เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 02:54:48
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 [20] 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293365 ครั้ง)
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #380 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2011, 18:40:35 »

ขอบคุณครับ เสี่ยวายุ

ปัจจุปัน Day trade

อนาคต VI

อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 02 สิงหาคม 2011, 11:24:11 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #381 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2011, 18:52:27 »

สวดยอดเลยท่านวายุ ผมไม่ได้เข้าในบอร์ดเสียนานเลย
ตอนนี้ได้ข่าวหลังจากที่รัฐบาลใหม่จะขึ้นค่าแรงเป็น300บาทต่อวัน
แล้วผมก็ได้ข่าวจาก
http://tnews.teenee.com/etc/69374.html คือ
ช็อก!ก๋วยเตี๋ยวจ่อขึ้นชามละ80บาท
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

อันนี้ผมก็อยากถามว่าหุ้นมาม่าที่ผมติดดอยอยู่คงจะปรับราคาตามท้องตลาดถูกต้องหรือเปล่าครับ
แล้วหุ้นที่ผมถืออยู่จะไปทางแม่สายหรือไปเบตงครับ
ขอความรู้จากทุกๆท่านด้วยครับ
 
ปล.ตอนนี้ผมถือของthaiอยู่ที่28บาทผมว่าเป็นราคาที่ต่ำมากนะผมคิดถูกหรือปล่าว
รอถึงปลายปีคงจะมีกำไรอยู่บ้างท่านว่ามีแนวโน้มที่ดีหรือเปล่าครับ
IP : บันทึกการเข้า
แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,890


« ตอบ #382 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2011, 21:43:56 »

.

ผมถือการบินไทยไว้...28.50 บาท

ถ้าหลุด 27 ผมต้องตัดขาดทุน

เพราะดูแล้ว ยังม่ายมีอนาคต หุหุ
IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #383 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 03:50:09 »

สู้ๆครับท่านสิงโตมือใหม่ก็ต้องไปซื้อดอยอยู่แทบทุกคนครับ

ผมก็กว่าจะหลุดดอยมาได้เล่นเอาใจเสียไปหลายทีละ

แต่แนวทางของท่านวายุนี้ผมว่าน่าจะดีที่สุดละ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #384 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 16:10:07 »

ตอบคุณ  singhato
     พอดีวันนี้เวลาน้อย  เอาแบบเข้มข้นเลยก็แล้วกัน  สำหรับหุ้นมาม่า  คุณคิดว่า  ในวันหนึ่งๆ  คนจะกินมาม่าได้กี่มื้อ?  และหุ้นตัวนี้  กระทรวงพาณิชย์ชอบมาจุ้นเรื่อย  ดูๆแล้วราคาสินค้าขยับยาก  และมันก็พลอยทำให้  บริษัทกำไรน้อยไปด้วย  อันนี้ก็ไปคิดต่อเอาเองครับ

     หุ้นการบินไทย...อีกแล้วครับท่าน  ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า  "คุณซื้อหุ้นนั้นเพราะอะไร"  มันไม่ใช่ว่าเอะอะก็ว่าราคาถูก  เราต้องเข้าใจด้วยว่า  เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว  เมื่อก่อนสายการบินของประเทศเรามีกี่ยี่ห้อครับ  ยี่ห้อเดียวใช่ไหม  แล้วตอนนี้มีกี่ยี่ห้อ  ถูกกว่าการบินไทยอีกต่างหาก  แล้วราคาน้ำมันอีกล่ะ  แล้วพวกฝรั่งที่เกิดวิกฤตอีกล่ะ  ช่วงนี้เขาไม่มีเงินกัน  เขาก็คงยังไม่เที่ยวกันหรอกครับ  แค่หาเงินใช้หนี้ก็อ่วมแล้ว  ถ้าจะซื้อการบินไทย  คงต้องรอเศรษฐกิจของฝรั่งกำลังฟื้นเสียก่อน  แล้วค่อยเข้าไปซื้อ  ถ้าผมถามว่าการบินไทยมันราคาถูกเมื่อเทียบกับอดีต  แล้วอดีตราคาของ 7-11  ผมล่ะ  ถ้าเห็นราคานี้คงไม่มีใครกล้าซื้อเป็นแน่  แต่มันไม่ใช่นะ  พื้นฐานมันดีขึ้น  สาขาเพิ่มกว่าเมื่อก่อน  เพราะฉะนั้น  ราคาหุ้นมันต้องขึ้นไปอีก  ถ้าคุณหวังราคาหุ้นต้องขึ้น  คุณต้องมองอย่างเดียวเลยว่า  มันจะโตได้อีกไหม  มันจะกำไรเพิ่มได้อีกไหม  กลยุทธ์ง่ายๆสำหรับการเล่นที่จะได้กำไรเยอะๆก็คือ  "หาหุ้นที่มันโตได้อีก  และซื้อมันมากอดไว้  จนกว่ามันจะไม่โต"  แต่การที่เราจะรู้ว่า  หุ้นไหนมันจะโตหรือไม่โตนั้น  นั่นแหละสำคัญ  คุณต้องมีความรู้ทางการเงินครับ  พยายามสะสมความรู้ให้มากๆ  คุณอย่าขี้เกียจศึกษา  ถ้าคุณเป็นแล้ว  ความรู้นั้นมันสามารถหากินได้ตลอดชีวิต  OK  นะครับ  ถ้าว่างจะเข้ามาแนะนำหุ้นให้  ตอนนี้กำลังสนใจหลายตัวเลย
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #385 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2011, 17:24:36 »

แล้วของcpnละท่าน เจ้าของ เซ็นทรัล บิ๊กซีและคาร์ฟูร์
จะลงมาเปิดเป็นชอร์ปเล็กๆได้หรือเปล่า บิ๊กซี24ชั่วโมง คาร์ฟูร์24ชั่วโมง
ถ้าทำได้คงมันแน่ๆ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #386 เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2011, 15:38:07 »

ตอบคุณ singhato
     จริงๆแล้วใครจะเปิดก็ได้ทั้งนั้นแหละ  เพียงแต่ว่า  มีความสามารถสู้คนอื่นได้หรือไม่  ถ้าประเมินแล้วว่าสู้ไม่ได้  จะสู้ให้เจ็บตัวทำไมถูกไหม  วันนี้เอาข่าว 7-11 มาให้อ่าน

เซเว่น รีวิวแผนเวียดนามรับมือเออีซี
     ส.พัฒนาผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทย แนะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 แก้กฎหมายค้าปลีกให้ทันยุคสมัย โดยเฉพาะการขายออนไลน์ ขณะที่ค้าปลีกไทยส่อเค้ารุนแรง หลังกำลังซื้อระดับกลาง - ล่างเพิ่มสูงต่อเนื่อง ส่งผลคอนวีเนียน สโตร์เร่งขยายตัวรองรับ ด้าน 7-11 เตรียมศึกษา วิเคราะห์การเข้าไปลงทุนในตลาดเวียดนามอีกครั้ง รับการเกิดเออีซี
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย และรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ประเด็นเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องรีบดำเนินการคือ การแก้ไขกฎหมายค้าปลีกที่มีอยู่ในปัจจุบันให้มีความทันสมัย ทันกับสถานการณ์การแข่งขันและการดำเนินการที่เปลี่ยนแปลงทั่วโลก โดยที่ผ่านมาพบว่า กฎหมายค้าปลีกมีข้อจำกัดในหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อาทิ การจำกัดพื้นที่ในการขยายสาขา ซึ่งพบว่าจะเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ที่เกิดขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเดิมที่มีอยู่ ดำเนินธุรกิจได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งปัจจุบันมีรูปแบบการค้าปลีกใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น การขายผ่านออนไลน์ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม
"เมื่อก้าวสู่ยุคดิจิตอล ย่อมมีการซื้อขายรูปแบบใหม่ๆ เช่น ซื้อขายผ่านโทรศัพท์มือถือ ขายผ่านอินเตอร์เน็ต และมีปัญหาตามมาทั้งได้รับสินค้าไม่ตรงกับที่สั่งซื้อ หรือสินค้ามีตำหนิ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมหรือป้องกัน ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ ดังนั้นจึงควรปรับปรุง แก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัย และทันกับกระแสที่เกิดขึ้น" นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ควรใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ร.บ. แข่งขันทางการค้า ในการควบคุมการดำเนินธุรกิจของผู้บริโภค เพราะช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการหลายรายที่มุ่งแต่แข่งขันกันอย่างหนัก โดยเฉพาะการลดราคาสินค้าต่ำกว่าทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้าง
สำหรับภาพรวมของการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกในเมืองไทย เชื่อว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นโดยเฉพาะในค้าปลีกไซซ์เล็ก หลังจากที่มีผู้ประกอบการขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคในระดับกลางลงล่าง ก็มีกำลังซื้อสูงขึ้น จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากราคาพืชผลเกษตรที่ดีขึ้น รวมถึงการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเซเว่น เองเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจมานานและมีความเชี่ยวชาญ ด้านการบริหารจัดการร้านสะดวกซื้อจะทำให้มีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ส่วนการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากผู้ประกอบการรายใหม่จะทำให้เกิดตลาดใหม่ จากทำเลใหม่ๆด้วย  ส่วนการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558 นั้น ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกของไทยถือว่ามีความแข็งแกร่งมากในแถบอาเซียน เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเทียบชั้นกับประเทศฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลียได้เลยทีเดียว ดังนั้นหลังการเกิดเออีซี จึงถือเป็นโอกาสในการขยายการลงทุนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเซเว่น เองมีแนวคิดที่จะศึกษาตลาดเวียดนามอีกครั้ง หลังจากที่เคยให้ความสนใจและศึกษามาต่อเนื่อง เพราะประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ มีประชากรหนาแน่น และมีโอกาสที่คอนวีเนียน สโตร์ จะขยายเข้าไปได้อีกมาก "เดิมเซเว่น ให้ความสนใจและศึกษาธุรกิจค้าปลีกเวียดนามมาหลายปี แต่ติดขัดในข้อกฎหมายหลายตัว จึงยังไม่เคยเสนอตัวขอเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามกับบริษัทแม่ แต่จะกลับมาศึกษาและวิเคราะห์ใหม่ หลังจากที่เกิดเออีซี เพราะมีเงื่อนไขใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งหากศึกษาและมีความเป็นไปได้ ก็จะเสนอตัวเข้าไปลงทุนในเวียดนามแน่นอน"
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #387 เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2011, 16:00:13 »

