  หุ้นตัวนี้จึงมีราคาถูก!!!  นั่นเพียงพอแล้วหรือสำหรับการลงทุน  “ไม่”  ยังไม่พอหรอก  คุณต้องสาวให้ลึกลงไปกว่านั้นว่า  ทำไมมันจึงถูกกว่าตลาดได้  ในขณะที่ตลาดหุ้นบูมอย่างทุกวันนี้  ผมเห็นหุ้นบางตัว  PE  ยังไม่ถึง  10  เท่าก็มี  ในขณะที่บางตัว  PE  เกือบ  40  เท่าแล้ว  อะไรคือสิ่งที่แยกหุ้นทั้งสองตัวนี้ให้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง  สิ่งนั้นคือคุณภาพในการสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนนั่นเอง

2.ถูกกว่าอดีต  สำหรับเรื่องราคาหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตแล้ว  มันสามารถแยกสาเหตุออกมาได้เป็นสามลักษณะคือ  โดยนักลงทุนทางเทคนิค  โดยปัจจัยพื้นฐานของกิจการ  และโดยตลาดหุ้นโดยรวม

2.1  นักลงทุนทางเทคนิค  นักเทคนิคส่วนใหญ่จะซื้อขายจากกราฟ  เขาจะเก็บสถิติที่ผ่านมาของหุ้นทุกตัวและของตลาดเอาไว้  เมื่อเขาได้ราคามา  เขาก็จะเอามาทำเป็นกราฟและมองดูว่า  จังหวะไหนที่ควรซื้อหรือขาย  และผมก็อยากจะถามว่า  นั่นเพียงพอแล้วหรือสำหรับการลงทุน  “ไม่”  นี่ก็ยังไม่พอหรอก  ของทุกอย่างน่าจะมีเหตุผลที่เพียงพอสำหรับตัวมันเอง  การลงทุนมันต้องมีอะไรมากกว่านั้น  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องดูกิจการด้วยตามข้อ  2.2

2.2  ปัจจัยพื้นฐานของกิจการ  ถ้าสมมุติว่าหุ้นอสังหาตัวหนึ่ง  เคยซื้อขายกันแถวๆ  10  บาท  และถ้าสมมุติว่าในปีนี้  หุ้นตัวนั้นหาซื้อที่มาสร้างบ้านขายไม่ได้  จึงทำให้ยอดขายบ้านในปีนี้น้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ราคาอุปกรณ์ก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น  ในขณะที่ไม่สามารถเพิ่มราคาขายขึ้นไปได้  เมื่อราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่า  10  บาท  คุณคิดว่า  หุ้นนั้นราคาถูกน่าลงทุนหรือไม่  ถ้าคุณดูแต่ราคาหุ้นโดยใช้เทคนิคเพียงอย่างเดียว  นั่นคือจุดอ่อน  และเป็นจุดตาย

2.3  ตลาดหุ้นโดยรวม  ข้อนี้เป็นข้อยกเว้นเกี่ยวกับเรื่องราคาของหุ้นในตลาด  อย่างช่วงที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้  เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  มันได้สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นเป็นบริเวณกว้าง  และตลาดหุ้นก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นด้วย  จนทำให้ราคาหุ้นร่วงลงกราวรูดเป็นร้อยจุด  การที่ราคาหุ้นมันถูกกว่าในอดีตในลักษณะนี้  เป็นการตกลงเพียงชั่วคราว  มันไม่ได้มีผลต่อการทำธุรกิจของบางบริษัทมากนัก  ถ้าเราประเมินได้ว่า  น้ำท่วมมันก็ต้องมีวันลด  มันเป็นแค่ผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น  ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ  ธุรกิจก็จะดำเนินต่อไป  ถ้าราคาหุ้นมันตกลงมาด้วยแรงขายมากเกินไป  เราก็สามารถเข้าไปลงทุนได้

3.ราคาถูกสำหรับอนาคต  หัวข้อนี้อธิบายได้ว่า  เมื่อดูราคาในปัจจุบันแล้ว  หลายคนอาจจะบอกว่าราคามันแพงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ  แต่ถ้าผมถามว่า  ถ้าในอีก  5  ปีข้างหน้า  ราคามันจะมากกว่านี้อีก  1  เท่าตัว  คุณคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่?  นี่ผมกำลังพูดถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่เติบโตอยู่  และการที่เราจะรู้ว่าตัวไหนกำลังโตหรือตัวไหนไม่โตแล้วนั้น  มันต้องใช้การประเมินเป็นหลัก  ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากพอสมควร  การที่จะมองเรื่องนี้ให้สมบูรณ์แบบมากที่สุดนั้น  จำเป็นต้องใช้ทักษะหลายอย่างประกอบกัน

