เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 05:22:23
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 [25] 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293369 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #480 เมื่อ: วันที่ 14 มกราคม 2012, 03:07:09 »

ปริมาณ  VS  คุณภาพ
     ถ้าให้เลือกระหว่างปริมาณกับคุณภาพ  ถามกี่คนก็คงตอบไม่เหมือนกัน  เพราะแต่ละคนก็คงจะมีเหตุผลเพื่อมารองรับกับคำตอบที่แตกต่างนั้น  ซึ่งบางที  ของบางอย่างอาจจะต้องเน้นไปที่ปริมาณ  ของบางอย่างก็อาจจะเน้นไปที่คุณภาพ  แล้วแต่ว่าสิ่งที่ให้เลือกนั้นมันคืออะไร  เราลองมาตั้งคำถามเล่นๆกันดูดีกว่า

1.แฟน  คุณจะเลือกอะไร  ระหว่างปริมาณกับคุณภาพ

คนที่เลือกปริมาณ  ถ้าคุณเลือกข้อนี้  ถือว่าคุณจริงใจ  หุ  หุ  และก็เป็นเหมือนใครอีกหลายๆคนที่ชอบปริมาณ  เข้าทำนองที่ว่า  “มีคนเดียว  มีให้โง่  มีเป็นโหล  โก้จะตาย”  แต่การที่เราจะเลือกคำตอบนี้ได้นั้น  เราต้องมีเหตุผลมารองรับด้วย  เพราะมีเป็นโหลก็อาจจะตายได้  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

คนที่เลือกคุณภาพ  อันนี้ต้องดูก่อนว่า  คนตอบเป็นคนคุณธรรมจัดหรือไม่  ถ้าไม่  บางทีคำตอบที่ดีอาจจะเป็นข้อนี้ก็ได้  คุณลองนึกดูสิว่า  เวลาที่คุณไปเดินเที่ยวห้าง  แล้วคุณเห็นชายสองคนเดินควงสาวมาพร้อมกัน  ชายคนนึงควงสาวมาสามคน  แต่สาวสามคนนี้หน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรเด่น  แต่งตัวก็บ้านๆ  ส่วนชายอีกคนนึง  ควงสาวมาแค่คนเดียว  แต่สาวคนนี้หน้าตาสวยมาก  หุ่นก็ดี  แต่งตัวก็เซ็กซี่  แล้วคุณจะอิจฉาชายคนไหนมากกว่ากัน  และการที่เรามีแฟนหลายคนนั้น  มันก็เป็นภาระกับกระเป๋าด้วย  เพราะว่าเวลาที่จะซื้อของขวัญให้แต่ละที  ต้องเปลืองมากกว่ามีแฟนคนเดียวอยู่แล้วถูกต้องไหม  ผมมีตลกร้ายเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟังด้วย  เรื่องมีอยู่ว่า  ชายสองคนมานั่งกินเหล้าปรับทุกข์กัน  ชายคนแรกกล่าวขึ้นมาว่า

1  :  ผมโชคดีมากที่ได้พบกับผู้หญิงที่ตรงสเปคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น
        -หน้าตาดี  แต่งตัวดี  บุคลิกดี  รสนิยมดี
        -มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน  กิริยามารยาทเรียบร้อย  เหมาะที่จะเป็นแม่ของลูก
        -หาเงินเก่ง  ฉลาดใช้  ฉลาดหา  ฉลาดเก็บ
2  :  ก็ดีแล้วนี่  จะมานั่งกลุ้มทำไม
1  :  ปัญหาก็คือ  ทั้งสามคนไม่รู้จักกัน
2  :  !!!!!

2.อาหาร  คนที่เลือกปริมาณ  พวกนี้คงจะเรื่องมากในด้านการกินหรืออาจจะเรียกว่าพิถีพิถันก็ได้  กินข้าวแต่ละทีจะต้องมีกับข้าวสักสามอย่าง  แต่ถ้ากับข้าวนั้นไม่อร่อยเลยสักอย่าง  คุณจะกินข้าวได้มากขนาดไหนกันเชียว

คนที่เลือกคุณภาพ  ไม่ต้องอะไรมาก  กับอย่างเดียวราดข้าว  ถ้ามันอร่อยมาก  คุณก็คงกินข้าวได้เยอะกว่า

     ทีนี้เรามาเข้าเรื่องหุ้นกันเลยดีกว่า  อยากถามว่า  ระหว่างปริมาณกับคุณภาพ  คุณจะเลือกอะไร

ปริมาณหมายถึง  มีหุ้นในครอบครองเป็นสิบตัว
และคุณภาพหมายถึง  มีหุ้นในครอบครองแค่ไม่กี่ตัว

คนที่เลือกปริมาณ  พวกนี้คือนักกระจายความเสี่ยง  พวกเขาอาจเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับหลักการนี้มาจากที่ใดก็ตามว่า  “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว”  เพราะถ้าตะกร้านั้นมีปัญหา  ความเสียหายก็จะมากกว่าการเก็บไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ  ผมก็อยากตั้งคำถามว่า  ถ้าเรามีไข่สักสิบฟอง  และเราก็แยกมันไว้ในตะกร้าสิบใบเช่นกัน  เราจะสามารถยกตะกร้าทั้งสิบใบไปไหนต่อไหนได้สะดวกหรือไม่  บางทีมันอาจจะเป็นภาระทำให้เราดูแลไข่ทั้งหมดได้ไม่ทั่วถึงก็เป็นได้  หรือบางทีคำตอบนี้อาจจะถูกต้อง  เพราะการกระทำแบบนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป  ไม่ว่าใครก็ตาม  ต่างก็รู้จักการกระจายความเสี่ยงด้วยวิธีนี้ทั้งนั้น

คนที่เลือกคุณภาพ  คนพวกนี้มุ่งเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่ง  หรือมองไปที่องค์รวมแต่ครบครันในจุดเดียว  ถ้าเราต้องการกระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นทุกตัวที่คิดว่าดี  แต่...มันจะดีกว่าไหมถ้าเราจะซื้อ  “หุ้นที่ดีที่สุด”  เพียงไม่กี่ตัว  การที่เราทำการกระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นหลายๆตัวนั้น  ตามความเห็นของผมแล้ว  ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะเป็นความคิดที่ดีเพราะ  เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกระจายความเสี่ยงเพียงเพื่อต้องการความหลากหลายในการลงทุนถ้าคุณยังไม่รู้จักมันดีพอ  การลงทุนที่ดีจะต้องมีคุณภาพด้วย  คุณรู้หรือไม่ว่า  การที่คุณซื้อหุ้นใดก็ตามโดยที่คุณยังไม่รู้จักมันดีพอนั้น  นอกจากมันไม่ใช่การกระจายความเสี่ยงที่ถูกวิธีแล้ว  มันยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้มากขึ้นไปอีก  ยิ่งคุณซื้อหุ้นที่คุณไม่รู้จักมันมากเท่าไหร่  ความเสี่ยงในการลงทุนของคุณก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย  เหมือนกับไข่(เงิน)ที่คุณต้องเอาไปใส่ในตะกร้าหลายๆใบนั่นแหละ  ยิ่งตะกร้ามาก  การที่เราจะต้องดูแลไข่(เงิน)ให้ทั่วถึงก็ยิ่งยากมากขึ้น  การกระจายความเสี่ยงที่ถูกวิธีตามความเห็นของผมก็คือ  เมื่อเราเห็นว่าธุรกิจไหนดีน่าสนใจ  และเราคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีมีคุณภาพโดยผ่านการวิเคราะห์ในทุกแง่มุมจากตัวเราเองแล้ว  เราก็ลงทุนไปเถอะ  พูดง่ายๆก็คือ  เราต้องรู้จักมันให้ดีพอก่อน  และเมื่อลงทุนแล้ว  เราก็ควรเฝ้ามองหรือดูแลมันอย่างใกล้ชิด  เพราะนี่คือจุดแข็งของการกระจายความเสี่ยงในแบบที่ผมแนะนำ  มันทำให้เราสามารถดูแลไข่ได้ทั่วถึงและใกล้ชิดดีกว่าการกระจายความเสี่ยงตามอย่างที่หลายคนชอบใช้โดยที่คนอื่นแนะนำมาอีกที  สิ่งที่ผมได้แนะนำไปอาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้อย่างเต็มปากเต็มคำนัก  เนื่องจากว่า  เราไม่ได้ตั้งธงตั้งแต่แรกว่าจะซื้อหุ้นหลายๆตัวด้วยเงินทั้งหมดที่เรามีอยู่  โดยหวังว่ามันจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น  คำที่เหมาะสมในการเรียกการลงทุนแบบที่ผมแนะนำนี้น่าจะเป็น  “ซื้อหุ้นที่น่าซื้อ”  จะดีกว่า  เพียงแต่ว่า  ถ้าเราซื้อหุ้นที่น่าซื้อมากไปหน่อย  มันก็จะกลายเป็นการกระจายความเสี่ยงไปโดยปริยาย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #481 เมื่อ: วันที่ 20 มกราคม 2012, 15:59:17 »

ไม่มีใครรู้ทุกอย่าง
     ในโลกของการลงทุน  มีการลงทุนหลายประเภทมาก  ซึ่งการลงทุนทั้งหลายนั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แตกต่างนั้น  ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก  สลากออมสิน  หุ้น  พันธบัตร  ฯลฯ  และโดยเฉพาะหุ้น  ก็แยกการลงทุนเป็นกลุ่มต่างๆออกไปอีก  ดูแล้วน่าปวดหัว  แต่สำหรับผมแล้ว  มันไม่เห็นจะน่าปวดหัวตรงไหนเลย  ถ้าอันไหนเราไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักมันดีพอ  เราก็อย่าไปลงทุนสิ  และไม่มีคำถามใดที่บ่งบอกว่าคุณโง่ด้วยเวลาที่คุณไม่เข้าใจ  ในเมื่อคุณอยากรู้บางสิ่งบางอย่างเพื่อให้กระจ่างขึ้น  ถ้าคนที่จบปริญญาเอกสาขาแพทย์ไม่รู้ว่าส่วนประกอบของส้มตำมีอะไรบ้าง  คุณจะว่าเขาโง่หรือเปล่า  และในทางกลับกัน  คุณคงไม่รู้หรอกว่า  ส่วนประกอบของยาที่คุณเห็นข้างๆขวดหมายถึงอะไร  อย่างนี้หมอจะมาว่าเราโง่ก็คงไม่ถูก  ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นว่า  เรารู้จักอะไร  และเราเข้าใจอะไร  เรามักจะทำสิ่งนั้นได้ดีกว่า  ถ้าหมอมาลงทุนซื้อหุ้นร้านส้มตำ  เขาจะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้มะละกอขึ้นจากโลละสิบบาทเป็นร้อยบาทแล้ว  ถ้าเขาไม่รู้  การลงทุนของหมอก็มีความเสี่ยงมาก  เพราะวันๆหมอก็คงจะยุ่งอยู่แต่กับยาและคนไข้  แต่ถ้าหมอรู้ว่า  ยาตัวไหนยี่ห้อไหนของบริษัทอะไรที่มีคุณภาพและขายดี  หรือแม้แต่เป็นยาที่หมอชอบสั่งจ่ายเป็นประจำ   หมอก็น่าจะลงทุนในหุ้นของยาตัวนั้น  สิ่งนี้จะเป็นเครื่องรับประกันว่า  การลงทุนของคุณจะอยู่ในสายตาของคุณตลอดเวลา  หรือเปรียบเสมือนประหนึ่งว่า  คุณเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลภายในเลยทีเดียว  แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากที่ผมได้พบเห็นก็คือ  ทุกวันนี้นักลงทุนจำนวนมากลงทุนในหุ้นที่พวกเขาไม่รู้ความตื้นลึกหนาบางของธุรกิจเหล่านั้น  การลงทุนที่ฉลาดก็คือ  คุณต้องรู้ข้อมูลก่อน  และคุณก็ค่อยลงทุนทีหลัง  ไม่ใช่ลงทุนไปแล้ว  พอติดดอยแล้วค่อยมาหาข้อมูล  ไม่มีวิธีไหนง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว  และอย่าพยายามลงทุนนอกขอบเขตที่ความรอบรู้ของคุณจะเข้าใจ  สิ่งนี้จะช่วยยืนยันว่า  การลงทุนของคุณนั้นมีคุณภาพ  ซึ่งมันจะได้รับการดูแลจากตัวคุณเอง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #482 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 16:31:05 »

