เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 07:50:03
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 [24] 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293370 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #460 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2011, 21:37:31 »

กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียว
     หลายคนที่เคยรู้ถึงหลักการลงทุนในหุ้นด้วยวิธีการกระจายความเสี่ยงมาก่อนอาจสงสัยว่าผมกำลังพูดถึงอะไร  คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ  ผมบอกว่า  “กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียว”  จริงๆ  หลายคนอาจงงว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร  เดี๋ยวผมจะอธิบายให้รู้

     ตามหลักของการลงทุนโดยกระจายความเสี่ยงแล้วหมายถึง  เราต้องลงทุนในทรัพย์สินต่างชนิดกันเช่น  หุ้น  ทองคำ  ตราสารหนี้  เงินฝาก  สลากออมสิน  ที่ดิน  ฯลฯ  ซึ่งทรัพย์สินที่ต่างชนิดกันนี้  จะตอบสนองต่อปัจจัยหรือตัวแปรที่ต่างกันเช่น  ถ้าดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น  เงินฝากประจำระยะสั้นจะดี  แต่ตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่จะไม่ดี  อย่างนี้เป็นต้น  ซึ่งถ้าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นจริงๆ  แต่เราดันลงทุนเต็มที่ในตราสารหนี้  มันก็จะเกิดความเสียหายกับตัวเราได้  แต่ถ้าเรามาดูการลงทุนในหุ้นแล้วจะเห็นว่า  ถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเดียว  แต่ซื้อหุ้นในหลายๆบริษัทหรือหลายๆอุตสาหกรรม  อย่างนี้จะเรียกว่ากระจายความเสี่ยงใช่หรือไม่  คำตอบมันมีทั้งใช่และไม่ใช่  คำตอบที่ใช่คือ  มันไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน  เพราะฉะนั้น  ปัจจัยที่มีผลกระทบกับหุ้นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกันเช่น  ถ้าน้ำมันราคาขึ้น  หุ้นที่ขายน้ำมันจะดี  แต่มันจะไม่ดีกับหุ้นที่ใช้น้ำมันอย่างพวกขนส่งหรือสายการบิน  ส่วนคำตอบที่ไม่ใช่ก็คือ  ถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานานพอสมควรจะสังเกตเห็นได้ว่า  เวลาหุ้นมันตกแรง  มันก็มักจะตกพร้อมกันโดยไม่สนใจต่อปัจจัยที่จะมากระทบกับหุ้นเป็นรายบริษัทเลย  เวลาที่ตลาดปั่นป่วนหรือแตกตื่น  หุ้นทั้งดีและไม่ดีก็จะพากันร่วงกราวรูด  นั่นเป็นเพราะว่าทุกบริษัทต่างก็อยู่ในตลาดหุ้นเหมือนกัน  เมื่อตลาดไม่ดี  หุ้นทุกตัวก็เลยแย่ตามไปด้วย

     ทีนี้ถ้าเราจะมาพูดถึงประเด็นที่ว่า  กระจายความเสี่ยงโดยหุ้นตัวเดียวนั้นคืออะไร  สิ่งที่ผมจะบอกมันคือสินค้าของบริษัทหรือการทำธุรกิจของบริษัทนั่นเอง  บางบริษัทอาจจะขายสินค้าอย่างเดียวแต่ก็สามารถกระจายความเสี่ยงในตัวมันเองได้เช่น  เม็ดพลาสติก  เราต่างก็รู้ว่าพลาสติกสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง  ไม่ว่าจะเอาไปทำเป็นกาละมัง  โต๊ะเก้าอี้  ส่วนประกอบของรถมอเตอร์ไซค์  ส่วนประกอบของรถยนต์  ของเล่น  ฯลฯ  เพราะฉะนั้น  ลูกค้าของบริษัทพลาสติกจะไม่ได้มีอยู่แค่กลุ่มเดียว  ซึ่งนั่นจะทำให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงไปในสินค้าหลายๆผลิตภัณฑ์ได้  หรือบางบริษัท  อาจจะขายสินค้าหลายๆประเภทในบริษัทเดียวเช่น  7-11  ซึ่งถ้าเรามองดูจะเห็นได้ว่า  7-11  นั้นขายสินค้าหลายประเภทและหลายช่องทาง  สำหรับหลายประเภทก็ได้แก่  ของกิน  ของใช้  ของเล่น  หนังสือ  และบริการต่างๆ  ส่วนหลายช่องทางก็คือ  ขายที่สาขาเอง  ขายผ่านแคตตาล็อก  ขายผ่านอินเตอร์เนต  และขายผ่านทางจานดาวเทียม  ซึ่งนี่ก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเลือกลงทุนแค่บริษัทเดียวแต่ก็คล้ายกับว่าผมได้กระจายความเสี่ยงไปในสินค้าหลายประเภทครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #461 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2011, 01:50:32 »

เปิดเกมรุก!!!
     เคยมีโค้ชทีมฟุตบอลบางท่านกล่าวไว้ว่า  เกมรับที่ดีที่สุดคือการรุก  ขยายความก็คือ  ถ้าเรามัวแต่ตั้งรับอยู่ในแดนของตัวเอง  โดยให้คู่ต่อสู้เข้ามาป้วนเปี้ยนแถวเขตประตูของเรา  ถ้าเราพลาดพลั้งบางจังหวะ  หรือคู่ต่อสู้ทำได้ดี  จะทำให้เราเสียประตูได้  แต่ถ้าเราเปิดเกมรุก  โดยเป็นฝ่ายบุกอยู่ตลอดเวลา  นั่นจะทำให้คู่ต่อสู้ต้องถอยกลับลงไปอยู่ในแดนของตัวเอง   ทำให้ไม่มีโอกาสเข้ามาบุกเราได้  และถ้าเราสามารถตรึงคู่ต่อสู้ให้อยู่แต่ในแดนของตัวเองได้แล้ว  โอกาสที่เราจะเสียประตูก็จะลดน้อยลงไปด้วย  และถ้าทีมเราทำได้ดี  เราก็จะได้ประตูเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งนั่นจะทำให้ทีมมีความได้เปรียบที่มากขึ้นด้วย

     เฉกเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น  ถ้าเราเลือกหุ้นที่มีการเติบโต  ซึ่งหมายถึงหุ้นที่เราเลือกนั้น  ได้มีการเปิดเกมรุกตลอดเวลา  นั่นหมายความว่า  เราจะไม่โดนคู่แข่งแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดไป  ถึงแม้ว่าการเติบโตนั้นอาจจะไม่ได้เป็นการรับประกันว่ามันจะเป็นผลดีมาก  แต่อย่างน้อย  เราก็ได้กินแดนของคู่ต่อสู้  ทำให้คู่ต่อสู้บุกเราได้ยากลำบากขึ้น  แต่ถ้าเราเลือกหุ้นที่ไม่มีการเติบโต  ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการตั้งรับของบริษัท  ถ้าบริษัทเกิดพลาดในจุดใดจุดหนึ่ง  หรือคู่ต่อสู้ทำได้ดี  เมื่อนั้น  อาจจะทำให้บริษัทเสียประตูและตกเป็นรองบริษัทที่บุกเข้ามาได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #462 เมื่อ: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2011, 19:02:29 »

สัจธรรม
     การลงทุนในหุ้นของผม  ใช้หลักการง่ายๆทั่วไป  สิ่งที่ผมทำก็แค่ติดตามข่าวคราวของบริษัทที่ผมลงทุนอยู่เท่านั้นเอง  ถ้ากำไรมันเพิ่มขึ้น  ก็แสดงว่ามันดีขึ้น  แต่มีบางคนที่พยายามใช้เครื่องมือแปลกประหลาดซับซ้อนต่างๆเพื่อช่วยให้การลงทุนของเขามีความได้เปรียบคนอื่น  แต่เชื่อผมเถอะว่า  ไม่มีวิธีการไหนใช้ได้  100  %  จริง  เดี๋ยวเราลองมาดูหุ้นที่ผมลงทุนอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน

     ในวันที่  3  พ.ย  เวลา  5  โมงเย็น  ซึ่งเป็นเวลาหลังจากปิดตลาดไปแล้ว  บริษัท  CPALL  รายงานผลกำไรว่า  เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว  30  %

http://www.set.or.th/dat/news/201111/11043054.pdf

     แต่ราคาหุ้นในวันที่  4  และ  7  ไม่ได้เพิ่มขึ้นเพื่อรับข่าวดีนี้เลย  ซ้ำร้ายยังตกลงมาที่จุดต่ำสุด  45  บาทด้วย  นี่มันบ้าชัดๆ  จังหวะนี้เป็นเวลาที่ควรเข้าซื้อด้วยซ้ำไป  แต่มีหลายคนขายหุ้นออกมาจนทำให้ราคาหุ้นมันลดลง  และพอถึงวันที่  8  ดูว่าเกิดอะไรขึ้น  ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไป  5  %  ไปปิดที่  47.25  บาท  และในวันที่  11  ราคาหุ้นก็ปิดที่  48.25  บาท

http://www.set.or.th/set/historicaltrading.do?symbol=CPALL&language=th&country=TH

     ถ้าคุณได้ตามข่าวของหุ้นตัวนี้ก็จะเห็นถึงโอกาสได้ว่า  "ต้องซื้อ"  เท่านั้น  และถ้าคุณเข้าซื้อที่ราคา  45  บาท  เมื่อถึงวันที่  11  คุณจะได้กำไรจากราคาหุ้น  6  %  กว่าทันที  แต่หลังจากวันนี้ไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่าราคาหุ้นมันจะไปทางไหนต่อ  แต่ถ้าราคามันตกลงมาอีก  ก็ควรจะเป็นเวลาที่ดีในการซื้อเท่านั้น  และจะเห็นได้ว่า  การลงทุนแบบนี้คือการลงทุนบนความจริง  และนั่น...ทำให้ผมตั้งหัวข้อว่าสัจธรรม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #463 เมื่อ: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2011, 18:50:02 »

   ขออภัยที่หายไปนาน  เนื่องจากว่าอาซ้อไม่สบาย  ก็เลยต้องเฝ้าไข้กันตลอดเวลา  ของก็เลยพลอยไม่ได้ขายไปด้วย  วันนี้พอมีเวลามานั่ง  ก็เลยเอาความรู้มาฝากกันสักเล็กน้อย  หวังว่าแฟนๆคงไม่ว่ากันนะครับ

เรารวยแล้ว
     ปัญหาอย่างหนึ่งที่คู่กับคนส่วนใหญ่ก็คือการไม่มีเงิน  ทุกวันนี้หลายคนยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยังลำบากมาก  ผมก็ยังเป็นหนึ่งในคนส่วนใหญ่นั้นด้วย  หลายคนมีความคิดว่า  ถ้าเขาถูกหวยรวยเบอร์ขึ้นมา  ชีวิตเขาคงจะดีขึ้น  แต่เมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ  เขากลับจะต้องพบกับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมานั่นก็คือ  จะเอาเงินไปทำอะไรดี  ลองมาดูวิธีจัดการกับเงินของคน  2  คนกันดีกว่า  สมมุติให้ทั้งคู่ถูกหวยรางวัลที่  1  ได้เงินมาคนละ  2  ล้านเท่ากัน

     คนที่  1  แหม...รอมานานแล้ว  ตอนนี้อยากได้อะไรพ่อจะซื้อให้ดู  ว่าแล้วก็นั่งคิดๆๆจะเอาเงินไปซื้ออะไรดี  อ่าใช่แล้ว...ไปซื้อรถเก๋งมาขับดีกว่า  อยากได้มานานแล้ว  ทีนี้ล่ะ  สาวๆจะต้องมองจนเหลียวหลัง  พ่อจะแต่งให้แหล่มทั้งคันเลย  คิดเสร็จปั๊บก็ออกไปซื้อรถมาบัดเดี๋ยวนั้น  ซื้อสดซะด้วย...โก้ชะมัด  ซื้อรถเสร็จเงินยังเหลือ  เอาไปใส่เครื่องเสียงดีกว่า  อยากได้ที่มันแบบกระหึ่มเต็มถนน  เวลาขับเปิดเพลงไปคนมองกันเหลียวหลัง  ว่าแล้วก็ไปติดเครื่องเสียงอีก  หมดไปอีกเป็นแสน  แต่เงินยังเหลืออยู่อีก  งั้นแต่งเครื่องอีกนิด  อยากแรงกว่าใคร  ยัง...ยังไม่พอ  ขอใส่สปอยเลอร์หน่อยสิ  สเกิ๊ตอีก  ลงแม็ก  โหลดต่ำ  ทำจนครบเซ็ทเงินหมดพอดี  แหม..เป็นปลื้ม  รถสวยกว่าใคร  จากที่ขี่มอ’ไซค์กลายเป็นรถเก๋งเท่ๆ  ชีวิตเหมือนฝัน  มีความสุข

     คนที่  2  ได้เงินมาเสร็จปั๊บทำไงดีหว่ายังงงๆ  ตอนนี้ชีวิตก็ยังไม่ถึงกับอับจนอะไรมาก  มอ’ไซค์ก็ยังขี่ได้อยู่  เอาเป็นว่าเอาไปลงทุนก่อนดีกว่า  ว่าแล้วเขาก็เอาเงินไปลงทุนที่มันได้ผลตอบแทน  7  %  ต่อปี  ปีแรกเขาทำผลตอบแทนได้แสนสี่จากเงินลงทุนสองล้านบาท  น่าประทับใจมาก  แต่เขาก็ยังไม่อยากเอาเงินไปใช้อยู่ดี  เขามีความคิดว่า  เอาเงินที่ได้มาแสนสี่กลับไปลงทุนเพิ่มดีกว่า  ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้เรียกว่า  “ทบต้น”  ว่าแล้วเขาก็นำเงินทั้งแสนสี่เข้าไปรวมกับเงินต้นสองล้าน  ทำให้ตอนนี้เขามีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นมาเป็นสองล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท  ในปีที่สองของการลงทุน  เขาได้ผลตอบแทนมาอีก  7  %  ทำให้ตอนนี้เขามีเงินเพิ่มขึ้นมาอีก  149,800  บาท  เมื่อเอาผลตอบแทนเข้าไปรวมกับเงินต้นจะทำให้ในปีที่สองเขามีเงินเป็น  2,289,800  และเขาก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆติดต่อกันเป็นเวลา  5  ปี  เมื่อถึงปีที่  5  เขามีเงินรวมทั้งสิ้น  2,805,103  บาท!!!  ภายในเวลา  5  ปี  เขาสามารถทำให้เงินงอกออกมาได้อีกแปดแสน  ตอนนี้ถ้าเขาอยากได้รถเก๋งสักคันเขาก็สามารถเอาดอกผลที่ทำได้ไปซื้อโดยที่เงินต้นก็ยังอยู่ครบ

     เมื่อเวลาผ่านไป  5  ปีรถยนต์ของคนที่  1  ก็เก่าพอสมควรแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนแต่เขาก็ไม่เหลือเงินอีกแล้ว  ถ้าเขานำรถไปขายตอนนี้  ราคาก็จะตกลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียว  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือ  ขับรถคันเก่าต่อไป  โดยที่ค่าบำรุงรักษารถก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามสภาพการใช้งานของรถ  ในขณะที่ชายคนที่สอง  มีรถขับและก็ยังมีเงินเหลืออยู่ครบ  ถ้าเขาอยากจะเปลี่ยนรถ  เขาจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เขาต้องการ  โดยมีข้อแม้ว่าต้องเป็นเงินที่งอกออกมาจากเงินต้นเท่านั้น...จบ

     เมื่อสรุปจากเหตุการณ์จะเห็นได้ว่า  ความฉลาดทางการเงิน  ความมีเหตุผลในการใช้เงินและการรู้จักยับยั้งชั่งใจในความอยากของตัวเราเอง  จะทำให้ชีวิตเราไม่ลำบาก  ถ้าตอนนี้เรายังไม่มีเงิน  ผมอยากให้ทุกคนอดออมและอดทนเข้าไว้  ถ้าเรามีความมุ่งมั่นที่จะมีเงิน  ความฉลาดทางการเงินช่วยคุณได้  เมื่อมีเงิน...ผมอยากให้ทุกคนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน  ไม่ใช่สักแต่ว่าแค่มีเงินก็ใช้โดยไม่ยั้งคิด  คนรวยและคนจนมันไม่ได้แบ่งกันที่มีเงินมากหรือน้อย  มีได้ก็หมดได้  ไม่มีก็ทำให้มันมีขึ้นมาได้  ถ้าเป็นอย่างกรณีของชายคนที่  1  นั้น  ผมจะเรียกเขาว่า  คนจนที่มีเงินเท่านั้น   เขายังไม่ใช่คนรวยนะครับ  ถึงแม้ว่าเขาจะมีเงินก็ตาม  อยากเห็นคนเชียงรายไม่ลำบากครับ  คุณอยากรวยไหม  ถ้าอยากรวย  เรามาเดินไปพร้อมๆกันครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2011, 18:52:54 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #464 เมื่อ: วันที่ 23 พฤศจิกายน 2011, 19:51:08 »