     เรื่องที่สำคัญมากที่สุดเรื่องแรกเลยก็คือ  เราต้องมีจินตนาการวาดภาพกิจการออกมาให้ได้ว่า  ในอนาคตกิจการนั้นจะเป็นอย่างไร  ตัวอย่างที่คลาสสิกสำหรับเรื่องทำนองนี้ก็คือ  ในตอนที่ประเทศไทยยังไม่เจริญ  ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงทุกบ้าน  แต่เรารู้ว่าในอนาคต  ทุกบ้านจำเป็นต้องมีไฟฟ้าใช้  เราก็ลงทุนไปกับหุ้นไฟฟ้า  และอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้  ทุกบ้าน  (ยกเว้นในที่กันดาร)  มีไฟฟ้าใช้กันหมดแล้ว  หรืออีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ  เมื่อไม่นานมานี้เราจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้ว่า  การติดต่อสื่อสารเริ่มพัฒนาขึ้นไปทุกที  จากไปรษณีย์ก็กลายเป็นโทรศัพท์บ้าน  และจากโทรศัพท์บ้านก็กลายเป็นเพจเจอร์  และจากเพจเจอร์ก็กลายเป็นมือถือ  เมื่อเราประเมินแล้วว่า  ในอนาคตต้องมีคนใช้มือถือกันเป็นจำนวนมากแน่นอน  เราก็ลงทุนกับหุ้นมือถือไป  จวบจนถึงทุกวันนี้  เราก็จะไม่ผิดหวังที่เราได้ลงทุนไปกับมัน

     ส่วนเรื่องที่สองที่เราต้องนำมาประเมินประกอบกันอีกก็คือ  ถ้าสินค้านั้นมีคนต้องการใช้จริง  แล้วมันจะสามารถทำกำไรได้หรือไม่  เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างบริษัท  true  ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นได้ว่า  บริษัท  true  นั้นมาทีหลังแต่มาแรงมาก  ที่ว่าแรงในที่นี้หมายถึง  อัดโปรกระหน่ำ  เพื่อหวังจะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดจากเจ้าเก่า  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  เมื่อทำตามกลยุทธ์นั้นไปแล้ว  บริษัทก็ยังขาดทุนตลอดมา  บางทีก็เป็นการขาดทุนที่น้อยลง  แต่มันก็ยังเป็นผลการดำเนินงานที่ขาดทุนอยู่ดี  เมื่อไม่มีกำไร  แล้วจะเอาผลตอบแทนที่ไหนมาให้ผู้ถือหุ้น  ซึ่งตรงนี้จะเห็นได้ว่า  แม้จะมีผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทเยอะ  แต่ทางบริษัท  ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้  มันก็จะทำให้เราพลอยอึดอัดตามไปด้วยถ้าเราได้ลงทุนกับบริษัทไป

     และส่วนสุดท้ายนี้เป็นตัวอย่างของการประเมินธุรกิจในแบบของผม  แต่ต้องย้ำก่อนว่า  นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น  ซึ่งมันอาจจะผิดก็ได้

     ตัวอย่างสำหรับการประเมินหุ้นในอนาคตของผมก็จะออกแนวเช่น  ทุกวันนี้ผมก็ยังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆอยู่  เพียงแต่ว่าบางธุรกิจเช่นขายอาหารเสริมอย่างบริษัท  APCO  นั้น  ผมก็ยังไม่เคยได้ทดลองใช้สินค้าของเขาเลยว่ามันดีหรือไม่  และในธุรกิจนี้  มีใครที่โด่งดังจนติดลมบนอยู่บ้าง  และบริษัทจะสามารถแทรกตัวเข้าไปในตลาดนี้ได้หรือไม่  และในอนาคต  จะมีบริษัทที่โดดลงมาเล่นกับธุรกิจอาหารเสริมอีกมากเท่าไหร่  ตรงนี้มันประเมินยาก  เพราะอย่างที่เราเห็นกัน  ธุรกิจเครือข่ายหรือขายตรงก็โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด  ไหนจะยังมีสินค้าที่โฆษณาตามนิตยสารต่างๆหรือในโทรทัศน์อีกมากมาย  ซึ่งเค้กก้อนนี้  (ตลาดสุขภาพ)  ยังมีคนจ้องจะมาแบ่งอีกเยอะ  ผมก็เลยยังไม่สนใจที่จะลงทุน  หรืออีกธุรกิจหนึ่งที่กำลังขยายตัวอยู่พอสมควรอย่างโฮมโปร  ผมประเมินได้ว่า  สินค้าของเขาเป็นแบบซื้อทีเดียวแล้วอยู่ได้นาน  อัตราการซื้อซ้ำต่ำ  ผมก็เลยไม่ชอบเท่าไหร่  หรืออีกบริษัทหนึ่งที่ตอนนี้โบรกเชียร์กันเป็นอย่างมากสุดใจขาดดิ้นเลยก็คือแมคโคร  บางทีหุ้นตัวนี้จากการประเมินของผมอาจจะผิด  บริษัทอาจจะสามารถอยู่รอดได้ด้วยความสามารถของตัวเองก็เป็นได้  แต่สิ่งที่ผมประเมินด้วยตัวเองนั้นออกมาได้ว่า  ทุกวันนี้ลูกค้าที่เข้าแมคโครโดยซื้อของไปกินไปใช้เองจะน้อยมาก  เนื่องจากต้องซื้อเหมาทีละเยอะๆ  ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นพวกร้านโชห่วยหรือคนที่ซื้อของไปขายต่อ  ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า  ถ้าร้านโชห่วยพวกนั้นถูก  7-11  หรือโลตัสเล็กเข้าไปบี้มากๆจนทำให้ร้านโชห่วยค่อยๆตายไป  ทีนี้คนที่จะเข้าแมคโครเพื่อซื้อของไปขายต่อก็จะลดน้อยลง  ยอดขายของตัวแมคโครเองก็น่าจะตกลง  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ถ้าโลตัสใหญ่หรือบิ๊กซีเข้าไปประกบกับแมคโครอีก  ตรงนี้ก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงลูกค้าในพื้นที่เดียวกัน  ซึ่งนั่นก็หมายถึง  สงครามราคาก็จะเกิดขึ้น  และเมื่อต่างคนต่างก็ลดราคา  ขายของดีแต่ไม่มีกำไร  ในขณะที่ค่าจ้างพนักงานและค่าไฟยังต้องจ่ายเท่าเดิมอยู่  อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไรนะครับท่านผู้ชม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 มีนาคม 2012, 16:09:48 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #516 เมื่อ: วันที่ 19 มีนาคม 2012, 16:07:05 »