แหนะ เดี๋ยวนี้มีการใส่ภาพด้วยนะนี้ท่านวายุ เหอๆ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #483 เมื่อ: วันที่ 27 มกราคม 2012, 16:07:16 »

อิสรภาพที่คุณเลือกได้
     คำว่าอิสรภาพหมายถึง  ความเสรีในการใช้ชีวิต  เราไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาทำงาน  หรือนี่ทำนั่นโดยที่เราไม่อยากทำแต่มันจำเป็นต้องทำ  เพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างตามที่เราต้องการ  และโดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน  “เงิน”  มีความสำคัญมากในการที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างอิสระได้  ซึ่งการที่เราจะเรียกความมีอิสรภาพในยุคปัจจุบันอย่างเต็มปากเต็มคำได้นั้น  มันต้องมาจากการมีเงินเยอะๆด้วย  ซึ่งตัวช่วยในการที่จะทำให้เราจะมีอิสระได้นั้นมีหลายอย่างเช่น

1.มีคนเลี้ยงโดยที่เราไม่ต้องทำงาน  แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะเลี้ยงเราไปได้ตลอด  วันใดเขาไม่เลี้ยงเราขึ้นมาแล้ว  เราคงมีสภาพไม่ต่างจากหมาที่เขาเอาไปปล่อยวัด

2.ได้รับมรดก  มันก็ดีนะสำหรับการมีชีวิตแบบนี้  แต่เงินน่ะ  มีได้มันก็หมดได้  และถ้ามันหมดขึ้นมาจริงๆ  เราจะมีสภาพเป็นอย่างไร  เพราะถ้าเรารู้จักแต่วิธีใช้  แต่เราไม่รู้จักวิธีที่จะทำให้มันงอกเงยขึ้นมาเลย  อย่างนี้ก็จบไม่สวย

3.ส่งเงินไปทำงานแทนเรา  วิธีนี้ผมว่าเข้าท่าที่สุด  เนื่องจากเงินก็เป็นเงินของเรา  และเราก็ไม่ต้องไปทำงาน  แต่การที่จะทำวิธีนี้ให้สำเร็จได้นั้น  ความรู้ทางการเงินสำคัญมากที่สุด

     จากการที่ผมอยู่ในโลกของการลงทุนมา  ผมได้แบ่งประเภทของการคาดหวังผลตอบแทนจากเงินลงทุนคร่าวๆออกเป็น  3  ประเภทคือ  กำไร  กระแสเงินสด  และการทบต้นทวีคูณ

กำไร  การลงทุนในลักษณะนี้เราไม่จำเป็นต้องดูว่า  สินค้าในขณะนั้นราคาถูกหรือแพงกว่าในอดีต  เราเพียงแค่มีความมั่นใจว่า  ถ้าเรานำมันไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น  ก็จะยังคงมีคนซื้อต่ออยู่เช่น  บ้าน  รถยนต์  คนที่ซื้อของไปขายทั่วๆไป  หรือแม้แต่หุ้น  และถ้าเราต้องการลงทุนในหุ้นโดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปของกำไรแบบนี้จริงๆแล้วล่ะก็  เราคงต้องมีความสามารถอย่างเพียงพอที่จะคะเนได้ว่า  หุ้นตัวไหนที่ซื้อไปขายต่อแล้วจะมีคนเอา  แต่ถ้าเราไม่มีความสามารถขนาดนั้น  การซื้อขายทางเทคนิคช่วยท่านได้(จริงหรือ?)

     โดยปกติแล้วคนที่แนะนำ  จะพยายามโน้มน้าวและให้เหตุผลว่ามันใช้ได้จริง  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมยอมรับว่า  “ผมไม่เคยเชื่อเลย”  เพราะผมไม่เคยเห็นใครร่ำรวยด้วยวิธีแบบนี้  อาจจะมีบางคนที่ทำได้  แต่ตามสถิติแล้ว  เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งไป  มีคำคมได้กล่าวไว้ว่า  “คุณจะหาเงินให้ได้มากๆไปทำไม  ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว  คุณต้องเสียมันไปทั้งหมด”  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  มันเปล่าประโยชน์ที่จะทำเงินมากๆในตอนนี้  แล้วท้ายที่สุดมันก็จะไม่เหลืออะไร  และสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็จะเหนื่อยเปล่า  ผมว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ยั่งยืน  ไม่สามารถคาดหวังความมั่นคงในการลงทุนจากมันได้  และบัฟเฟต  ซึ่งเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกของการลงทุนก็แนะนำว่า  มันไร้สาระและไม่ควรค่าที่จะทำตาม  ผมว่า...การที่เราจะเชื่อใครสักคนหนึ่ง  คนๆนั้นจะต้องทำมันสำเร็จมาแล้ว  ถ้าคุณต้องการพิชิตเขาเอเวอร์เรส  คุณคงจะเชื่อคนที่เคยปีนมันสำเร็จมาแล้ว  ไม่ใช่คนที่ยังย่ำอยู่ที่ตีนเขา  และถ้าผมอยากรวย  ผมก็จะเลือกเชื่อคนที่รวยแล้วว่าเขาทำอย่างไร

กระแสเงินสด  คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้คือ  คนที่ต้องการความมั่นคงแน่นอน  ถึงจะไม่หวือหวา  แต่มันก็มาเรื่อยๆแบบชัวร์ๆเช่น  มีบ้านให้เช่า  หรือมีหุ้นปันผลคุณภาพสูง  การลงทุนในลักษณะนี้นั้นเราต้องดูว่า  ราคาในขณะนั้น  เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้  จะต้องใช้เวลาคืนทุนนานขนาดไหน  ยิ่งต้นทุนสูง  เวลาคืนทุนก็นานขึ้น  เพราะฉะนั้นการลงทุนในลักษณะนี้  จะต้องดูจังหวะในการเข้าซื้อด้วยว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่

การทบต้นทวีคูณ  ถ้าเอ่ยถึงการลงทุนแบบนี้  โดยส่วนมากแล้ว  คนมักจะคุ้นเคยกับการฝากเงินมากกว่า  เพราะมีคนลงทุนแบบนี้ในการฝากเงินเยอะ  แต่ไม่ค่อยมีใครลงทุนลักษณะนี้ในหุ้นสักเท่าไหร่  แต่ถ้าดูกันจริงๆแล้วจะเห็นว่า  กว่าจะเห็นการทบต้นทวีคูณในเงินฝาก  มันจะต้องใช้เวลานานมาก  และมันไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเลย  เพียงแค่เอาเงินไปฝากแล้วก็รอเท่านั้นเอง  แต่ถ้าเรานำการทบต้นทวีคูณไปใช้ในหุ้นแล้ว  ผลตอบแทนนั้นเหลือเชื่อมากถ้าเราลงทุนได้ถูกตัวถูกเวลา  สมมุติว่าเราลงทุนในหุ้นอะไรก็ได้ที่มันต้องมีสาขาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆแล้วผลตอบแทนมันจะเพิ่มขึ้นตามนั้น  ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า  ปั๊มน้ำมัน  หรือบริษัทที่ขายสินค้าต่างๆ  ซึ่งในตอนแรกเริ่มของกิจการตอนที่บริษัทยังมีอยู่แค่สาขาเดียวนั้น  สมมุติว่าตอนนั้นหุ้นของบริษัทราคาหุ้นละ  1  บาท  แต่พอบริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปอีก  1  สาขา  นั่นเท่ากับว่า  บริษัทโตขึ้นถึง  100  %  เลยทีเดียว  และสมมุติอีกว่า  ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจาก  1  บาทเป็น  2  บาท  นั่นจะทำให้เงินที่เราลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น  เพิ่มขึ้นถึง    100  %  เช่นกัน  และถ้าสมมุติอีกว่า  บริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นไปอีก  1  สาขา  ราคาหุ้นนั้นก็จะขยับตามไปอีก  1  บาท  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราทำได้  จะเพิ่มขึ้นเป็น  2  เท่าตัวแล้วในขณะนี้  และถ้าบริษัทขยายสาขาเพิ่มขึ้นเป็น  100  สาขา  เงินของเราก็จะทบทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆตามสาขาที่เพิ่มขึ้น  แต่สำหรับคนที่เข้ามาลงทุนทีหลังเรา  สมมุติว่าเข้ามาลงทุนตอนที่บริษัทมีอยู่  50  สาขาแล้ว  พอบริษัทมี  100  สาขา  เงินของเขาเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่  1  เท่าตัวเท่านั้น  ในขณะที่คนที่ลงทุนตั้งแต่แรกและถือยาว  มีเงินเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่า  เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ก็จะเห็นได้ว่า  การลงทุนแบบทบต้นทวีคูณในเงินฝาก  เทียบไม่ได้กับการลงทุนในหุ้นเลย  และเคล็ดลับสำหรับการลงทุนแบบนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือการถือยาว  ถ้าเป็นคนที่ใช้เทคนิคซื้อๆขายๆ  เขาคงไม่สามารถทำให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ถึงขนาดนี้  แต่การลงทุนโดยดูที่สาขา  มันก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จไปทุกครั้ง  เพราะฉะนั้น  เวลาเราจะลงทุนจริง  เราก็ต้องเลือกด้วย

     และทีนี้เราลองมาสรุปกันว่าเราเห็นอะไรในการลงทุนของทั้ง  3  ลักษณะนี้  ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้จักกับเงินสี่ด้านของพ่อรวยสอนลูก  คุณจะพบว่าคนที่ลงทุนโดยหวังกำไรนั้น  อยู่ในด้านซ้ายของเงินสี่ด้าน  ซึ่งเปรียบเสมือนว่า  เขาเป็นเจ้าของกิจการอยู่  นั่นก็คือ  ถ้าไม่ซื้อของมาขาย  ก็จะไม่ได้เงิน  และถ้าการหาเงินของเขามันออกมาในลักษณะนี้  คุณว่าเขาสามารถมีอิสระในการใช้ชีวิตได้ไหม?  ผมว่าคงไม่ได้  เพราะถ้าเขาไม่ทำ  เขาก็จะไม่มีเงิน  เวลาชีวิตที่เขามีอยู่  ก็ได้ใช้หมดไปกับการหาเงินเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งน่าเสียดายมาก  แทนที่จะใช้เวลานั้นมาทำอะไรในแบบที่เราต้องการ  กลับกลายเป็นว่า  เขาต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมตลอดเวลา  ขนาดลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังไม่อยากเลย  เฮ้อ...สังเวชจริงๆ  ชีวิตที่ไม่มีความสุข  แต่ถ้าเขามีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น  มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  อย่างนี้ก็ถือว่า  เขาใช้ชีวิตได้คุ้มค่าแล้ว  เพราะเขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำและชอบ  แต่ปัญหาก็คือ  เขาจะสามารถชนะทุกครั้งที่ได้ลงทุนไปหรือไม่?

     คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้  อยู่ในด้านขวาของเงินสี่ด้าน  ซึ่งด้านนี้เป็นด้านของคนที่ไม่ต้องทำงานก็มีเงินเข้ากระเป๋า  มันมีความแตกต่างในเรื่องของการทำงานระหว่างด้านซ้ายกับด้านขวาที่น่าสนใจว่า  “คนด้านซ้ายต้องทำ  แต่คนด้านขวาอยากทำ”  คนที่ลงทุนเพื่อให้ได้กระแสเงินสดนี้  อยู่ในช่องของนักลงทุน  ถ้าคุณอยากเป็น  คุณต้องพยายามศึกษาหาความรู้เรื่องการเงินให้มากๆ  และถ้าคุณฉลาด  คุณก็จะมีเงินใช้โดยไม่ต้องทำงาน  ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า  คุณมีอิสระที่จะใช้ชีวิตแล้ว

     และสุดท้าย  การทบต้นทวีคูณ  การลงทุนในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันและอยากเป็น  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็พยายามจะทำมันให้ได้  วิธีนี้เป็นการสร้างความร่ำรวย  บางทีอาจต้องใช้เวลานานมาก  และก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะสำเร็จดังใจหมาย  สิ่งที่เราต้องมีก็คือความอดทนและมีทักษะในด้านการเงิน  การลงทุนในลักษณะนี้ถ้าทำสำเร็จ  มันก็จะอยู่ในด้านขวาของเงินสี่ด้านเหมือนกัน  เพราะการลงทุนแล้วอยู่เฉยๆ  โดยปล่อยให้ผลตอบแทนมันงอกเงยขึ้นไปเรื่อยๆนั้น  เป็นด้านของนักลงทุน  หลักการน่ะมันง่ายนะ  แต่การทำให้สำเร็จนี่สิยากมาก  เพราะตลอดทางที่จะมุ่งไป  มันจะมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลาไม่รู้จบ  ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง  เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่า  สิ่งที่เราได้คาดหวังไว้จะเป็นจริงหรือไม่  แต่ในเมื่อเลือกแล้ว  เราก็ต้องสู้ต่อไปให้ถึงที่สุด  เพราะถ้าเราทำสำเร็จ  ผลตอบแทนก้อนโตก็จะเป็นรางวัลแห่งความอดทนสำหรับเรา  ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง  แต่มันก็คุ้มที่จะลองมิใช่หรือ  และมันก็จะไม่เสี่ยงเลย  ถ้าคุณมีความรู้ทางการเงินที่มากพอ

     ถ้าถามผมว่าทุกวันนี้ผมลงทุนลักษณะไหนอยู่  ผมบอกได้เลยว่าผมลงทุนทั้งกระแสเงินสดและการทบต้นทวีคูณอยู่  บางท่านอาจจะงงว่า  เป็นไปได้อย่างไร  ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า  มันมีการลงทุนประเภทนี้อยู่ในโลกจริง  และผมโชคดีที่ได้ค้นพบมัน  การลงทุนที่ว่านั้นคือ  7-11  นั่นเอง  ดูภาพประกอบได้

     ผมลงทุนตั้งแต่มันราคา  29  บาทกว่าๆ  แต่มาเผลอตัวขายไปตอนสี่สิบกว่าๆ  แต่เมื่อทบทวนทุกอย่างแล้วผมเห็นว่าไม่ควรทำอย่างนั้น  ผมก็เลยซื้อกลับคืนเข้ามา  ต้นทุนราคามันก็เลยเปลี่ยนเป็นสี่สิบกว่าบาท  และในช่วงนั้นผมก็แนะนำให้ทุกคนซื้อ  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคนเชื่อผมหรือเปล่านะ  แต่ทุกวันนี้การลงทุนนั้นมันก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว  และผมก็ดีใจที่ยังไม่ได้ขายมันออกไปอีก  แม้ว่าจะมีความผันผวนมากในบางครั้ง  แต่ผมก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่า  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ผมจะไม่ยอมปล่อยมือจากหุ้นตัวนี้อีกแล้ว  จนกว่ามันจะไม่สามารถโตได้อีก  และเมื่อถึงเวลานั้นจริง  ผมอาจจะรวยแล้วก็ได้  ใครจะไปรู้  สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ก็คือ  “อดทน”  เท่านั้นเอง  และอีกไม่นานนี้  เงินปันผลของบริษัทก็จะออกมาเพิ่มผลตอบแทนให้กับผมอีก  ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้กระแสเงินสดด้วยอีกทางหนึ่ง  นั่นเท่ากับว่า  ผมลงทุนในหุ้นตัวนี้แล้วได้สองเด้งเลย  ในอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีอิสรภาพในชีวิตได้ไหม  แต่ทุกวันนี้ผมก็ได้ใช้ชีวิตในแบบของผมโดยที่ไม่ได้สนใจหุ้นมากนัก  เพียงแค่ดูแลเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง  แล้วคุณล่ะ  อยากเป็นแบบไหน  อยู่ที่คุณเลือกแล้วล่ะ  มันไม่จำเป็นว่าคุณต้องลงทุนในหุ้นตัวเดียวกับผมก็ได้  คุณแค่หาการลงทุนที่เหมาะกับคุณก็พอ  แต่คุณต้องตั้งมั่นว่า  อยากเป็นอะไรระหว่างคนทำธุรกิจส่วนตัวหรือนักลงทุน  และคุณต้องการอะไรจากการลงทุนระหว่างกำไร  กระแสเงินสด  และการทบต้นทวีคูณ  เพราะอิสรภาพ  เป็นสิ่งที่คุณเลือกได้


* ภาพถ่าย0118.jpg (51.11 KB, 800x600 - ดู 261 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
:i3abyzeed::
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


086-440-8577


« ตอบ #484 เมื่อ: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 01:57:45 »

แวะมารออ่าน การอัปเดทของกระทู้ท่านวายุครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #485 เมื่อ: วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 04:38:33 »

เงินเราไม่เท่ากัน
     บางคนอาจจะสงสัยกับหัวข้อว่ามันคืออะไร  แต่ถ้าผมบอกว่า  เงินของคุณ  100  บาท  มีค่าไม่เท่ากับเงินของผม  100  บาทนั้น  คุณจะเข้าใจไหม  งั้นยกตัวอย่างก็ได้เช่น  สมมุติว่าเราไปหากินข้าว  1  มื้อ  บางทีคุณอาจจะไปหากินก๋วยเตี๋ยว  1  ชามในราคา  30  บาท  แต่ผมสามารถไปหากิน  1  ชามเท่ากับคุณได้ในราคา  25  บาท  นั่นเท่ากับว่าเรากินก๋วยเตี๋ยว  1  อิ่มเท่ากัน  แต่เราจ่ายต่างกัน  ซึ่งนี่ทำให้เห็นว่า  ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากเงิน  หรือความสามารถของเงินที่เรามีนั้นไม่เท่ากัน  และการที่ผลออกมาเป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะตัวเจ้าของเงินเองนั่นแหละที่จะทำให้เงินนั้นมันมีอำนาจในการซื้อไม่เท่ากัน  สรุปแล้วสิ่งที่ทำให้เงินนั้นมีค่าแตกต่างกันนั่นคือตัวของเจ้าของเงินเอง

     เมื่อมามองการลงทุนในหุ้นจะเห็นว่า  ราคาหุ้นนั้นมันไม่นิ่ง  ถ้ามีคนสองคนเข้าซื้อหุ้นตัวเดียวกันแต่ต่างราคา  นั่นจะทำให้อำนาจเงินนั้นแตกต่าง  แม้ว่าจะได้จำนวนหุ้นเท่ากันก็ตาม  สิ่งที่ทำให้คนหนึ่งต้องจ่ายมากกว่าอีกคนหนึ่งในขณะที่ได้จำนวนหุ้นเท่ากันนั่นก็คือ  จังหวะในการเข้าลงทุน

     และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้อำนาจเงินนั้นแตกต่างก็คือ  การเข้าลงทุนในหุ้นตัวไหน  ก็อย่างที่เราเห็นกัน  หุ้นบางตัวราคาขึ้นเอาขึ้นเอา  ในขณะที่บางตัวไม่ไปไหนเลย  หรือบางตัวก็ราคาลดลง  สิ่งที่ทำให้ได้ผลตอบแทนที่แตกต่างจากเงินจำนวนเท่ากันก็คือ  ตัวของผู้ลงทุนนั่นเอง  ว่าเขาจะสามารถดูออกไหมว่า  หุ้นตัวไหนจะมีมูลค่ามากกว่าเมื่อเวลาผ่านไป  ในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยคนที่รู้ราคา  แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ถึงมูลค่าของหุ้นแต่ละตัว  เดี๋ยววันหลังผมจะเอาประสบการณ์ลงทุนแบบฉบับ  โหด  มัน  ฮา  ของตัวผมเองมาให้อ่านก็แล้วกันนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 04:40:51 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #486 เมื่อ: วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2012, 16:43:22 »

ฝากคู่แข่งกิจการของท่านวายุ

IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #487 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:40:39 »

เส้นทางนักลงทุน
     ตามที่ได้สัญญากันไว้ว่าจะเอาเรื่องราวการลงทุนของตัวผมเองมาเล่าสู่กันฟัง  ก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่า  ชีวิตการลงทุนของผมก็ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร  บางทีอาจจะจำไม่ได้ทุกเรื่องราว  แต่ก็จะพยายามเอาเท่าที่นึกออกก็แล้วกันนะครับ  หวังว่าประสบการณ์ของผมนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง  และเมื่อได้อ่านแล้วก็จะได้นำเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับผมไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม  เพราะผมก็ไม่อยากให้ใครหลายคนโดนเหมือนกับที่ผมเคยโดน  ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า  การเรียนรู้ที่ดีที่สุดก็คือ  การเรียนรู้จากความผิดพลาด  และมันจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง  ถ้าคุณจะทำผิดซ้ำในสิ่งที่คนอื่นก็เคยทำมันมาแล้ว

     การลงทุนของผมเริ่มต้นจาก  วันหนึ่งผมไปฝากเงินที่ธนาคารตามปกติ  แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจทำให้ผมสอบถามไปกับพนักงานธนาคารว่า  มีการออมแบบไหนบ้างที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน  พนักงานธนาคารคนนั้นจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า  “คุณรับความเสี่ยงได้ไหมล่ะ”  ผมก็ถามกลับไปว่า  ความเสี่ยงที่ว่าคืออะไร  เขาก็บอกว่า  ความเสี่ยงในการที่จะสูญเสียเงินต้น  ผมก็ถามกลับไปว่า  แล้วมันมากขนาดไหนล่ะ  เขาบอกว่า  มันก็ไม่ทั้งหมดหรอก  เนื่องจากทางเรามีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลการลงทุนพวกนั้นให้คุณอยู่  ผมก็ถามกลับไปว่า  แล้วเงินที่จะต้องใช้ลงทุนมันเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่  เขาก็บอกว่าแล้วแต่ตัวเราเอง  แต่ครั้งแรกที่เริ่มเปิดบัญชีจะต้องใส่เงินเข้าไปก่อนก้อนแรกเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสองพันบาท  คุณจะเริ่มสักเท่าไหร่ดี?  ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า  “สองหมื่นบาท”  พนักงานธนาคารมองหน้าผมอีกครู่หนึ่งแล้วบอกว่า  เดี๋ยวผมจะเปิดบัญชีให้

     นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้เริ่มเข้าสู่โลกของการลงทุน  แต่ผมก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย  ผมคิดเพียงแค่ว่า  อยากได้ผลตอบแทนมากๆเท่านั้นเอง  ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาเงินผมไปทำอะไร  ผมก็ได้แต่คิดว่า  “ไม่ลองไม่รู้”

     หลังจากที่พนักงานธนาคารเปิดบัญชีให้ผมแล้ว  เขาก็บอกว่า  เราจะนำเงินของคุณไปลงทุนซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่ผ่านการกลั่นกรองจากทางเราแล้วว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะลงทุน  และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด  เงินของคุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนของเราเป็นจำนวน...หน่วย  ถ้าคุณต้องการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม  คุณก็สามารถมาซื้อเพิ่มได้ในครั้งต่อไป  แต่ราคาหน่วยลงทุนนั้นไม่คงที่  เพราะมันจะผันแปรไปตามราคาหุ้นด้วย  และในทางกลับกัน  คุณสามารถขายหน่วยลงทุนเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามที่คุณต้องการ  แต่ทุกครั้งที่มีการซื้อขายเกิดขึ้น  ทางเราจะคิดค่าดำเนินการด้วย  มีข้อสงสัยอะไรอีกไหมครับ?  ตอนที่ผมได้ฟังก็ยังพอเข้าใจอยู่นะครับว่ามันเป็นการซื้อขายหุ้นโดยต้องเสียค่านายหน้าในทุกครั้งที่มีการทำรายการ  และคำถามก็เกิดขึ้นในใจผมมากมาย  แต่ผมก็ไม่รู้จะถามอะไรเขา  เพราะสิ่งที่ผมอยากรู้  ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะตั้งคำถามยังไง  ถ้าจะให้จำกัดความก็คือ  ผมอยากให้เขาอธิบายให้ผมรู้อย่างละเอียดมากๆเกี่ยวกับการลงทุนชนิดนี้  แต่ผมก็มาคิดว่า  เดี๋ยวเราค่อยไปศึกษาเอาเองก็ได้  ทำไปเรียนรู้ไป  เดี๋ยวก็เข้าใจเองแหละ

