เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 กรกฎาคม 2025, 01:18:18
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 [23] 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 297756 ครั้ง)
chanuntida
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #440 เมื่อ: วันที่ 29 กันยายน 2011, 09:58:35 »

อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #441 เมื่อ: วันที่ 29 กันยายน 2011, 10:02:50 »

อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ
asiaplus บน ธ.กรุงเทพ 5 แยก
kgi ถ.อุตรกิจ หลัง รร.ดำรงค์
cgs ตรงข้าม ซีอาร์มอลล์หรือทวียนต์
และ sub broker บน ธ.นครหลวง 5 แยก และ บน ธ. กรุงศรีฯ ตลาดใหญ่
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,910



« ตอบ #442 เมื่อ: วันที่ 29 กันยายน 2011, 10:05:58 »

อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ

ลองอ่านดูครับ

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=125185.0
IP : บันทึกการเข้า

....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #443 เมื่อ: วันที่ 29 กันยายน 2011, 11:34:05 »

อยากลงทุนในหุ้น กำลังศึกษาข้อมูลอยู่ ไม่ทราบว่าที่เชียงราย มีบลจ. ไหนที่มีสาขาอยู่ที่เชียงรายบ้างคะ กำลังจะเปิดพอร์ต ค่ะ ใครรู้ช่วยตอบที ขอบคุณค่ะ
บอกรายชื่อโบรคให้แล้ว ไปเปิดที่ไหน กลับมาเล่าให้เพื่อนๆด้วยนะ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #444 เมื่อ: วันที่ 29 กันยายน 2011, 16:07:19 »

โฮมโปร จ่ายปันผลเป็นหุ้นนะครับ
เดือนหน้าจ่ายปันผลหุ้น 7:1


     ขอบคุณท่านมากที่ให้ความกระจ่าง  พอดีเมื่อวานรีบไปหน่อยเลยไม่ได้ดูรายละเอียดดี  แต่ผมกำลังสงสัยอยู่ว่า  เขาไปขนหุ้นจากไหนมาแจกเยอะแยะ  เพราะดูจากจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนไว้กับตลาดหลักทรัพย์จะเห็นว่า  มันเต็มจำนวนแล้ว

http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=HMPRO&language=th&country=TH

     ถ้าเขายังแจกแต่หุ้นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  ผมเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์

1.จำนวนหุ้นมีมากเกินไป  จะทำให้ราคาหุ้นลดลง(คำนวณจาก  เอาจำนวนหุ้นที่มีทั้งหมด  หารด้วยทรัพย์สินของบริษัท)
2.ราคาหุ้นนั้นมันไม่แน่นอน  ถ้าตราบใดที่บริษัทยังทำได้ดีอยู่  ราคามันก็จะไม่ตกลงมา  แต่ถ้ามันออกมาแย่  เมื่อนั้นราคาหุ้นก็จะดิ่งเหว  และเมื่อนั้นผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้ไปซึ่งก็คือหุ้นก็จะกลายเป็นควัน
3.ถ้าบริษัทปันผลออกมาเป็นเงินสด  เงินนั้นมันสามารถจับต้องได้จริงๆโดยไม่ต้องขายหุ้น  และยังช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกลงไปมากกว่าเงินที่นักลงทุนจะใส่เข้าไปเพื่อรับปันผลเช่น  ถ้าบริษัทปันผลปีละ  1  บาท  นักลงทุนที่คาดหวังจากผลตอบแทนจากเงินปันผลที่  10  %  ก็คงจะไม่ปล่อยให้ราคาหุ้นตกลงไปต่ำกว่า  10  บาทเป็นแน่แท้

     ถ้าคุณ  marcus147   มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมก็เชิญนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #445 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2011, 00:10:37 »

คือว่าขอออกตัวไว้ก่อนเลยครับ ว่าพึ่งจะเข้ามาในตลาดหุ้นแค่สามอาทิตย์ ตอนนี้ยังมือใหม่มากๆ
แต่ว่าก็ศึกษาพื้นฐานมาก่อนประมาณสองเดือน

ที่ซื้อโฮมโปรนี่เพราะคิดว่าเป็นหุ้นที่ยังเติบโตไปได้ มีผลประกอบการดีทุกปี
อีกทั้งช่วงที่ผมเข้าตลาด ก็เป็นโอกาสที่กำลังจะปันผล ซึ่งจากการดูย้อนหลังสามปี หลังจากที่ปันผลหุ้นไปแล้วราคาจะตกลงประมาณ 15% แต่ประมาณ 2-4 เดือนราคาก็จะดีดกลับมาเกือบเท่าของเดิม
ผมก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าการที่จ่ายปันผลเป็นหุ้นจะดีกว่าเงินสดหรือไม่
เดี๋ยวถ้าหลังปันผล วันที่ 7 ตค จะมารายงานผลให้ฟังกันนะครับ
 
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,910



« ตอบ #446 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2011, 08:03:16 »

รู้สึกว่ามันจะจ่ายทั้งหุ้น จ่ายทั้งเงินสดเลยนะครับ

หุ้นปันผล     7.0 : 1.0

เงินปันผล     0.0159

ตัวนี้ผมก็ดูไว้นานละว่าจะซื้อเก็งกำไรก่อนปันผล

แต่ไม่มีเงิน 555+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2011, 20:26:47 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #447 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2011, 09:54:31 »

เพิ่มเติมครับ
เงินปันผลนั้นจะเป็นส่วนที่ให้มาเพื่อหักลบกับภาษีที่ต้องจ่ายในส่วนของหุ้นปันผลครับ
จะพอดีกัน
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #448 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2011, 16:05:53 »

     รบกวนช่วยตอบให้หายสงสัยหน่อยนะครับท่าน  คือผมสงสัยว่าเขาไปเอาหุ้นที่ไหนมาแจก

     ส่วนที่ท่านบอกว่าราคาหุ้นมันจะตกลงมาหลังจากแจกหุ้นแล้วนั้น  ผมมองว่าตรงนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ  เพราะเมื่อจำนวนหุ้นมีเพิ่มขึ้น  แต่ทรัพย์สินยังไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นตาม  ราคาหุ้นมันก็ต้องตกลงมาเป็นธรรมดาเพราะตัวหารมันเยอะขึ้น  แต่ผมไม่ชอบก็ตรงที่  ถ้าหุ้นมันมีมากเกินไป  แต่บริษัทมันไม่ได้โตอย่างที่คิด  ตลาดจะทุบ  PE  ของหุ้นลงมาให้เหมาะสมกับตัวมัน  เพราะทุกวันนี้บริษัทนี้แบกค่า  PE  ไว้เยอะพอสมควร