    แล้วทำเรื่องเคลมประกันรึยังล่ะ ทั่นวายุ.. ยิ้มกว้างๆ  อย่างนี้ขาประจำก็อดได้ทานข้าวมันไก่อร่อยๆ เลย


คนไม่ได้ทำงาน   แต่ผมเชื่อว่าเงินทั่นวายุทำงานเหงื่อร่วงเป็นเม็ดๆ เลยแหละ ใช่มั้ย...ทั่น   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #465 เมื่อ: วันที่ 29 พฤศจิกายน 2011, 16:00:15 »

ทำให้ดูซิ
     ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หาเงินได้ง่าย  บางทีในการลงทุนมันก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังหรือพิถีพิถันมากนัก  แต่ถ้าเราคิดว่า  อันเงินทองนี้มันช่างหาได้ยากลำบากแท้  เราก็ควรไตร่ตรองให้มาก  ก่อนที่จะขยับทำอะไร  แต่ก็อีกนั่นแหละ  ถึงแม้จะมีบางคนที่หาเงินได้ง่าย  แต่ก็คงไม่มีใครชอบที่จะเสียตังค์  หรือคุณว่าไม่จริง  ใครเถียงยกมือขึ้น

     เพราะฉะนั้น  กลยุทธ์ทำให้ดูซิจึงเกิดขึ้น  หลักใหญ่ใจความของกลยุทธ์นี้ก็คือ  เราจะยังไม่ลงทุนในอะไรก็แล้วแต่  จนกว่าการลงทุนนั้นจะพิสูจน์ตัวเองได้แล้ว  ถ้าเรายังจำกันได้  เมื่อไม่นานมานี้  มีร้านสะดวกซื้อเกิดขึ้นมากมายหลายยี่ห้อ  ทั้ง  7-11  108  SHOP  แฟมิลี่มาร์ท  am-pm  เทสโก้โลตัส  ฯลฯ  และเราก็พอจะมองออกว่า  ในอนาคตร้านสะดวกซื้อจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในประเทศไทยอย่างแน่นอน  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะเลือกลงทุนในร้านไหนดีล่ะ?  ถ้าเราเป็นพ่อเลี้ยงเงินหนา  อาจเป็นไปได้ว่าคงจะกว้านซื้อหุ้นมันทุกยี่ห้อ  เพราะไม่ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งหรือหลายยี่ห้อจะต้องเกิดได้  แต่ถ้าเป็นคนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างพวกเรา  คงจะลงทุนได้อย่างมากก็แค่  1-2  บริษัท  แล้วมีวิธีไหนบ้างล่ะที่จะทำให้เราสามารถลงทุนในหุ้นได้ถูกตัว  วิธีที่ว่าก็คือ  เราต้องรอดูก่อนว่า  เมื่อฝุ่นหายตลบแล้ว  บริษัทไหนที่ยังคงอยู่  วิธีนี้ถึงแม้ว่าอาจจะดูว่าลงมือช้าไปบ้าง  แต่มันก็ช่วยลดความเสียหายในการลงทุนได้ดีทีเดียว  และทุกวันนี้เราก็คงจะรู้แล้วว่าใครเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ  ส่วนพวกที่ได้เอ่ยนามมาแล้วนั้น  บ้างก็ล้มหายตายจาก  บ้างก็ยังสู้กับ  7-11  ไม่ได้สูสีนัก  ถึงแม้ว่าการลงทุนในช่วงหลังจากที่รู้ตัวผู้ชนะแล้ว  มันอาจจะสร้างผลตอบแทนได้ไม่มากมายเท่ากับช่วงเริ่มแรกสร้างกิจการก็ตาม  แต่ความเสี่ยงในการที่คุณจะทายผิดตั้งแต่ตอนแรก  มันก็ได้ลดน้อยลงมากเช่นกัน  เพราะถ้าคุณทายผิดตั้งแต่ตอนแรก  ป่านนี้คุณคงเหลือแต่ตัวไปแล้ว  และหลังจากที่เรารู้ตัวผู้ชนะแล้ว  เราก็รอเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนต่อไป  ด้วยการใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดเพื่อหาจังหวะเข้าลงทุน

     มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้ก็คือ  ถ้าคุณไม่ได้เข้าลงทุนในหุ้นตัวที่ชนะ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่  บางทีคุณอาจจะเทียบด้วยค่า  PE  โดยให้เหตุผลว่า  ทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  แต่  PE  ของหุ้นตัวนี้ถูกกว่า  โดยเข้าใจว่านั่นคือวิถีแห่ง  VI  ผมว่า...คุณคงต้องหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับบัฟเฟตมาอ่านเสียกระมัง  จริงอยู่ที่ว่าค่า  PE  มันถูกกว่า  แล้วถ้าเทียบว่ามันมีโอกาสเจ๊งมากกว่าหรือเติบโตได้ช้ากว่า  คุณคิดว่ามันคุ้มที่จะลงทุนหรือเปล่า?  และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะย้ำในการลงทุนที่มีคนเข้าใจผิดเป็นจำนวนมากว่า  “หุ้นลงเป็นโอกาสของการซื้อ”  นั้น  ผมอยากให้ดูก่อนว่าที่มันลงนั้นคือตัวไหน  ถ้าตัวที่ชนะมันลง  นั่นก็เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อ  แต่ถ้ามันไม่ใช่ตัวที่ชนะ  และคุณเข้าไปรับซื้อโดยคิดว่ามันลงเดี๋ยวมันก็ต้องขึ้น  สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นมันคือ  คุณกำลังหวัง  มันไม่ใช่การลงทุน

     บางทีเราอาจเห็นแววว่าอนาคตหุ้นตัวนี้มันกำลังจะไปได้สวยเช่น  LOXLEY  (ล็อกซเล่ย์)  ซึ่งช่วงนี้กำลังมีข่าวว่าจะได้ทำหวยออนไลน์เพียงเจ้าเดียวในประเทศไทย  ถ้าเป็นเสือปืนไวก็อาจจะคิดว่า  นี่แหละคือสิ่งที่เรากำลังตามหา  แต่สำหรับผมแล้ว  มันยังเป็นแค่โครงการอยู่  มันจะน่าลงทุนก็ต่อเมื่อบริษัทได้ลงมือทำแล้ว  และมีกำไรให้เห็นได้จริง  เพราะถ้าเราซื้อหุ้นโดยคิดว่ามันจะดี  นั่นก็คือคุณกำลังหวังอีกแล้วครับท่าน  สาเหตุที่ผมยังไม่กล้าที่จะลงทุนในหุ้นตัวนี้ทั้งๆที่โครงการนั้นดีมากก็เนื่องจากว่า  การทำหวยออนไลน์ออกมาก็เพื่อช่วยไม่ให้หวยขายเกินราคา  แล้วคนที่เกี่ยวข้องกับการขายหวยในปัจจุบันนี้  ทั้งคนพิการ  คนไม่มีงานทำ  หรือคนใหญ่คนโตบางคนจะทำอย่างไรกับผลกระทบของรายได้ตัวเอง  อาจจะมีการก่อม็อบเพื่อมายื้อโครงการต่อไปอีกทำให้ไม่สามารถเกิดได้  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  บริษัทนี้ไม่ได้ทำธุรกิจแค่อย่างเดียว  เราก็ควรจะดูด้วยว่าถ้าโครงการหวยออนไลน์เกิดได้จริงแล้ว  รายได้ที่จะเข้ามาตรงนั้น  จะสามารถทำให้กำไรที่บริษัททำได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะหรือไม่เช่น  สมมุติว่าผมเปิดร้านอาหารโดยขายสารพัดอย่าง  ซึ่งแต่ละอย่างก็ขายไม่ใคร่ดีนักทั้งตามสั่ง  ก๋วยเตี๋ยว  ส้มตำ  ข้าวต้ม  และข้าวแกง  ผมก็เลยดิ้นหาทางรอดด้วยการไปซื้อสูตรข้าวมันไก่ของร้านข้าวมันไก่ใบเฟิร์นแสนอร่อยมา( แฮ่  แฮ่ )  เมื่อผมนำข้าวมันไก่มาทำขายแล้วปรากฏว่า  ขายดีพอสมควร  แต่ทีนี้ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  กำไรที่ได้มาจากข้าวมันไก่นั้น  มันจะโดนถัวให้กำไรลดลงด้วยการขาดทุนจากสินค้าตัวอื่นที่ขายไม่ได้  ทำให้รายได้ที่ได้รับจากข้าวมันไก่นั้น  ยังไม่สามารถดึงกำไรของทางร้านให้ดีขึ้นมากได้  เพราะฉะนั้น  การที่ผมทำข้าวมันไก่ขายโดยที่ยังมีสินค้าตัวอื่นเป็นตัวฉุดรั้งกำไรอยู่  จะทำให้กำไรที่ทำได้นั้น  ไม่ได้ดีอย่างที่หวังไว้  แต่ถ้าผมขายข้าวมันไก่แล้วนำไปถัวกับสินค้าอย่างอื่นที่ผมมีในร้าน  และกำไรที่ทำได้เป็นที่น่าพอใจจนทำให้กำไรโดยรวมดีขึ้น  นั่นมันก็ทำให้รู้ได้ว่า  สินค้าตัวที่เป็นข้าวมันไก่นั้นแรงจริง  สมควรที่จะลงทุนในร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง  และถ้าในอนาคต  ผมตระหนักได้ว่า  สินค้าตัวอื่นที่ผมมีไม่ได้สร้างกำไร  แถมยังมาฉุดรั้งกำไรในส่วนรวมให้ลดต่ำลงด้วย  เมื่อถึงเวลานั้น  ผมอาจจะตัดสินค้าตัวที่ไม่ทำกำไรออกไป  และหันมาเน้นสินค้าตัวที่ทำกำไรได้ดีกว่า  ร้านของผมก็จะมีกำไรเพิ่มขึ้น  ซึ่งเมื่อผมทำอย่างนี้แล้ว  กำไรของทางร้านก็ดีขึ้นตามลำดับ  ฉะนั้นแสดงว่า  ร้านของผมนี้มีพัฒนาการที่ดี  สมควรลงทุนเป็นอย่างยิ่ง...ฟันธง  เพราะฉะนั้นสำหรับหุ้นที่ยังเป็นโครงการอยู่  เราก็ยังไม่ต้องรีบร้อนลงทุน  ใจเย็นๆ  ค่อยๆดู  ถ้ามันดีจริงค่อยลงทุนทีหลังก็ได้ไม่เสียหาย