     หลังจากเปิดบัญชีแล้ว  ผมก็เริ่มศึกษาเกี่ยวกับหุ้นทันทีว่ามันคืออะไร  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากอยู่ดี  เนื่องจากผมลงทุนโดยไม่ได้รับการแนะนำจากใครเลย  และคนรอบตัวผมก็ไม่มีใครลงทุนด้วย  (ผมว่าคุณๆที่เข้ามาอ่านนี่โชคดีมากนะครับ  เพราะก่อนที่คุณจะลงทุนนั้น  คุณสามารถศึกษาหรือขอคำแนะนำทั้งจากตัวผมเองและจากผู้มีประสบการณ์ทั้งหลายได้)  ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า  หุ้นขึ้นเพราะอะไร  หุ้นลงเพราะอะไร  เนื่องจากสิ่งที่ผมกำลังศึกษาอยู่นั้น  มันก็พูดในทำนองเดียวกันหมดคือ  ลงซื้อขึ้นขาย  แต่ไม่เห็นมีใครบอกว่า  มันขึ้นหรือลงเพราะเหตุใด  ตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นมวยวัดจริงๆ  เข้าไปลุยกับเขาผ่านทางกองทุนรวมโดยไม่รู้อะไรเลย  พอลงทุนในกองทุนรวมไปได้สักพักผมก็รู้สึกว่า  การลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้  เราไม่สามารถระบุหุ้นเป็นรายตัวได้  เพราะเวลาเราซื้อขายกองทุน  มันก็จะต้องเหมาเอาหุ้นทั้งหมดที่เขาเลือกไว้  แล้วมาเฉลี่ยเป็นหน่วยลงทุน  ซึ่งนั่นมันน่าจะเกี่ยวกับภาวะตลาดมากกว่าเน้นที่ตัวหุ้นจริงๆ  และผมยังได้มารู้ตอนหลังอีกว่า  ยังมีค่าใช้จ่ายอีกตัวหนึ่งที่ต้องเสียนั่นก็คือ  “ค่าบริหารกองทุน”  ถ้าถามผมว่าการมีค่าบริหารกองทุนนั้นเป็นการเอาเปรียบเราไหม  ผมคิดว่าไม่นะ  เพราะในเมื่อเราไม่คิดที่จะทำการบ้านโดยการเลือกการลงทุนเอง  เมื่อให้เขาเลือกให้  มันก็ต้องมีค่าตอบแทนให้ผู้เลือกหุ้นด้วย  แต่ทีนี้ผมมาคิดเอาเองว่า  ถึงแม้ว่าเราจะซื้อกองทุนแล้วถือไว้เฉยๆโดยไม่ซื้อหรือขายเลย  มันก็จะต้องถูกเบียดกำไรที่กองทุนทำได้ไปเป็นค่าบริหาร  หรือถึงแม้ว่ากองทุนจะมีผลการดำเนินงานขาดทุน  แต่ทางกองทุนก็ยังคิดค่าบริหารอยู่ดี  ผมจึงคิดว่า  เราน่าจะเลือกการลงทุนด้วยตัวเองจะดีกว่า  และประโยชน์ที่จะได้ก็คือ  เราจะมีความรู้เพิ่มขึ้น  และจะทำให้เรามีกำไรมากขึ้นเนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่ายตัวนี้ลง  ผมจึงถอนเงินออกจากหน่วยลงทุนทั้งหมดและมุ่งหน้าไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ทันที

     หลังจากเปิดบัญชีกับโบรกแล้ว  ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนเด็กน้อยกำลังออกสู่โลกกว้าง  เพราะตอนนี้เราต้องทำเองทุกอย่าง  แต่ผมก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว  เพราะนี่เป็นสิ่งที่ผมได้เลือกที่จะเป็น  คำแนะนำแรกที่ผมได้รับก็คือ  ลงซื้อขึ้นขาย(อีกแล้ว)  ผมสงสัยมากว่า  การลงทุนในหุ้นมันมีวิธีเดียวแค่นี้เองจริงๆหรือ  แต่ในเมื่อเขานิยมแบบนี้กัน  ผมก็เลยทำตามเขาไป  เดี๋ยวจะหาว่าเป็นแกะดำ  เพราะตอนนั้นผมก็ยังไม่รู้เลยว่า  มันมีการลงทุนได้กี่วิธีกัน  ช่วงนั้นก็มั่วกับเขาไปหมด  เขาแนะนำตัวไหนก็เข้าไปเรื่อย  หรือเขาแนะนำให้ใช้เครื่องมือทางเทคนิค  อย่างเช่นพวกเส้นค่าเฉลี่ยนี่ก็ใช้ไม่เป็น  เพราะไม่มีใครสอน  จำได้เลาๆว่าตอนที่เข้าตลาดไปช่วงแรกๆเขากำลังเล่นข่าวเรื่องค่าการกลั่นอยู่  และตอนนั้นตลาดก็กำลังมั่วกับไทยออยล์มาก  (TOP)  จำได้ว่าหลังจากเปิดบัญชีแล้วก็เข้าไทยออยล์ทันที  ตอนนั้นหุ้นไทยออยล์โดนไล่ราคาขึ้นไปแถวๆ  66  บาท  ผมก็โดดสอยทันที  และหลังจากนั้นไม่เกินครึ่งวัน  มันก็ร่วงลงมาเหลือ  60  ถ้วนๆ  ตอนนั้นก็เอ๋อกินเหมือนกัน  นึกกับตัวเองว่าจะทำอย่างไร  มาร์เก็ตติ้งบอกว่าถ้าไม่อยากถือต้องคัทลอส  ความหมายก็คือยอมขายขาดทุน  เพื่อเอาเงินกลับมาเล่นต่อ  ดีกว่าให้เงินจมอยู่อย่างนั้น  ผมก็คิดว่าเอางั้นเหรอ...ยังไม่ทันไรก็โดนซะแล้ว  เอาไงดีหว่า  อ่ะเชื่อเค้าหน่อย  ว่าแล้วก็ขาย  หลังจากขายเสร็จปุ๊บมันก็กลับขึ้นมาต่อ  ผมก็เอ๋ออีกเป็นรอบที่สองในวันเดียว  แล้วก็ถามมาร์ว่า  อ้าวพี่...ให้ผมขายทำไมเนี่ย  คำตอบที่ได้รับก็คือ  ไม่มีใครรู้หรอกว่าราคามันจะไปทางไหน  ผมก็นึกในใจว่า  ไม่รับผิดชอบคำแนะนำของตัวเองเลย  การที่เขาแนะนำมาอย่างนั้นแล้วทำให้คนอื่นเสียหาย  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยหรือ  สอบได้ใบนายหน้ามาได้อย่างไร  ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเลยสักนิด  แล้วที่เขาแนะนำให้ผมขายนั้นมันหมายถึงอะไร  เขาอยากได้ค่าคอมหรือ  หรือว่าเขาอยากช่วยเราจริงๆ  แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร  กรณีแรกที่ผมโดนไปก็ได้ความรู้มาว่า  “อย่าไปไล่ซื้อหุ้นที่ราคากำลังพุ่งขึ้นโดยที่เราไม่รู้ว่ามันขึ้นเพราะอะไร”
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #488 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:41:35 »

     หลังจากที่โดนไปหนึ่งดอก  ช่วงนั้นผมก็ยังงมไปเรื่อย  เขาเล่นตัวไหนก็ตามเขาไป  ได้บ้างเสียบ้างไปตามเรื่องตามราว  แต่มีอยู่ช่วงหนึ่ง  มาร์บอกว่าตัวนี้เด็ด  ราคาไม่ถึงบาท  เล่นช่องเดียวออกก็ได้เงินแล้ว  หุ้นตัวนั้นคือ  BNT  ผมไม่รู้หรอกว่ามันคือหุ้นอะไร  แต่มาร์เชียร์ก็เอาซะหน่อย  ช่วงนั้นหุ้นนี้ซื้อขายกันแถวๆ  65  ตังค์  วันนั้นมาร์โทรมาหาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นมากว่า  มันลงมาเหลือ  63  ตังค์แล้ว  น้องจะรับไหม  ผมก็ตอบทันทีเลยว่าเอา  มาร์ก็เลยตั้งรับให้เรียบร้อย  พอรับเสร็จปุ๊บ  มันก็ไหลลงต่อ  ผมก็ถามมาร์ว่าจะทำอย่างไร  มาร์ก็บอกว่า  มันลงเดี๋ยวมันก็ขึ้น  ถือรอไว้ก่อน  เอาก็เอา  เชื่ออีกก็ได้  ผ่านไปอีกประมาณสองวัน  หุ้นนั้นราคาเหลืออยู่  40  กว่าตังค์  ผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยถามมาร์ไปว่าจะทำอย่างไร  มาร์ก็ตอบมาว่า  ถ้าไม่อยากถือก็ต้องคัทลอส(อีกแล้วครับท่าน)  กรณีที่สองก็ได้ความรู้มาอีกว่า  “อย่าไปซื้อหุ้นที่กำลังตกลงโดยที่เราไม่รู้ว่ามันลงเพราะอะไร”

     หลังจากที่โดนไปอีกดอก  ผมก็รู้สึกว่า  เรานี่มวยวัดไปหน่อยไหม  ไม่ได้การแล้ว  ขืนมาเล่นเอาเองอย่างนี้มีหวังเจ๊งหมดตัวแน่นอน  ตอนนั้นก็เลยไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาอ่าน  เล่มแรกที่ซื้อมาอ่านก็คือ  “เทคนิคการเล่นหุ้น  บทเรียนจากไต้หวัน”  หนังสือเล่มนี้บอกถึงกลยุทธ์การซื้อขายเช่น  การถัวเฉลี่ย  การแบ่งซื้อแบ่งขาย  การผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆ  การขายแบบพีระมิด  และการขายแบบพีระมิดกลับหัว  ฯลฯ  เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ไปทดลองทำดู  มันก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่  เมื่อมาวิเคราะห์หนังสือผมก็พบว่า  นี่เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ในการซื้อขายเท่านั้น  มันไม่ได้บอกอะไรลึกๆเกี่ยวกับตัวหุ้นเลย  มันเป็นแค่เพียงผิวๆเท่านั้น  แต่สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ  เราต้องแบ่งเงินไว้หลายๆก้อน  เวลาหุ้นมันตกก็จะได้เหลือเงินไว้ซื้อตอนที่มันราคาถูกลงไปอีก  ในทางกลับกัน  เวลาจะขาย  ก็ค่อยๆแบ่งขาย  เพราะถ้าราคามันค่อยๆเพิ่มขึ้นไป  เราก็จะยังเหลือหุ้นไว้ให้ขายเพื่อทำกำไรในราคาที่สูงขึ้นไปอีก  จากที่ตอนแรก  ผมมักจะซื้อหรือขายทีเดียวทั้งก้อนเลย  เวลาซื้อเสร็จแล้วหุ้นมันตกลงไปอีก  ผมก็จะติดดอยทุกที  หรือเวลาขายแล้วมันขึ้นไปต่อ  ผมก็เสียดายเพราะไม่มีหุ้นเหลือแล้ว  แต่ที่จำได้ไม่ลืมเลยก็คือกลยุทธ์การผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆนี่แหละ  ตอนนั้นผมซื้อหุ้นมาตัวหนึ่งคือ  TMT  พอราคามันขึ้นปุ๊บผมก็ขาย  แล้วทีนี้ราคามันก็ขึ้นไปต่อ  ด้วยความเสียดายและบวกด้วยประสบการณ์น้อยก็คิดว่ามันอาจจะขึ้นไปต่อ  ตามกลยุทธ์ผ่อนสายเบ็ดยาวๆตกเอาปลาตัวโตๆ  ผมก็เลยตามไปซื้อคืนมาในราคาที่แพงขึ้น  พอเข้าซื้อแค่นั้นแหละ  หุ้นก็ตกทันที  ด้วยความกลัวว่าจะเสียเงิน  ก็เลยชิงขายขาดทุนออกมาก่อนที่มันจะเสียมากไปกว่านี้  เมื่อคำนวณแล้วพบว่า  จากที่ได้กำไรในตอนเริ่มแรก  กลายเป็นว่าตามเข้าไปอีกทีแล้วขาดทุน  บวกลบกลบหนี้แล้วขาดทุนซะงั้น  เวรจริงๆ

     เมื่อได้ทดลองเล่นตามหนังสือเล่มแรกแล้ว  ผมก็รู้สึกว่ายังไม่ได้น้ำได้เนื้อสักเท่าไหร่  ตัวเราเองยังคงงมหุ้นต่อไป  แถมยังนอนไม่ค่อยจะหลับ  คิดมากว่าวันพรุ่งนี้หุ้นจะเป็นอย่างไร  ผมก็เลยรู้สึกว่า  วิธีนี้ไม่เหมาะกับผม  เพราะผมขายของกลางคืน  ปกติต้องตื่นใกล้เที่ยง  แต่นี่อะไร  ต้องตื่นมาดูโทรทัศน์ตั้งแต่ก่อนเปิดตลาด  เสียสุขภาพหมด  ผมก็เลยคิดว่า  วิธีนี้ผมไม่เอาแล้ว  และผมก็ได้หนังสือเล่มที่สองมา  หนังสือเล่มนี้คือ  “กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ”  เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่าดีกว่าเล่มแรก  เข้าท่าอยู่เหมือนกัน  ในหนังสือบอกว่า  ก่อนที่เราจะซื้อหุ้น  ให้เรามองที่ปันผลก่อนเป็นอันดับแรก  เนื่องจากหนังสือเล่มนี้  ผู้เขียนเน้นที่เงินปันผลเป็นหลัก  โดยเขาให้เหตุผลว่า  ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  เราก็ยังนอนหลับสบาย  ไม่ต้องคอยไปเครียดว่า  พรุ่งนี้ราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร  เพราะสิ่งที่เรามุ่งหวังนั้นคือเงินปันผลไม่ใช่ราคาหุ้น  แถมยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบอกวิธีการเพิ่มผลตอบแทนอีกว่า  ทุกช่วงเวลาในตลาดคือโอกาสของเรา  อธิบายก็คือ