     ส่วนที่ราคาหุ้นมันสามารถกลับไปยืนราคาเก่าได้ก็เนื่องจากว่า  บริษัทสามารถโตขึ้นไปได้จนสามารถดึงให้ทรัพย์สินหรือรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น  เมื่อเอาจำนวนหุ้นหารออกมา  ราคาหุ้นมันก็เลยกลับมาที่เก่า  โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการเพิ่มเงินปันผลมากกว่าการแจกหุ้นครับ  หรือถ้าจะให้ดีมากก็คือ  อยากให้บริษัทซื้อหุ้นคืนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนมากกว่าที่จะมาแจกหุ้นแล้วตัวเองต้องดิ้นรนเพื่อสร้างทรัพย์สินให้มากขึ้น  เพราะถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา  ตลาดก็จะไม่ปราณีครับ  หรือถ้าให้มองอีกมุมหนึ่ง  มันดูเหมือนกับว่าบริษัทไม่มีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำมาแบ่งปันให้กับผู้ถือหุ้น  เลยแก้ปัญหาด้วยการแจกหุ้นเพื่อเป็นการทดแทนในจุดนั้น

     ถ้ามีอะไรแนะนำอีกก็เชิญนะครับ  ผมชอบอ่านข้อมูล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 30 กันยายน 2011, 23:44:35 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #449 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2011, 23:58:52 »

อัตราผกผันระหว่างจำนวนหุ้นกับทรัพย์สิน
     อันนี้เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมของหัวข้อที่เราคุยกันไว้  เผื่อบางทีคนที่ยังไม่เข้าใจจะได้มองเห็นภาพ  ผมจะเปรียบเทียบโดยยกตัวอย่างนะครับ

     สมมติว่ามีครอบครัวหนึ่ง  ครอบครัวนี้มีที่ดินทำมาหากินสำหรับครอบครัวอยู่  10  ไร่  และมีลูกอยู่ทั้งหมด  10  คน  ถ้าพ่อแม่ตายไป  ลูกๆทั้ง  10  คนก็จะได้รับการจัดสรรที่ดินคนละ  1  ไร่  แต่วันดีคืนดีพ่อมีน้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน  สัดส่วนการแบ่งที่ดินต่อคนก็จะต้องลดลงเหลือไม่ถึงคนละ  1  ไร่ถูกไหมครับ  นี่เหมือนการเพิ่มขึ้นของจำนวนหุ้น  แต่ทรัพย์สินไม่ได้เพิ่มขึ้น

     แต่ถ้าสมมติว่า  พอพ่อมีน้องออกมาอีก  1  คน  แล้วพ่อก็ไปซื้อที่ดินมาเพิ่มอีก  1  ไร่  อย่างนี้เวลาลูกๆแบ่งสมบัติกันก็จะได้คนละ  1  ไร่  นั่นก็เปรียบกับเวลาที่บริษัทแจกหุ้นเสร็จแล้วก็ทำให้ทรัพย์สินมันเพิ่มขึ้นมา  ราคาหุ้นมันก็เลยกลับมาที่เก่า

     แต่ถ้าสมมติว่าพ่อมีลูกแค่  9  คน  ลูกๆแต่ละคนก็จะได้รับสมบัติมากกว่าคนละ  1  ไร่

     หรือถ้าพ่อมีลูก  9  คน  แต่ไปซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นมาอีก  ลูกๆแต่ละคนก็จะได้รับที่ดินเพิ่มมากขึ้น

     เมื่อดูตามเหตุการณ์นี้จะเห็นว่า  การมีหุ้นเยอะนั้น  ไม่ได้เป็นวิธีการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ดีเลย  ผมชอบให้บริษัทลดจำนวนหุ้นลงมากกว่าที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นครับ

     และถ้าสมมติต่อไปอีกว่า  ถ้าบริษัทแจกหุ้นมากๆอย่างนี้  เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่บริษัทหยุดโต  เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปผมก็สุดจะคาดเดา  เพราะถ้าบริษัทดีแต่เพิ่มจำนวนหุ้นโดยไม่มีการลดจำนวนหุ้นลงเลย  เมื่อนั้นผู้ถือหุ้นก็จะ..ก็จะ..ก็จะ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
montonsiri
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12


« ตอบ #450 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 07:03:44 »

ท่านวายุเปรียบเทียบได้เห็นภาพชัดเจนจริงๆ เจ๋ง
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #451 เมื่อ: วันที่ 03 ตุลาคม 2011, 16:00:21 »

รู้งี้
     คำว่ารู้งี้สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์  ซึ่งความหมายก็มักจะคล้ายๆกันคือ  เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำหรือไม่รู้  แต่ถ้าเราได้ทำมัน  ผลลัพธ์มันก็จะออกมาอย่างเช่นที่ปรากฏเช่น  ไปเดินซื้อเสื้อตามตลาด  พอซื้อเสร็จแล้วก็เดินไปเจออีกร้านขายของเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า  เราก็จะบ่นว่า  รู้งี้ยังไม่ซื้อซะก็ดี

     เมื่อมาดูในด้านการลงทุน  ผมได้พบเห็นคนที่เป็นนักลงทุนใช้คำนี้บ่อยและกว้างขวางมากเช่น  พอตัดสินใจซื้อหุ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว  หุ้นก็ตกลงมา  ทำให้เขาใช้คำว่า  รู้งี้ยังไม่ซื้อซะก็ดี  หรือพอหุ้นขึ้นแต่เขาก็ไม่ยอมขาย  พอมันตกลงมาก็บ่นว่ารู้งี้ขายออกก่อนแล้วค่อยมาซื้อคืนดีกว่า  ตามความเห็นของผมก็คือ  จริงๆแล้วการที่เราจะรู้ว่าหุ้นมันจะขึ้นหรือลงไปที่ราคาใดนั้นมันยากมาก  ซึ่งแม้แต่คนที่ต้องการจะซื้อหรือขายเองก็ยังไม่แน่ใจว่าตนจะทำรายการได้ที่ราคาเท่าไหร่เลย  เมื่อก่อนผมก็มักจะใช้คำว่ารู้งี้บ่อย  แต่เมื่อกาลผ่านไป  ผมก็ค่อยๆเรียนรู้อะไรหลายอย่างเพิ่มขึ้น(หรือที่เขาเรียกกันว่าประสบการณ์)  ทำให้ตอนนี้  ผมไม่ใคร่ได้ใช้คำนี้มากนัก  เพราะถ้าเราไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ราคาหุ้นมากเกินไป  แต่เราทำใจให้สงบและยอมรับว่า  ความผันผวนของราคาหุ้นนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดา  สิ่งที่เราควรจับจ้องให้ดีก็คือพื้นฐานของกิจการและเงินปันผลจะดีกว่า  ถึงแม้ผมจะรู้ว่า  หุ้นของบริษัทที่ผมได้ลงทุนอยู่นี้มันดีมาก  แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเมื่อไหร่ที่มันจะขึ้น  และเมื่อไหร่ที่มันจะลง  การที่เราไม่รู้ว่า  "เมื่อไหร่"  นั้น  ทำให้ผมจำเป็นจะต้องถือหุ้นไว้ตลอดเวลา  เพราะถ้าเรามัวแต่จดๆจ้องๆไม่ยอมซื้อหุ้นจนกว่าจะเห็นว่ากระแสเงินกำลังจะไหลเข้ามายังหุ้นตัวที่เราเล็งไว้และเราก็จะลงทุนตาม  เมื่อนั้นมันก็ช้าเกินไปเสียแล้ว  คนเรามักจะมั่นใจมากก็ตอนที่อะไรๆมันเกิดขึ้นแล้ว  และเมื่อถึงตอนนั้น  มันก็มักจะสายไปสำหรับการลงทุน  ถ้าเรามั่นใจในกิจการที่เรากำลังจะลงทุน  และได้ศึกษาในตัวบริษัทมาอย่างถ่องแท้แล้ว  มันก็จะไม่มีคำว่ารู้งี้มาเกี่ยวพันกับชีวิตการลงทุนมากนัก  ผมชอบคำกล่าวแบบติดตลกท่อนหนึ่งของหุ้นส่วนบัฟเฟตที่ชื่อชาลีมากว่า  เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหน  เขาจะได้ไม่ไปที่นั่น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #452 เมื่อ: วันที่ 06 ตุลาคม 2011, 15:08:46 »