ปันผล  ปันผล  และปันผล
     เมื่อกล่าวถึงเรื่องเงินปันผลแล้ว  ทั้งคนที่ถือหุ้นอยู่และไม่ได้ถือหุ้น  ต่างก็หูผึ่งกันเป็นแถว  เพราะการปันผลนั้นหมายความว่า  เราจะได้เงินนั้นมาใช้ฟรีๆโดยไม่ต้องออกแรงไปซื้อขายหุ้นให้เมื่อยตุ้ม  แต่ประเด็นที่ผมจะมาให้ความรู้ในวันนี้ก็คือ  ระหว่างหุ้นที่ไม่โตแต่ปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์มากๆเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  กับหุ้นที่เติบโตไปเรื่อยๆแต่ปันผลออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยเมื่อเทียบกับราคาหุ้น  คุณคิดว่า  หุ้นตัวไหนให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากันในระยะยาว  เอาล่ะ...เพื่อไม่ให้เสียเวลา  เรามาเริ่มตัวอย่างกันเลยดีกว่า

     ตัวอย่างที่  1  สมมุติให้หุ้นตัวหนึ่งชื่อว่า  “หุ้นไม่โต”  หุ้นตัวนี้มีนโยบายจ่ายปันผล  100  %  ของรายได้  พูดง่ายๆว่าหามาได้เท่าไหร่แจกหมด  ราคาหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  บาท  และหุ้นตัวนี้ปันผลปีละ  1  บาทต่อหุ้น  นั่นเท่ากับว่า  ในปีหนึ่งๆ  เราจะได้รับเงินปันผลเป็นจำนวน  10  %  ของเงินลงทุนถูกต้องไหม  ถ้าเรามีอยู่  1  หุ้น  เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปี  เงินที่เราได้รับจากหุ้นตัวนี้จะเป็นเงินเท่ากับ  10  บาท  และเนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โตแล้ว  ดังนั้นราคาหุ้นจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง    เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปี  เราจะมีเงินรวมทั้งหมด  20  บาท  โดยแบ่งเป็นเงินลงทุนเริ่มแรก  10  บาท  บวกกับเงินปันผลที่เราได้รับมาตลอด  10  ปีอีก  10  บาท

     ตัวอย่างที่  2  หุ้นตัวนี้ชื่อว่า  “อนาคตที่สดใส”  หุ้นตัวนี้มีนโยบายจ่ายปันผลเพียง  50  %  ของกำไร  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้ลงทุนต่อ  เพื่อให้บริษัทเติบโตขึ้น  ราคาหุ้นตัวนี้เริ่มแรกอยู่ที่  10  บาทเท่ากับหุ้นตัวแรก  แต่เงินปันผลที่ออกมาตอนแรกนั้นได้แค่  50  สตางค์ต่อหุ้นเท่านั้น  ถ้าเราคำนวณก็จะพบว่า  ผลตอบแทนที่ได้รับ  เพียงแค่  5  %  ของเงินลงทุนเท่านั้นเอง  ไม่คุ้มค่าเงินลงทุนเท่ากับหุ้นตัวแรกเลย  แต่...ช้าก่อน  เดี๋ยวเราลองมาดูกันต่อไป  ถ้าสมมุติอีกว่า  ให้หุ้นตัวนี้มีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้นปีละ  20  %  ปีแรกที่บริษัททำกำไรได้ก็คือ  1  บาท  แต่ปันผลออกมาแค่  50  สตางค์  แต่เมื่อขึ้นปีที่สอง  บริษัทสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้นเป็น  1.20  บาทต่อหุ้น  เมื่อถึงเวลาปันผล  บริษัทจะปันผลออกมาเป็นเงินหุ้นละ  60  สตางค์  และถ้าตลาดยังให้ราคาของหุ้นเมื่อเทียบกับเงินปันผลเท่ากับ  5  %  อยู่  ราคาหุ้นในปีที่สองก็น่าจะเป็น  12  บาท  และเมื่อคำนวณต่อไปอีก  10  ปีจะพบว่า

     ปีที่     กำไรต่อหุ้นที่ทำได้     เงินปันผล     ราคาหุ้นที่ควรจะเป็น
      1            1  บาท                50  สต.          10
      2           1.20  บาท            60  สต.          12
      3           1.44  บาท            72  สต.         14.4
      4          1.728  บาท           86  สต.         17.2
      5           2  บาท                 1  บาท          20
      6          2.40  บาท             1.20  บาท     24
      7          2.88  บาท             1.44  บาท     28.8
      8          3.456  บาท           1.72  บาท     34.5
      9          4.15  บาท             2.07  บาท     41.5
     10          4.98  บาท            2.49  บาท     49.8