ตัวอย่างที่  1

สมมุติเราซื้อหุ้นเข้ามาตอนแรก  200  หุ้นที่ราคา  1  บาท  ใช้เงินไป  200  บาท

ถ้าราคาหุ้นตกลงมาเหลือ  90  ตังค์  เราก็ซื้อเพิ่มเข้าไป  อาจจะซัก  200  หุ้น  ต้องใช้เงินไปอีก  180  บาท

ตอนนี้เท่ากับว่าเรามีหุ้นอยู่  400  หุ้น  เมื่อเอาจำนวนเงินที่เราลงทุนไปสองรอบเป็นเงิน  200+180 = 380  มาหารกับจำนวนหุ้น  400  หุ้น  จะเท่ากับว่า  ต้นทุนรวมหุ้นในขณะนี้เหลือเพียง  95  ตังค์  จากครั้งแรกที่เราลงทุนหุ้นละ  1  บาท

ถ้าเงินปันผลของหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  ตอนที่เราลงทุนครั้งแรกโดยซื้อหุ้นที่ราคา  1  บาท  นั่นจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่  10 %  แต่พอต้นทุนรวมเราเหลือแค่  95  สตางค์  และเงินปันผลยังปันเท่าเดิมอยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากเงินลงทุนจะกลายเป็น  0.10*100 = 10 / 0.95 = 10.52 %

ตัวอย่างที่  2

สมมุติว่าเราซื้อหุ้นเข้ามาตอนแรก  200  หุ้นที่ราคา  1  บาท  ใช้เงินไป  200  บาท

ถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเป็น  1.10  บาท  เราก็ขายออกมาครึ่งหนึ่ง  100  หุ้น  ได้เงินมา  110  บาท  วิธีการคิดของกลยุทธ์การขายแบบนี้คือ  อย่าถือเอากำไรที่ได้มาคิดว่าเป็นกำไร  ให้คิดเสียว่าเงินที่ได้ออกมาทั้งหมดนั้นเป็นต้นทุนที่เราดึงออกมา

นั่นเท่ากับว่าตอนนี้เงินที่เราเหลืออยู่ในหุ้นมีแค่  90  บาทเท่านั้น  และเรายังเหลือหุ้นอยู่อีก  100  หุ้น  ในราคาต้นทุนหุ้นละ  90  สตางค์เท่านั้นเอง

ถ้าเงินปันผลของหุ้นตัวนี้อยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  ตอนที่เราลงทุนครั้งแรกโดยซื้อหุ้นที่ราคา  1  บาท  นั่นจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่  10 %  แต่พอต้นทุนรวมเราเหลือแค่  90  สตางค์  และเงินปันผลยังปันเท่าเดิมอยู่ที่  10  สตางค์ต่อปี  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนที่เราจะได้รับจากเงินลงทุนจะกลายเป็น  0.10*100 = 10 / 0.90 = 11.11 %

     ในหนังสือบอกว่า  ถ้าเราหมั่นซื้อหมั่นขาย  แต่งตัวเลขไปเรื่อยๆ  ผลตอบแทนจากเงินปันผลเมื่อเทียบกับต้นทุนหุ้นแล้ว  มันก็จะมากตาม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #489 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:42:16 »

     เมื่อผมเห็นกลยุทธ์อย่างนี้ก็รู้สึกว่าเข้าท่ามาก  ดีล่ะ...เราจะเล่นหุ้นสไตล์นี้ก็แล้วกัน  แต่เมื่อได้ลองมาเล่นจริงๆก็พบว่า  การที่เราจะหาหุ้นที่ให้เงินปันผลสูงๆในตลาดได้นั้นหายากมาก  อาจจะเป็นเนื่องจากว่า  ตลาดของเรามีขนาดเล็ก  จนหุ้นแต่ละตัวที่ปันผลดีๆนั้นไม่เหลือให้หลงหูหลงตาอยู่เลย  เมื่อปันผลดี  ราคาหุ้นก็มักจะโดนไล่ราคาขึ้นไปจนผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นลดลง  แต่ผมก็พยายามหาหุ้นที่ให้ปันผลสูงๆสม่ำเสมอมาได้ตัวหนึ่ง  หุ้นตัวนั้นคือ  SPACK  ตอนนั้นหุ้นนี้ราคา  3.20  บาท  ปันผลต่อปีเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้  แต่คาดว่าน่าจะอยู่ราวๆ  8  %  จากราคาหุ้น  ผมก็ซื้อทันทีที่พบมัน  หลังจากที่ซื้อแล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสให้ซื้อขายเพื่อแต่งตัวเลขให้ได้ตามที่หนังสือแนะนำไว้ซะที  แต่จนแล้วจนรอดหุ้นนั้นก็ไม่ยอมขยับเลย  ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร  เรารอเอาแต่ปันผลก็ได้  เพราะยังไงก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่  คุณๆก็น่าจะรู้มั๊งว่า  เวลาที่เรารอคอยอะไรบางอย่างนั้น  มันดูเหมือนนานมาก  และในช่วงระหว่างที่ผมรอเงินปันผล  หุ้นตัวอื่นก็พุ่งขึ้นกันอย่างวูบวาบ  ผมรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมากว่า  ทำไมหุ้นเราไม่ขึ้นเหมือนคนอื่นเขาบ้าง  ตอนนั้นผมลองคำนวณว่า  แทนที่เราจะเอาเงินมาซื้อหุ้นตัวนี้แล้วแช่ไว้เพื่อให้ได้ผลตอบแทน  8  %  ต่อปี  ถ้าเราเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ราคาขึ้นปีละ  8  %  ผมชอบหุ้นขึ้นมากกว่าเงินปันผล  ก็เป็นอันว่า  กลยุทธ์ซื้อหุ้นเพื่อรอปันผลของผมก็เอวังด้วยประการฉะนี้  เพราะมันไม่ล่ายหลั่งจาย  และกลยุทธ์ที่ผมคิดว่าตลกที่สุดสำหรับตัวผมเองและคนที่ได้ฟังก็คือ  ผมมักสังเกตว่า  เวลาที่หุ้นขึ้นเครื่องหมายปันผล  (XD)  แล้ว  ราคาหุ้นก็มักจะตกลงเท่ากับเงินที่จะปันผลออกมา  แต่มีบางครั้งที่ราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่น  ตอนนั้นหุ้น  ปตท.ปันผล  10  บาท  แต่หลังจากขึ้นเครื่องหมาย  XD  แล้วปรากฏว่า  หุ้นราคาตกลงมาเพียง  6  บาทเท่านั้น  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  คนที่ได้ปันผลไป  10  บาท  แล้วยอมขายขาดทุน  6  บาท  นั่นก็เท่ากับว่า  เขาจะได้กำไรถึง  4  บาท  เมื่อเห็นดังนี้ผมก็เลยเกิดไอเดียบรรเจิดว่า  เราก็ซื้อหุ้นก่อนที่จะขึ้นเครื่องหมาย  และหลังจากที่ขึ้นเครื่องหมายแล้ว  เราก็ค่อยขายขาดทุนทิ้งไปก็ได้  และเราก็เอาเงินค่าขายหุ้นที่ยังเหลืออยู่  มาซื้อหุ้นตัวต่อไป  ส่วนเงินที่เราขาดทุนไปนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง  เพราะเดี๋ยวอีกไม่นานเราก็จะได้รับกลับคืนมาในรูปของเงินปันผล  เมื่อคิดได้ดังนั้น  ผมก็ลงมือทันที  แต่เพียงแค่หุ้นตัวแรกเท่านั้นเอง  รู้สึกว่าจะเป็น  PRANDA  หุ้นตัวนี้สภาพคล่องต่ำมาก  เมื่อ  XD  เสร็จปั๊บ  ราคาหุ้นร่วงกราวรูด  มากกว่าที่จะได้รับจากปันผลอักโข  ผมก็เลยไม่ขาย  กลายเป็นติดหุ้นแบบแกะไม่ออก  ต้องใช้เวลานานมากกกว่าที่ราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาอยู่ในระดับบวกกับปันผลแล้วถึงไม่ขาดทุนมาก  เมื่อราคาหุ้นขึ้นมาถึงระดับนั้นผมก็ขายออกไป  นี่ผมไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อนเลยนะนี่...อายจัง