การซื้อหุ้นคืนของบริษัท
     สืบเนื่องจากหัวข้อการเพิ่มทุนที่บอกว่า  ถ้าบริษัทไหนทำการเพิ่มทุนแล้ว  หุ้นในบริษัทนั้นจะมีมากขึ้น  หากบริษัทยังทำกำไรได้เท่าเดิมอยู่  มันก็จะทำให้ผลตอบแทนต่อหุ้นมันลดลง  เนื่องจากว่า  มีคนมาแบ่งผลกำไรมากขึ้น  เมื่อได้ผลตอบแทนลดลง  ราคาหุ้นก็มักจะลดลงตามไปด้วย

     แต่ถ้าบริษัทไหนมีนโยบายซื้อหุ้นคืน  นั่นเป็นเรื่องที่ดี  เพราะหากบริษัททำกำไรได้เท่าเดิม  แต่ตัวหารจะลดลง  ฉะนั้น  ผลตอบแทนต่อหุ้นจะสูงขึ้น  และราคาหุ้นก็มักจะสูงขึ้นด้วย  ดังนั้น  มันก็เลยเป็นที่มาว่า  ผมเห็นข่าวของหุ้นตัวหนึ่ง  กำลังมีนโยบายจะซื้อหุ้นคืน  หุ้นตัวนั้นคือ  DTAC

     จากการดูลักษณะธุรกิจ  เขาเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ  ซึ่งในประเทศไทย  มีกันอยู่แค่  3  เจ้าเท่านั้น  สำหรับ  DTAC  มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2   ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายนัก  แต่ที่น่าสนใจก็คือ  ธุรกิจนี้ได้ทำมานานแล้ว  เสาสัญญาณก็ตั้งครอบคลุมหมดแล้ว  เพราะฉะนั้น  เรื่องการลงทุนหนักๆให้กินทุนคงไม่มีอีก  จะมีก็แค่ปรับปรุงคลื่นให้เป็น 3 G เท่านั้น  ซึ่งก็ไม่หนักหนาอะไร  ซ้ำเขาประกาศว่า  กำลังจะเพิ่มเงินปันผลเป็น 100 %  พูดง่ายๆว่า  หาเงินมาได้เท่าไหร่  จ่ายปันผลหมดเลย  ซ้ำยังไม่พอ  ถ้าเขาปันผล  100 %  และยังลดจำนวนหุ้นลงโดยการซื้อคืน  นั่นเท่ากับว่า  ผลตอบแทนจะวิ่งช่วยกัน 2 แรง   น่าสนใจลงทุนเป็นอย่างยิ่ง  แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น  คงต้องรอให้พ้นวิบากกรรมเสียก่อน  เนื่องจากว่า  ตอนนี้มีคดีอยู่  และตีความกันออกมาแล้วว่าเป็นของต่างชาติ  ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จะเอาอย่างไรต่อไป  ถ้าจะลงทุน  ก็ขอให้จบคดีก่อนแล้วกันนะครับ

     และตามที่สัญญากันไว้ว่าจะเอาหุ้นมาแนะนำ  ตัวต่อไปที่ดีในสายตาผมก็คือ  DCC  หรือไดนาสตี้เซรามิก  หลายคนอาจจะคุ้นๆแต่นึกไม่ออก  ผมบอกให้ก็ได้  เขาขายกระเบื้องปูพื้นและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องครับ  สาเหตุที่หุ้นตัวนี้เข้าตาก็คือ  บริษัทนี้ไม่มีหนี้สิน  มีการเติบโตพอสมควร  เนื่องจากว่า  ประเทศเพื่อนบ้านเขากำลังสร้างบ้านพักอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก  กำลังซื้อกระเบื้องปูพื้นยังมีอีกเยอะครับ  โดยเฉพาะพม่า  กัมพูชา  ลาว  บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล  100 %   มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และที่ไม่เหมือนใครก็คือ  บริษัทนี้ปันผลปีละ 4  ครั้ง  พูดง่ายๆว่า  ใครชอบกระแสเงินสดดีๆก็ต้องตัวนี้เลย  แต่ถ้าอยากซื้อก็รอจังหวะเวลาหุ้นตกก็แล้วกันครับ  ตอนนี้หุ้นแพงแล้ว  ผมเคยซื้ออยู่ช่วงหนึ่งตอนราคา  10  บาท  พอขึ้นเป็น  14  บาทก็ขาย  แต่มันก็วิ่งหน้าตั้งไม่ยอมเหลียวหลังมาจนถึงห้าสิบกว่าบาทเลย...เสียดายจัง

     ตัวต่อไปก็คือ  LOXLEY   รู้สึกว่าจะมาแนะนำช้าไปหน่อย  เพราะช่วงนี้ราคาถีบตัวขึ้นสูงมาก  สาเหตุก็เพราะ  เป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่กำลังจะได้ทำหวยออนไลน์  เราต่างก็รู้ว่าคนไทยบ้าหวยขนาดไหน  และการเล่นหวยใต้ดินก็ยังเสี่ยงกับการที่เจ้ามือจะชักดาบหากถูกกันเยอะๆ  แต่หวยใต้ดินมันก็ดีตรงที่แปะได้  ถ้ายังไม่มีเงินแต่อยากซื้อหวย  เจ้ามือก็จัดให้  แต่ถ้าเล่นหวยออนไลน์มันก็มีแจ๊กพอตมาล่อ  เชื่อว่าเรตติ้งอาจกระฉูด  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ล็อกซเล่ย์ไม่ได้ทำหวยอย่างเดียว  เพราะฉะนั้น  เวลาจะซื้อหุ้นเขาก็ต้องประเมินธุรกิจอื่นด้วยว่าทำอะไรบ้าง  และธุรกิจอื่นกำไรเป็นอย่างไร  และถ้าได้ทำหวยแล้ว  มันจะช่วยให้รายได้โตขึ้นได้มากไหม  เพราะรายได้จากการทำหวยจะต้องไปถัวกับรายได้จากทางอื่นด้วย  ต่อจากนี้ก็ไปสืบเอาเองแล้วกันเด้อ

     วันนี้คงจะพอเท่านี้ก่อน  เพราะยังไม่เห็นตัวอื่นน่าสนใจเท่าใดนัก  อ้อ...ลืมอีกตัวหนึ่ง  ตัวนี้ดีมากๆเลย  นั่นก็คือ  CPALL  นั่นเอง  แหะ  แหะ  ตอนนี้กระผมก็ว่าราคามันแพงแล้วนะ  ถ้าอยากซื้อก็รอหน่อยแล้วกัน  ช่วงนี้ดูท่าทางเหมือนจะตกแรงพิกล
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #388 เมื่อ: วันที่ 07 สิงหาคม 2011, 23:19:24 »