หุ้นที่ยิ่งใหญ่
     บรรทัดฐานอย่างหนึ่งของผมก่อนที่จะทำการลงทุนก็คือ  ผมอยากรู้ว่าบริษัทนี้มีความยิ่งใหญ่มากแค่ไหน  คำว่ายิ่งใหญ่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดองค์กรใหญ่โต  หรือมีทุนจดทะเบียนมหาศาล  ผมแค่มองไปที่สินค้าและบริการของบริษัทเพียงเท่านั้นเองครับ  ผมมักจะใช้ตัวผมเองเป็นนักวิเคราะห์และผู้บริโภคว่า  ถ้าผมจะซื้อสินค้าชนิดนี้เช่น  ยาสีฟัน  ขนมปัง  กาแฟ  ยาแก้ปวดหัว  ฯลฯ  ผมจะซื้อยี่ห้อไหน  การมียี่ห้อเป็นสิ่งสำคัญ  เนื่องจากว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของบริษัท  เพราะกว่าที่ผู้บริโภคจะให้การยอมรับในยี่ห้อใดๆนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  และถ้าเขาให้การยอมรับแล้ว  เขาก็มักจะใช้ยี่ห้อนั้นไปตลอด

     บริษัทที่ยิ่งใหญ่นั้น  สามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยที่ไม่เสียลูกค้า  ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก  เพราะถ้าต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น  บริษัทก็สามารถผลักภาระตรงนี้ไปให้กับผู้บริโภคได้  ซึ่งจะสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ในระยะยาว  ถ้าสมมติต้นทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้เนื่องจากกลัวเสียลูกค้า  ตรงนี้จะทำให้ในระยะยาวแล้ว  บริษัทจะไม่สามารถอยู่รอดได้  หรือถึงอยู่ได้  กำไรก็จะลดลงตามระยะเวลาที่ผ่านไป  ซึ่งมันก็จะมีผลทำให้ราคาหุ้นและเงินปันผลลดลงตามไปด้วย

     การที่บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยที่ไม่เสียลูกค้านั้น  ถือเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจ  ถ้าผมประเมินแล้วว่า  ถึงแม้บริษัทจะขึ้นราคาสินค้า  ลูกค้าก็ยังพอใจที่จะซื้อสินค้าของบริษัทอยู่ดี  อย่างนี้ถือว่าบริษัทนั้นมีจุดแข็งที่คู่ต่อสู้ทำลายยาก  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทที่ผลิตบุหรี่  ไม่ว่าบุหรี่จะขึ้นราคามากี่ครั้งแล้วก็ตาม  ลูกค้าก็ยังไม่เลิกซื้อสักที  อย่างนี้แสดงให้เห็นว่า  บริษัทนี้มีความยิ่งใหญ่  หรือบริษัทที่ผลิตขนมปังเบเกอรี่  ซึ่งเวลาที่ต้นทุนเพิ่ม  ทำให้จำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้น  แต่ลูกค้าก็ยังนิยมซื้ออยู่ดี  เนื่องจากรสชาติอร่อยกว่าเจ้าอื่น  อย่างนี้ก็ถือว่าบริษัทนี้ยิ่งใหญ่  และเพราะว่าสามารถขึ้นราคาสินค้าได้ด้วยตัวเอง  บริษัทที่เข้าเกณฑ์อย่างนี้  ถือว่าน่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง  และสำหรับผมแล้ว  บริษัทแบบนี้คือบริษัทที่ยิ่งใหญ่ครับ  ซึ่งตรงนี้ไม่เหมือนกับบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่นน้ำมันหรือถ่านหิน  เพราะสินค้าของแต่ละบริษัทไม่แตกต่างกันมากนัก  และราคาขายก็ยังไม่สามารถกำหนดได้เอง  ต้องดูราคาตามตลาดโลกเป็นหลัก  ข้อดีของการลงทุนในบริษัทที่ทำธุรกิจลักษณะนี้ก็คือ  มันสามารถคาดการณ์กำไรหรือสถานการณ์ได้ง่าย  ถ้าเรารู้ว่าช่วงไหนเป็นแนวโน้มแบบไหนเราก็สามารถลงทุนหรือออกจากการลงทุนได้ตามแนวโน้ม  แต่หุ้นลักษณะนี้จะถือยาวมากไม่ได้  เนื่องจากว่ามันเป็นหุ้นที่อิงกับวงจรเศรษฐกิจ  และระบบวงจรเศรษฐกิจมีทั้งขึ้นและลง  หรือยกตัวอย่างอีกธุรกิจหนึ่งคือ  ธุรกิจเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เนต  ตามความเห็นของผมแล้ว  ถ้าประเทศไทยเรานี้มีเนตใช้กันหมด  บริษัทที่ให้บริการลักษณะนี้ก็คงจะถึงทางตันเหมือนอย่างเช่นธุรกิจโทรศัพท์บ้าน ถึงแม้ว่าทุกวันนี้  อินเตอร์เนตจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนรุ่นใหม่คล้ายกับไฟฟ้าหรือประปาซึ่งถ้าใครติดแล้วก็คงจะใช้ไปตลอด(ขาดไม่ได้  ต้องบริโภคตลอด)   แต่การเก็บค่าบริการในอนาคตก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้เหมือนค่าน้ำหรือค่าไฟเนื่องจากว่ามีคู่แข่งมาก  ซึ่งแต่ละรายก็ทำการตลาดโดยเน้นไปที่ราคาค่าบริการและความสามารถของระบบตัวเอง  และที่ผมเห็นว่ามันแย่กว่าโทรศัพท์บ้านก็คือ  ความสามารถของระบบเครือข่ายจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นตลอดเวลาตามเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น  ทำให้บริษัทต้องทำการปรับปรุงความสามารถของระบบอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งมันก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องทำ  การที่เราจะลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจประเภทนี้  จึงต้องให้ความสนใจกับตัวเลขผู้ใช้บริการใหม่ว่ามันเริ่มอืดหรือยัง  และเราก็ขายหุ้นก่อนที่มันจะถึงทางตัน  มีบางประโยคที่ผมจำได้แม่นและชอบมากของ  ปีเตอร์  ลินซ์  คือ  ยาที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติคือ  ยาที่กินครั้งเดียวหาย  แต่ยาที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักลงทุนก็คือ  ยาที่คนต้องกลับมาซื้อซ้ำเรื่อยๆ