     และขอยกตัวอย่างอีกธุรกิจมาให้ดู  ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของเทคโนโลยี  3G  คุณคิดว่าใครจะชนะระหว่าง  AIS  DTAC  และ  TRUE  เท่าที่ผมดู  สังเกตเห็นว่า  ค่าย  TRUE  นั้นนำหน้ากว่าค่ายอื่น  ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา  การตั้งข่าย  และทุน  แต่เท่าที่เห็น  เราสามารถตัดสินได้หรือยังที่จะลงทุนในหุ้น  TRUE  นี้  ยัง...ช้าก่อน  ถ้าเป็นกลยุทธ์ทำให้ดูซิหัวใจของมันคือ  ต้องรอให้บริษัทพิสูจน์ตัวเองให้ได้ก่อนว่ามีกำไรจากการทำธุรกิจนั้นแล้วค่อยลงทุน  ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  คำนี้ยังใช้ได้เสมอ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #466 เมื่อ: วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 01:33:23 »

ตอบท่านเต
     เรื่องประกันนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งกับมันหรอกครับ  ไม่สบายนิดๆหน่อยๆ  ไปหาหมอคลีนิค  เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาทเอง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #467 เมื่อ: วันที่ 30 พฤศจิกายน 2011, 18:16:51 »

ตอบท่านเต
     เรื่องประกันนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งกับมันหรอกครับ  ไม่สบายนิดๆหน่อยๆ  ไปหาหมอคลีนิค  เสียค่ายาไปร้อยกว่าบาทเอง

 ก็ดีไปครับ  แต่ที่เมืองกรุงไม่ได้ วันนั้นเพื่อนมันกินน้ำประปาเข้าไป ต้องรุดเรียกแท็กซี่ไปหาหมอที่ รพ.เกษมราฎร์ สุขา ๓

ผมรูดบัตรเดบิตผมไปหมด พันสามร้อยกว่า แต่เพื่อนมันมีประกันสังคม และประกันชีวิตพ่วงค่ารักษาไปด้วย

เบิกประกันสังคมได้ พันนึง ประกันชีวิตได้เต็มจำนวนก็ถือว่าดีไป  แต่ถ้าหนักหนากว่านี้ลำบากครับสำหรับคนกรุง

ใช้สิทธิ สปสช. รอตายอย่างเดียวครับ สำหรับเมืองที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนที่คอยแย่งชิงโอกาสแห่งนี้.

ปล.วันนี้รับเงินเดือน ผมเจียดเงินอันน้อยนิดจากเงินเดือนลงทุนแล้วทั่น   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #468 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 15:59:24 »

บลูชิพ
     คำนี้มีที่มาจากบ่อนคาสิโน  คือ...เวลาที่คนจะเข้าไปเล่นพนันในบ่อน  ก็ต้องนำเงินสดมาแลกเป็นชิพหลากสีกับทางบ่อนก่อน  หลังจากนั้นจึงนำชิพที่แลกมา  ไปใช้เล่นการพนันได้ตามต้องการ  ซึ่งสมัยก่อนชิพที่มีค่ามากที่สุดนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน  และเมื่อนำคำนี้มาใช้ในวงการหุ้นแล้ว  เขาจะเรียกหุ้นตัวที่มีค่ามากๆว่าบลูชิพ  ซึ่งคำว่าค่ามากๆในที่นี้ก็ใช้กันหลายความหมายเช่น

-บ้างก็หมายความว่ามีมูลค่าทางตลาดมาก (มาร์เก็ตแค็ป)  การที่จะวัดว่ามีมูลค่าทางตลาดมากก็คือ  การเอาจำนวนหุ้นทั้งหมดคูณด้วยราคาหุ้นก็จะได้มูลค่าของกิจการหรือมูลค่าทางตลาดออกมา
-บ้างก็ว่าเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มของกิจการดี  อนาคตไกล
-บ้างก็ว่าเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่ล้มยาก

     ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่  ความหมายของมันก็มักจะคล้ายๆกันคือมีราคาแพง  ซึ่งการที่เราจะลงทุนกับบริษัทที่มีลักษณะนี้นั้น  มักจะได้ผลตอบแทนต่ำ  เนื่องจากหุ้นมีราคาแพงเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้ในปัจจุบัน  แต่เพราะมันมีความมั่นคงหรืออนาคตที่ดีของบริษัทเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน  มันจึงทำให้หุ้นนั้นมีราคาแพง

     แล้วหุ้นของบริษัทที่มีขนาดเล็กล่ะ?  ถ้าเป็นในสมัยก่อน  ใครๆต่างก็พูดกันว่าหุ้นเล็กนั้นเสี่ยง  เนื่องจากมองว่ามันเป็นการพนัน  สามารถปั่นให้ขึ้นหรือลงได้ง่าย  เพราะมันใช้เงินไม่มากในการปั่น  และการขยับขึ้นหรือลงแต่ละช่วงราคานั้นก็มักจะทำให้เกิดการได้เสียมากกว่าหุ้นใหญ่  คนก็มักจะเชื่อกันว่าหุ้นเล็กนั้นเป็นหุ้นเก็งกำไร  และก็เลยมีความเข้าใจแบบฝังรากมาว่า  หุ้นเล็กนั้นคือการเก็งกำไรมาตลอด  แต่ถ้าเราลองดูให้ดีจะพบว่า  ถ้าเรารู้จักหุ้นเล็กที่มีอนาคตดีสักตัวหนึ่ง  และเราก็รู้และเข้าใจการทำธุรกิจของมัน  เราก็จะพบว่านั่นไม่ใช่การเก็งกำไรอย่างที่หลายคนเชื่อว่ามันเป็น  และเมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหุ้นเล็กนั้นเป็นการลงทุนจริงๆถ้ามันมีความสามารถเติบโตได้ในอนาคต  และการลงทุนในหุ้นเล็กนั้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าการลงทุนในหุ้นบลูชิพเสียอีก  จวบจนถึงวันนี้  เส้นแบ่งระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไรได้ถูกแบ่งออกอีกครั้งอย่างชัดเจนด้วย  “ออปชั่นและฟิวเจอร์”