     และตามที่สัญญากันไว้ว่าจะเอาหุ้นมาแนะนำ  ตัวต่อไปที่ดีในสายตาผมก็คือ  DCC  หรือไดนาสตี้เซรามิก  หลายคนอาจจะคุ้นๆแต่นึกไม่ออก  ผมบอกให้ก็ได้  เขาขายกระเบื้องปูพื้นและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องครับ  สาเหตุที่หุ้นตัวนี้เข้าตาก็คือ  บริษัทนี้ไม่มีหนี้สิน  มีการเติบโตพอสมควร  เนื่องจากว่า  ประเทศเพื่อนบ้านเขากำลังสร้างบ้านพักอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก  กำลังซื้อกระเบื้องปูพื้นยังมีอีกเยอะครับ  โดยเฉพาะพม่า  กัมพูชา  ลาว  บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผล  100 %   มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และที่ไม่เหมือนใครก็คือ  บริษัทนี้ปันผลปีละ 4  ครั้ง  พูดง่ายๆว่า  ใครชอบกระแสเงินสดดีๆก็ต้องตัวนี้เลย  แต่ถ้าอยากซื้อก็รอจังหวะเวลาหุ้นตกก็แล้วกันครับ  ตอนนี้หุ้นแพงแล้ว  ผมเคยซื้ออยู่ช่วงหนึ่งตอนราคา  10  บาท  พอขึ้นเป็น  14  บาทก็ขาย  แต่มันก็วิ่งหน้าตั้งไม่ยอมเหลียวหลังมาจนถึงห้าสิบกว่าบาทเลย...เสียดายจัง

    

เอามาฝากท่านวายุครับ

http://www.dcs-digital.com/moneychannel/program.php?listid=11

ให้ดูย้อนหลังวันที่ 10 ก.ค. 54 (เปลี่ยนวันที่ มุมบนขวา)

DCC หรือ ไดนาสตี้เซรามิก
IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #389 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 09:59:04 »


     วันนี้คงจะพอเท่านี้ก่อน  เพราะยังไม่เห็นตัวอื่นน่าสนใจเท่าใดนัก  อ้อ...ลืมอีกตัวหนึ่ง  ตัวนี้ดีมากๆเลย  นั่นก็คือ  CPALL  นั่นเอง  แหะ  แหะ  ตอนนี้กระผมก็ว่าราคามันแพงแล้วนะ  ถ้าอยากซื้อก็รอหน่อยแล้วกัน  ช่วงนี้ดูท่าทางเหมือนจะตกแรงพิกล

เอามากฝากท่านวายุอีกแล้วครับ

http://www.dcs-digital.com/moneychannel/program.php?listid=11

ให้ดูย้อนหลังวันที่ 7 ส.ค. 54 (เปลี่ยนวันที่ มุมบนขวา)

CPALL หรือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #390 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 18:13:18 »

Run  profit  &  Cut  loss
     สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดเล่นหุ้น  อาจจะยังไม่รู้จักสองคำนี้ดีพอ  หรือยังไม่รู้แม้กระทั่งว่า  มันใช้งานอย่างไร  ถ้าอย่างนั้นเราต้องมาทำความรู้จักและรู้ความหมายของมันเสียก่อน  คำว่า  Run  profit  นั้นมาจาก  การถือหุ้นเพื่อให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการถือ  ส่วนคำว่า  Cut  loss  นั้นหมายถึง  การจำกัดผลขาดทุนในทันที

     แล้วสองคำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?  จริงๆแล้วสองคำนี้ใช้กันในด้านของภาวะตลาดหุ้นและในด้านเทคนิค  ถ้าเป็น  Run  profit  นั้นหมายถึง  เวลาตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น  ถ้าเรามัวแต่ซื้อๆขายๆ  มันจะทำให้กำไรที่เราทำได้  น้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับอัตราการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้น  เพราะเวลาที่หุ้นพุ่งขึ้นนั้น  ถ้าเรามัวแต่มาเก็งว่า  เมื่อราคาหุ้นถึงตรงนี้แล้วเราจะขาย  พอมันตกลงมาเราค่อยเข้าไปซื้อ  แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆแล้ว  หลังจากที่เราขายออกไป  หุ้นมันดันพุ่งขึ้นต่อ  ถ้าหากเราเสียดายและคิดว่า  ถ้าเรายังมีหุ้นตัวนั้นอยู่  เราต้องมีกำไรเพิ่มขึ้นแน่ๆ  เมื่อเป็นดังนี้  หลังจากที่ขายออกไปแล้ว  เราก็ไปไล่ซื้อหุ้นนั้นกลับคืนมาในราคาที่มันสูงขึ้น  มันก็เลยทำให้  เราซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิม  หรือถ้าเราอยากมีหุ้นจำนวนเท่าเดิม  เราก็ต้องเพิ่มเงินเข้าไป  หนำซ้ำยังไม่พอ  เราจะต้องโดนค่าคอมทุกครั้งที่เราทำธุรกรรม  ยิ่งเราซื้อขายบ่อย  กำไรที่ควรจะเป็นมันก็ยิ่งลดลง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ผู้รู้บางท่านก็ได้กำหนดคำนี้ขึ้นมา  เพื่อจะได้เตือนใจว่า  เราจะต้องถือหุ้นนั้นไปเรื่อยๆ  ตราบใดที่ภาวะตลาดหุ้นบูมยังไม่สิ้นสุดลง  เพื่อเป็นการเพิ่มผลกำไรให้สูงขึ้นตามภาวะของตลาดหุ้น  ดังวรรคทองท่อนหนึ่ง  ซึ่งผมได้อ่านเจอมาหลายปีแล้ว  ในเนื้อความท่อนนั้นบอกไว้ว่า  “จงถือหุ้นนั้นไปเรื่อยๆ  ตราบเท่าที่ตลาดจะมอบผลตอบแทนสูงสุดให้แก่เจ้า”

     สำหรับ  Cut  loss  นี้หมายถึง  การกำหนดจุดขายที่เรายอมรับในผลขาดทุนนั้นได้  อาจจะกำหนดเป็นราคาหรือเป็น %  แล้วแต่ผู้เล่น  เช่นเราซื้อหุ้นมาที่ราคาหนึ่ง  และเราก็กำหนดไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า  ถ้าหุ้นมันตกลงมา  5  %  เราจะขายทันที  โดยไม่สนใจว่า  หลังจากขายไปแล้วหุ้นมันจะไปทางไหนต่อ  เมื่อเราขายหุ้นทิ้งเสร็จ  เราก็มองหาจังหวะที่จะเข้าซื้อหุ้นในรอบใหม่ต่อไป

     เมื่อผมได้รู้จักกับ Run  profit  ใจผมมันก็คิดมาตลอดว่า  แล้วเรามีวิธีไหนบ้าง  ที่จะทำให้การ  Run  profit  นั้นสมบูรณ์แบบ  แต่ไม่มีวิธีไหนเลยที่จะทำให้วิธีการที่ว่าได้ผลเต็มร้อย  ไม่ว่าจะเป็นการดูฝรั่งซื้อขายหรือดูเทคนิคอย่างที่นักลงทุนทั้งหลายนิยม  เนื่องจากว่า  ภาวะตลาดเอาแน่เอานอนไม่ได้  เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างมากที่จะทำให้แนวโน้มต่างๆบิดเบี้ยวไป  แต่เท่าที่ผมลองใช้ดูและพบว่ามันได้ผลดีกว่าวิธีอื่นนั่นก็คือ  การ  Run  profit  จากผลประกอบการของบริษัท  หรือเรียกง่ายๆว่าดูปัจจัยพื้นฐานนั่นเอง  ผมพบว่าวิธีนี้แตกต่างออกไป  เราไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน  เราไม่ต้องคอยดูว่าฝรั่งซื้อหรือขาย  แต่เราสามารถรู้ได้ว่า  ตอนนี้บริษัทมันยังไม่หยุดโต  เพราะฉะนั้น  เราจะต้อง  Run  profit  ต่อไป  ทุกวันนี้  ผมไม่ค่อยสนใจกับภาวะตลาดมากนัก  ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีกับผม  เนื่องจากว่า  ทำให้ผมหลับสบายขึ้น  ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าตลาดมันจะเป็นอย่างไรในวันรุ่งขึ้น  ผมสามารถไปไหนต่อไหนได้โดยที่ไม่ต้องมาคอยเฝ้าตลาดหรือมานั่งเฝ้ากราฟหุ้น  ทุกวันนี้ผมแค่ดูว่า  บริษัทที่ผมลงทุนอยู่มันยังโตอีกไหม  ถ้ายังไม่หยุดโต  ผมก็จะ  Run  profit  ไปเรื่อยๆ...เรื่อยๆ...  จนกว่าแนวโน้มผลกำไรของบริษัทมันจะไม่โต  แต่บางคนก็อาจจะสงสัยว่า  ถ้าราคาหุ้นมันตกลงมาแล้วเราจะทำอย่างไร  จะไม่ดูแลก็คงไม่ได้  เพราะเงินทองต้องใส่ใจ  แต่ผมมีวิธีที่ดีกว่านั้นนั่นคือ  ถ้าหุ้นตกลงมาโดยภาวะตลาด  แต่ไม่ได้ตกลงมาจากผลประกอบการของบริษัท  ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องเรียกว่า  โอกาสซื้อหุ้นเพิ่มได้มาหาเราอีกครั้งหนึ่งแล้ว  เราอย่ามัวรีรอเลย  ถ้าเรามั่นใจในบริษัทและทำการบ้านมาอย่างหนักแล้ว  เราก็ควรจะรับไมตรีที่ดีของเพื่อนนักลงทุนที่หยิบยื่นให้เราจะดีกว่า  คุณไม่ชอบเหรอ  มีคนเอาของดีมาขายลดราคาให้น่ะ  เพราะในที่สุดแล้ว  ราคาหุ้นก็มักจะไปด้วยกันกับผลกำไรที่บริษัททำได้เสมอ  ถ้าหุ้นตกโดยภาวะตลาด  ในไม่ช้าเมื่อตลาดหายตกใจ  การประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมก็จะกลับมา  ที่คุณต้องทำก็คือ  “อดทน”  เท่านั้นเอง