     เมื่อผมมานั่งประมวลผลก็พบว่า  วิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับผมอีกแล้ว  มันไม่สมบูรณ์แบบพอ  เพราะการที่เราจะมองที่ปันผลเพียงอย่างเดียวมันก็คงจะได้แต่ปันผลนั่นแหละ  ผมก็เลยไปได้หนังสือมาอีกเล่ม  เล่มนี้ชื่อว่า  “อยากรวยต้องรู้  เล่ม  4”  เนื้อหาในหนังสือนี้เน้นไปที่ภาวะของตลาดหุ้นเป็นหลัก  โดยกล่าวถึงปัจจัยที่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นว่ามีอะไรบ้าง  ถ้าจะให้บอกโดยสรุปก็คือ  จากสถิติพบว่า  นักลงทุนที่เป็นผู้กำหนดแนวโน้มหลักของตลาดหุ้นของบ้านเราก็คือนักลงทุนต่างชาติ  ดังนั้น  ปัจจัยที่มีผลกระทบกับนักลงทุนต่างชาติได้แก่  อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา  ดอกเบี้ย  การเมืองในประเทศ  ภาวะเศรษฐกิจโลก  ฯลฯ  จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม  และกราฟที่มีความสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหุ้นมากที่สุดก็คือกราฟค่าเงิน  เขาบอกว่า  เวลาที่ฝรั่งขนเงินมาซื้อหุ้นไทย  เขาจะลงหน้าสมุดเป็นสกุลเงินดอลล่าร์  สมมุติว่าเขาเอาเงินมา  1  ดอล  แลกได้  30  บาท  และเขาก็เอาเงินที่แลกได้  30  บาทไปซื้อหุ้นที่ราคา  30  บาท  เขาก็จะซื้อได้  1  หุ้น  แต่เวลาที่ค่าเงินอ่อนเป็น  31  บาท  แต่ราคาหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เขาก็จะต้องรีบขายหุ้นออกมาก่อนเพราะ  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขาดทุนจากราคาหุ้น  แต่เมื่อเขาเอาเงินค่าหุ้นที่ได้  30  บาทมาแลกกลับเป็นเงินดอล  เขาจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทันที  3  %  กว่าๆ  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  หากค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าลง  ฝรั่งจะต้องขายหุ้นออกมาก่อน  แล้วพอค่าเงินนิ่ง  ฝรั่งก็จะกลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่  และในทางกลับกัน  ถ้าค่าเงินมีทิศทางแข็งค่าขึ้น  ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  เขาก็จะมีกำไรที่เป็นอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ดี  เมื่อผมรู้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว  ตัวผมเองก็เลยกลายเป็นนักสืบทันที  ทุกๆวันผมจะคอยถามโบรกว่า  ฝรั่งซื้อหรือขาย  แต่การที่ฝรั่งจะซื้อนั้น  เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า  ฝรั่งจะเข้าซื้อตัวไหน  เราจึงต้องแกะรอยต่อไปอีกที่  NVDR  เมื่อผมได้ทำวิธีนี้ดูก็รู้สึกว่า  วันๆไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรล่ะ  ต้องคอยเช็คอยู่ตลอดเวลาว่าฝรั่งจะซื้อหรือขาย  และวิธีการนี้ผมก็เห็นว่า  ถ้าเรารู้ว่าฝรั่งเข้าซื้อตัวไหน  เราก็ลงมือช้ากว่าอยู่ดี  เนื่องจากว่า  ข้อมูลใน  NVDR   จะประกาศหลังวันที่ฝรั่งทำรายการ  1  วัน  ซึ่งมันจะทำให้เราได้กำไรน้อยกว่าที่ควร  หรือถ้ากว่าจะรู้ว่าฝรั่งขาย  ก็ต้องขายทีหลังฝรั่งอีก  ผมก็เลยรู้สึกว่า  วิธีนี้ยังไม่ดีที่สุด(เรื่องมากจริงๆ)  แต่กลยุทธ์ที่ฝังใจจากหนังสือเล่มนี้จริงๆก็คือ  ทฤษฏีหนูตัวที่สอง  โดยเขาได้อธิบายไว้ว่า  เราไม่มีทางรู้หรอกว่าหุ้นมันจะตกลงไปถึงตรงไหน  สิ่งที่เราต้องทำก็คือรอให้มันตกลงไปเรื่อยๆก่อน  เพราะถ้าเรารีบร้อนเข้าไปซื้อแล้วราคามันตกลงไปอีก  เรานั่นแหละจะเจ็บตัว  เราควรรอให้หุ้นมันตกลงไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะถึงจุดต่ำสุดแล้วหุ้นวกกลับขึ้นมา  เมื่อนั้นเราก็ค่อยตามเข้าไปซื้อ  และในทางกลับกัน  เมื่อเราคิดจะขาย  เราก็ควรปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ  รอจนมันขึ้นไปจนถึงจุดที่ไม่น่าจะผ่านไปได้แล้วหุ้นมันกำลังหันหัวตกลงมา  เมื่อนั้นเราก็ขายออกทำกำไรเลย  ซึ่งเรื่องนี้ผมก็เคยมีประสบการณ์มาบ้างเหมือนกันตอนช่วงซับไพรม์ตอนนั้นหุ้นตกกันสนั่นทั้งโลก  พอดีตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลก  และเหตุการณ์นั้นมันจะรุนแรงแค่ไหน  รู้แต่ว่าราคาน้ำมันขึ้นเอาขึ้นเอาไปจนถึง  140  เหรียญต่อบาร์เรล  ตอนนั้นผมเห็นหุ้น  PTTEP  ราคา  220  บาท  แต่เมื่อราคาน้ำมันกำลังตกลง  หุ้น  PTTEP   ก็ตกลงมาตาม  จนราคาหุ้นลงมาถึง  130  บาท  ที่ราคานั้นผมเห็นว่ามันถูกมาก  ผมก็โดดเข้าไปรับ  แต่หลังจากรับเสร็จ  ราคาหุ้นก็ไหลลงต่อไม่หยุด  ในเวลาเพียงแค่  2  นาที  ผมเสียเงินกับหุ้นตัวนี้ไปหมื่นกว่าบาท  เมื่อเห็นท่าไม่ดีผมก็เลยยอมตัดขาดทุนขายออกมาก่อน  ตอนนั้นท้อแท้จนถึงขั้นอยากเลิกเล่นหุ้นเลยทีเดียว  พอได้เงินค่าขายหุ้นมาเสร็จ  ผมก็เอาเงินไปซื้อกองทุนตราสารหนี้  และคิดว่าจะไม่เล่นหุ้นอีกแล้ว  แต่พอไปซื้อกองทุนได้ไม่นาน  ผมเห็นว่าหุ้นในตลาด  ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ  และหุ้นก็หยุดตกแล้ว  ผมก็เลยถอนเงินออกจากกองทุน  กลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้งโดยคิดว่า  ถ้าซื้อหุ้นที่ราคานี้แล้ว  เมื่อเทียบกับเงินปันผล  มันก็ยังได้ผลตอบแทนที่ดีอยู่  ผมก็เลยซื้อหุ้น  DCC  เข้ามาตอนมัน  10  บาท  แต่พอมันขึ้นไปเป็น  14  บาทผมก็ขายออกไป  เพราะก่อนที่มันจะตกลงไป  ราคามันก็อยู่แถวๆ  15  บาทเท่านั้นเอง  ก็เสียดายเหมือนกันนะ  เพราะถ้าผมถือหุ้นนั้นจนถึงทุกวันนี้  เงินผมก็จะเพิ่มขึ้นมาถึง  6  เท่าตัวเลยล่ะ  เพราะตอนนี้หุ้นตัวนี้ราคา  60  บาทแล้ว  หลังจากขาย  DCC  ออกไป  ผมได้กำไรมาพอสมควร  ผมก็เอาเข้าไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่ยังไม่ขึ้นอีกหลายตัว  ช่วงนั้นซื้อหุ้นอะไรมันก็ขึ้นหมด  เพราะมันราคาถูกทุกตัว  จำได้ว่าซื้อ  TTA  มาตอน  16  บาท  แล้วเอาไปขายที่  19  บาทกว่าๆ  จริงๆแล้วผมก็อยากขายแพงกว่านั้นนะ  แต่มาติดตรงกลยุทธ์หนูตัวที่สองนี่แหละที่ทำให้เสียเรื่อง  เพราะช่วงที่หุ้นมันกำลังพุ่งขึ้นไป  จู่ๆหุ้นก็ตกกันครึกโครม  ผมก็เลยคิดว่าราคาหุ้นอาจจะตันแล้ว  มันก็เลยเข้ากลยุทธ์ว่าต้องขายแล้ว  แต่จริงๆแล้วหลังจากที่มันตกอย่างหนัก  มันก็กลับขึ้นไปอีกรอบ  หลอกให้ใจเสียหมด  แต่ไม่เป็นไร  ตัวนี้ก็ได้มาอีกเพียบ  แต่พอหลังจากช่วงนั้นมาอีกไม่นานซักเท่าไหร่  ราคาหุ้นทุกตัวมันก็ขึ้นมาจนแทบจะเท่ากับตอนก่อนที่มันจะตกลงไปแล้ว  ช่วงนั้นก็เลยมุขตันไปพักนึง  เพราะหุ้นตัวไหนก็ไม่วิ่งแล้ว  เนื่องจากว่า  ราคามันเหมาะสมกับพื้นฐานของมันแทบทั้งสิ้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #490 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 15:46:57 »

     และช่วงนั้นผมรู้สึกว่ากระแสหนังสือตีแตกดังมาก  ผมก็เลยซื้อมาอ่านซะหน่อย  เดี๋ยวจะหาว่าไม่อินเทรนด์  เท่าที่อ่านดูก็รู้สึกว่า  เป็นหนังสือที่เป็นเหตุเป็นผลพอสมควร  สามารถบอกที่มาที่ไปของรายได้ของบริษัทได้  ซึ่งรายได้พวกนี้นี่แหละจะเป็นตัวกำหนดราคาหุ้นที่ควรจะเป็น  เนื้อหาในหนังสือจะบอกถึงประสบการณ์และการคิดวิเคราะห์ก่อนที่จะลงทุนจริงของ  ดร.นิเวศน์  ซึ่งเป็นผู้เขียน  เท่าที่อ่านๆดูก็รู้สึกว่า  เนื้อหานั้นมีความเป็นไทยๆเยอะมาก  ซึ่งถ้าเราได้อ่านก็จะเห็นภาพตามได้ง่าย  ผมก็เลยรู้สึกว่า  หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง  มีความเป็นเหตุเป็นผลในการลงทุน  เมื่อผมรู้สึกว่าตัวผู้เขียนเป็นคนมีเหตุมีผล  ผมก็เลยสืบหาข้อมูลว่า  เขาถือหุ้นตัวไหนอยู่บ้าง  จะเรียกว่าลอกข้อสอบก็ได้  ผมก็เลยเข้าไปในกูเกิ้ล  และหาข้อมูลการถือหุ้นของ  ดร.เขา  พอร์ตของ  ดร.ปรากฏออกมา  มีรายชื่อหุ้นต่างๆมากมาย  มีทั้งที่ผมรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง  แต่หนึ่งในนั้นที่  ดร.ถืออยู่ก็คือ  7-11   ดร.มีอยู่ทั้งหมด  22  ล้านหุ้นโดยซื้อเป็นชื่อเมีย  ผมก็มาคิดดูว่า  ทำไมเขาถึงกล้าถือหุ้นตัวนี้มากมายขนาดนี้  มันต้องมีดีอะไรสักอย่างแน่นอน  จากนั้นผมก็เริ่มสืบค้นข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้  และจากการสืบค้นก็พบว่า  มันเป็นหุ้นที่ดีมากตัวหนึ่งเลยทีเดียว  ไม่มีหนี้เลย  มีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง  เงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี  และมีคู่แข่งในประเทศน้อยมาก  และเมื่อสืบค้นถึงผู้ถือหุ้นใหญ่ก็พบอีกว่า  บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ (AIA)  ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสามด้วย

     ช่วงระหว่างที่ผมสืบข้อมูลของหุ้น  7-11  อยู่นั้น  ผมก็ไปได้หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อว่า  “ตามรอยบัฟเฟต”  หนังสือเล่มนี้ได้บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ของมหาเศรษฐีบัฟเฟตว่าทำอย่างไรถึงรวย  โดยย่อๆก็คือ  เขาดูที่กิจการ  ผู้บริหาร  ลักษณะธุรกิจ  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว  เป็นยี่ห้อที่คนรู้จักดี  เรามีความเข้าใจในการทำธุรกิจของเขา  ไม่กระจายความเสี่ยง  ไม่สนเรื่องเทคนิค  ไม่ซื้อขายบ่อย  เพราะจะถูกกินเงินต้นจากค่าคอม  ต้องศึกษาบริษัทให้ทะลุปรุโปร่งแล้วจึงลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่  และที่สำคัญคือ  ให้ซื้อตอนที่ราคามันไม่แพง  ถ้ามันแพงก็รอให้มันตกลงมาก่อน  เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ให้ถือยาว  ฯลฯ  เมื่อผมมาประมวลผลดูแล้วก็เห็นว่า  หุ้น  7-11  เข้าข่ายทุกประการ  ผมก็เลยมีความมั่นใจมากว่า  ผมเจอหุ้นที่เป็นเหตุเป็นผลและผมก็สามารถเข้าใจมันได้ว่ามันจะโตได้อย่างไรได้แล้ว  และผมก็ไม่รอช้าที่จะซื้อหุ้นทันที  และผมก็ซื้อหุ้นเพียงตัวเดียวด้วย  ซึ่งทุกวันนี้  ผมก็ยังมีหุ้นอยู่แค่ตัวเดียวเท่านั้น  สาเหตุที่ผมซื้อหุ้นนั้นทันทีที่เจอโดยไม่รอให้ราคาตกลงมาก่อนก็เนื่องจาก  ผมเห็นว่าอนาคตมันยังไปได้อีกไกลจากตรงนี้  ผมก็เลยซื้อที่ราคานั้นเลย  (29  บาท)  โดยมีความเชื่อส่วนตัวว่า  หุ้นตัวนี้ราคาจะมีแต่ขึ้น  เนื่องจากว่ามันยังไม่หยุดโต  และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมซื้อทันทีก็เนื่องจาก  ภาวะตลาดหุ้นขณะนั้นได้ฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดแล้ว  ถ้าผมอยากจะได้หุ้นราคาถูกก็คงต้องรอให้เกิดวิกฤตอีกรอบ  ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่  และมันจะเกิดขึ้นไหม  และถ้ามันไม่เกิดวิกฤตขึ้นอีกล่ะ  ผมก็คงไม่มีโอกาสจะได้ซื้อหุ้นที่ผมคิดว่าใช่แน่นอน  หรือถ้าผมอยากจะซื้อจริงๆ  ผมก็คงจะต้องซื้อที่ราคาแพงๆ  และมันก็จะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร  เพราะฉะนั้นแล้วผมก็เลยคิดว่า  ทำไมไม่จีบเธอก่อนที่คนอื่นจะจีบเธอล่ะ  ในเมื่อคุณก็รู้ว่าเธอเป็นคนดี  ถ้าคุณมัวแต่รีรอด้วยความไม่แน่ใจ  คนอื่นอาจจะเข้ามาจีบเธอเป็นคู่แข่ง  เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะเหนื่อย  และเสียดายโอกาสมากว่า  ทำไมไม่จีบเธอตั้งแต่ยังไม่มีคู่แข่งซะก็ดี  ทั้งๆที่เราก็เจอก่อนคนอื่นเขาแท้ๆ