     ถ้าเราถามลึกลงไปอีกว่า  การลงทุนในหุ้นบลูชิพนั้นให้ผลตอบแทนที่ดีและปลอดภัยจริงหรือ?  ตามความเห็นของผมแล้ว  ผมว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน  ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้หมด  และจากประสบการณ์ของผมที่เห็นตลาดหุ้นมานานพอสมควรก็สามารถสรุปได้ว่า  เราต้องดูให้ออกก่อนว่าหุ้นที่เราลงทุนนั้นเป็นหุ้นแบบไหนหรือทำธุรกิจอะไร  ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ  ลองมองบริษัท  AIS  กับบริษัทปูนซีเมนต์ไทยก็แล้วกัน  ถึงแม้ว่าทั้งสองบริษัทนี้จะเป็นบริษัทขนาดใหญ่เหมือนกัน  แต่ความต่างของมันก็คือ  บริษัทไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกัน  บริษัทหนึ่งให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่  ซึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจภายในหรือภายนอกประเทศจะเป็นอย่างไร  น้ำจะท่วมหรือไม่  คนก็ยังใช้โทรศัพท์อยู่ดีถูกต้องไหมครับ  อาจจะมีบ้างในบางช่วงที่คนจะใช้มากกว่าหรืออาจจะใช้น้อยกว่าปกติบ้าง  ส่วนบริษัทที่ขายปูน  ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจดี  คนมีเงินกันอู้ฟู่  ช่วงเวลานั้นสร้างบ้านออกมากี่หลังก็ขายหมด  ถ้าสภาวะเป็นอย่างนี้มันจะทำให้คนขายปูนกำไรบานเบอะเพราะขายของได้มาก  แต่ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจไม่ดี  จะลดราคาบ้านอย่างไรก็ขายไม่ออก  อย่างนี้คนขายปูนก็ต้องหน้าแห้งตามไปด้วย  และที่สำคัญ  เราก็จะได้เห็นว่า  หุ้นบลูชิพอย่างปูนซีเมนต์ที่เขาว่าปลอดภัยนั้น  มันจะเหลือกี่บาท  หรืออีกบริษัทหนึ่งอย่าง ปตท.  ถ้าใครเคยเห็นตอนน้ำมันราคาตกจาก  140  เหรียญเหลือแค่  40  เหรียญก็จะได้เห็นแหละว่า  ตอนนั้นราคาหุ้น  ปตท.  ได้ตกลงมาจาก  400  กว่าบาทเหลือแค่  100  กว่าบาท  เพราะฉะนั้นประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่า  บริษัทนั้นมั่นคงขนาดที่คนเขายกให้ว่าเป็นหุ้นบลูชิพ  แต่สิ่งที่ต้องมองจริงๆก็คือเราต้องรู้ว่า  เรารู้จักบริษัทนั้นดีแค่ไหนต่างหาก  ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในตลาดหุ้น  ไม่ว่าหุ้นที่เราลงทุนนั้นจะเป็นบลูชิพหรือไม่ก็ตาม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #469 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 15:08:18 »

ถึงท่านมาร์คัส
     เห็นว่าท่านมีหุ้นโฮมโปรอยู่  ไม่ทราบว่าขายไปหรือยัง  เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัวของตัวผมเองแล้วเห็นว่า  ช่วงนี้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปมากจนรู้สึกว่า  พื้นฐานของกิจการไม่น่าจะรับกับราคาหุ้นในขณะนี้ได้  ถ้าผมมีอยู่คงจะขนออกมาขายแล้ว  แต่อันนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะนะครับ  ผมแค่รู้สึกว่ามันแพงไปก็เท่านั้นเอง  ถ้าเป็นผมที่กำลังคิดจะเข้าลงทุน  ผมคงยังไม่เข้าซื้อที่ราคานี้เป็นแน่  เนื่องจากว่าไม่คุ้มกับเงินลงทุน  ถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีรออยู่ข้างหน้าก็ตาม  แต่ยอดขายมันยังไม่มานะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

เอาค่า  PE  มาให้ดู  33  เท่าน่ะครับ  ผมว่ามันแพงไป
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #470 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 22:52:12 »

ถึงท่านมาร์คัส
     เห็นว่าท่านมีหุ้นโฮมโปรอยู่  ไม่ทราบว่าขายไปหรือยัง  เพราะโดยความรู้สึกส่วนตัวของตัวผมเองแล้วเห็นว่า  ช่วงนี้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปมากจนรู้สึกว่า  พื้นฐานของกิจการไม่น่าจะรับกับราคาหุ้นในขณะนี้ได้  ถ้าผมมีอยู่คงจะขนออกมาขายแล้ว  แต่อันนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะนะครับ  ผมแค่รู้สึกว่ามันแพงไปก็เท่านั้นเอง  ถ้าเป็นผมที่กำลังคิดจะเข้าลงทุน  ผมคงยังไม่เข้าซื้อที่ราคานี้เป็นแน่  เนื่องจากว่าไม่คุ้มกับเงินลงทุน  ถึงแม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ดีรออยู่ข้างหน้าก็ตาม  แต่ยอดขายมันยังไม่มานะครับ

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

เอาค่า  PE  มาให้ดู  33  เท่าน่ะครับ  ผมว่ามันแพงไป

ขอบคุณครับ
ผมมีขายไปส่วนนึงแล้วครับ ตอนช่วงที่ขึ้นไป 11 บาท  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #471 เมื่อ: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 08:06:31 »

เข้ามาอ่านห้องนี้ ครบทุกรสชาติจริงๆครับ ไม่ต้องไปกินเหล้าที่ไหนเลย เมาจนมึนตึบ แต่เงินอยู่ครบ
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #472 เมื่อ: วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 15:58:15 »

ขำ  ขำ  กับคณิตศาสตร์
     วันนี้เอาเรื่องมาลงตามคำขอของท่านวัยทอง  สืบเนื่องมาจากว่าช่วงที่ผ่านมา  หุ้นขึ้นกันซะยกใหญ่  ท่านวัยทองก็เลยกลุ้ม  ต้องมาปรึกษากับผมว่า  ทำไงดี...ไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน  อ่ะ...ล้อเล่น  คราวนี้เอาจริงละ  ท่านวัยทองมีปัญหาคือ  มีหุ้น  ESSO  อยู่  แต่ก็อยากขายออกเต็มที  เลยไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไร  ผมก็เลยแนะนำกลยุทธ์ไปนิดหน่อย  ท่านวัยทองเห็นว่าเข้าท่า  เลยบอกว่าน่าเอาไปลง  วันนี้จึงเอามาลงให้ตามคำขอ

     ปัญหาที่เกิดคือ  ท่านวัยทองเคยซื้อ  ESSO  ที่ราคา  10  บาทมา  800  หุ้น  และต่อมาตอนช่วงหุ้นตกหนักๆ  ท่านวัยทองก็เข้าไปซื้อเพิ่มมาอีก  600  หุ้นที่ราคา  8.70  บาท  สรุปได้ดังนี้  (เอาตัวเลขแบบตรงๆไม่รวมค่าคอม  เพื่อจะได้คิดง่ายและเป็นกรณีศึกษาสำหรับท่านอื่น  แต่ถ้าท่านอื่นจะทำตาม  ก็ขอให้บวกค่าคอมฯเข้าไปคำนวณด้วยนะครับ)

10     บาท  800  หุ้น  ใช้เงินทั้งสิ้น  8,000  บาท  และซื้อเพิ่มอีกที่

8.70  บาท  600  หุ้น  ใช้เงินทั้งสิ้น  5,220  บาท  (การซื้อหุ้นตัวเดิมเพิ่มเข้ามาตอนที่ราคาตกลงไปนั้น  เราเรียกว่าการถัวเฉลี่ย  ทำเพื่อให้ราคาต้นทุนรวมถูกลง)

เมื่อนำเงินทั้ง  2  งวดมารวมกัน  เท่ากับใช้เงินไปทั้งสิ้น  13,220  บาท

เมื่อนำเงินมาหารด้วยจำนวนหุ้นจะได้ดังนี้

13,220  บาท  หารด้วยหุ้นสองงวด  800 + 600 = 1400  หุ้น

13,220  หาร  1400  เท่ากับ  9.44  บาท

จะเห็นได้ว่า  ถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้นเพิ่มเข้ามา  ราคาต้นทุนหุ้นจะยังอยู่ที่  10  บาท  แต่ถ้าเราซื้อเพิ่มตอนที่ราคาหุ้นมันถูกลง  เมื่อนำมาถัวเฉลี่ยกันแล้ว  จะทำให้ต้นทุนหุ้นทั้งหมดถูกลง