     สำหรับคำว่า  Cut  loss    หลังๆมานี้ผมไม่เคยใช้  เพราะก่อนที่ผมจะลงทุนในหุ้นตัวไหนก็ช่าง  ผมมักจะดูผลประกอบการและทำความเข้าใจกับวิธีหาเงินของบริษัทก่อนซื้อหุ้นเสมอ  การที่คนส่วนใหญ่  Cut  loss  นั้น  ผมว่า  เขาคงไม่รู้จักหุ้นของบริษัทที่เขาลงทุนดีพอ  เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรก็ช่าง  เขาต้องทิ้งหุ้นก่อนทุกที  เนื่องจากว่า  กลัวขาดทุน  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ถ้าเราลงทุนโดยไม่ได้ศึกษาก่อน  หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น  เราก็จะเป็นคนแรกที่ต้องโดนค่าคอมเนื่องจากทำธุรกรรมขายหุ้น  เมื่อหายตกใจแล้ว  เราก็ย้อนกลับมาซื้อหุ้น  ทำให้โดนค่าคอมซ้ำอีกโดยใช่เหตุ  ผมสังเกตว่า  นักลงทุนหลายคน  ตัดสินใจซื้อหุ้นโดยใช้เวลาน้อยกว่าการตัดสินใจซื้อมือถือสักเครื่องหนึ่งด้วยซ้ำ  เพราะกว่าที่เราจะซื้อมือถือแต่ละเครื่องได้  เราต้องดูความนิยม  ดูคุณภาพ  ดูความคุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย  และเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ  เมื่อเราได้ศึกษาจนหายสงสัยแล้ว  เราจึงตัดสินใจซื้อมือถือเครื่องนั้น  แล้วทำไมเวลาเราตัดสินใจซื้อหุ้น  เราจึงไม่ทำอย่างตอนซื้อมือถือบ้างล่ะ  หลายคนอาจจะนั่งเฝ้าตลาดมากเกินไป  ทำให้เวลาเห็นหุ้นเหวี่ยงขึ้นลงแล้วอยู่เฉยไม่ได้  เวลาเห็นเขาไล่ซื้อหุ้นกันก็ลืมหมดสิ้นทุกอย่าง  โดดเข้างาบโดยไม่คิดอะไร  กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป  ก็ตอนที่หุ้นตกติดดอยนั่นแหละ...อาเมน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #391 เมื่อ: วันที่ 12 สิงหาคม 2011, 19:30:00 »

ซากปรักหักพังของประชานิยม
     ในสมัยก่อนผมจำได้ว่า  มักมีคนพูดถึงประเทศสหรัฐและประเทศทางทวีปยุโรปว่า  เขาดูแลประชาชนดีมาก  มีสวัสดิการต่างๆสำหรับคนของเขามากมาย  ผิดกับประเทศไทย  ที่ต้องดูแลตัวเอง  โดยเฉพาะเรื่องเงิน  แต่เมื่อกาลเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้  เราทุกคนต่างก็ได้รับรู้ถึงวิกฤตหนี้ของประเทศเหล่านั้น  จนแทบทำให้ประเทศเหล่านั้นล่มสลาย  สิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นนี้  มันก็มาจากประชานิยมนั่นเอง

     สิทธิประโยชน์หรือสวัสดิการต่างๆที่รัฐมอบให้กับประชาชนนั้น  มันก็มีพื้นฐานมาจากประชานิยมนั่นเอง  กล่าวคือ  ประชาชนชอบอะไร  อยากได้อะไร  เขาก็พยายามหาเสียงโดยใช้ความต้องการของประชาชนมาล่อโดยไม่สนใจเลยว่า  เมื่อทำโครงการต่างๆพวกนั้นไปแล้ว  เขาจะแก้ปัญหาระยะยาวกับมันอย่างไร  คงจะคิดแค่เพียงว่า  ขอให้ได้รับเลือกตั้งเป็นพอ  เสียหายอย่างไรก็ค่อยไปแก้กันรัฐบาลหน้า(ถ้าได้เป็น)  เผื่อสมัยหน้าไม่ได้เป็นก็โยนเผือกร้อนให้คนอื่นรับไป  และมันก็ทำอย่างนี้ต่อกันมาเรื่อยๆโดยไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขมันอย่างจริงจัง  เพราะถ้าลองแตะสวัสดิการพวกนั้นดูสิ  อย่าหวังว่าสมัยหน้าจะได้เป็นอีก  เพราะฉะนั้น  บรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลายก็ห่วงเก้าอี้เหมือนกัน  มันเลยทำให้ปัญหาพวกนั้นสะสมเรื่อยมา  และพอมันระเบิด  ปัญหามันก็เลยใหญ่มากจนเกินควบคุม

     จะขอกล่าวถึงสวัสดิการต่างๆสักเล็กน้อยเช่น  เงินช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่มีงานทำ  ตัวอย่างนี้ทำไม่ถูก  เนื่องจากว่าหากประชาชนคนไหนทำงานมีรายได้  คนๆนั้นต้องเสียภาษีรายได้เป็นเงินค่อนข้างมาก  แต่สำหรับคนที่ไม่มีงานทำ  กลับได้รับความช่วยเหลือจากรัฐโดยรัฐเอาเงินมาให้ใช้ฟรีๆ  นั่นเท่ากับว่า  ส่งเสริมคนขี้เกียจและลงโทษคนทำงาน  เมื่อเหตุการณ์ออกมาในลักษณะนี้  มันจึงทำให้มีคนที่ไม่อยากทำงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และการที่รัฐบาลให้เงินช่วยเหลือแบบนี้ก็เท่ากับว่า  เป็นการส่งเสริมให้คนเป็นนักบริโภค  มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด  เพราะเวลาไม่มีเงิน  รัฐบาลก็จะเอาเงินมาให้ใช้อีก  ซึ่งนั่นเป็นปลูกฝังนิสัยไม่ดีให้กับประชาชนของเขา  ทำให้ประชาชนไม่ออมเงิน  ถ้ารัฐบาลไม่มีเงินมาแจก  ขั้นต่อไปที่ต้องทำก็คือการกู้ยืมเงินเพื่อมาแจก  และจะเห็นได้ว่า  ปัญหามันสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ  เนื่องจากว่ารัฐมีรายจ่ายมากกว่ารายรับ  มันก็เลยติดลบ  จนต้องกู้เพื่อมาใช้จ่ายมากขึ้น  และเหตุผลที่บ้าบอที่สุดของรัฐบาลสหรัฐในสมัยหนึ่งก็คือ  การที่มีบุคคลระดับสูงในรัฐบาลออกมาบอกว่า  อย่ากลัวว่าเราจะไม่มีเงินจ่ายหนี้  เพราะปัญหาทั้งหมดสามารถแก้ไขได้ด้วยการเดินแท่นพิมพ์(เงิน)  เมื่อรัฐบาลสหรัฐแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนั้น  เราก็สังเกตได้ว่า  เงินมันจึงเฟ้อขึ้นเรื่อยๆ  ของแพงขึ้นตลอดเวลา  และการที่เราออมเงินไว้โดยหวังว่าจะเอาไว้ใช้จ่ายในยามชรา  ผมกำลังสงสัยว่า  เมื่อถึงเวลานั้น  เงินที่เรามีมันจะอยู่ได้จนตายหรือไม่  หรือเงินจะหมดก่อนตาย  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก  และเมื่อไม่นานมานี้  สหรัฐได้เกิดปัญหาทางการเงินขึ้น  สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ปัญหาก็คือ  พิมพ์เงินเพิ่มแล้วอัดเข้าไปในระบบ  เขาคงคิดว่าเงินสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้  แต่สิ่งที่เขาทำนั่นกลับทำให้ปัญหามันใหญ่โตขึ้นไปอีก  ไม่ว่าจะเป็นราคาอาหาร  ทอง  น้ำมัน  ต่างก็มีราคาเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น  ส่วนคนที่มีเงินออมอยู่  เงินที่มีมันก็ด้อยค่าลงตามเงินที่รัฐบาลพิมพ์ออกมา  นั่นก็เป็นเหตุมาจากการแก้ปัญหาของสหรัฐนั่นเอง