     เมื่อเวลาผ่านไป  10  ปีเท่ากัน  หุ้นตัวที่มีการเติบโตสูง  สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว  เมื่อเราลองมารวมผลตอบแทนที่ได้รับก็จะพบว่า  ในปีที่  10  เราจะมีเงินเท่ากับ  62.4  บาท  ซึ่งเงินที่คำนวณได้นี้มาจาก  49.8 (ราคาหุ้นในปีที่  10) + 12.6 (เอาเงินปันผลที่ได้รับทั้ง  10  ปีมารวมกัน)  เมื่อเทียบกับหุ้นตัวแรกที่ไม่โตแล้ว  ในปีที่  10  เราจะมีเงินเพียงแค่  20  บาท  ดังนั้นจะเห็นได้ว่า  ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวที่สองที่มีการเติบโตสูงแล้วล่ะก็  มันจะให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมากทีเดียว  ถึงแม้ว่าในตอนแรก  ผลตอบแทนของหุ้นตัวที่สองอาจจะสู้หุ้นตัวแรกไม่ได้  แต่ระยะยาวแล้ว  หุ้นที่เติบโตจะชนะในที่สุด  นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเทียบผลตอบแทนของหุ้นที่เติบโต  20  %  เท่านั้น  ถ้าคุณเลือกหุ้นที่เติบโตน้อยกว่านี้หรือสูงกว่านี้  อัตราผลตอบแทนมันก็จะแตกต่างออกไป  แต่อย่างน้อย  สิ่งที่เราต้องลงทุนก็น่าจะเป็นหุ้นที่มีการเติบโต  ดังจะสังเกตได้ว่า  ถึงแม้จะนับแต่เงินปันผล  หุ้นที่มีการเติบโตก็ยังให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่มากกว่าอยู่ดี  และสุดท้ายก็ขอยกตัวอย่างจริงมาประกอบนะครับ

อันนี้เป็นข่าวเกี่ยวกับบริษัท  7-11  นะครับ  7-11  ได้รายงานผลการดำเนินงานโตเกิน  20  %  มาตลอด  ดูได้จากวันที่  21  ก.พ.  55  -  3  พ.ย.  54  และ  9  ส.ค.  54

http://www.set.or.th/set/companynews.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

และอันนี้เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง  (XD)

http://www.set.or.th/set/companyrights.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

และสุดท้าย  อันนี้คือการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นตามพื้นฐานกิจการที่มันโตขึ้น  ดูช่องที่  7  จากข้างล่างสุดขึ้นมาครับ  (ราคาล่าสุด  บาท)

http://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 มีนาคม 2012, 16:15:59 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #517 เมื่อ: วันที่ 27 มีนาคม 2012, 15:40:08 »

