น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
ออฟไลน์
กระทู้: 10,912
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2011, 20:43:31 » |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Me My Self
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 17:25:38 » |
|
เหอๆ อยากนั่งแล้ว
|
|
|
|
sweets
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 22:24:13 » |
|
อยากให้มีมากๆเลยค่ะ อยากไปหาแฟนที่เชียงรายบ่อยๆ ไม่มีตังค์ขึ้นเครื่องบิน ไปรถทัวร์ก็กลัว
|
|
|
|
sัaกlเรkwบ
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 183
ต่างคนต่างมีหน้าที่
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 03:32:25 » |
|
|
|
|
|
Dr.ping
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 03:54:21 » |
|
|
|
|
|
|
boondham
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 3,111
|
|
« ตอบ #232 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 12:39:43 » |
|
คมนาคมดันแผนพัฒนาราชบุรี-นครปฐม เป็นศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่เชื่อมโยงมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ป้อนสู่ท่าเรือปากบารา หวังเชื่อมถึงแหล่งผลิตสินค้าจากเหนือ-อีสานจดใต้ป้อนท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ยันเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนและบริหารจัดการ "สุพจน์" เผยพร้อมพัฒนา CY รองรับสินค้าที่มาจากพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดจี้สนข.-ร.ฟ.ท.ปรับแก้แบบโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางให้เร่งเสนอคลังชี้แหล่งทุนดำเนินโครงการ
นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันโครงการพัฒนาศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่ที่ราชบุรี-นครปฐม เพื่อป้อนสินค้าสู่ท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ในพื้นที่จังหวัดสตูล-สงขลา ซึ่งเน้นไปในเรื่องการขนส่งสินค้าป้อนสู่ทะเลให้เกิดการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลด้วยเส้นทางรถไฟ ขณะนี้ยังได้เร่งผลักดันแผนพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งผลิตสินค้าหลักๆ ให้ป้อนสู่ท่าเรือปากบาราและสงขลา 2 ได้อย่างสะดวก เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น "ปากบาราเป็นแผนการพัฒนาระดับประเทศ มีผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ ส่วนรวมของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ โดยมีทั้งแผนการเร่งผลักดันโครงการถนนและเส้นทางรถไฟที่มีผลการศึกษาเบื้องต้นรองรับไว้แล้ว เช่น โครงการทางพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ที่ขึ้นตรงกับกรมทางหลวง เส้นทางจากนครราชสีมา-บางปะอิน เส้นทางนครสวรรค์-บางปะอิน เส้นทางบางปะอิน-บางใหญ่-ราชบุรี(บ้านโป่ง)มุ่งสู่ภาคใต้ นอกจากนั้นยังเร่งโครงข่ายรถไฟทางคู่จากเชียงแสนและเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมจากจีนตอนใต้ ผ่านแนวทางคู่นครสวรรค์-ลพบุรีป้อนสู่เส้นทางนครปฐม-หนองปลาดุก-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพรเชื่อมต่อไปยังสถานีหาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บางช่วงใกล้สรุปผลการศึกษา และส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติงบประมาณเพื่อว่าจ้างศึกษา ส่วนมอเตอร์เวย์เส้นทางที่พร้อมเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนมีอยู่จำนวน 2 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมาและบางใหญ่-บ้านโป่งโดย พร้อมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติได้แล้ว"
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มีแผนพัฒนาพื้นที่ราชบุรีและนครปฐมให้เป็นศูนย์กองถ่ายสินค้าขนาดใหญ่รองรับแผนการพัฒนาของกระทรวงคมนาคมที่จะเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือปากบาราที่ภาคใต้ ซึ่งอยู่ในดินแดนไทย มากกว่าจะเน้นไปที่โครงการทะวายในประเทศพม่า ที่ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะความคุ้มทุนที่ประเทศไทยจะได้รับ แต่ปัจจุบันการพัฒนาโครงข่ายในพื้นที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งถนนในความดูแลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท "พื้นที่บ้านโป่ง ราชบุรี และนครปฐม เหมาะสมที่จะพัฒนาให้เป็นคอนเทนเนอร์ยาร์ดหรือ CY เพื่อกองถ่ายสินค้าก่อนป้อนสู่ท่าเรือหลักทางรถไฟและรถยนต์ต่อไป ลงทุนไม่มากเพราะเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯและเกิดการเชื่อมโยงได้ดีกว่า สิ่งสำคัญยังสามารถรองรับการขนส่งสินค้าจากทะวายและพื้นที่ต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่จะสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์และปากบาราคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาใช้ท่าเรือที่จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลาในปี 2558 จำนวน 468,500 ทีอียู โดยจะมีประมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพิ่มขึ้น 1,540,500 ทีอียู ในปี 2578 โดยการเปิดใช้ท่าเรือในปีแรกคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านจำนวน 400,000-450,000 ทีอียู จึงสามารถดึงดูดให้สายการเดินเรือสำคัญๆในภูมิภาคนำเรือเข้ามาเทียบท่าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น"
ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ที่ได้รับงบเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางถนนจิระ-ขอนแก่นและเส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คาดจะเปิดขายซองประกวดราคาก่อสร้างได้ปลายปี 2554 นี้ และการรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ 355 ล้านบาทในปี 2555 เพื่อศึกษาใน 3 เส้นทางที่เหลือ คือ 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ 2.มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และ 3.นครปฐม-หนองปลาดุกไปปรับแก้แบบให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะผ่านในเส้นทางร่วมกันด้วยหากเส้นทางไหนมีความพร้อมให้รีบนำเสนอกระทรวงการคลังชี้แหล่งทุนและนำเสนอครม.อนุมัติสร้างต่อไป
โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบแผนพัฒนารถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ระยะเร่งด่วน (2553-2557) วงเงิน 66,100 ล้านบาท ระยะทาง 767 กิโลเมตร ประกอบด้วย 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร วงเงิน 7,860 ล้านบาท 2.มาบกะเบา -ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 11,640 ล้านบาท 3.ชุมทางถนนจิระ- ขอนแก่น ระยะทาง 185กิโลเมตร วงเงิน 13,000 ล้านบาท 4.นครปฐม-หนองปลาดุก ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 16,600 ล้านบาท และ 5. ประจวบศีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 17,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการท่าเรือปากบาราข้อมูลจากผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)พบว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเรื่องการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพบว่าอยู่ในสัดส่วนที่ลงทุนได้ นั่นคือ มีอัตราผลตอบแทน EIRR ประมาณร้อยละ 17.36 ในขณะที่มูลค่าปัจจุบัน คิด ณ อัตราร้อยละ 8 เท่ากับ 28,261 ล้านบาท และร้อยละ 12 เท่ากับ 9,278 ล้านบาท โดยกรอบแนวคิดมี 4 ด้าน คือ การวิเคราะห์ต้นทุน ที่จำแนกเป็นค่าลงทุนและค่าบำรุงรักษา การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของโครงการ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ และการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการซึ่งพบว่าค่าลงทุนด้านการเงิน มีมูลค่ารวม 37,479 ล้านบาท ในทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 31,260 ล้านบาท อายุการดำเนินโครงการ 30 ปี ส่วนรายได้ประมาณการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตลอด 30 ปี ประมาณ 43,107 ล้านบาท จะช่วยการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าในภาคใต้ได้ประมาณ 134 ล้านบาทในปีที่ 1 และเพิ่มเป็น 3,269 ล้านบาท ในปีที่ 30 ของการดำเนินโครงการ โดยโครงการปากบาราเป็นคนละโครงการสำหรับการเป็นประตูเศรษฐกิจของไทยกับทะวายที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการมีส่วนขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคตะวันตกแถบกาญจนบุรี และราชบุรีที่ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย สิ่งที่น่าจับตามองคือ เรื่องการเพิ่มมูลค่าของที่ดินซึ่งจากการวิเคราะห์(ปี 2549) พบว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นจากราคาประเมิน 380,000 บาทต่อไร่อย่างแน่นอนโดยจะมีมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นภายหลังมีท่าเรือแล้วประมาณ 104 ล้านบาท ในปีที่ 1 และ 3,165 ล้านบาทในปีที่ 30 ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อหลาย ๆ ส่วนในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ไม่นับเรื่องการจ้างแรงงานในภาคใต้ที่ปัจจุบันว่างงานอยู่กว่า 800,000 คนจะได้มีงานทำในโครงการนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,670 15-17 กันยายน พ.ศ. 2554
|
|
|
|
boondham
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 3,111
|
|
« ตอบ #233 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 19:30:54 » |
|
จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า เบื้องต้นประเทศจีนมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ไปเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงของ จังหวัดเชียงรายแทน ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นระหว่างประเทศจีนกับประเทศลาว ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนมายังเวียงจันทน์ได้เป็นที่เรียบร้อย "ตอนนี้การหารือระหว่างจีนกับลาวเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงยังไม่มีความคืบหน้า เพราะทางการลาวยังไม่ยอมรับเงื่อนไขที่จีนต้องการ และไม่ยอมให้จีนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านลาว ดังนั้นทางจีนจึงอาจจะตัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเข้ามาดำเนินโครงการกับทางไทยก่อน โดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อย่นระยะทางจากไทยไปยังจีนให้สั้นลงด้วย สำหรับความคืบหน้าในโครงการดังกล่าวทางตัวแทนจากประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามาหารือกับทางกระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการ" รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯหนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มีปัญหาเนื่องจากรัฐบาลลาวเกรงว่าทางรัฐบาลจีนจะเข้ามาครอบครองประเทศลาวจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากทางการจีนได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาภายหลังได้ลงนามความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับรัฐบาลลาวแล้ว ทางรัฐบาลลาวจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และส่งผลให้โครงการไม่สามารถวางศิลาฤกษ์ตามที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาให้เรียบร้อยได้ http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43
|
|
|
|
boondham
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 3,111
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: วันที่ 21 ธันวาคม 2011, 19:27:19 » |
|
อนุมัติเอ็มโอยูไทย-จีน เดินหน้าตามแผนเมกะโปรเจกต์ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบกรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างไทย – จีน โดยมอบหมายให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามร่วมกับนายสี จิ้นผิง รองประธานาธิบดีจีน ที่จะมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 22 – 24 ธันวาคมที่จะถึงนี้ สำหรับบันทึกความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนมีทั้งสิ้น 4 สาขา ดังนี้ 1.การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ เพื่อเชื่อมโยงถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศต่างๆในกลุ่มอาเซียน 2.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างครบวงจร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางการเกษตร และพัฒนาประสิทธิภาพในการป้องกันอุทกภัย รวมถึงภาวะภัยแล้ง 3.การวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนในราคาที่จัดหาซื้อได้ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตชนบท และ 4.การพัฒนาการศึกษาและทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะในเขตชนบท ให้เข้าถึงข้อมูล เข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย เช่น คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต สำหรับรูปแบบความร่วมมือภายใต้กรอบเอ็มโอยูรัฐต่อรัฐ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐ สถาบันทางการเงิน และวิสาหกิจดำเนินการและติดตามความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ โดยให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทั้งสองประเทศ ส่วนข้อตกลงรูปแบบด้านการเงิน ทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับข้อตกลงด้านการเงินสำหรับความร่วมมือดังกล่าว รวมถึงวิธีการชำระคืน เช่น ในรูปแบบตัวเงินหรือรูปแบบอื่นๆ ซึ่งจะดำเนินการโดยให้ทำความตกลงกันแยกต่างหากต่อไป ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ร่างบันทึกดังกล่าวไม่ได้เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ จึงไม่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพัน เนื่องจากผลผูกพันที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินต้องทำความตกลงแยกต่างหากออกไป เอ็มโอยูฉบับนี้จึงไม่ถือว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศ หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญที่จะต้องส่งให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ http://www.prachachat.net/news_detai...tid=&subcatid=