     สำหรับการรักษาพยาบาลของสหรัฐก็เหมือนกัน  เขาให้คนของเขามารักษาฟรี  แล้วเงินที่เอามารักษานั่นล่ะ  เอามาจากไหน

     และเรื่องเงินบำนาญอีก  ถ้าเป็นสมัยก่อนจะเห็นได้ว่า  ในหน่วยงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชน  ต่างก็มีเงินบำนาญให้คนของเขาเกือบทุกบริษัท  แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป  คนที่เกษียณแล้ว  และไม่ได้มีความหมายกับบริษัทอีก  แต่กลับมีรายได้เหมือนคนที่ทำงานได้ทุกอย่าง  เรื่องนี้จึงเป็นภาระกับรัฐบาลและบริษัทมาก  ถ้าคนที่เกษียณแล้วดันตายยาก  ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเปลืองงบ  ดังนั้นกฎของเงินช่วยเหลือหลังเกษียณจึงเปลี่ยนไปกลายเป็นเงินสมทบแทน  กล่าวคือ  ลูกจ้างต้องดูแลตัวเองโดยการใส่เงินเข้าไปในกองทุนทุกเดือนซึ่งหักจากเงินเดือน  และก็มีนายจ้างใส่เงินสมทบเพิ่มเข้าไปให้กับลูกจ้าง  และลูกจ้างก็นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในตลาดหุ้นโดยผ่านกองทุนรวม  เงินส่วนนี้จะไม่สามารถถอนได้จนกว่าจะเกษียณ  ถ้าใครก็ตามนำเงินออกมาก่อน  คนนั้นก็จะถูกลงโทษโดยการคิดภาษีมากๆ  นั่นมันจึงเป็นเหตุที่ว่า  ตลาดหุ้นมันจึงโตขึ้นมาเรื่อยๆทั้งโลก  แต่ปัญหาตอนนี้มันอยู่ที่ว่า  คนที่เข้าโครงการนี้คือกลุ่มเบบี้บูม (เบบี้บูมคือคนที่เกิดช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของโลกในขณะนี้  ดังนั้นสิ่งที่เบบี้บูมต้องการก็มักจะไปในทางเดียวกันเนื่องจากว่า  อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน  เช่นถ้าเบบี้บูมต้องการบ้าน  บ้านก็จะขายดี  ทำให้ราคาบ้านถีบตัวสูงขึ้นเพราะแย่งกันซื้อ)  เบบี้บูมคนแรกที่จะครบกำหนดเกษียณอายุอยู่ในปี ค.ศ.2012  ซึ่งเมื่อครบอายุเกษียณแล้ว  เบบี้บูมมีสิทธิ์ที่จะนำเงินออกมาจากตลาดหุ้นได้โดยการถอนเงินออกจากกองทุนรวม  มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า  ถ้าเบบี้บูมเกษียณตามกันมาเรื่อยๆ  การถอนเงินออกจากตลาดหุ้นก็ต้องมีมาเรื่อยๆ  เมื่อถึงตอนนั้น  ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร?  บางคนก็บอกว่า  หุ้นจะตกยาวเป็นแนวโน้มขาลงหลายปีตามการถอนเงินออกจากตลาดของพวกเบบี้บูมที่เกษียณ  เพราะถ้ามีคนขายมาก  แต่คนที่เข้ามารับซื้อมีจำนวนน้อยกว่า  ราคามันก็ตก  แต่ถ้าเป็นผม  ผมว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น  เพราะทุกวันนี้  เงินที่มีมากๆในระบบ  ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือของพวกคนรวย  และคนรวยพวกนั้นก็นำเงินมาลงทุนในหุ้นแทนพวกเบบี้บูม  ยังไงก็แล้วแต่  เลือกฟังหูไว้หูก็แล้วกันนะครับ

     และเมื่อย้อนมาที่ประเทศไทย  ตั้งแต่อดีตมา  เราก็เห็นชาวบ้านบ่นถึงเรื่องสวัสดิการรัฐมาโดยตลอด  อยากให้รัฐทำนั่นทำนี่ฟรีให้  ผมก็เลยอยากรู้ว่า  ถ้าทำแล้วมีสภาพเหมือนสหรัฐและยุโรปตอนนี้จะเอาไหม  ดูคนที่เคยสบายแล้วมาลำบากมีสภาพอย่างไร  คนพวกนั้นเคยตัวจากการช่วยเหลือของรัฐ  เมื่อไม่ได้อย่างที่เคยได้ก็ไม่พอใจ  ก่อการจลาจลต่างๆเพื่อตอบโต้มาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล  ผมว่าการที่ประเทศไทยมีสภาพปากกัดตีนถีบอย่างทุกวันนี้ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง  เพราะสังคมที่เราอยู่มันสอนให้ต้องดิ้นรน  สอนให้พึ่งพาตัวเอง  สอนให้ต้องทำงานและอดออม  ลองคิดดูว่าถ้าประเทศไทยให้เงินช่วยเหลือคนที่ไม่ทำงานอย่างต่างประเทศ  ประเทศไทยจะมีสภาพเป็นอย่างไร  วันๆคนคงจะไม่ทำมาหากินอะไร  นั่งๆนอนๆรอเงินช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียวเสียกระมัง  เพราะขนาดทุกวันนี้รัฐไม่ช่วยเหลือ  ก็ยังมีคนประเภทนี้อยู่เป็นจำนวนมาก  แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ  หลังๆมานี้  สส.ในบ้านเราเริ่มจะประชานิยมมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นรักษาฟรี  รถเมล์ฟรี  ไฟฟ้าฟรี  รถไฟฟรี  แจกนั่นแจกนี่กันเข้าไป  ผมก็ยังหวั่นใจว่า  ถ้าทำมากๆเข้า  ประเทศจะติดลบไปเหมือนกับต่างประเทศที่เป็นกันอยู่  ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  ประเทศเราจะมีสภาพเป็นอย่างไรบ้างนะ  นึกสภาพไม่ออกจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #392 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2011, 09:06:19 »

การแจกเงินคนว่างงานนี่ อเมริกาเลยครับ ให้เยอะมาก คนเลยหางานกัน
ส่วนกู้เงินมาแจกนี่บ้านเราเอง
แย่ทั้งคู่
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #393 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 16:24:31 »

ราคา
     นักลงทุนในหุ้นส่วนมากชอบมองที่ราคาก่อนเป็นอันดับแรก  เขาให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากกว่าสิ่งอื่นใด  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  จริงๆแล้วคนที่มองราคาก่อนผมว่าเขาเป็นนักพนันมากกว่านักลงทุน  เนื่องจากว่ามันเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เขาได้หรือเสีย  แล้วถ้าถามต่อว่า  แล้วนักลงทุนทุกคนไม่มองที่ราคาหรอกหรือ  คำตอบคือ  “มอง”  นักลงทุนที่ฉลาดจะมองมันเป็นตัวสุดท้ายมากกว่าที่จะมองมันเป็นอันดับแรก  ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลงทุนในอะไรก็ตาม  ขั้นตอนแรกที่ต้องรู้ก็คือ

-บริษัททำอะไร
-แนวโน้มธุรกิจเป็นอย่างไร
-มีกำไรมากไหม
-เขาจะสามารถหากำไรเพิ่มได้จากไหนอีก
-คู่แข่งในธุรกิจมีมากไหม
-มีอันดับในธุรกิจเป็นที่เท่าไหร่
-ความเสี่ยงของบริษัทคืออะไร   ฯลฯ