และตอนที่ท่านวัยทองมาปรึกษากับผม  ช่วงนั้นหุ้น  ESSO  มีราคาพอๆกับต้นทุนถัวเฉลี่ย  แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  ถือหุ้นมานานพอสมควร  ก็เลยอยากได้ค่าถือบ้าง  ผมก็เลยบอกว่า  รอให้มันขึ้นอีกหน่อยค่อยขายก็ได้  แต่ท่านวัยทองก็กลัวว่ามันจะไปไม่ถึงไหนแล้วก็จะตกเสียก่อน  ผมก็เลยแนะนำให้  2  วิธีคือ

1.ขายหุ้นชุดที่ซื้อมาทีหลังออกมาก่อน  ตามธรรมดาเวลาเราเช็คพอร์ตหุ้นในเนต  ต้นทุนที่โชว์อยู่คือต้นทุนที่ถัวเฉลี่ยแล้ว  แต่ถ้าเราแบ่งขายออกมา  ราคาต้นทุนมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างเดิม  เนื่องจากเขานับหุ้นแบบ  ตัวไหนที่ซื้อมาก่อน  เวลาขายก็ต้องเอาออกมาขายก่อน  ซึ่งบางทีต้นทุนที่มันคงอยู่ในเนตอาจจะคลาดเคลื่อนไม่เป็นอย่างใจเรา  เพราะฉะนั้น  อันนี้ต้องทำบันทึกเอาเองนะครับ  ดังนั้น  ถ้าท่านวัยทองคิดว่าจะเอาชุดหลังขายก่อนชุดแรก  ต้นทุนที่โชว์อยู่อาจไม่ใช่ตามที่เราต้องการ

     ดังนั้น  หากขายชุดหลังออกมาก่อนที่ราคา  9.70  บาท(กะจะเอากำไร  1  บาทของชุดหลัง)  ถ้าขายได้จริงก็เท่ากับว่า  ตอนนี้ท่านวัยทองจะทำกำไรจากหุ้นไปได้ก่อน  600  บาท  ส่วนหุ้นชุดแรกที่ติดดอยอยู่ที่  10  บาทก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น  รอให้มันขึ้นไปเกิน  10  บาทแล้วค่อยว่ากันอีกที  สำหรับช่วงที่รอให้มันขึ้นไปถึง  10  บาท  ก็เอาเงินที่ขายได้พร้อมกับกำไรไปเล่นตัวอื่นก่อน

2.ขายหุ้นชุดที่ซื้อมาทีหลังออกมาก่อน  กลยุทธ์เหมือนเดิม  แต่ให้ปรับมุมมองใหม่  คิดเสียว่าที่เราได้กำไรมา  600  บาทนั้นมันไม่ใช่กำไร  แต่ให้เรานำกำไรที่ได้ไปลดต้นทุนหุ้นที่ยังติดดอยอยู่

10     บาท  800  หุ้น  เงินยังค้างอยู่ในหุ้น  8,000  บาท

เราก็เอากำไร  600  บาทที่ได้ไปลบต้นทุนที่ยังเหลืออยู่

8,000 - 600 = 7400  บาท

เมื่อนำเงินที่ได้ลดต้นทุนลงแล้วมาคำนวณใหม่ก็จะได้เป็น

7400  หาร  800  หุ้น  จะได้เท่ากับ  ต้นทุนลดลงเหลือ  9.25  บาท!!!

ทีนี้เมื่อต้นทุนลดลง  เราก็สามารถใจชื้นได้ว่า  ตอนนี้ราคาต้นทุนของเราลดลงถูกกว่าราคาตลาดแล้ว  ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นมา  ขายหุ้นออกมาก่อนที่มันจะตกลงมาถึง  9.25  บาทก็ยังเหลือกำไรอยู่  ทีนี้ท่านวัยทองก็จะสบายใจได้

     และอย่าลืมนะครับ  สำหรับท่านที่จะเอาวิธีนี้ไปใช้  ให้คำนวณค่าคอมเข้าไปด้วยทุกครั้ง  แต่ถ้าจะให้ดี  ผมว่าก่อนลงทุนทุกครั้ง  ควรทำการศึกษาตัวหุ้นให้เข้าใจก่อนดีกว่า  จะได้ไม่ต้องชักเข้าชักออกให้เสียค่าคอมเปล่าๆ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #473 เมื่อ: วันที่ 15 ธันวาคม 2011, 17:16:28 »

ขอบคุณท่านวายุมากๆครับที่เอาบทความนี้มาลง

และเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่(ติดดอยหลายๆท่าน)

ซึ่งตอนนี้ หุ้นตัวนี้ผมได้ขาย(หมู)ไปแล้วในราคา 9.90

แต่มันดันวิ่งไปที่ 10.30 แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ประสบการณ์

และกำไรค่าข้าวค่าขนมมานิดหน่อย
IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #474 เมื่อ: วันที่ 18 ธันวาคม 2011, 16:27:39 »

เจอแล้วครับหนังเรื่อง inside-job

http://creativeshooter.com/misc/inside-job


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 ธันวาคม 2011, 11:32:11 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #475 เมื่อ: วันที่ 20 ธันวาคม 2011, 15:38:51 »

คุณเชื่อสายตาตัวเองได้มากแค่ไหน
     เรื่องของการมองนี้  สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายเรื่องเช่น  เวลาที่คุณยืนอยู่ริมทะเลยามเย็น  เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกน้ำดูสวยงามมาก  แต่...ในความเป็นจริงแล้ว  พระอาทิตย์กำลังจะตกน้ำจริงๆใช่หรือไม่  คำตอบก็คือไม่ใช่แน่นอน  หรือถ้าเรากำลังยืนคร่อมรางรถไฟอยู่  เมื่อมองตรงออกไปไกลสุดสายตา  เราจะเห็นเหมือนกับว่ารางรถไฟนั้นมันจะไปบรรจบกันที่สุดสายตา  และความจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?  นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่ายๆของการมอง  ถ้าเราไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร  เราก็อาจจะเชื่อสายตาของตัวเองก็เป็นได้

     แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหุ้น?  เกี่ยวแน่นอน  เพราะการที่เราลงทุนในหุ้นก็เพื่อต้องการเงินถูกต้องไหม  แล้วเราเคยคิดไหมว่าวิธีการที่เรากำลังใช้ลงทุนอยู่นั้นมันใช้สมองหรือใช้สายตา  สิ่งที่บอกได้ว่าคุณกำลังใช้สมองลงทุนอยู่หรือไม่ก็คือ  ก่อนลงทุนคุณมองอะไรก่อน  ราคาหุ้นหรือ?  การแกว่งตัวขึ้นลงที่รุนแรงของหุ้นหรือ?  หรือว่าจะเป็น  หุ้นตัวที่ตลาดนิยมซื้อขายกัน?  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม  ขั้นตอนนั้นผิด  คนที่ใช้สมองในการลงทุนจริงๆแล้วอันดับแรกเลยควรจะเป็น  “มองบริษัทหรือกิจการที่เราเห็นว่าเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรมนั้นและเราเข้าใจมัน”   เมื่อเราได้หุ้นตัวที่เราต้องการออกมาแล้ว  ขั้นตอนต่อไปก็คือ  สืบดูว่าไส้ในของมันเป็นอย่างไร  มีหนี้มากไหม?  ปันผลเป็นอย่างไร?  สามารถเติบโตได้อีกหรือไม่  ฯลฯ  เมื่อได้ข้อมูลจนพอใจแล้ว  อันดับสุดท้ายควรจะเป็น  “ดูราคาหุ้น”  ว่าราคานี้คุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่

“แล้ววิธีการของคนที่ใช้สายตาก่อนล่ะ”

เท่าที่ผมสังเกตดูจะเห็นว่า  นี่เป็นคนส่วนใหญ่ของตลาดเชียวล่ะ  อันดับแรกเลย  เขาจะดูที่ราคาหุ้นก่อน

“แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่าควรซื้อหรือขายเมื่อไหร่”