     ถ้าเราอยากถือยาวจริงๆ  ผมก็อยากให้นักลงทุนทุกท่านลงทุนในบริษัทที่สามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้  มีคู่แข่งน้อยหรือไม่มีเลย  และถึงแม้ว่าจะมีคู่แข่ง  แต่บริษัทก็ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง  และบริษัทยังสามารถขายสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะขึ้นราคาตามต้นทุนไปอีกกี่ครั้ง  ลูกค้าก็ยังพอใจที่จะใช้สินค้าและบริการของบริษัทอยู่ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 ตุลาคม 2011, 15:11:12 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #453 เมื่อ: วันที่ 11 ตุลาคม 2011, 17:36:34 »

คำแนะนำที่ต้องเลือกเชื่อ
     ในตลาดหุ้นมีคำแนะนำต่างๆมากมายในแต่ละวัน  ทั้งจากนักวิเคราะห์และบุคคลทั่วไป  ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่า  คำแนะนำจากใครดีกว่ากัน  มันอยู่ที่ว่า  เราจะสามารถ  “ย่อย”  ข้อมูลเหล่านั้นออกมาได้ดีเพียงไร  และการที่เราจะสามารถย่อยข้อมูลที่ได้รับมาจนมาสู่การปฏิบัติได้นั้น  เราต้องการเพียงแค่  เหตุผลและความรู้ของเราเพียงเท่านั้นเอง

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  “ช่วงนี้เงินกำลังไหลเข้าตลาดหุ้น”  เพราะฉะนั้นเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน  คุณคิดว่าจริงไหม?  มันอาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้  โดยส่วนตัวผมแล้ว  เหตุที่เงินไหลเข้าตลาดก็มีหลายปัจจัย  แต่ปัจจัยหลักๆที่สำคัญที่สุดก็มาจาก  ราคาหุ้น  ณ  ขณะนั้นคุ้มค่าต่อการลงทุน  แล้วทำไมเราจึงไม่ลงมือก่อนที่จะรอให้มันเกิดขึ้นล่ะ  ผมว่า...การที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมลงทุนในขณะที่หุ้นนั้นราคาถูกก็เนื่องจากว่า  เขาต้องการความมั่นใจ  และการที่จะมั่นใจได้ว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีจริงๆก็คือ  ต้องรอให้ผลลัพธ์นั้นออกมาเสียก่อน  แต่ถ้าเรารอให้ผลลัพธ์มันเกิดขึ้นแล้ว  จังหวะนั้นมันก็อาจช้าเกินไป  ทำไมเราจึงไม่จีบเธอก่อนที่จะรอให้คนอื่นมาจีบเธอล่ะ  ในเมื่อคุณก็มั่นใจว่าเธอเป็นคนดี   และผมก็อยากให้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งว่า  เวลาที่ลมพายุพัดเข้ามาแรง  แม้แต่ไก่ก็ยังบินได้  แต่เวลาที่พายุสงบลง  คนที่ยังอยู่บนฟ้าได้ก็คือพญาอินทรีเท่านั้น  ความหมายก็คือ  เวลาที่กระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้น  เราอย่าคิดว่ามันจะขึ้นทุกตัว  หรือถ้าบางทีจังหวะนั้นมันอาจจะมั่วไปบ้าง  ทำให้ราคาหุ้นของทั้งตลาดพาเหรดขึ้นไปกันหมด  แต่เมื่อพายุแห่งเงินสงบลง  หุ้นที่ดีจริงๆจะยังคงอยู่  ส่วนหุ้นที่ขึ้นไปโดยไม่ได้มีดีอะไรในตัวเองก็จะตกลงมา

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  ช่วงนี้กราฟอยู่ในช่วงขาขึ้น  ราคาหุ้นทะลุแนวต้านใหญ่ขึ้นไปได้  คาดว่าหุ้นจะวิ่งขึ้นไปอีกยาว  ถ้าคำแนะนำออกมาในแนวนี้  ผมรับรู้ได้ทันทีเลยว่า  เขากำลังพูดถึงเรื่องเทคนิคอยู่  และคำตอบของผมก็คือ  ไร้สาระ  เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมได้เฝ้ามองการทำนายตลาดในแนวนี้  ไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม  ผมเห็นว่ามัน  “มั่ว”  คุณลองคิดตามดูก็ได้นะครับ  ถ้าใครได้ดูรายการเกี่ยวกับหุ้น  และมีนักวิเคราะห์ออกมานั่งเจื้อยแจ้วที่หน้าจอและกล่าวอ้างจากเส้นกราฟต่างๆว่า  ถ้าทะลุแนวนี้ขึ้นไปได้  จะต้องไปเจอกับอีกแนวหนึ่ง  เมื่อผมได้ฟัง  ผมมี  2  คำถามเกิดขึ้นคือ
     
     1.ทำไมต้องมีตัวเลขสำรอง  ถ้าเป็นผมซึ่งไม่ต้องมีโปรแกรมพวกนั้นก็ได้  ผมก็สามารถมานั่งทำนายได้ว่า  วันนี้ถ้าหุ้นขึ้น  จะขึ้นกี่จุด  และหากมันขึ้นพ้นไปแล้วมันจะไปที่กี่จุด  ซึ่งผมสามารถนั่งประเมินสถานการณ์ได้เองว่า  แรงซื้อประมาณนี้  แรงขายประมาณนี้  ตลาดต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้  ผมก็สามารถกำหนดค่าตัวเลขออกมาได้เหมือนกันโดยที่ไม่ต้องใช้โปรแกรมพวกนั้นเลย  ถ้าเราอยากทำนายได้แม่นหรือใกล้เคียง  เราก็ถ่างตัวเลขให้กว้างเข้าไว้เช่น  ตลาดหุ้นปิดเมื่อวานที่  850  จุด  เปิดตลาดมาหุ้นต่างประเทศขึ้น  1  %  ผมก็สามารถประเมินได้ว่า  ตลาดหุ้นบ้านเราคงจะไม่พ้นกัน  คงขึ้นประมาณ  8  จุด  และผมก็ให้ตัวเลขสำรองกันพลาดมาอีกชุดว่า  ถ้ามันผ่านไปได้  ก็คงไม่เกิน  15  จุดอะไรทำนองนี้  ถ้าอยากแม่นมากๆ  ก็ถ่างตัวเลขให้กว้างเข้าไว้เช่น  ไม่น่าเกิน  20  จุด  เมื่อเป็นดังนี้  ผู้ทำนายก็จะแม่นเอง  และถ้าสังเกตดูดีๆจะพบว่า  เวลาที่นักวิเคราะห์พวกนี้ให้ตัวเลขมา  เขามักจะให้เลขมา  4  ตัวเสมอนั่นก็คือ  แนวรับแรกและแนวรับที่สอง  แนวต้านแรกและแนวต้านที่สอง  ซึ่งผมสามารถประเมินได้ว่า  พวกนี้แทงกั๊ก  เพราะแนวรับนั้นหมายถึงการคาดว่าหุ้นจะลงไปที่จุดนั้น  และแนวต้านหมายถึงคาดว่าหุ้นจะขึ้นไปที่จุดนั้น  ถ้าแม่นจริงทำไมไม่ฟันธงไปเลยล่ะว่าจะขึ้นหรือลง
     