IPO
     เป็นที่เข้าใจกันดีว่า  IPO  คือหุ้นที่เพิ่งถูกขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก  และกำลังจะเข้าตลาดหุ้น  มีนักลงทุนหลายคนที่มักจะเข้าไปไล่ซื้อหุ้นในวันแรกๆที่หุ้นเหล่านั้นเข้าตลาด  เพราะหลายคนมีความเชื่อว่า  นั่นคือโอกาสที่เราจะได้เป็นเจ้าของหุ้นในตอนเริ่มต้น  เนื่องจากว่าราคาหุ้นยังไม่ได้ขยับไปไหนไกล  ถ้าปล่อยนานไปราคาหุ้นจะแพงขึ้น  “จะรอทำไม  เดี๋ยวก็อดรวยกันพอดี”  ซึ่งความเชื่อนี้โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยนัก  นักลงทุนอาจจะมองตัวอย่างของบริษัทที่ได้เข้ามาในตลาดก่อนหน้านี้  และเห็นว่าเมื่อบริษัทเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ  ราคาหุ้นของบริษัทที่ประสบความสำเร็จหลังจากนั้นไม่นานก็ซื้อขายกันที่หลายเท่าของราคาที่เข้าตลาดในครั้งแรก  พวกเขาก็เลยพากันไปรุมทึ้งแย่งชิงกันในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาด  แต่ผมอยากจะบอกว่า  ถ้าคุณลงทุนแบบนี้นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังหวัง  มันยังไม่ใช่การลงทุน  สำหรับผมแล้ว  การลงทุนก็คือ  เราต้องรู้ก่อนว่าอะไรมันกำลังจะเกิดขึ้น  ถ้าสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้นคุณค่อยลงทุน  เพราะสิ่งต่างๆที่สำคัญมันจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ซื้อหุ้นไปแล้ว  และในส่วนของเจ้าของหุ้นนั้น  เป็นธรรมดาของคนที่ต้องการจะขายอะไรสักอย่าง  มันก็ต้องทำให้สินค้าดูดีน่าเป็นเจ้าของ  เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ก่อนจะเข้าตลาด  งบการเงินของกิจการแต่ละแห่งและคำโฆษณาต่างๆจะดูดีชวนให้คิดต่อไปอีกไกลถึงความสำเร็จที่จะตามมา  แต่ผมอยากให้ตรึกตรองกันสักนิดว่า  บริษัทที่เพิ่งเข้ามาใหม่นั้น  มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทที่มั่นคงอยู่ตัวแล้วและมองเห็นได้โดยไม่ต้องเดา  ในบริษัทที่มั่นคงอยู่ตัวแล้วนั้น  ไม่ว่าจะเป็นสินค้า  การตลาด  ระบบขนส่ง  ลูกค้า  คู่แข่ง  การผลิต  ต้นทุน  ความสามารถของฝ่ายบริหาร  และเรื่องอื่นๆทั้งหมดของการดำเนินงานของบริษัท  เราสามารถนำมันมาประมวลผลได้  และหนำซ้ำยังไม่พอ  ถ้าเรายังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทมากนัก  เราสามารถสอบถามข้อมูลกับผู้ที่คลุกคลีหรือผู้ที่รู้เรื่องของบริษัทดีกว่าเราได้ว่า  บริษัทที่เรากำลังพิจารณาเพื่อจะลงทุนอยู่นั้น  มีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอมากแค่ไหน  ในทางกลับกัน  ถ้าบริษัทที่เรากำลังสนใจยังอยู่ในช่วงก่อตั้ง  สิ่งที่เราจะทำได้ก็แค่  เดาว่าปัญหาและจุดแข็งน่าจะเป็นอะไร  ซึ่งมันมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการลงความเห็นและสรุปได้สูงกว่า  ไม่ว่านักลงทุนจะมีทักษะมากแค่ไหนก็ตาม  มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่เราจะเลือกบริษัทที่โดดเด่นมากในขณะที่บริษัทกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น  ด้วยเหตุผลเหล่านี้  ไม่ว่าบริษัทที่เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งจะน่าสนใจมากแค่ไหนเมื่อมองครั้งแรก  ผมคิดว่าการลงทุนในบริษัทที่ยังใหม่เหล่านี้  ยังไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยสำหรับเงินลงทุนของเรา  และตัวผมเองก็ยังไม่เคยซื้อหุ้นของบริษัทที่กำลังก่อตั้งใหม่เลย  ไม่ว่ามันจะดูน่าสนใจมากแค่ไหน  คำแนะนำของผมก็คือ  “ให้รอกำไรก่อน”  จะดีกว่าไหม  ถ้าเราจะยอมซื้อของแพงไปสักหน่อย  แต่ได้ของที่มีคุณภาพ  เฉกเช่นเดียวกับสินค้าที่ออกใหม่  ถ้าคุณยังไม่รู้จักสินค้านั้น  วิธีการที่ฉลาดก็คือ  คุณก็คงปล่อยให้คนอื่นซื้อมาใช้ก่อน  หลังจากนั้นคุณก็ค่อยไปถามเขาว่าการใช้งานเป็นอย่างไร  ถ้าข้อมูลที่ได้รับมาว่ามันใช้ดี  คุณค่อยไปซื้อทีหลังก็ได้...ไม่เสียหาย  แต่ถ้าสินค้านั้นกำลังออกใหม่  และคุณก็ลองไปซื้อมาใช้เป็นคนแรกโดยที่ยังไม่มีข้อมูลจากผู้ที่เคยใช้มันมาเลย  และถ้ามันใช้ไม่ดีขึ้นมา  คุณจะโทษใคร  เพราะหลายคนก็เซ็งกับพระเจ้าจอร์จมันยอดมากมาเยอะแล้ว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #518 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2012, 15:51:31 »

ราคาเป้าหมาย
     ทุกครั้งที่ผมได้อ่านบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์แต่ละสำนักแล้ว  ผมมักจะตั้งข้อสังเกตว่า  ในบทวิเคราะห์พวกนั้นมักจะมีข้อมูลและเหตุผลต่างๆที่นำมาประกอบกันอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า  หุ้นตัวนั้นมันน่าสนใจหรือไม่น่าสนใจแค่ไหน  และสิ่งที่เกือบทุกบทวิเคราะห์จะต้องทำเหมือนกันก็คือ  “ราคาเป้าหมาย”

     ผมว่าราคาเป้าหมายเป็นแค่เพียงความเห็น  มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือหลักการที่มันจะต้องเป็นจริงเหมือนอย่างที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายแนะนำ(แต่ถ้าคุณมาเชียร์หุ้นผม  ผมก็ขอบคุณ)  ผมไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม  ทำไปเพื่อใคร  ทำเพื่อตัวเองหรือเปล่า?  และสาเหตุที่ผมคิดว่าเขาทำเพื่อตัวเองนั้น  สามารถแยกออกมาได้  2  เหตุผลใหญ่ๆนั่นก็คือ