อันนี้ที่นิยมใช้โดยทั่วไปก็คือ  ดูสถิติที่ผ่านมาของมันเพื่อกำหนดจุดในการซื้อหรือขาย  อ่านๆดูแล้วคุณว่าวิธีการนี้คุ้นๆไหม  จะไม่คุ้นได้อย่างไร  ก็ในเมื่อวิธีนี้คือศาสตร์ที่เรียกกันว่าเทคนิเคิลที่มืออาชีพและคนส่วนใหญ่ชอบใช้กันไง  แต่สิ่งที่เราต้องรับรู้ไว้อย่างหนึ่งก็คือ  พื้นฐานของกิจการนั้นไม่คงที่  มันจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  ไม่ว่าจะดีขึ้นหรือเลวลง  ราคาหุ้นก็เช่นกัน  มันมักจะตามพื้นฐานไปเสมอ

“แล้วมันใช้ได้จริงหรือ”

เท่าที่ผมเห็นมา  มันใช้ไม่ได้ทุกครั้งหรอก  ถ้าใครที่ดูรายการเกี่ยวกับหุ้นบ่อยๆจะเห็นได้ว่า  พวกมืออาชีพจะอธิบายว่า  รอให้หุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตาม  จะบ้าเหรอ  ก็ในเมื่อคุณอยากได้หุ้นนั้นอยู่แล้ว  และคุณคิดว่าหุ้นนั้นมันดี  ทำไมไม่ซื้อตอนที่มันยังไม่ขึ้นล่ะ  จะไปซื้อตอนที่มันขึ้นไปแล้วทำไม...ไร้สาระจริงๆ  ชอบของแพงหรือไง  และถ้าคุณตามเข้าไปซื้อตอนที่มันพุ่งขึ้นไปแล้ว  มันจะขึ้นต่อไปได้อีกเท่าไหร่  ถ้าได้ก็ได้นิดเดียว  แถมยังเสี่ยงต่อการติดดอยอีกต่างหาก  ถ้าหุ้นมันเกิดหัวปักลงมา  ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้นนั้นจริงๆ  ทำไมไม่ซื้อก่อนชาวบ้านเขาตอนต้นทุนถูกๆล่ะ  คนที่บอกว่าให้มันขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตามนี่งี่เง่าชะมัด  (ผมเคยได้ฟังเกี่ยวกับทฤษฏีนี้มาเหมือนกัน  เขาบอกว่า  ทฤษฏีนี้เรียกว่าโมเมนตั้มหรือแรงเฉื่อย  โดยให้เหตุผลว่า  เวลาที่รถวิ่งมาแรงๆ  การที่เราจะหยุดรถแบบทันทีทันใดนั้นเป็นไปไม่ได้  อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อให้รถมันหยุดได้  แต่ผมมาคิดต่อเอาเองว่า  แล้วถ้ารถที่วิ่งมาแรงๆแล้วเจอกับตอม่อสะพานล่ะ  ผมอยากรู้จังว่า  มันจะเอาอะไรมาเฉื่อย  เหมือนกับหุ้นที่กำลังโดนไล่ราคาขึ้นมาแล้วเจอกับไม้หน้าสามเข้าไปนั่นล่ะ)  และในทางกลับกัน  พอเห็นว่าหุ้นมันตก  พี่แก(มืออาชีพ)ก็บอกอีกว่า  ถ้ามันหลุดแนวนี้ให้ตัดขาดทุน(คัทลอส)  นี่ก็อีกละ  หุ้นมันกำลังถูก  จะไปขายตอนที่มันถูกหาพระแสงอะไร  ทำไมไม่ขายตอนที่มันแพง  ขายตอนที่มันตก  มันก็ขาดทุนหนักน่ะสิเพ่  แต่เท่าที่ผมมาประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งปวงของพฤติกรรมนี้ก็น่าจะได้ความว่า  เขาเข้าไปซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น  มันจึงทำให้เขาต้องตื่นตูมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลง

“ผมนั่งมองจอเทรดอยู่ตลอดเวลา  เห็นว่าบางทีคนตั้งซื้อก็เยอะกว่า  บางทีคนตั้งขายก็เยอะกว่า  นี่มันหมายความว่าไงครับ”

มันก็หมายความว่า  คนที่พูดแบบนี้หรือคนที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังใช้สายตามากกว่าสมองอยู่น่ะสิ  ทำไมไม่มานั่งคิดว่าบริษัทนี้ในอนาคตจะสามารถทำกำไรเพิ่มได้จากไหน  แทนที่จะมานั่งจ้องดูว่ามีคนอยากซื้อหรืออยากขายมากกว่ากัน  เพราะการที่เรามานั่งจ้องจออยู่แบบนี้นี่แหละ  จะทำให้เราเป็นเหยื่อได้ง่ายกว่าคนที่ลงทุนโดยดูพื้นฐานกิจการเป็นหลัก  ยกตัวอย่างเช่น  คุณนั่งดูราคาของหุ้นตัวหนึ่ง  ในขณะนั้นมีคนตั้งซื้ออยู่  20,000  แต่มีคนตั้งขายอยู่  200,000  ถ้าคุณพอจะมองออกและประมวลผลได้  คุณก็จะต้องเข้าใจว่า  มีคนอยากขายมากกว่า  ถ้าเหตุการณ์เป็นแบบนี้แสดงว่าสักพักหุ้นก็จะลง  หรืออย่างน้อยมันก็จะไม่ขึ้น  และถ้าบังเอิญคุณถือหุ้นตัวนั้นอยู่  คุณก็ต้องใจคอไม่ดีและคิดว่าขายหุ้นเอาตัวรอดก่อนที่มันจะตกดีกว่า  ในกรณีนี้ผมอยากชี้ให้เห็นว่า  เรื่องตัวเลขมันหลอกกันได้  มันไม่ใช่ว่าถ้าเลขข้างไหนมากกว่าแล้วมันจะจริงอย่างที่เห็น  เพราะบางที  คนมีเงินที่อยากได้หุ้นตัวนั้นแต่ไม่อยากจ่ายแพง  ก็อาจจะไปซื้อหุ้นมาก่อนจำนวนหนึ่ง  หลังจากนั้นก็เอามาตั้งขายขู่ซะงั้น  หรือบางทีก็อาจจะสาดหุ้นโชว์ออกมาก่อนเพื่อให้ดูสมจริง  แล้วตัวเองก็ไปตั้งซื้อแบบใส่ตัวเลขน้อยๆบางๆ  เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจว่าคนซื้อมีน้อยกว่า  คนอื่นที่ตื่นตูมก็จะเทขายกันยกใหญ่  รายใหญ่ที่อยากได้หุ้นก็ทยอยรับไปเรื่อย  กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร  รายใหญ่ก็กวาดหุ้นซะเรียบแล้ว  และหลังจากนั้น  หุ้นที่ตั้งขู่ไว้เป็นตัวเลขมากๆก็จะหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ  และเหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือ  หุ้นตัวนั้นวิ่งขึ้นหน้าตั้งแบบไม่เหลียวหลัง  ปล่อยให้รายย่อยนั่งเอ๋อด้วยความเสียดายและบ่นออกมาว่ารู้งี้ยังไม่ขายซะก็ดี  ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่ใช้สายตามากกว่าสมองในการลงทุนนั่นเอง

“ถ้าการมองดูกราฟทางเทคนิคไม่สามารถช่วยในเรื่องการลงทุนได้  แล้วทำไมคนส่วนใหญ่จึงยังคงใช้วิธีการนี้อยู่อย่างแพร่หลาย”

นั่นน่ะสิ  ผมก็สงสัยเหมือนกัน  เพราะถ้าวิธีการนี้มันใช้ได้จริง  บนโลกนี้คงไม่มีใครจน  และคนที่เป็นมืออาชีพก็คงไม่ต้องมานั่งกินเงินเดือน  หรือมันอาจจะเป็นเพราะว่า  พวกเขาใช้สายตามากกว่าสมองกันแน่นะ  ถ้าใครรู้ช่วยบอกผมที
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #476 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 11:44:37 »

“แล้วมันใช้ได้จริงหรือ”