     และหนังสือเล่มต่อมา  ผมก็ได้  “เหนือกว่าวอลสตรีท”  ของปีเตอร์  ลินซ์มาอ่านเพิ่มเติมความรู้  หลังจากที่ผมอ่านจบแล้ว  ผมก็ลงคะแนนเลยว่า  หนังสือเหนือกว่าวอลสตรีท  เป็นหนังสือที่น่าอ่านมากที่สุดสำหรับนักลงทุนหุ้น  เพราะเนื้อหาในนั้นครอบคลุมหมดทุกมิติของการลงทุน  และเป็นหนังสือที่ไม่ใช้ศัพท์แสงในการลงทุนมากจนเกินไป  มีการยกตัวอย่างประกอบชัดเจนโดยของจริง  และมีประสบการณ์ตรงในการเป็นผู้บริหารกองทุนรวมของเขามาบอกเล่าในมุมที่ทุกคนควรรู้  แต่ในขณะนี้  ผมก็ยังไม่ได้ใช้ความรู้ที่ได้อ่านจากหนังสือของลินซ์มากเท่าที่ควร  เนื่องจากว่า  ผมยังไม่พบการลงทุนในแบบที่เขาบอกมาทั้งหมด  ส่วนการลงทุนที่ผมทุ่มลงไปจนสุดตัวนี้  มันก็เป็นการลงทุนที่ดีอยู่แล้ว  จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรกับมัน

     และหนังสือเล่มล่าสุดที่ผมได้มาก็คือ  “หุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญ”  หนังสือเล่มนี้เขาวิจารณ์กันว่า  เป็นหนังสือที่ดีที่สุดหนึ่งในสองเล่มของโลกในเรื่องของการลงทุน  แต่เท่าที่ผมอ่านดู  ผมรู้สึกว่ามันวิชาการเกินไป  สำนวนเข้าใจยาก  อ่านแล้วเครียด  จนทำให้ดูเหมือนกับว่าการลงทุนนั้นไม่น่าสนุก  โดยส่วนตัวแล้วผมชอบเหนือกว่าวอลสตรีทมากกว่า  แต่หนังสือหุ้นสามัญกับกำไรที่ไม่สามัญนี้  เนื้อหาแน่นมาก  ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับหุ้นเติบโตเพียงอย่างเดียวมารวมไว้ได้ทุกองค์ประกอบ  ผมก็นึกไม่ถึงว่าหุ้นเติบโตเพียงอย่างเดียวจะมีรายละเอียดได้ถึงเพียงนี้

     สรุปสุดท้ายนี้  มันไม่จำเป็นว่าคุณต้องลงทุนในหุ้นตัวเดียวกับผม  หรือคุณต้องใช้วิธีการหาหุ้นในแบบเดียวกับผม  เพราะลักษณะนิสัยคนแต่ละคนและความชอบไม่ชอบนั้นไม่เหมือนกัน  ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน  คุณก็สามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ทั้งนั้น  ดังเช่นที่นักลงทุนระดับโลกทั้งสามคนคือ  วอร์เร็น  บัฟเฟต  ,  ปีเตอร์  ลินซ์  ,  และจอร์จ  โซรอส  ต่างก็ประสบความสำเร็จในการลงทุนด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน  แมวจะสีอะไรก็ช่าง  ขอให้จับหนูได้ก็พอ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
:i3abyzeed::
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


086-440-8577


« ตอบ #491 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 16:38:57 »

ไล่อ่านทุกบรรทัดจนจบ ขอบคุณที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากชีวิตจริง

เป็นประสบการณ์ที่ดี ( รู้ไว้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเจ็บตัวเอง ) มีประโยชน์มากจริงๆครับ ยิ้ม ยิ้ม

    ช่วงระหว่างที่ผมสืบข้อมูลของหุ้น  7-11  อยู่นั้น  ผมก็ไปได้หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อว่า  “ตามรอยบัฟเฟต”  หนังสือเล่มนี้ได้บอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ของมหาเศรษฐีบัฟเฟตว่าทำอย่างไรถึงรวย  โดยย่อๆก็คือ  เขาดูที่กิจการ  ผู้บริหาร  ลักษณะธุรกิจ  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว  เป็นยี่ห้อที่คนรู้จักดี  เรามีความเข้าใจในการทำธุรกิจของเขา  ไม่กระจายความเสี่ยง  ไม่สนเรื่องเทคนิค  ไม่ซื้อขายบ่อย  เพราะจะถูกกินเงินต้นจากค่าคอม  ต้องศึกษาบริษัทให้ทะลุปรุโปร่งแล้วจึงลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่  และที่สำคัญคือ  ให้ซื้อตอนที่ราคามันไม่แพง  ถ้ามันแพงก็รอให้มันตกลงมาก่อน  เมื่อซื้อหุ้นแล้วก็ให้ถือยาว  ฯลฯ

ชอบส่วนนี้ ถึงจะไม่เคยอ่านแต่ก็ตรงกับคอนเซปการลงทุนส่วนตัวพอดีครับ ยิ้ม Like!!!!;) ยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #492 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 01:51:52 »

แม่ผมเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม
     จริงๆแล้วเนื้อเรื่องนี้ควรเอาไปลงไว้ในห้องกระทู้  “กับดักชีวิต”  แต่ผมมาคิดว่า  เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้  มันเป็นเรื่องราวชีวิตของแม่ผมมากไปหน่อย  ผมก็เลยคิดว่า  เอามาลงไว้ที่กระทู้ของผมจะดีกว่า  เพราะมันจะได้ไม่ไปเกะกะข้อมูลความรู้ของท่านอื่นเขา  ชีวิตแม่ผมก็มีอยู่ว่า

     แม่ผมมีลูกอยู่  3  คน  เป็นชาย  1  คนและหญิง  2  คน  ซึ่งก็คือมีผมเป็นคนโต  และมีน้องสาวอีก  2  คน  ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะว่าทำไมแม่ต้องมีลูกเยอะแยะ  ทั้งๆที่แม่ก็ไม่ค่อยจะมีเงินเลี้ยงสักเท่าไหร่  พอผมกำลังจะ จบ ม.3  แม่กับพ่อผมเลิกกัน  สาเหตุก็เนื่องจากว่า  พ่อผมแอบไปมีเมียน้อย  แม่ผมก็ถามพ่อว่าจะเลือกใคร  พ่อผมตอบว่าเลือกคนใหม่  แม่ก็เลยบอกว่า  งั้นขอให้ดาวน์บ้านให้หน่อย  แล้วจะไปผ่อนเอาเอง  พ่อผมก็เลยมาดาวน์บ้านที่เชียงรายให้  หลังจากที่พ่อมาดาวน์บ้านให้  แม่ก็หอบลูกๆมาอยู่ที่เชียงรายด้วย  เหลือผมอยู่กรุงเทพแค่คนเดียวเพราะต้องทำงานช่วยแม่หาเงิน(จบ  ม.3  ก็ทำงานเลย)  พอแม่เลิกกับพ่อ  ชีวิตแม่ก็ยิ่งลำบากใหญ่เลย  ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจอีกว่า  ทำไมแม่ต้องเอาลูกๆทั้งสามคนไว้กับตัวเองทั้งหมด  ทำไมไม่แบ่งให้พ่อไปบ้าง  ในเมื่อตอนนั้นแม่ก็ลำบากมาก  แต่ช่วงนั้นยังดีที่มีผมช่วยทำงานหาเงินอีกแรงหนึ่ง  หลังจากที่ผมอยู่กรุงเทพได้สักพัก  ผมก็อยากเรียนต่อ  แม่ผมก็บอกว่าให้มาเรียนที่เชียงรายเพราะค่าเทอมมันถูกดี  ผมก็เลยขึ้นมาเรียนที่เชียงราย  พอผมขึ้นมาที่เชียงรายแล้ว  นั่นก็เท่ากับว่า  จะขาดคนหาเงินไปอีกคนหนึ่ง  ช่วงนั้นพอผมมาเชียงราย  แม่ผมก็ไปช่วยป้าขายน้ำที่โคราชทันที  โดยแม่ฝากให้ผมดูแลน้องๆให้ด้วย  แล้วแม่จะส่งเงินมาให้  ผมก็เรียนไปด้วยดูแลน้องไปด้วยจนผมจบ  เมื่อเรียนจบแล้วผมก็บอกแม่ว่าจะไปทำงานที่กรุงเทพ  แม่ผมก็บอกว่าไม่ต้องลงไป  ให้หางานทำที่เชียงรายพร้อมกับดูแลน้องๆไปด้วย  ผมก็เลยติดแหง็กอยู่ที่เชียงรายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  และถึงแม้ว่าน้องๆของผมจะเรียนจบไปกันหมดทุกคนแล้ว  แต่ผมก็ยังไม่ได้ไปไหน  เพราะแม่ให้เหตุผลว่า  ไม่มีใครดูแลบ้าน  และทุกวันนี้  น้องผมทั้งสองคนก็ไปอยู่กับแม่ที่โคราชกันหมดแล้ว  พอลูกๆเรียนจบทุกคนแล้ว  แม่ก็ไม่มีภาระที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูอีก  เงินที่หามาได้เท่าไหร่ก็เลยเอาไปผ่อนบ้านจนบ้านหมดในที่สุด

     พอน้องผมไปช่วยแม่ขายน้ำที่โคราชแล้ว  แม่ก็บอกว่าอยากมีรถปิคอัพสักคัน  เพราะใฝ่ฝันมานานแล้วว่าอยากมี  แต่ผมก็ยังไม่เห็นด้วยกับแม่เพราะว่า  ตลาดที่แม่ขายน้ำกับที่พักของแม่  มันก็อยู่ใกล้ๆกัน  ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้รถเลย  ผมก็บอกแม่ว่า  ถ้าออกรถมาผมไม่ช่วยผ่อนนะ  เพราะตอนนี้ผมก็มีภาระต้องผ่อนบ้านของตัวเองอยู่  แต่ในที่สุด  แม่ก็ออกรถมาจนได้  โดยให้เหตุผลว่า  ตอนนี้ยังหาเงินได้ก็รีบเอาไว้ก่อน  ตอนแกแก่ทำงานไม่ไหวแล้วก็จะกลับมาอยู่ที่เชียงราย  จะได้มีรถไว้ขับไปหาหมอ  ผมก็เข้าใจแม่นะ  เพียงแต่ว่าหนี้ค่าผ่อนรถมันหนักมากเหลือเกิน  เดือนละเกือบหมื่นเลยทีเดียว  ผมไม่อยากให้แม่ต้องโหมทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้  แต่แม่ก็บอกไม่เป็นไร  มันเป็นความสุขของแก

     และเมื่อวันที่  28  มกราที่ผ่านมาตอน  6  โมงเย็น  น้องผมร้องไห้โทรมาบอกว่า  แม่เป็นอะไรไม่รู้  กำลังขายน้ำอยู่ดีๆ  จู่ๆแม่ก็ทำน้ำที่กำลังจะยื่นให้ลูกค้าหลุดมือหล่น  แล้วแม่ก็ทรุดลงนั่งกับเก้าอี้  โดยที่ตัวแกเอียงไปทางขวา  ดีแต่ว่าทางขวามีถังน้ำแข็งใบใหญ่ค้ำแกเอาไว้  แกก็เลยไม่ล้มหัวฟาด  น้องผมรีบเขย่าตัวแล้วถามแม่ว่า  “แม่เป็นอะไร  แม่รู้เรื่องมั๊ย”  ตอนนั้นแม่ผมก็เริ่มปากเบี้ยวและพูดเหมือนคนเมาว่า  “ไม่รู้”  น้องผมเห็นท่าไม่ดีก็เลยรีบเอาแม่ขึ้นรถรถปิคอัพขับไปโรงพยาบาลทันที  พอไปถึงโรงพยาบาลแล้วหมอก็เอาเข้าเครื่องเอ็กซเรย์สมองทันที  แล้วผลก็ออกมาว่า  “แม่เป็นไขมันอุดตันในส้นเลือดสมองด้านซ้าย”  หมอบอกว่าดีแล้วที่รีบพามาภายใน  4  ชั่วโมง  เพราะยังมีโอกาสหายได้  100  %  อยู่  แต่เนื่องจากว่าไขมันที่อุดอยู่ในเส้นเลือดสมองของแม่ผมนั้นมันใหญ่มาก  หมอจะให้ยาทลายไขมันที่แรงๆก็กลัวว่ามันจะไปทำให้เส้นเลือดสมองเส้นอื่นๆมันแตก  มันจะหนักกว่านี้อีก  หมอก็เลยต้องให้แม่นอนพักหยอดน้ำเกลือเพื่อรอดูอาการ  และหมอก็พูดว่า  ต้องรอดูอาการ  3  วัน  ถ้าทรุดก็แสดงว่าไม่รอด  แต่ถ้ามันทรงๆแล้วไม่ทรุดลง  ก็มีโอกาสหาย  แต่ต้องทำกายภาพบำบัดหลายเดือนอยู่