1.หวังค่าคอม  การออกบทวิเคราะห์และนำมาแจกจ่ายให้กับนักลงทุนนั้น  เป็นวิธีการกระตุ้นหรือชี้นำให้นักลงทุนทุกคนที่ได้รับข้อมูลนั้นตื่นตัวที่จะทำตาม  ถ้าบทวิเคราะห์ออกมาในเชิงบวก  คนที่โลภก็มักจะซื้อหุ้นตัวที่เชียร์อยู่  โดยมีความหวังที่จะได้เงินก้อนโตแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องทำการบ้านเอง  ซึ่งบางทีราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์เชียร์อยู่  อาจจะสูงมากเป็นเท่าตัวจากตอนที่นักลงทุนผู้โลภมากได้รับข่าว  ซึ่งการที่ผมบอกอย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า  การที่นักวิเคราะห์ทำอย่างนั้น  และคนที่ซื้อตามที่นักวิเคราะห์เชียร์นั้นมันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย  ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดน่าจะมาจากการทำการบ้านด้วยตัวเราเองมากกว่า  ลองนึกดูง่ายๆนะครับว่า  เมื่อทุกคนได้อ่านบทวิเคราะห์พวกนั้นพร้อมกัน  ราคาหุ้นก็มักจะถีบตัวสูงขึ้น  แล้วอย่างนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า  เราจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่กำลังซื้อหุ้นตัวนั้นอยู่  ถ้าเราเป็นคนสุดท้ายที่กำลังซื้อหุ้นนั้นอยู่  และไม่มีใครยอมมาซื้อต่อจากเรา  คุณก็น่าจะนึกสภาพตัวเองออกว่า  จะตกอยู่ในสภาพแบบใด  ในกรณีนี้มันมักจะออกมาได้  2  ลักษณะคือ  อึดอัดเพราะหุ้นมันไม่ขึ้นแล้ว  หรือหุ้นนั้นมันกำลังตกลง  เนื่องจากว่าคนที่ได้ซื้อก่อนหน้าคุณนั้นมีกำไรกันทุกคนและเขาก็พยายามแย่งกันขาย  แต่ไม่ว่าจะออกมาในลักษณะไหนก็แล้วแต่  สุดท้ายคนที่ได้ก็คือโบรกเกอร์  ไม่ว่าคุณจะได้หรือเสีย

2.หวังกำไร   วิธีนี้แสบมาก  เพราะเป็นการหาเงินจากการชี้นำของตัวเอง  โดยปกติแล้ว  คนที่สามารถแนะนำการลงทุนให้กับคนอื่นได้จะต้องมีใบอนุญาต  และเนื่องจากว่ามันมีความน่าเชื่อถือจากใบอนุญาตเป็นตัวรับรอง  คนก็มักจะเชื่อกันง่าย  โดยเข้าใจว่าคนที่มีใบอนุญาตจะต้องเก่งและรอบรู้  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าเขาไปซื้อหุ้นนั้นไว้ก่อนแล้วค่อยออกบทวิเคราะห์ตามหลังมาล่ะ?  ในกรณีนี้คนที่ซื้อหุ้นก่อนอย่างนักวิเคราะห์ก็จะไร้ความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง หรือถ้ามีความเสี่ยงก็จะน้อยมาก  เนื่องจากว่าการซื้อหุ้นตอนที่ราคามันยังไม่ได้ขยับ  จะยังไม่มีใครมีกำไรจนเป็นเหตุจูงใจทำให้คนที่ได้ถือหุ้นตัวนั้นอยู่ก่อนแล้วอยากที่จะขายมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นเริ่มพุ่งขึ้น  คนที่มีหุ้นนั้นอยู่ก่อนแล้วก็เริ่มที่จะคิดถึงการขายมันเพื่อทำกำไร  และผมอยากให้ข้อคิดกับทุกคนไว้ว่า  “เมื่อใดก็ตามที่คุณกำลังตื่นเต้นที่จะซื้อทรัพย์สินใดๆ  คนที่รู้จักทรัพย์สินพวกนั้นดีกว่าคุณ  ก็กำลังตื่นเต้นที่จะขายมันให้คุณเช่นกัน”  อาจจะมีนักวิเคราะห์บางท่านออกมาปฏิเสธว่า  เขามีคุณธรรมเพียงพอ  เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก  แล้วถ้าผมถามต่อไปว่า  ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ทำ  แล้วคุณคิดว่านักวิเคราะห์คนอื่นเขาจะทำไหม?  จากการสำรวจในต่างประเทศพบว่า  นักวิเคราะห์ทุกคนเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นคนมีคุณธรรม  แต่ตัวเขาเองไม่เชื่อว่าเพื่อนร่วมอาชีพของเขาจะมีคุณธรรมเหมือนกันกับเขา...ตลกไหมล่ะ  และถ้ามีนักวิเคราะห์บางคนออกมาบอกว่า  ถ้าผมพูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่า  ผมกล่าวหาเขาลอยๆโดยไร้หลักฐาน  อันนี้ผมอยากจะถามกลับไปว่า  คุณคิดว่านักการเมืองทุกคนคอร์รัปชั่นไหม?  แน่นอน...คุณก็ต้องบอกว่ามันต้องมี  ถูกต้องแล้วครับ  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถึงแม้ว่าคุณจะรู้ว่านักการเมืองชอบคอร์รัปชั่น  แต่คุณก็จะไม่รู้หรอกว่าเขาทำเมื่อไหร่  ที่ไหน  อย่างไร  เพราะคงไม่มีใครบ้าออกมาป่าวประกาศหรอกนะว่าผมจะโกงแล้ว  ดังนั้น  พวกนักวิเคราะห์ที่สามารถทำเงินได้โดยใช้บัญชีนอมินี  ก็คงจะไม่ออกมาป่าวประกาศเหมือนกัน

     ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  คนที่เข้ามาอ่านบทความของผมคงไม่อยากเป็นเหยื่อหรือแมงเม่า  และถ้าไม่อยากเป็นแล้วจะต้องทำอย่างไร?  ก็ต้องทำการบ้านด้วยตัวเองสิครับ  และเวลาที่เราอ่านบทวิเคราะห์  เราก็ควรเสพแต่ข้อมูลและนำมาประเมินด้วยตนเอง  อย่าหลงเชื่อในราคาเป้าหมายที่เป็นแค่ความเห็น  เพราะการที่ราคาหุ้นมันจะไปถึงหรือไม่ถึงตรงนั้น  นักวิเคราะห์ทุกคนไม่สามารถทำให้มันเป็นไปได้หรอก  ไม่อย่างนั้นเขาจะออกมาเชียร์ทำไมกัน  และสุดท้าย  ถ้านักวิเคราะห์บางคนยังคงยืนยันถึงบทวิเคราะห์ของตัวเขาเองว่าถูกต้องเชื่อถือได้  ผมก็อยากถามเขากลับไปว่า  ถ้าผมซื้อแล้วหุ้นมันไม่ได้ขึ้นไปอย่างที่คุณแนะนำ  คุณกล้ารับประกันไหมว่า จะคืนเงินต้นพร้อมกับกำไรนั้นให้กับผม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #519 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 16:10:28 »

เวลาและความสุข
     นักลงทุนที่กำลังลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นทุกวันนี้  ไม่ว่าจะเป็นมือเก่าหรือมือใหม่ก็ตาม  น่าจะเคยมี  หรือกำลังมีอาการอย่างที่ผมกำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ

1.ติดตามข่าวสารทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าจะเป็นทั้งของหุ้นตัวที่ถืออยู่  ตัวที่กำลังเล็งอยู่  หรือแม้กระทั่งตัวที่ไม่ได้สนใจจะซื้อ  และติดตามแม้กระทั่งข่าวเศรษฐกิจของต่างประเทศและในประเทศ  รวมทั้งข่าวของสินทรัพย์อย่างอื่นเช่นทองคำ  พันธบัตร  หุ้นของต่างประเทศ

2.สนใจในเรื่องของเทคนิคมากๆไม่ว่าคุณจะใช้เทคนิคเป็นหรือไม่ก็ตาม  ทั้งเรื่องการหาจังหวะซื้อ(แนวรับ)  การหาจังหวะขาย(แนวต้าน)  ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง  ราคาย้อนหลัง  ค่าเบต้า  การคัทลอส  หรืออ่านบทวิเคราะห์การแสดงความเห็นของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย

3.เวลาหุ้นขึ้นแล้วมีความสุข  แต่ความสุขนั้นก็มาพร้อมกับความหวั่นใจและความกลัวว่า  ถ้าไม่รีบขายแล้วหุ้นตก  ก็จะไม่ได้กำไร  เวลาหุ้นตกก็อยากซื้อ  แต่ไม่กล้าซื้อ  มัวแต่รีๆรอๆดูเชิงอยู่  หรือถ้าอาการหนักกว่านั้นก็คือ  ขายทิ้งตามน้ำเสียเลย

4.สนใจกับภาวการณ์ที่  “เขา”  บอกว่า  เป็นปัจจัยหรือมีส่วนที่จะกระทบกับตลาดหุ้นเช่น  อัตราดอกเบี้ย  เงินเฟ้อ  เงินฝืด  ค่าP/Eตลาดของเราเมื่อเทียบกับต่างประเทศ  ฝรั่งซื้อหรือขาย  การเมือง  อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน

5.เวลาเราจะซื้อหุ้น  เราก็มานั่งคำนวณดูว่า  ถ้าเข้าซื้อที่ราคานี้  แล้วถ้ามันขึ้นไปที่ราคานี้  เราจะได้เท่าไหร่  และตัวที่เราเล็งไว้ก็ต้องเป็นตัวที่เขานิยมซื้อขายกันจนติดอันดับในตลาด  หรือเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นไม่กี่ช่องก็ได้เงินแล้ว  หรือเป็นหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาจนน่าจะลองจับจังหวะเข้าดู  หรือเป็นหุ้นที่กำลังมีข่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง  ซึ่งข่าวนั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดผลดีหรือผลเสียต่อบริษัท

6.นอนไม่หลับกระสับกระส่าย  เนื่องจากเวลามีหุ้นอยู่ก็กลัวว่ามันจะตก  ถ้ายังไม่มีหุ้น  ก็กลัวว่าราคามันจะขึ้นไปโดยที่ยังไม่ได้ซื้อ  ไม่มีเวลาชีวิตไปทำอย่างอื่น  มัวแต่คอยจ้องตลาดตาไม่กระพริบ

     อาการที่ผมได้กล่าวมาทั้งหมดแล้วนั้น  เป็นอาการของ  “นักเก็งกำไร”  ล้วนๆ  ผมเชื่อว่าคนที่เข้าตลาดมาใหม่ๆ  จะต้องเป็นอย่างนี้กันทุกคน  เพราะผมก็เคยเป็นมาก่อน  ถ้าเราสามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองได้  เราก็จะกลายเป็นนักลงทุนในที่สุด  แต่น่าเสียดายกับบางคน  ที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว  ก็ยังมีอาการอย่างนี้อยู่  ซึ่งนั่นเท่ากับว่า  เขาไม่ได้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นเลย  เดี๋ยวผมจะมาแยกย่อยอธิบายเป็นข้อๆกันเลยดีกว่า  ว่าที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น  มันไม่ดีอย่างไร

ข้อ  1  การติดตามข่าวสารเป็นสิ่งที่เราควรทำ  แต่ควรทำอย่างเหมาะสม  เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้  เอาเฉพาะที่มันน่าจะมีผลกับหุ้นตัวที่เราสนใจอยู่ก็พอแล้ว  บัฟเฟตเคยพูดว่าว่า  “ผมสนใจแต่เรื่องของต้นไม้  ไม่ได้สนใจเรื่องของป่า”  ถ้าป่านั้นกำลังแห้งแล้ง  แต่ต้นไม้ของคุณนั้นแข็งแกร่งและสามารถยืนต้นอยู่ได้  คุณก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลัว

ข้อ  2  การใช้เทคนิค  ผมเคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว  ผมจะไม่ตอกย้ำมันอีกนะครับ  ส่วนเรื่องการดูราคาและจังหวะ  อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจ  แต่อย่าให้มันเป็นสิ่งสำคัญในอันดับแรกเลย  ถ้าคุณซื้อขายเร็ว(เก็งกำไร)  การได้สักบาทหรือสองบาทเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการถือยาวและมั่นใจว่าการวิเคราะห์ของคุณนั้นถูกต้อง  ถ้าสมมุติว่าราคาหุ้นตอนนี้มันอยู่ที่  50  บาท  ถ้าคุณถือยาวไปเรื่อยๆจนมันสามารถขึ้นไปได้อีก  50  บาท  ซึ่งในวันนี้คุณอาจจะซื้อแพงไปบ้างสักบาทหรือสองบาท  แต่มันก็จะมีผลน้อยมาก  เมื่อเทียบกับการที่คุณซื้อหุ้นไม่ได้  จนชวดเงินก้อนใหญ่ที่ควรจะได้ไป  เพียงแค่ต้องการจะประหยัดเงินในจำนวนเล็กน้อยเพียงแค่นั้น

ข้อ  3  ข้อนี้มันเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ของผู้ลงทุนเอง  ถ้าเราคิดว่าได้เลือกหุ้นที่ดีแล้ว  เราจะไปสนใจกับราคาที่มันแกว่งขึ้นแกว่งลงจนเป็นปกติให้มันปวดหัวไปทำไมกัน

ข้อ  4  เหตุการณ์ในข้อนี้  ก็ต้องยอมรับว่ามันมีผลกระทบบ้าง  แต่ถ้าหุ้นเรามันโตไปเรื่อยๆแล้ว  เวลาที่หุ้นมันตกหนักๆ  คุณคิดว่าคนอื่นเขาไม่อยากได้หรือ  ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือกองทุน?

ข้อ  5  ข้อนี้น่ากลัวมาก  เพราะเป็นทัศนะคติของแมงเม่า  ถ้าใครเข้าไปยุ่งด้วย  ไม่ว่าจะได้หรือเสีย  ผมจะเรียกเม่าไว้ก่อน  และคำแนะนำของผมก็คือ  หุ้น...ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่  มันไม่ใช่ประเด็น  สำคัญมันอยู่ที่ว่า  มันต้องโตได้อีกเท่านั้นเอง  ถ้าคุณซื้อหุ้นเล็กแต่มันไม่โต  ราคามันก็จะนิ่งอยู่ตรงนั้น  อย่าไปหวังว่า  ราคาขยับนิดเดียวแต่ได้อื้อซ่า  แล้วถ้ามันตกลงมาล่ะ  มันก็อื้อซ่าเหมือนกันแหละ

ข้อ  6  เรื่องการนอนไม่หลับนี้  ใครเคยเป็นยกมือขึ้น...นนน  ผมว่า...คนที่เข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว  น่าจะเคยเป็นกันทุกคน(รวมทั้งผมด้วย)  เผลอๆทุกวันนี้ก็ยังมีคนเป็นอยู่  หลอนจนนอนผวา

     ถ้าพวกเราลองมาสรุปให้เห็นภาพกว้างๆกันอีกทีจะเห็นได้ว่า  ถ้าเราดำเนินชีวิตในแบบที่ได้กล่าวมาทุกข้อแล้วนั้น  ชีวิตเราจะไร้เวลาและความสุขโดยสิ้นเชิง  ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในชีวิตของพวกเรา  มันจะมีประโยชน์อะไร  ถ้าเรามีเงินแต่ไม่มีเวลาและความสุข  การที่เราลงทุนทุกวันนี้เราต้องการอะไร  ต้องการเงินมากๆถูกต้องไหม?  เมื่อเรามีเงินมากๆเราก็จะได้ไม่ต้องทำงานถูกต้องไหม?  แต่ในขณะเดียวกันก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้  ระหว่างทางเราจำเป็นต้องเครียดอย่างนั้นหรือเปล่า  เราจำเป็นต้องใช้เวลาที่มีค่าของเราให้หมดเปลืองไปกับการนั่งเฝ้ามองตลาดหรือติดตามข่าวสารในทุกขณะจิตหรือเปล่า  คำตอบคือไม่จำเป็น  ถ้าคุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวคุณให้เป็นนักลงทุนที่อดทนและรอบรู้ได้  คุณก็จะสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า  ได้ส่งเงินไปทำงานแทนคุณเรียบร้อยแล้ว  และเวลาในชีวิตส่วนที่เหลือ  คุณสามารถนำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองมากกว่าที่จะต้องมานั่งเฝ้ามองตลาดอย่างขวัญผวา  เสียสุขภาพจิตหมด

     มีตลกร้ายอยู่เรื่องหนึ่งบอกว่า

คำถาม     นักเก็งกำไรจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีตลาดหุ้น

คำตอบ     นักเก็งกำไรก็จะหมดไป
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 [26] 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!