     เมื่อมองทุกขั้นตอนตามนี้แล้วเห็นว่าน่าลงทุน  ก็ค่อยไปมองที่ราคาซื้อขายในตลาดดูว่า  ขณะนี้ราคาหุ้นเป็นอย่างไร  ถ้ามันแพงเขาก็ยังไม่ซื้อ  ถ้าหุ้นมันตกเขาก็ค่อยประเมินว่า  ราคานี้เมื่อเทียบกับพื้นฐานทางธุรกิจแล้วเป็นอย่างไรบ้าง  ถ้าราคาสมเหตุสมผลแล้วเขาก็จะลงทุน  โดยที่สายตาของเขาก็จะจับจ้องไปที่การเติบโตระยะยาวและความได้เปรียบในเชิงแข่งขันด้านธุรกิจของบริษัท  ถ้าราคาหุ้นตกลงไปจากราคาที่เขาเข้าซื้อ  เขาก็ไม่ต้องร้อนใจ  เนื่องจากว่าได้ทำการบ้านมาอย่างเพียงพอแล้ว  ตลาดหุ้นมันมักผันผวนแบบนี้แหละ  ถ้าหากทนเห็นราคาหุ้นตกลงไปจากราคาที่ซื้อไม่ได้  เขาก็ไม่ควรมาอยู่ในตลาดตั้งแต่แรกแล้ว  บางทีหากตกลงไปอีก  เขาอาจซื้อเพิ่มได้ถ้าเงินเหลือ  ผิดกับคนที่ลงทุนโดยดูราคาก่อน  ถ้าหุ้นตกแรง  เขาก็ต้องรีบขายออกมาก่อน  เนื่องจากกลัวว่าจะขาดทุนจากราคาหุ้น  ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า  ก่อนที่เขาจะลงทุน  เขายังไม่ได้ศึกษาที่ตัวบริษัทเลย  หรืออาจจะมองบ้าง  แต่มองน้อยมากจนแทบไม่รู้อะไรเลย  บางทีรู้แค่ว่าบริษัททำอะไร  แต่ก็ไม่ลึกกว่านั้นแล้ว  สำหรับการประเมินราคาหุ้นนั้น  คงจะมีแต่เราที่รู้ว่าจุดพอใจอยู่ตรงไหน  เพราะจุดพอใจตรงนี้มีไม่เท่ากัน  การประเมินราคาหลายอย่างมันก็อยู่ที่ความพอใจ  ตัวอย่างเช่นภาพเขียน  คนที่ชอบศิลปะอาจให้ราคาสูงลิ่ว  แต่คนที่ไม่มีอารมณ์ศิลปินอาจจะมองว่ามันไม่มีค่าเลยก็เป็นได้  บางทีให้ฟรียังไม่เอาเลย  เพราะเอาไปแขวนให้รกฝาบ้านเปล่าๆ  หรือการไปหาซื้อเสื้อสักตัวหนึ่ง  เราคงจะต้องประเมินเอาเองว่า  เสื้อตัวนี้ควรซื้อในราคาเท่าไหร่จึงจะพอใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ  เพราะราคาหุ้น  ณ  ขณะที่ซื้อนั้นยุติธรรมแล้ว  เพราะถ้าไม่ยุติธรรม  การซื้อขายก็จะไม่เกิดขึ้น  และการที่ชิงขายออกมาเพื่อไม่ต้องการขาดทุนนั้น  เขาเรียกการกระทำแบบนี้ว่าการ  Cut  loss   คำนี้ผมเคยลงให้อ่านแล้ว  และคำนี้มันก็มาจากนักเทคนิคที่ต้องการทำเพราะกลัวขาดทุน  แต่สำหรับคนที่มองพื้นฐานธุรกิจมาแล้ว  การที่เขาจะขายหุ้นออกมาได้  มันไม่ใช่ว่าต้อง  Cut  loss  แต่เหตุผลที่เขาจะขายออกมาได้แก่  หุ้นนั้นไม่โตแล้ว  กำไรน้อยลงหรือขาดทุน  คู่แข่งเยอะขึ้น  มีตัวที่น่าสนใจกว่า  ราคามันแพงเกินพื้นฐาน  ฯลฯ  เพราะฉะนั้นแล้ว  คนที่มองได้ลึกกว่าจะเป็นผู้ชนะ

     มีนักวิชาการหลายคนบอกว่า  “ราคา”  เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหุ้นแล้ว  กล่าวคือ  เขาบอกว่าที่ราคาหุ้นมันเป็นอย่างนั้นก็เนื่องจากว่า  มันเป็นประสิทธิภาพของตลาดที่จะกำหนดราคาให้ออกมาตามพื้นฐานของธุรกิจ  แต่เท่าที่ผมอยู่ในตลาดมาพอสมควร  ผมไม่เห็นว่ามันจะจริง  ผมว่าตลาดไม่ค่อยมีเหตุผลอย่างที่เขากล่าวอ้าง  ถ้ามันมีประสิทธิภาพจริง  ทำไมหุ้นมันจึงขึ้นลงหวือหวา  ทั้งๆที่พื้นฐานของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนไปถึงขนาดนั้น  บางทีเวลาขึ้นก็ขึ้นเกินเหตุ  เวลาลงก็ลงใจเสีย  ทำอย่างกับว่าบริษัทจะเจ๊งในวันนี้พรุ่งนี้  และถ้ามันมีประสิทธิภาพจริง  ทำไมหุ้นมันถึงได้ถูกปั่นราคาได้  ถ้าในเมื่อหุ้นนั้นเป็นหุ้นเน่าที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีเลย  เพราะถ้าเป็นหุ้นเน่าๆจริง  มันก็ต้องไม่สามารถพุ่งขึ้นไปได้  เพราะคนที่รู้จักบริษัทดีจะขายออกมาจนมันไม่สามารถพุ่งขึ้นได้  แต่ส่วนมากที่มันพุ่งขึ้นได้  ก็มีสาเหตุมาจากจากคนที่ไม่รู้อะไรเลยเข้ามาร่วมวงจนโกลาหล  เพราะฉะนั้น  สิ่งสำคัญในการลงทุนก็คือการศึกษาก่อนทำการลงทุนทุกครั้ง  การขึ้นลงของตลาดมันเป็นการแกว่งตัวทางอารมณ์ที่น่าทึ่งเท่านั้น  คนที่จะได้ประโยชน์จากตลาดมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมีเหตุผลและทำการบ้านมาอย่างหนักแล้ว  อยากรู้จังว่าคุณที่เข้ามาอ่านเป็นนักลงทุนประเภทไหน?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #394 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2011, 16:19:19 »

แปลกใจ
     หลายครั้งที่ผมได้พูดคุยกับนักลงทุนท่านอื่นๆว่าลงทุนหุ้นตัวไหนอยู่  พอผมตอบว่าลงทุนในหุ้น 7-11   ท่านต่างๆเหล่านั้นก็มักจะพูดคล้ายๆกันว่า  หุ้นตัวนี้ดี  ตัวนี้ชัวร์อยู่แล้ว  ฯลฯ  และเมื่อผมถามกลับไปว่า  เขาลงทุนตัวไหนอยู่  คำตอบที่ได้รับทำให้ผมแปลกใจมาก  เพราะเขาลงทุนในหุ้นที่เขายังไม่ค่อยรู้จักมันดีเลย  หลายๆคนยังไม่รู้จักบริษัทด้วยซ้ำ  อาจจะมีกฎที่ไม่ได้เขียนเกี่ยวกับการลงทุนไว้ว่า  อย่าลงทุนในบริษัทที่คุณรู้จักดีหรืออยู่ใกล้บ้าน  แต่จงทุ่มเงินทั้งหมดที่มีลงไปในบริษัทที่คุณไม่รู้อะไรเลย  หรือว่าหลายคนชอบความตื่นเต้นท้าทาย  ผมก็สุดจะเดา