     ลองสังเกตว่าผมพบอะไร?  สิ่งที่ผมพบก็คือ  คำตอบของนักวิเคราะห์ให้มา  4  ตัว  แต่ผลลัพธ์นั้น  มีแค่ตัวเดียว  ซึ่งนั่นหมายถึงว่า  เขาจะทายถูกแค่เพียง 1  แต่ผิดถึง  3  เมื่อเป็นดังนี้แล้วคุณคิดว่าเทคนิคมันใช้ได้จริงหรือ  และถ้าหากเกิดอีกกรณีหนึ่ง  นักวิเคราะห์ผิดทั้ง  4  เลย  ซึ่งสถานการณ์ที่จะเกิดอย่างนั้นได้ก็คือ  มันทะลุทั้งแนวที่  1  และ  2  ที่เขาให้มา  ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้านก็ตาม  ซึ่งนั่นจะทำให้เขาผิดทั้ง  4  เลย  และเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น  ก็ไม่เห็นจะมีนักวิเคราะห์คนไหนออกมารับผิดชอบในคำพูดของตัวเองเลย  อย่างดีก็แค่  ออกมาแก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น  สำหรับผมแล้ว  การใช้เทคนิคสำหรับนักวิเคราะห์มันก็แค่  การกระตุ้นให้คนที่ไม่รู้เรื่องหุ้นทำการซื้อขายบ่อยๆ  พวกเขาจะได้มีรายได้จากค่าคอมฯเยอะๆ
     
     2.มันเป็นการทำนายตลาด  มันทำนายที่ตลาดโดยรวมซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นหุ้นตัวใด  สมมุติว่าหุ้นขึ้นกันทั้งตลาด  ยกเว้นหุ้นของคุณตัวเดียวที่ไม่ขึ้น  อย่างนี้นักวิเคราะห์ก็ทำนายไม่ผิดหรอกนะ  เพียงแต่ว่าคุณจะแฮปปี้หรือไม่?  บางท่านที่เทิดทูนเทคนิคอาจแย้งว่า  กราฟมันสามารถดูหุ้นได้ทุกตัว  แล้วผมอยากถามว่า  มันดูได้ทุกตัวนั้นใช่  แล้วมันแม่นทุกตัวหรือเปล่า?  คุณกล้ารับประกันไหม  ถ้าผมซื้อแล้วมันไม่ได้ขึ้นอย่างที่คุณบอก  แล้วคุณจะคืนเงินที่ผมเสียไปได้ไหม  ร้อยทั้งร้อยก็ไม่ยอมซ่อมให้คุณหรอก  เพราะฉะนั้น  คุณต้องเลือกที่จะเชื่อเอง  ถ้ากราฟมันแม่นจริง  พวกที่นั่งดูกราฟทุกวันนี้คงไม่มานั่งอยู่อย่างนี้แล้ว  ทำไมน่ะเหรอ?  ก็เขารวยแล้วไง  ไปเที่ยวใช้เงินให้สบายใจเฉิบไม่ดีกว่าหรือ  และมีข้อคิดอีกอย่างก็คือ  ถ้าใช้เทคนิคแล้วรวยจริง  ทั้งโลกนี้ก็คงไม่มีใครจน

     ถ้ามีคนมาบอกผมว่า  หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี...ถ้าเป็นคำแนะนำแนวนี้  ผมจะสะดุดใจมาก  และจะพยายามค้นหาต่อว่า  มันดีอย่างไร  และผมสามารถเข้าใจมันไหม  โดยส่วนตัวของผมแล้ว  คำว่าพื้นฐานนั้น  ความหมายมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเช่น  พื้นฐานกิจการ  ซึ่งตรงนี้มันจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงพื้นฐานที่ควรจะเป็นอีกหลายอย่างต่อไปเช่นเงินปันผลหรือราคาหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต  ซึ่งการวิเคราะห์หุ้นแนวนี้  ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในกิจการและจินตนาการเข้ามาช่วย  รวมถึงทักษะของการเป็นผู้ประกอบการ  และก็ยังต้องใช้สถานการณ์จริงมาประกอบการตัดสินใจ  บางท่านอาจจะว่าวิธีนี้ยาก  แต่มันเป็นวิธีที่เป็นรูปธรรมที่สุด  ราคาหุ้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ฉับพลันโดยไม่ต้องสนใจพื้นฐาน  แต่ถ้ามันไม่ใช่ของจริง  มันก็อยู่ได้ไม่นาน  แต่การซื้อหุ้นโดยใช้หลักวิเคราะห์แนวนี้  ผมว่ามันดูจะเป็นจริงเป็นจังมากกว่าการเล่นกับตัวเลขและอารมณ์ของนักลงทุน  ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ว่า  คุณพอใจจะเป็นอะไรระหว่างนักพนันหรือนักลงทุน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #454 เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2011, 19:18:13 »

ผู้ซื้อประกัน  &  ผู้ขายประกัน
     ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่า  รอบๆตัวเรามีแต่ประกัน  ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย  ตึกรามบ้านช่อง  รถ  เรือ  หรือแม้แต่คน  การมีประกันเป็นสิ่งที่ดี  ซึ่งผมก็เห็นด้วยในจุดนี้  เพียงแต่ว่าผมอยากเสนอมุมมองอีกแบบหนึ่งจากตัวผมเอง  ซึ่งผมคงไม่อาจตัดสินได้ว่ามันถูกหรือผิด  และผมก็ไม่ได้อยากจะต้องให้ถึงขนาดที่ว่าต้องไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขอะไรบางอย่าง  หรือเป็นการยุยงส่งเสริมใดๆ  เพราะการที่ประกันมันเป็นอย่างทุกวันนี้  ผมก็ว่า  มันเป็นข้อเสนอที่พอรับได้  เพราะถ้ามันรับไม่ได้  ก็คงไม่มีใครทำประกันหรอก...จริงไหม