เท่าที่ผมเห็นมา  มันใช้ไม่ได้ทุกครั้งหรอก  ถ้าใครที่ดูรายการเกี่ยวกับหุ้นบ่อยๆจะเห็นได้ว่า  พวกมืออาชีพจะอธิบายว่า  รอให้หุ้นทะลุแนวต้านขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตาม  จะบ้าเหรอ  ก็ในเมื่อคุณอยากได้หุ้นนั้นอยู่แล้ว  และคุณคิดว่าหุ้นนั้นมันดี  ทำไมไม่ซื้อตอนที่มันยังไม่ขึ้นล่ะ  จะไปซื้อตอนที่มันขึ้นไปแล้วทำไม...ไร้สาระจริงๆ  ชอบของแพงหรือไง  และถ้าคุณตามเข้าไปซื้อตอนที่มันพุ่งขึ้นไปแล้ว  มันจะขึ้นต่อไปได้อีกเท่าไหร่  ถ้าได้ก็ได้นิดเดียว  แถมยังเสี่ยงต่อการติดดอยอีกต่างหาก  ถ้าหุ้นมันเกิดหัวปักลงมา  ถ้าคุณคิดจะซื้อหุ้นนั้นจริงๆ  ทำไมไม่ซื้อก่อนชาวบ้านเขาตอนต้นทุนถูกๆล่ะ  คนที่บอกว่าให้มันขึ้นไปก่อนแล้วค่อยตามนี่งี่เง่าชะมัด  



ผมเอาความจริงตามที่ท่านวายุกล่าวไว้มาให้รับชมครับ

ว่าเป็นเรื่องจริงครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 29 ธันวาคม 2011, 11:48:31 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #477 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม 2012, 03:42:18 »

ฤายักษ์ใหญ่จะไม่อยากพิมพ์เงิน
     สืบเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ราคาทองคำร่วงกราวรูดเพียงเพราะว่าสหรัฐไม่มีมาตรการ  QE 3 ออกมา  ทำไมสหรัฐถึงไม่พิมพ์เงินเพิ่มเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา?  จากข้อมูลที่ผมได้รับรู้มา  บวกกับการประเมินส่วนตัวอีกเล็กน้อย  พอจะออกความเห็นและสรุปออกมาได้ว่า  สหรัฐยังไม่อยากตกกระป๋องในขณะนี้  ที่ผมพูดอย่างนี้มีข้อมูลอะไรอ้างอิงไหม?  จากการติดตามข่าวสารของประเทศจีน  ผมเห็นว่าเมื่อก่อนนี้  จีนลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐเยอะมาก  และก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี  แต่หลังจากที่สหรัฐแก้ปัญหาของตัวเองด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มครั้งแล้วครั้งเล่า  และหนักสุดในช่วงซับไพรม์  นั่นเท่ากับว่า  เงินที่จีนลงทุนไปกับพันธบัตรของสหรัฐนั้น  เมื่อครบกำหนดอายุของพันธบัตร  จีนจะได้เงินที่ด้อยค่าลงกว่าตอนที่ตัวเองเอาเงินไปให้สหรัฐยืม  ถึงแม้ว่าจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขจะเพิ่มขึ้นก็ตาม  ซึ่งนั่นเป็นเหตุทำให้  จีนจะเสียเปรียบในเชิงมูลค่าของอำนาจเงินที่จะได้รับกลับคืนมาในภายหลัง  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้แล้ว  จีนจึงค่อยๆลดการถือครองพันธบัตรของสหรัฐลง  และหันไปสะสมทองคำมากขึ้น  เพราะเราต่างก็รู้ว่า  ราคาทองคำทุกวันนี้อ้างอิงกับเงินดอลล่าร์ของสหรัฐเป็นหลัก  ทุกครั้งที่เงินดอลล่าร์เพิ่มจำนวนขึ้น  ราคาทองคำก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามเช่นกัน  เมื่อจีนหันไปสะสมทองคำเพิ่มขึ้น  และสหรัฐยังคงพิมพ์เงินขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน  นั่นก็จะยิ่งทำให้ประเทศคู่กัดอย่างจีนนั้นร่ำรวยขึ้นจากการกระทำของตัวเอง  และหนำซ้ำยังไม่พอ  พันธบัตรที่สหรัฐเคยขายได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน  อาจจะหมดความน่าเชื่อถือลงไปจนถึงกับขายไม่ออก  เพราะคงไม่มีนักลงทุนคนไหนหรือประเทศไหนหรอกที่บ้าพอจะซื้อ  ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองจะเสียเปรียบ

     และถ้าหากเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป(สหรัฐไม่พิมพ์เงินเพิ่ม)  ผมคาดว่าราคาทองคำคงจะไม่ไปไหนไกล  อาจจะมีนักวิเคราะห์บางคนออกมาพูดว่าราคาทองคำยังสามารถไปต่อได้จากความต้องการในตลาดโลก  แล้วผมอยากย้อนถามกลับไปว่า  ถ้าคุณเป็นรายใหญ่และต้องการจะซื้อทองขึ้นมาจริงๆแล้ว  คุณจะต้องค่อยๆซื้อเพื่อไม่ให้ตลาดตกใจจนราคามันพุ่งขึ้นไปถูกต้องไหม  ใครก็คงไม่ชอบของแพงหรอก  และถ้าราคาทองคำมันไม่ไปไหนจริง  คนที่ชอบบอกว่าทองคำเป็นทรัพย์สินไม่เสี่ยง  มีราคาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา  ฯลฯ  เมื่อถึงเวลาที่ราคาทองคำไม่ยอมขยับไปไหนเลยเป็นเวลานาน  แต่ทรัพย์สินอื่นราคาขึ้นไปกันหมดแล้ว  เขายังจะยังยืนยันคำพูดเดิมอยู่หรือไม่  ทุกวันนี้ผมไม่เคยสนใจทองคำเลยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม  ถ้าผมจะซื้อทองก็คงเพียงแค่ว่า  เห็นมันเป็นเครื่องประดับเท่านั้น  ผมมีเหตุผลมารองรับความคิดเห็นของผมก็คือ

1.มีใครให้เช่าหรือหาเช่าทองคำกันอย่างกว้างขวางหรือไม่  ผมไม่เคยเห็นใครหาเช่าทองคำเลย  เพราะถ้าเขาอยากได้  เขาก็คงจะซื้อเลยดีกว่า  เพราะฉะนั้นประเด็นนี้  การครอบครองทองคำไว้ก็ไม่สามารถเก็บค่าเช่าได้

2.เอาทองไปฝากได้ดอกเบี้ยไหม  ไม่แน่นอน...ไม่มีที่ไหนแม้แต่ธนาคารเองที่จะรับฝากทองแล้วให้ดอกเบี้ยแก่คนมาฝาก  มิหนำซ้ำถ้าใครเอาทองมาฝาก  ยังต้องโดนธนาคารคิดค่าฝากอีกต่างหาก  เพราะฉะนั้นประเด็นนี้  ฝากทองคำไม่มีดอกเบี้ย  แถมเสียค่าฝากด้วย

3.ถือทองคำไว้แล้วได้ปันผล  นี่ยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่  มันไม่มีอะไรงอกออกมาจากทองได้เสียหน่อย  แล้วจะเอาอะไรมาปัน  เก็บที่ดินไว้ปลูกกล้วยยังดีเสียกว่า  ปักทิ้งไว้นั่นแหละ  เดี๋ยวมันก็งอกออกมาเอง  ไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเลย  พอมีลูก  เราก็ไปเอามากิน

     แล้วถ้ามีคนมาบอกผมว่าราคาทองมันไม่เคยลดลงเลย  มีแต่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา  ตามความเห็นของผมแล้ว  นั่นมันคืออดีต  แต่อนาคตผมไม่รู้  และถ้าเราอยากลงทุนในอะไรก็ได้ที่มันมีราคาเพิ่มขึ้นจริง  สิ่งนั้นมันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทอง  อาจจะเป็นของที่พอจะคาดการณ์ได้อย่างหุ้นหรือที่ดิน  หรือว่าจะเป็นสิ่งของที่มีค่าทางใจและยังสามารถมีราคาเพิ่มขึ้นได้อีกด้วยเช่น  แสตมป์  พระเครื่อง  ภาพถ่าย  ธนบัตรเก่า  ฯลฯ  แล้วคุณรู้ไหมว่าสหรัฐอยากจะพิมพ์เงินเพิ่มไหม  ถ้าพิมพ์  เขาจะพิมพ์เพิ่มอีกเท่าไหร่  คำถามนี้คงต้องไปถามเบอร์นันเก้เสียกระมัง  ถ้าคุณรู้จักเขา  ไปถามแล้วมาบอกผมต่อหน่อยก็แล้วกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
varakrit
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #478 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม 2012, 12:27:46 »

     "เงิน กับ เวลา"
เป็นบทความที่น่าคิดมากครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #479 เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2012, 16:09:50 »

แล้วท่านคิดว่าอะไรมีค่ากว่ากันล่ะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 [24] 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!