     จริงๆแล้วการที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น  มันมีปัจจัยหลายอย่าง  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดก็คือ  เราต้องเข้าใจวิธีหาเงินของเขาให้ดี  ถ้าเรารู้ว่าเขาหากินยังไง  มันก็มีจุดอ้างอิงให้ดูได้เช่น  บริษัทขายน้ำมัน  มันก็ดูที่แหล่งน้ำมันที่เขามีว่ามีเยอะไหมและราคาน้ำมันตลาดโลกเป็นอย่างไร  หรือบริษัทเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายมือถือ  เราก็ดูที่ในประเทศว่ามีคนใช้มือถือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว  มีคนที่ยังไม่มีมือถืออีกกี่คน  บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นเท่าไหร่  ค่าบริการโทรศัพท์มีกำไรขนาดไหน  ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจกับวิธีการหารายได้ของบริษัทที่เราลงทุนได้ดี  ก็ถือได้ว่าการลงทุนของเรามีคุณภาพพอสมควร  เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น  เราก็สามารถนำมาวิเคราะห์หาผลกระทบกับบริษัทได้  จริงๆแล้วการที่คนสองคนจะลงทุนในบริษัทเดียวกัน  ผมว่ามันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกันก็ได้  เพราะคนนึงซื้อขายหุ้นตลอดเวลา  ส่วนอีกคนถือยาวรอบริษัททำกำไรเพิ่มไปเรื่อยๆ  ถ้าแนวโน้มกำไรที่บริษัททำได้เพิ่มขึ้นตลอดเวลาเนื่องจากว่าธุรกิจยังไม่อิ่มตัว  คนที่ถือยาวก็จะชนะในที่สุด  แต่ถ้าสองคนนี้ลงทุนในบริษัทน้ำมันที่มีความผันผวนตลอดเวลา  คนที่ถือยาวสุดท้ายอาจไม่ได้อะไรเลย  เพราะหุ้นมันขึ้นแล้วก็ลงมาที่เดิม  ลงแล้วมันก็กลับมาที่เก่า  ส่วนคนที่ซื้อขายตามการขึ้นลงของราคาน้ำมันก็จะมีกำไรสะสมมากกว่า  แต่ถ้าทั้งสองคนนี้ลงทุนในบริษัทที่ใกล้เจ๊ง  ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ไหน  อย่างนี้ก็คงเจ๊งทั้งคู่    เพราะฉะนั้น  สำคัญที่สุดตรงที่เราต้องเข้าใจบริษัทก่อนเป็นอันดับแรก

     เคยมีผู้นำจีนคนดังกล่าวไว้ว่า  “แมวจะสีอะไรก็ได้  แค่จับหนูได้ก็พอ”  นับว่าเป็นคำกล่าวที่คมมาก  เมื่อมาดูที่หุ้น  ผมก็ให้คำจำกัดความว่า  “หุ้นบริษัทอะไรก็ได้  ขอให้เราเข้าใจก็พอ”  ถ้าเราเข้าใจบริษัท  เราก็สามารถกำหนดกลยุทธ์ในการลงทุนได้  ดังเช่นนักลงทุนหลายๆท่านที่ผมได้พูดคุยด้วย  เขารู้จัก 7-11 ดี  แต่เขากลับไปลงทุนกับบริษัทที่เขาไม่รู้จักมันลึกซึ้ง...แปลกใจ

วันนี้เอาผลประกอบการที่เพิ่งออกมาให้อ่านครับ

http://www.set.or.th/dat/news/201108/11031357.pdf
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #395 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 16:12:25 »

ตอบคุณ  marcus147
     ราคาเหมาะสมที่ว่าคือเท่าไหร่ครับ  เท่าที่ผมดู  ตอนนี้ผลประกอบการใหม่ออกมาแล้ว  มีกำไรเพิ่มขึ้น 20 %  ฉะนั้น  ราคาหุ้นมันก็เลยเพิ่มขึ้นตามผลกำไรเพื่อให้เหมาะสมกับตัวมันเอง  ผมว่าตอนนี้ราคามันก็เหมาะสมนะ  แต่ถ้าคุณจะซื้อก็ต้องรอของถูกเท่านั้น  คุณชอบแบบไหนล่ะระหว่างของราคาถูกกับราคาที่เหมาะสม  เอาใจช่วยให้หุ้นตกมาให้ซื้อนะครับ  เพราะจากมุมมองของผม  อีกสัก 2  ปีคุณจะไม่เห็นราคาหุ้นที่  50  บาทแล้วล่ะ  เพราะราคาหุ้นมันมักจะไปตามผลกำไรเสมอ  ถ้า  7-11  ยังทำได้ดีแบบนี้อยู่  ราคาหุ้นมันก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆตามสาขาและผลกำไรที่เพิ่มขึ้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #396 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 02:12:27 »

ฝรั่งมาไทย มึนหรือไง อย่างไรนี่

บางทีซื้อ เดี๋ยวมีขาย ให้สับสน

เจอรายย่อย สอนมวย จนเวียนวน

ระวังโดน พี่ไทย ไสติดดอย
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #397 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 15:49:13 »

แนวโน้ม
     วันนี้ผมมีเรื่องของนายทหารหนุ่มแห่งประเทศสหรัฐตอนไปรบสงครามเวียดนามมาเล่าให้ทุกท่านอ่านกัน  หวังว่าพออ่านจบ  หลายท่านคงได้ข้อคิดดีๆบ้างนะครับ

     ตอนที่นายทหารหนุ่มคนนี้ถูกส่งไปเวียดนามใต้เพื่อช่วยรบในศึกสงครามระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้น  ในช่วงที่กองทัพเวียดนามเหนือรุกเข้ามาในเขตเวียดนามใต้  หลังจากที่ฝ่ายสหรัฐเพลี่ยงพล้ำ  เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นทีละน้อย  ชาวเวียดนามใต้เริ่มแลกเปลี่ยนเงินตราของพวกเขากับทองคำ  แทนที่จะถือเงินไว้ในช่วงวิกฤต  พวกเขากลับเลือกที่จะสะสมทองคำแทน  ประชาชนชาวเวียดนามใต้กำลังเตรียมความพร้อมสู่การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น  พวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้  และพวกเขาไม่ยอมอยู่เฉยๆเพื่อรอให้วันนั้นมาถึง  ในปี  1971  ทองคำมีราคา  35  เหรียญ  แต่เมื่อเข้าสู่ภาวะสงคราม  ทองคำก็พุ่งขึ้นเป็น  80  เหรียญ  ทันทีที่กองทัพเวียดนามเหนือบุกเวียดนามใต้  กลุ่มคนรวยที่ถือหางสหรัฐรู้แล้วว่าต้องหนี  แต่แทนที่เขาจะถือเงินตรา  พวกเขากลับตุนทองคำให้มากที่สุด  และนายทหารหนุ่มก็ได้รับรู้ว่าผู้คนต้องการทองคำเพื่อใช้เป็นค่าผ่านทางไปยังประเทศอื่นๆที่ปลอดภัยกว่า  เขารู้ว่าสหรัฐกำลังจะแพ้สงคราม  ภาวะทั่วโลกขณะนั้นร้อนระอุ  เงินดอลลาร์มูลค่าตกลงอย่างน่าใจหาย  ในขณะที่ราคาทองพุ่งสูงลิ่วเป็นประวัติการณ์  ชาวเวียดนามใต้กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อครอบครองทองคำ  และนั่นคือจุดเริ่มต้นของโอกาสในการลงทุนของเขา

     หลังจากนั้นไม่กี่วัน  เขาและเพื่อนนักบินก็พากันบินขึ้นไปทางเหนือ  เข้าไปในเขตพื้นที่ศัตรู  เป้าหมายก็คือ  การเป็นเจ้าของทองคำราคาถูก  ในความคิดเห็นของเขา  เจ้าของเหมืองชาวเวียดนามซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเข้าตาจน  จะต้องรีบเสนอขายทองคำเพื่อแลกกับเงินของเขา  ก่อนที่กองทัพเวียดนามเหนือจะบุกพังหมู่บ้านและเหมืองทองของเขาเป็นแน่  และเขายังมีความเชื่อแบบเข้าข้างตัวเองว่า  เขาน่าจะได้ทองคำราคาถูกจำนวนมากติดมือกลับแคมป์ไป  ด้วยพื้นฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย  ทำให้การตัดสินใจของเขาครั้งนี้อยู่บนพื้นฐาน  “ความคิดเห็น”  เสียเป็นส่วนใหญ่  นั่นทำให้เขาละเมิดกฎระเบียบของกองทัพ  และเสี่ยงชีวิตเข้ามาในเขตศัตรู  เพื่อแลกกับส่วนลดในการซื้อทองเพียงไม่กี่เหรียญ  แต่แทนที่จะได้ซื้อทองในราคาส่วนลด  เขากลับได้เรียนรู้ว่า  ราคาทองคำนั้น  แท้จริงแล้วเท่ากันทุกมุมโลก  ไม่ว่าจะซื้อที่สหรัฐหรือในเวียดนาม

     ในเขตพื้นที่ศัตรู  เป้าหมายเพื่อซื้อทองราคาถูก  มันช่างเป็นบทเรียนที่วิเศษอะไรเช่นนี้  การเจรจาต่อรองกับคนขายทองคำในร้านที่ทำด้วยไม้ไผ่วันนั้น  เธออาจดูเหมือนคนที่การศึกษาไม่สูง  แต่งตัวแบบชาวบ้าน  แต่สิ่งที่สำคัญคือ  เธอรู้ดีในสิ่งที่เธอทำ  โดยเฉพาะเรื่องราคาทอง  ตลอดเวลาของการเจรจา  เธอยืนยันจะขายทองให้เขาในราคา  82  เหรียญ  ในขณะที่เขาจะขอซื้อในราคา  77  เหรียญ  แทนที่จะรีบรับเงินด้วยความดีใจเหมือนอย่างที่คิดไว้  สิ่งที่เธอทำกับเขาคือส่ายหน้าและพยายามไม่เสียเวลาด้วย  โดยการหันไปให้ความสนใจกับลูกค้าคนอื่น  ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดได้ว่า  นี่เขากำลังอยู่ในพื้นที่ของศัตรูเพื่อแลกกับเงินแค่  5  เหรียญอย่างนั้นหรือ  เขาเข้ามาโดยพลการ  ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่นี่  ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา  แทนที่จะได้ตายอย่างสง่างามในสนามรบ  เขากลับต้องตายเพียงเพราะประหยัดเงินแค่ไม่กี่เหรียญ  ถ้าขืนไม่รีบกลับไป  เขาอาจถูกฝังที่นี่ก็เป็นได้