     กฎข้อที่หนึ่งของการทำประกันก็คือ  คุณไม่สามารถซื้อประกันตอนที่คุณต้องการได้  แล้วต้องซื้อตอนไหนล่ะ?  ก็ก่อนที่คุณจะต้องการมันไง  แต่ที่ผมสงสัยก็คือ  สังเกตไหมว่าประกันชีวิตแบบที่มีค่ารักษาพยาบาลด้วย  จะเพิ่มเบี้ยประกันตามอายุของผู้ซื้อแบบเป็นขั้นบันได  หมายความว่า  เขาจะเพิ่มเบี้ยที่เราต้องชำระเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นทุกๆ  5  ปี  ทำไมจึงเป็นแบบนั้น  นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อคนเราอายุมากขึ้น  ก็ย่อมมีความเสี่ยงในการที่จะต้องรักษาพยาบาลมากขึ้น  ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นว่ามันจริง  แต่ประเด็นก็คือ  ทำไมถึงรับทำประกันค่ารักษาพยาบาลถึงแค่อายุ  70  เท่านั้น  ถ้าอายุมากกว่า  70  แล้ว  บริษัทจะไม่ยอมทำกรมธรรม์ให้  ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม  โดยไม่สนใจว่าคุณจะส่งเบี้ยมานานขนาดไหน  หรือคุณจะเคยเข้าโรงพยาบาลหรือไม่  ผมเห็นว่าข้อเสนอตรงนี้ไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ถ้ามองในมุมของผู้ทำประกัน  เพราะในตอนที่เขาสุขภาพแข็งแรง  บริษัทก็รับทำประกันเต็มที่  บางทียังเสนอประกันพ่วงเพิ่มมาอีกเยอะแยะมากมาย  แต่พอถึงเวลาที่เรากำลังจะได้ใช้สิทธิ์ในประกันตัวนี้บ้าง  บริษัทกลับปัดป้องไม่ยอมให้เราต่ออายุประกันไม่ว่ากรณีใดๆ  ถ้ามันเป็นอย่างนี้จริงก็เท่ากับว่า  บริษัทเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวหรือไม่  แต่ถ้าบริษัทจะแย้งว่า  ก็เรารับประกันในช่วงที่คุณได้ทำประกันไปแล้วไง  อย่างนี้จะมาว่าเราเอาแต่ได้ได้อย่างไร  ซึ่งตรงนี้ผมก็บอกไปแล้วว่า  ผมมองในฐานะผู้ซื้อประกัน  เพราะกว่าที่เราจะได้ใช้ประกันตัวนี้อย่างเต็มที่จริงๆ  ก็ต้องเป็นวัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างนี้  แต่บริษัทซึ่งประเมินว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  กลับไม่ยอมต่อสัญญาต่างๆที่เราได้เคยทำมา  แล้วเบี้ยที่เราเคยส่งไปเป็นเวลาหลายปีนั้น  กลับไม่เหลืออะไรเลย  เพราะว่ามันเป็นการทำทิ้งปีต่อปี  โดยเฉพาะเมื่อเวลาอายุมากขึ้น  บริษัทก็ยิ่งได้ค่าเบี้ยประกันจากเราเพิ่มมากขึ้น  หรือแม้กระทั่งคนที่มีความเสี่ยงต่างๆเช่น  สูบบุหรี่  ดื่มเหล้า  หรือมีอาชีพเสี่ยง  ประกันก็จะไม่ยอมรับ  หรือถ้ารับ  ก็จะต้องจ่ายเบี้ยแพงกว่าปกติ  อย่างนี้ก็เท่ากับว่า  จริงๆแล้วบริษัทประกันก็ไม่ได้ห่วงใยคนทำประกันมากมายตามที่โฆษณาไว้  แต่บริษัทประกันนั้นออกแนวเป็นพ่อค้าเสียด้วยซ้ำไป  ถ้าเหตุการณ์มันลงเอยแบบนี้  โดยมุมมองของผมแล้ว  ผมว่าตัวผมเองจะยอมเสี่ยงโดยเอาเงินที่จะต้องส่งประกัน  นำไปลงทุนให้มันงอกเงยเองดีหรือไม่?  บางทีเมื่อถึงอายุ  70  จริงๆ  ผมอาจจะเป็นเศรษฐีแล้วก็ได้  หรืออย่างน้อย  เงินที่นำไปลงทุนมันก็ยังเหลือมากพอที่จะนำไปใช้ในชีวิตที่ยังเหลืออยู่  แทนที่จะต้องเอาเงินไปส่งให้บริษัทที่รับทำประกันต้องรวยขึ้น  แต่บริษัทก็ต้องบอกว่า  อนาคตมันไม่แน่นอน  ทำไว้ก่อนเป็นดี  พร้อมกับยกตัวอย่างคนที่เคยได้รับการชดเชยจากบริษัทมาประกอบคำพูด  ซึ่งนั่นผมก็เห็นว่า  มันเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส  ความหมายก็คือ  ไหนๆบริษัทก็ต้องจ่ายเงินตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้  เพราะฉะนั้นก็เลยเอาคนที่เคยได้รับค่าชดเชยตรงนั้นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สร้างความน่าเชื่อถือเพื่อทำให้เห็นความสำคัญของการทำประกันเสียเลย

     เมื่อมามองในด้านของบริษัทประกันบ้าง  ถ้าผมเป็นบริษัทรับทำประกัน  สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงก็คือผลกำไร  เราก็ต้องมานั่งคิดว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้กำไรสูงสุดและมีความเสี่ยงต่ำที่สุด  ซึ่งการรับทำประกันแบบที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นก็เป็นการควบคุมความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง  เพราะถ้าความเสี่ยงเพิ่มขึ้น  เราก็ต้องเพิ่มเบี้ยประกัน  ซึ่งการกระทำแบบนี้เท่ากับว่า  บริษัทเป็นคนคุมเกม  ดูอย่างเหตุการณ์ล่าสุดก็ได้  ช่วงนี้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่  บริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมเป็นเงินก้อนโต  เพราะฉะนั้นแล้วในอนาคต  มันก็มีโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมได้อีกค่อนข้างสูง  อย่ากระนั้นเลย  บริษัทจึงขอปรับราคาเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้คุ้มกับการที่ต้องรับความเสี่ยงมากขึ้นนั่นเอง  ถ้าใครไม่ทำก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าน้ำท่วมก็ซ่อมเอาเองเด้อ