     ตอนแรกผมก็คิดว่ายังไม่ต้องไปหาแม่ก็ได้มั๊ง  เพราะตอนนี้น้องผมก็เฝ้าดูอาการอยู่  ผมก็เลยออกมาขายของในวันที่  29  มกราอีก  1  วัน  เพราะช่วงนั้นมีงานพ่อขุน  ซึ่งจะทำให้ขายดีกว่าปกติ  แต่ในวันที่  29  น้องผมก็โทรมาบอกว่า  อาการแม่ยังไม่ดีขึ้นเลย  แต่ก็ไม่ทรุดลง  อยากให้ผมไปดูแม่หน่อย  เพราะหมอบอกว่า  เนื่องจากก้อนไขมันได้ไปปิดทางออกซิเจนที่จะไปเลี้ยงสมอง  ถ้าสมองขาดออกซิเจนนานไป  เซลล์สมองก็จะตายไปเรื่อยๆ  บางทีอาจจะจำใครไม่ได้  ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า  สมองแม่ขาดออกซิเจนนานขนาดไหนแล้ว  อยากให้รีบมาก่อนที่แม่จะจำใครไม่ได้  เมื่อผมได้ฟังดังนั้น  เย็นวันที่  30  ผมก็ตีตั๋วรถทัวร์ไปโคราชทันที  ถึงแม้ว่าช่วงนี้ผมจะขายของดีแค่ไหน  แต่ผมก็ไม่เอาแล้ว  เพราะแม่สำคัญที่สุด  ผมไปถึงโคราชเช้าวันที่  31  และเข้าไปหาแม่ทันที  พอผมไปถึง  แม่กำลังหลับอยู่  แต่น้องผมก็เขย่าตัวแม่และบอกว่าผมมาหา  แม่ผมตื่นขึ้นมาเห็นผมก็น้ำตาไหล  ถึงแกจะยังปากเบี้ยวอยู่แต่แกก็จำผมได้และพูดว่าอยากกลับบ้าน  ผมก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเพราะรู้ว่า  ถ้าแกจำผมได้ก็แสดงว่าสมองแกยังดีอยู่  หมอก็เข้ามาบอกว่า  แม่ผมเป็นไขมันอุดตันในสมองด้านซ้าย  ซึ่งจะมีผลทำให้ร่างกายด้านขวาไม่สามารถขยับได้  คงต้องทำกายภาพบำบัดหลายเดือนอยู่กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  และหมอก็แนะนำว่า  ตอนนี้คนไข้นอนที่โรงพยาบาลมา  3  วันแล้ว  อาการก็ไม่ได้ทรุดลง  หมอไม่ค่อยอยากให้อยู่ในโรงพยาบาลนัก  เนื่องจากว่าร่างกายของคนไข้กำลังอ่อนแอ  อาจจะได้รับเชื้อโรคจากผู้ป่วยรายอื่นเข้าไป  มันจะหนักกว่าที่เป็นอยู่  ผมก็เลยตกลงว่า  พาแม่กลับบ้านในเย็นวันนั้นด้วยรถปิคอัพของแม่แกเอง

     ตอนที่แม่แกได้ขึ้นรถกลับบ้าน  ดูแกมีความสุขมาก  ถึงแม้ว่าแม่จะยังพูดไม่ค่อยได้  แต่สีหน้าและแววตาบ่งบอกได้ว่ามีความสุข  พอกลับมาถึงบ้าน  ผมกับน้องๆก็ช่วยกันพยุงแม่ไปที่เตียง  และปล่อยให้แกนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ  เมื่อแม่นอนหลับไปแล้ว  ผมกับน้องๆก็มานั่งคุยกันว่า  หลังจากนี้จะเอาอย่างไรต่อไป  คุยกันไปคุยกันมา  ก็เลยสรุปว่า  คงต้องดูอาการแม่ไปก่อนว่าจะเป็นอย่างไร  ถ้าแม่ค่อยๆหายจนเป็นปกติแล้ว  และแม่ยังอยากขายน้ำอยู่  ผมก็กะว่า  จะเอาบ้านแม่ไปเข้าธนาคาร  และเอาเงินที่ได้ไปปิดค่ารถ  เพราะหนี้ค่าผ่อนบ้านมันถูกกว่าหนี้ค่ารถ  เนื่องจากว่ามันสามารถยืดระยะเวลาของหนี้ออกไปได้นานกว่า  ซึ่งนั่นก็จะทำให้แม่ไม่ต้องโหมขายของเพื่อหาเงินมาจ่ายหนี้มากนัก  แต่ถ้าแม่หายป่วยแล้ว  และไม่อยากขายของต่อ  ผมก็กะจะเอาบ้านเข้าธนาคารอยู่ดี  และลูกๆก็จะช่วยกันผ่อน  พร้อมกันนั้นลูกๆทั้งสามคนก็จะส่งเงินให้แม่ใช้ทุกเดือนด้วย  ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่า  แม่จะเอาอย่างไรต่อไป

     โดยสรุปของเรื่องนี้ก็คือ  ตอนนี้ผมทราบแล้วว่าทำไมแม่ถึงมีลูกเยอะ  นั่นเป็นเพราะว่า  จะได้มีคนช่วยดูแลตอนที่แม่แกทำอะไรไม่ได้  เพราะเท่าที่ดูตอนนี้  ลูกๆของแม่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองและช่วยเหลือกันได้ดีมาก  ตัวผมเองก็กลับมาหาเงินไว้คอยรองรับว่า  ในอนาคตถ้าแม่ต้องใช้เงินในการรักษาตัวอีก  จะได้ไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง  น้องคนรองก็ไปขายของแทนแม่ที่กำลังป่วย  น้องคนเล็กก็เฝ้าดูแลแม่อย่างใกล้ชิด  ช่วยทำกายภาพบำบัดและขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัด  การมีลูกมากของแม่นั้น  ได้ทำลายความเชื่อโดยส่วนตัวของผมเองอย่างหมดสิ้นว่า  “การมีลูกเป็นภาระ”  ลองนึกถึงตอนที่แม่ผมออกอาการสิ  ถ้าแม่ไม่มีลูก  ใครจะเป็นคนพาแม่ไปส่งโรงพยาบาล  เมื่อถึงเวลานั้นจริง  ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินล้นฟ้า  แต่ถ้าขณะเราไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ  สุดท้ายเราก็ไม่รอด  และสิ่งที่ลูกทำไป  ก็ไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรเลยสักนิด  ทุกอย่างที่ลูกทำไป  ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้เป็นลูกอยู่แล้ว  และตอนที่แม่ออกจากโรงพยาบาลมาแล้วอีก  คนที่จะมาช่วยแม่ทำกายภาพ  คนที่จะคอยหาอาหารให้แม่กิน  คนที่จะพาแม่ไปหาหมอ  จะหาใครอบอุ่นใจใกล้ชิดได้เท่ากับลูกตัวเอง  และถ้าแม่ไม่ต้องการทำงานแล้ว  เพียงแต่แม่กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ  แม่ก็ยังจะได้รับกระแสเงินสดจากลูกๆที่ส่งให้แม่ใช้ทุกเดือนไปตลอด  เท่านั้นยังไม่พอ  แม่จะยังได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากลูกๆอีกด้วย  การลงทุนกับลูกๆของแม่นั้น  ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ  เมื่อผมเห็นแม่เป็นอย่างนี้แล้ว  ตอนนี้ผมชักอยากจะลงทุนกับลูกๆเสียแล้วสิ

     เมื่อมาดูที่รถของแม่  ซึ่งผมไม่เห็นด้วยในตอนแรกนั้น  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า  แค่เรื่องที่รถคันนี้ช่วยพาแม่ผมไปส่งที่โรงพยาบาลในวันเกิดเหตุได้แค่เรื่องเดียว  ผมก็คิดว่า  รถคันนี้คุ้มค่าที่ได้ซื้อมันมาใช้จริงๆแล้ว  เพราะรถราคาคันละไม่กี่แสน  แต่สามารถช่วยชีวิตแม่ที่เป็นที่รักของลูกๆทั้งสามได้  ถ้าแม่ผมเป็นอะไรไป  เงินกี่ล้านก็ไม่สามารถทดแทนได้  เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า  มันคุ้มจริงๆ  และนี่ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมมากของแม่ผมอีกเรื่องหนึ่ง

     สุดท้ายเรื่องบ้าน  อย่างไรเสียตอนนี้หนี้รถมันก็ยังไม่หมดไป  แต่ถ้าเราเอาบ้านไปเข้าธนาคาร  เรื่องผ่อนรถที่หนักๆ  ก็จะกลายเป็นเรื่องเบาๆได้ทันที  เรื่องนี้ดีกว่าหุ้นเสียอีก  ลองนึกดูสิว่า  ถ้าเรามีหุ้นแล้วเราต้องการเอาเงินไปปิดรถ  เราก็จะต้องขายหุ้นออกมาถูกต้องไหม?  และถ้าเราขายหุ้นออกมาเสร็จแล้ว  เรายังจะได้รับเงินปันผลจากหุ้นตัวนั้นอยู่ไหม?  หรือเรายังจะได้รับผลดีจากการที่หุ้นตัวนั้นราคาขึ้นอยู่ไหม?  ไม่ได้แน่นอนจริงไหม  แต่ถ้าเราเอาบ้านไปเข้าธนาคาร  เราได้เงินเอาไปจ่ายค่ารถแล้ว  แต่เราก็ยังมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป  ตราบเท่าที่เรายังจ่ายค่าผ่อนบ้านอยู่  และถ้าบ้านและที่ดินราคาขึ้น  เราก็ยังได้ประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าของบ้านอีก  เพราะฉะนั้นแล้ว  นี่ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งของแม่ผม

     เมื่อมาประมวลเรื่องราวทั้งหมดออกมา  สิ่งของทั้งสามชนิดคือ  ลูก  รถ  และบ้าน  ซึ่งมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่ควรจะมีมันเพื่อมาลิดรอนความมั่งคั่งในระยะยาว  ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า  สำหรับแม่ผมแล้ว  สิ่งของทั้งสามชนิดที่แม่มีนั้น  กลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าของแม่ผมทั้งหมด  ตอนนี้ผมก็ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า  ช่วงระยะเวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตแม่  ผมอยากให้แม่มีความสุขกับทรัพย์สินที่แม่ได้อุตส่าห์ลงทุนสร้างมันขึ้นมาทั้งชีวิต  เพราะทุกสิ่งที่แม่ได้สร้างมันขึ้นมานั้น  เป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วสำหรับแม่ผม


* แม่ป่วย.jpg (204.86 KB, 1200x1600 - ดู 273 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #493 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 09:19:47 »

ขอให้ท่านหายป่วยไวๆครับ

ได้มีโอกาสเจอกันครั้งนึง

ก็เป็นบุญของผมแล้วครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะครับแม่
IP : บันทึกการเข้า

Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #494 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012, 09:30:46 »


บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร

ขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายป่วยไวๆ มีสุขภาพแข็งแรงดีดังเดิม นะครับ...
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #495 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 09:16:47 »

  เป็นกำลังใจให้แม่ท่านวายุครับ...

ถึงแม่ผมจะไม่มีตังค์ให้ผมยืมไปเทรดหุ้นเป็นแสนๆ แต่ผมก็รักแม่ผมครับ...ท่านวายุ

ปล.ว่าแต่นอนโรงบาลที่ผมเป็นหุ้นส่วนอยู่รึเปล่าละนั่น...สู้ๆ ครับ  ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
chate
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,023


« ตอบ #496 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 17:03:44 »


บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร

ขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายป่วยไวๆ มีสุขภาพแข็งแรงดีดังเดิม นะครับ...

+1 ครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #497 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 01:26:10 »

ขอให้คุณแม่หายไวๆนะครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #498 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 15:37:05 »

     ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาให้กำลังใจนะครับ  ช่วงนี้อาจจะหายๆไปบ้าง  เพราะต้องขยันปั๊มเงิน  ถ้ามีเวลาและหาเรื่องมาลงได้  ก็จะเข้ามาอัพให้นะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
:i3abyzeed::
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


086-440-8577


« ตอบ #499 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012, 16:01:32 »

ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอนจริงๆ

เป็นประสบการณ์และมุมมองจากชีวิตจริงที่ดีมากๆ

ขอบคุณท่านวายุมากครับที่มาแชร์แบ่งปันให้กันรู้ ถึงอีกมุมมองหนึ่งของความหมายของทรัพย์สิน,หนี้สิน หนี้เลว หนี้ดี ...และที่สำคัญขอให้คุณแม่ของท่านวายุหายจากอาการเจ็บป่วยในเร็ววัน..อาการดีวันดีคืนครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 [25] 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!