     เขาได้รับบทเรียนสำคัญมา  3  อย่างในวันนั้นคือ

1.พลังของตลาดโลก  ทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ระดับโลก  ไม่ว่าจะซื้อที่ไหนก็ตาม  ราคาก็เท่ากันหมด

2.พลังของแนวโน้ม  ถ้าวันนั้นเขาเข้าใจความหมายของแนวโน้มและราคาทองคำในตลาดโลก  เขาก็สามารถทำเงินได้มากมายโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเขตศัตรูเพื่อแลกกับส่วนลดเพียงเล็กน้อย  เขาสามารถลงทุนโดยซื้อทองจากที่ไหนก็ได้ในโลก  ซึ่งมีราคาเท่ากันหมด  และเก็บรักษามาจนถึงทุกวันนี้  ทองของเขาในวันนี้ก็จะมีค่ามากกว่าพันเหรียญโดยที่ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปในเขตศัตรู  เพียงแค่เชื่อมั่นในแนวโน้ม  ลงทุนตามแนวโน้ม  แล้วก็อดทนเท่านั้นเอง

3.ความสามารถในการแปลงข้อมูล  สิ่งสำคัญก็คือ  เราสามารถแปลงข้อมูลข่าวสารที่ได้รับมาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน  คนขายทองในเวียดนามรู้ข้อมูลเหมือนที่นายทหารหนุ่มรู้  ต่างกันตรงที่เธอใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าเท่านั้นเอง

     และนายทหารที่ผมกล่าวถึงก็คือ  โรเบิร์ต  คิโยซากิ  ผู้เขียนหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูกนั่นเอง  เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า  ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม  ความฉลาดมักจะตามหลังความโง่มาเสมอ  เพราะฉะนั้นแล้ว  เราต้องลงมือทำ  แล้วความฉลาดก็จะตามมาเอง  ผมก็เคยโง่  เคยพลาด  คนที่บอกว่าไม่เคยพลาดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย

     ทันทีที่เกิดวิกฤตการเงินในรอบนี้  ผู้คนทั่วโลกต่างตื่นตระหนก  ผมได้รับรู้ถึงการแก้ปัญหาของธนาคารกลางสหรัฐ  และก็เหมือนเช่นทุกครั้ง  พวกเขาตัดสินใจพิมพ์เงินเด็กเล่นออกมาสู่ตลาดเพื่อแก้ปัญหา  ทันทีที่ผมได้ยินการตัดสินใจของธนาคารกลางว่าจะอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ  ( QE )   ผมก็วิเคราะห์ได้ว่า  เงินของสหรัฐ  จะต้องมี  “แนวโน้มลดมูลค่าลง”  อีกอย่างแน่นอน  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้  ทองคำนั้นขึ้นมามากแล้ว  มากจนเกินขอบเขตที่ผมคิดว่าเหมาะสม  เพราะถ้าไปดูราคาทองตอนนี้จะเห็นว่า  แซงทองคำขาวไปเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย  ผมก็เลยเป็นห่วงว่า  มันจะเป็นฟองสบู่หรือยัง  หรือมันเป็นเพียงว่า  ทำให้มูลค่าทองกับมูลค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมันสมดุลกันเท่านั้น  เพราะถ้าสหรัฐอัดเงินเข้ามาอีก  ทองมันก็ควรจะแพงอย่างที่เป็นอยู่หรือมากกว่า  มีบางท่านในที่นี้บอกว่า  เคยคิดจะลงทุนในทองคำอยู่เหมือนกัน  แต่ติดตรงที่ว่า  ค่าบล็อกมันแพงไป  ถ้าเราอ่านเรื่องของโรเบิร์ต  เราจะเข้าใจได้เองว่า  ถ้าคุณตัดสินใจลงทุนตามแนวโน้มของราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นในวันนั้น  ป่านนี้  คุณคงได้ค่าบล็อกคืนหมดแล้ว  และยังได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  แต่สาเหตุที่คุณไม่ทำก็เนื่องจากว่า  เสียดายค่าบล๊อก  เหมือนกับที่โรเบิร์ตอยากได้ทองถูกนั่นแหละ  ถ้าโรเบิร์ตตัดสินใจลงทุนตามแนวโน้มราคาทองคำ  ตอนนี้เขาก็กำไรอื้อแล้ว  เราต้องเข้าใจว่า  ร้านทองก็คือพ่อค้าคนกลาง  เขาก็ต้องขายของเพื่อเอากำไร  เพราะฉะนั้น  ค่าบล็อกพวกนั้นก็คือค่าดำเนินการของเขา  และเขาก็ควรได้  และสำหรับคนที่เล่นหุ้นก็เหมือนกัน  เมื่อตลาดหรือหุ้นตัวใดมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น  เขาก็มักจะต่อราคาโดยตั้งซื้อไว้ด้านซ้ายตลอด  เขาคิดแต่เพียงว่าต้องได้ของถูกเท่านั้น  และในขณะที่เขาตั้งรอซื้ออยู่  ราคาหุ้นก็เพิ่มไปเรื่อยๆโดยไม่กลับมาให้เขาซื้ออีกเลย  เมื่อไม่มีหุ้น  ก็ไม่มีกำไร  ถ้าเพียงแต่เขาตัดใจซื้อหุ้น  โดยมองที่แนวโน้มของมันและเข้าซื้อโดยยอมซื้อแพงไปนิดหน่อย  เขาก็จะได้ค่าซื้อหุ้นแพงที่เสียไปไม่กี่บาทคืนมาหมดแล้ว  แถมด้วยกำไรก้อนโต  แต่สำหรับเรื่องการลงทุนในทองคำนี้  สำหรับผมแล้ว  มันไม่มีจุดให้อ้างอิงได้ว่า  ราคาเหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่  เพราะคงต้องไปคำนวณปริมาณเงินดอลลาร์และปริมาณทองคำที่มีอยู่ในโลก  เพื่อหาความสมดุลของมัน  ตอนนี้สิ่งที่ผมลงทุนอยู่  ก็คือแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่  ถ้าผลประกอบการของบริษัทมันยังมี  “แนวโน้ม”  ขยายตัวอยู่  ผมก็ยังคงถือหุ้นต่อไป  เพราะสิ่งที่ผมกำลังลงทุนอยู่นี้  ผมสามารถแปลงข้อมูลออกมาเป็นการลงทุนได้  เหมือนอย่างกับคนขายทองคำในเวียดนามนั่นล่ะ  ถ้าเรารู้ว่ามูลค่ามันมีขนาดไหน  เราก็สามารถเป็นผู้ชนะในเกมนี้ได้ไม่ว่าจะซื้อหรือขาย  สำหรับในตลาดหุ้น  เต็มไปด้วยคนที่รู้ราคา  แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า  มูลค่าหุ้นที่พวกเขาลงทุนหรือกำลังคิดจะลงทุนนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #398 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2011, 00:24:55 »

เรื่อง แนวโน้ม นี่เยี่ยมเลยครับ
ยกตัวอย่างได้ชัดเจน
ได้แนวคิดและความรู้มากมายจริงๆ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #399 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2011, 11:03:20 »

ครับเห็นด้วยกันท่านวายุอย่างยิ่ง สำหรับผมผมมองว่าแนวโน้มค่าเงินดอลล่าจะอ่อนค่าลงมาก

เพราะอเมริกาไม่ได้เหนือกว่าชาติใดในโลกนี้แล้ว จีนเข้าไปถือพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ เกือบจะครึ่งแล้ว

แต่ก่อนผมยอมรับว่า ยุโรป อเมริกาเป็นเจ้าเทคโนโลยีต่างๆ แต่เดียวนี้มันกลับกัน ผมมองที่เอเชียมากกว่า

เพราะทางเรามีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างเยอะกว่าเค้ามาก ลองวิเคราะห์ลึกๆ ดู ยุโรป อเมริกาตอนนี้เป็นแค่ตลาด..ในสายตาผม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
หน้า: 1 ... 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 [20] 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!