     ถ้าเราลองมามองภาพกว้างๆจะเห็นว่า  การทำประกันอะไรก็ตาม  มันเหมือนเป็นการพนันอย่างหนึ่ง  โดยการพนันว่าอนาคตจะออกอะไร  ถ้าประกันการเข้าโรงพยาบาลก็จะเป็นประมาณว่าเข้าหรือไม่เข้า  ถ้าไม่เข้าบริษัทก็ได้  แต่ถ้าเข้า  บริษัทก็ต้องจ่าย  หรือทำประกันรถก็จะออกแนวว่าซ่อมหรือไม่ซ่อม  ถ้าไม่ซ่อมประกันก็รับทรัพย์  แต่ถ้ามองให้ลึกจะเห็นว่า  คนที่ต้องรับความเสี่ยงก็คือคนทั้งสองฝ่ายถูกต้องไหม  แต่คนที่ต้องจ่ายเพื่อรับความเสี่ยงกลับเป็นคนซื้อประกัน  ส่วนคนขายประกัน  รับเงินเพื่อรับความเสี่ยง  โดยเฉพาะประกันสุขภาพ  บริษัทจะได้เปรียบมากกว่าผู้ซื้อประกัน  เนื่องจากว่ามีใครอยากป่วยบ้าง  ถ้าไม่อยากป่วยก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ  คนที่ทำประกันนั้นมักเป็นคนรอบคอบ  เพราะฉะนั้นนิสัยแบบนี้  ก็มักจะติดไปในชีวิตประจำวันด้วย  ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการใช้ชีวิตลดลงไปอีก  ซึ่งจะเป็นผลทำให้บริษัทประกันประหยัดค่าเจ็บค่าป่วยของผู้ทำประกันลงไปได้  และเมื่อเราไม่ป่วยคนที่ได้เบี้ยเราไปกินฟรีๆก็คือผู้ขายประกันนั่นเอง  ซึ่งนี่ก็คือข้อแตกต่างระหว่างคนที่แสวงหาความมั่นคง(โดยมากเป็นลูกจ้าง)  และคนที่แสวงหาความมั่งคั่งโดยไม่กลัวความเสี่ยง(นักลงทุนหรือผู้ประกอบการ)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
E22YKA
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90



« ตอบ #455 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 17:18:08 »

สุดยอดจริง ๆ ท่านวายุ มาตามอ่านทุกวันครับ
ส่วนผมกะลังตามมาก๊อปปี้ไปอ่านครับ
IP : บันทึกการเข้า
E22YKA
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90



« ตอบ #456 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 17:35:10 »

ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างมาอัพ  แต่อยากตั้งหัวข้อเล็กๆไว้ขบคิดกันหน่อยว่า  "ธุรกิจเครือข่าย"  เป็นการลงทุนหรือไม่  แล้วถ้าว่างผมจะเข้ามาต่ออีกทีครับ

ถ้าเป็นระดับคุณรสา คำแบน คุณธเนตร  วงษาคงใช่อ่ะครับ แต่ถ้าสำหรับตัวผม ผมว่าไม่ใช่ครับ

ฝากคลิปคุณรสานิดครับ ดูแล้วได้ความรู้สึกจริง ๆ ว่าง ๆ อยากไปสมัครเป็นคนสวนบ้านแกจัง อิอิ


สำหรับผมแล้ว ตอนนี้ก็ทำมาสองเครือข่ายละ ล้มเหลว และตอนนี้ก็มีคนมาชวนทำอีกเครือข่ายนึง สำหรับคำคมของชาวเครือข่ายคือ"คุณต้องการที่จะปรบมือแสดงความยินดีกับบุคคลที่อยู่บนเวที หรือคุณต้องการที่จะให้คนข้างล่างเวทีปรบมือแสดงความยินดีกะคุณซึ่งอยู่บนเวที"กึ๊ดแล้วอิ๊ด.....ป๊าดโท๊ะ
IP : บันทึกการเข้า
E22YKA
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 90



« ตอบ #457 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2011, 19:45:19 »

มีทั้งหมด ซาวเก้าหน้า กว่าจะก๊อปเสร็จ ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ได้ความรู้หลายขนาด ขอบคุณพี่ๆมากนะครับ ผู้รู้
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #458 เมื่อ: วันที่ 20 ตุลาคม 2011, 16:04:04 »

วิธีเลือกเพื่อน
     สมมุติว่าคุณจบจากโรงเรียนมาพร้อมกับเพื่อนอีก  10  คน  ซึ่งแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำงานในแต่ละบริษัท  แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนทั้ง  10  คนก็เข้ามาหาคุณโดยเสนอผลตอบแทนว่า  เขาจะขอยืมเงินคุณเป็นจำนวน  10  เท่าของเงินเดือนในขณะนี้  และเขาจะใช้เงินคืนให้เป็นจำนวน  25  %  ของเงินเดือนที่เขาจะได้รับทุกปีตลอดไป  คุณคิดว่านั่นเป็นการลงทุนที่ดีไหม?  ผมคิดว่าคุณคงตอบว่าดี  แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ว่า  คุณมีเงินให้เพื่อนยืมได้แค่  3  คนเท่านั้น  สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือ  เลือกเพื่อนคนที่คิดว่าในอนาคตจะสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงสุดถูกต้องไหมครับ  ซึ่งวิธีการลงทุนในหุ้นก็ไม่ต่างกัน  ถ้าเราดูแนวโน้มแล้วว่า  เพื่อนคนนี้เป็นคนขยันหรือฉลาด  มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานสูง  เพราะฉะนั้น  เงินเดือนที่เพื่อนคนนี้จะได้รับในอนาคตก็ต้องสูงขึ้นไปด้วยตามตำแหน่งงานที่สูงขึ้น  และเราซึ่งเป็นผู้ลงทุนให้เพื่อนยืมเงิน  ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สูงตามขึ้นไปด้วย  ยิ่งเพื่อนเรามีเงินเดือนมากเท่าไหร่  รายได้ของเราก็ยิ่งมากขึ้นตาม  และนั่นคือวิธีการในการลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #459 เมื่อ: วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 16:10:43 »

การเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัว
     เนื่องจากมีคำถามเข้ามามากมายในห้องนักลงทุนว่า  มีเงินเก็บอยู่และต้องการนำไปลงทุน  จะเอาไปทำอะไรดี  หรืออยากทำธุรกิจ  ก็เลยขอคำแนะนำหน่อย  เดี๋ยวกระทู้ของผมนี้จะพยายามให้ความกระจ่างนะครับ  ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่กระจ่างเต็มที่ก็ตาม  แต่อย่างน้อยมันก็กลั่นมาจากประสบการณ์จริงของผมเอง  หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านหรือแฟนคลับของกระผมบ้างไม่มากก็น้อย

     สำหรับคนที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวนั้น  ผมขอชมเชยก่อนเลยว่า  คุณมีพัฒนาการในชีวิตที่ดี  ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนก็ตาม  แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทราบว่า  คุณเป็นผู้ที่แสวงหาโอกาสและความก้าวหน้าให้กับชีวิต  โดยไม่อยากพึ่งพาใครหรือเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนใคร  เพราะการเป็นลูกจ้างนั้น  เราไม่มีอำนาจในการต่อรองใดๆทั้งสิ้น  ทำได้ก็แค่เพียงทำงานตามหน้าที่ไปวันๆโดยมีความหวังว่า  สักวันหนึ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งหรือได้ขึ้นเงินเดือนบ้าง  ซึ่งมันก็เป็นได้แค่ความหวังที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเป็นจริง

     สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวนั้น  เท่าที่ผมทราบมีอยู่  3  วิธีหลักๆด้วยกัน  ซึ่งแต่ละวิธีก็จะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันไป  ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยในการประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้น  คงต้องมาเน้นเนื้อหากันอีกที  ใครอยากทราบอะไรมากกว่านี้ก็ถามเข้ามาได้นะครับ  สำหรับ  3  วิธีการเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวที่ว่านั้น  สามารถสรุปออกมาได้ดังนี้

1.แฟรนไชส์  วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนน้อยและยังไม่มีประสบการณ์ในการสร้างธุรกิจ
ข้อดี  เราสามารถมองธุรกิจได้ก่อนที่จะลงทุน  และเราก็ไม่ต้องมาปวดหัวกับการแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  เนื่องจากว่าเจ้าของแฟรนไชส์นั้นได้มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหามาก่อนแล้ว  ดังนั้นเราจึงมั่นใจได้ว่า  ธุรกิจที่เรากำลังจะลงมือทำ  จะมีผู้ช่วยอย่างแน่นอน  และเราสามารถมองก่อนได้ว่า  ธุรกิจนี้มีคนรู้จักหรือเป็นที่นิยมในตลาดอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น  ความเสี่ยงเรื่องการที่เราจะต้องพยายามสร้างยี่ห้อให้เป็นที่รู้จักก็ไม่จำเป็นต้องทำ

ข้อด้อย  เนื่องจากการซื้อแฟรนไชส์มันเป็นไปในลักษณะธุรกิจสำเร็จรูป  มันก็จึงต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ต้องยอมเป็นบางอย่างคือ  “เราจะกลายเป็นลูกจ้างกิตติมศักดิ์ไปโดยปริยาย”  ซึ่งหมายความว่า  เราต้องรับสินค้าของเขาไปขายตลอดเวลาที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ยี่ห้อของเขา  ผมเคยคิดนะว่า  เงินลงทุนก็เงินกรู  คนบริหารธุรกิจก็กรู  ยังต้องรับสินค้าของมันมาขายให้อีก  ถ้าเราเลิกทำ  เงินที่ลงทุนไปก็ไม่ได้คืน  หรืออาจได้คืนบางส่วน  แถมบางทีสินค้าที่มันเอามาขายให้เราก็แพงแสนแพง  แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้  นี่เรากำลังเป็นขี้ข้ามันอยู่หรือเปล่านี่?

     ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยของการทำธุรกิจในลักษณะที่คล้ายๆกันนี้ก็มีเหมือนกันคือ  บางทีเราก็ไปซื้อสูตรเขามา  หรือบางทีเราก็ไปซื้อสินค้าของคนอื่นที่เป็นที่รู้จักมาวางขายเลย  อันนี้มันก็จะมีลักษณะกึ่งๆแฟรนไชส์เหมือนกัน  ดีกว่าหน่อยตรงที่ว่า  ไม่ต้องโดนเจ้าของผลิตภัณฑ์บังคับขายของให้

2.ซื้อกิจการ  บางคนอาจจะเรียกหรูๆว่าเทคโอเวอร์  แต่ผมเรียกว่า  “เซ้ง”  การที่จะทำแบบนี้ได้ต้องมีทุนมากพอสมควร  และยังต้องมีความสามารถในการทำธุรกิจด้วย  บางทีเราเห็นว่าร้านนี้หรือยี่ห้อนี้มีคนรู้จักแล้ว  ไม่จำเป็นต้องไปทำการตลาดให้มากมาย  เราก็แค่เข้ามาสวมรอยและดำเนินงานต่อได้เลย  ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ประหยัดเวลาในการที่จะต้องทำให้คนอื่นรู้จัก  แต่ข้อด้อยของมันก็มีคือ  ถึงแม้ว่าเราจะเข้ามาสวมเลย  แต่ถ้าเราดำเนินธุรกิจไม่ดี  มันก็มีสิทธิ์พังได้  และเจ็บหนักด้วย  เนื่องจากว่าใช้ทุนมาก  เพราะฉะนั้น  การจะทำธุรกิจลักษณะนี้ให้ประสบความสำเร็จ  นอกจากมีทุนมากแล้ว  ยังต้องมีความสามารถประกอบด้วย  หนำซ้ำยังไม่พอ  บางทีอาจโดนดัดหลังจากเจ้าของเก่าได้เช่น  หลังจากที่เจ้าของขายกิจการให้เราแล้ว  เขาก็หอบเงินก้อนโตที่เราให้เขาไปน่ะ  กลับมาเปิดร้านแข่งกับเราอีก  แล้วเราจะสู้เจ้าเก่าได้หรือไม่  ถ้าเป็นอย่างนี้จริง  คนที่เพิ่งซื้อกิจการมาจะทำอย่างไรครับ

3.สร้างธุรกิจ  วิธีนี้ถ้าใครทำได้ถือว่าดีมากเนื่องจากว่า  ใช้ทุนเริ่มต้นน้อย  แต่ใช้ความสามารถและความอดทนมาก  ซึ่งตัวผมเองก็อยู่ในข่ายนี้  การสร้างธุรกิจจากศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ถ้าทำสำเร็จ  คุณก็จะนับถือตัวเองมาก  เพราะกว่าที่มันจะสำเร็จได้  คุณต้องลองผิดลองถูกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  และเวลาที่คุณทำอะไรพลาดไป  แล้วคุณสามารถแก้ไขมันได้  ความฉลาดมันก็จะเกิดขึ้น  ทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก  คุณไม่สามารถหามันจากที่ไหนได้  และถ้าในอนาคตมันเกิดปัญหากับธุรกิจของคุณ  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเดิมที่เคยเจอมาแล้วหรือเป็นปัญหาใหม่  คุณก็จะมีภูมิต้านทานพอที่จะรับมือกับปัญหาที่ถาโถมเข้ามา  ซึ่งถ้าคุณรับมือกับมันได้และทำได้ดี  คุณก็จะแข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไปอีก  ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณก้าวหน้าต่อไปได้ในอนาคต  และเหนือสิ่งอื่นใด  คุณก็จะได้เป็นเจ้าของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น  โดยที่มีตัวคุณเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง  ซึ่งสินค้าพวกนี้นี่แหละ  ถ้ามันดีจริง  มันจะสามารถสร้างรายได้ให้คุณเป็นอย่างมาก  เพราะคุณจะสามารถขยายสาขาหรือทำแฟรนไชส์หรือขายสูตรหรือขายสินค้าให้คนอื่นก็สามารถทำได้  ไม่ต้องเป็นขี้ข้าใคร  ไม่มีใครมาบังคับ  ถ้าเราไม่อยากทำแล้ว  จะยกกิจการให้ลูกให้หลานดูแลต่อหรือขายธุรกิจเอาเงินก้อนก็ยังได้

     สรุปใจความหลักๆก็คือ
แฟรนไชส์     ใช้ทุนน้อย  ใช้ความสามารถน้อย
ซื้อธุรกิจ         ใช้ทุนมาก  ใช้ความสามารถมาก
สร้างธุรกิจ      ใช้ทุนน้อย  ใช้ความสามารถมาก

ตอนนี้ก็อยู่ที่คุณแล้วล่ะว่า  สนใจจะเริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวแบบไหน?
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
หน้า: 1 ... 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 [23] 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!