|
|
|
|
|
boondham
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 3,111
|
|
« ตอบ #236 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:29:42 » |
|
นายกฯปูนั่งหัวโต๊ะเวทีกรอ.นัดแรก นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 9 ม.ค.นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเพื่อเตรียมการเรื่องการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมนำข้อเสนอภาคเอกชนต่อรัฐบาลในประชุมกรอ.ในการวันที่ 15 ม.ค. นี้ ในส่วนของส.อ.ท.จะนำเสนอเรื่องระบบการขนส่ง และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคเหนือ เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และรถไฟเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงราย เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า "การประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน ในครั้งนี้ จะเป็นการประชุมกรอ.นัดแรกของรัฐบาลชุดนี้ หลังจากที่เอกชนรอมานาน จึงเป็นเรื่องที่ดี ที่ภาครัฐให้ความสนใจที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อจะได้เข้าใจถึงอุปสรรค ปัญหา และข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนจากทุกหน่วยงาน และจะหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วย" นายธนิตกล่าว หน้า 9 http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdOekE1TURFMU5RPT0=§ionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1pMHdNUzB3T1E9PQ==
|
|
|
|
|
|
boondham
ระดับ :ป.โท
ออฟไลน์
กระทู้: 3,111
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2012, 20:28:49 » |
|
กมธ.คมนาคมหนุนใช้งบ 1.76 แสนล้าน พัฒนารถไฟ-สานต่อรถไฟทางคู่กรรมาธิการคมนาคม หนุน สานต่อรถไฟทางคู่และพัฒนาระบบรถไฟ เพราะจะใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานเดิมที่อยู่ให้เกิดประโยชน์ และก่อสร้างได้เร็วกว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมกระทรวงคมนาคมว่า เสนอให้กระทรวงคมนาคมเร่งสานต่อโครงการรถไฟทางคู่ และการพัฒนาระบบรถไฟภายใต้กรอบวงเงินที่รัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อนุมัติไว้ที่ 1.76 แสนล้านบาท เนื่องจากการพัฒนารถไฟดังกล่าวเป็นการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานเดิมที่อยู่ให้เกิดประโยชน์ และสามารถก่อสร้างได้เร็วกว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง “หากสามารถก่อสร้างรถไฟทางคู่ในบางช่วงพร้อมจัดหารถจักรเพิ่มขึ้น คาดว่าภายใน 2 ปี ก็จะได้ใช้รถไฟที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น แต่หากรอโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินงานอีกนาน เพราะต้องผ่านขั้นตอนการศึกษาสิ่งแวดล้อม และแนวทางการร่วมทุน อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงยังมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการ เพราะจะทำให้ค่าโดยสารราคาต่ำลง” นายเกชา กล่าว นอกจากนั้น ยังเสนอให้กระทรวงคมนาคมขยายแนวเส้นทางด่วนออกไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น จากดาวคะนองขยายออกไปสมุทรสาคร จากหมอชิตขยายไปจนถึงถนนวงแหวนตะวันตก เนื่องจากเห็นประโยชน์ของทางด่วนในช่วงที่เกิดวิกฤติน้ำท่วม สามารถช่วยให้ประชาชนเดินทางได้ ขณะเดียวกันยังเป็นการขยายเส้นทางเพื่อรองรับปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมการใช้รถยนต์ของรัฐบาล นายเกชา กล่าวอีกว่า ค่อนข้างเป็นห่วงปัญหาความล่าช้าในการดำเนินโครงการขยายท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิระยะที่ 2 โดยเห็นว่าจำเป็นต้องเร่งก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 และอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เพื่อลดปัญหาการจราจรทางอากาศที่ปัจจุบันประสบปัญหาความแออัด และมีเที่ยวบินล่าช้า หากไม่เร่งก่อสร้างจะไม่ทันกับความเติบโตของปริมาณผู้โดยสาร ส่วนผลกระทบด้านมลพิษด้านเสียงนั้น พบว่าทางวิ่ง 2 เส้นที่มีอยู่มีผลกระทบด้านเสียงอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มทางวิ่งเส้นที่ 3 จะไม่ทำให้ผลกระทบด้านเสียงเพิ่มขึ้นมาก เพราะไม่ได้เปิดใช้เต็มความจุของทางวิ่ง แต่จะใช้ทางวิ่งอีกเส้นสำรองไว้กรณีฉุกเฉินหรือแออัด ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคณะกรรมาธิการ ส่วนใหญ่เป็นการสอบถามถึงแนวทางการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม เช่น การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงจะไปถึงเชียงรายเมื่อใด แผนการขยายถนนเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดอยู่ในแผนการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน ซึ่งกระทรวงคมนาคมพร้อมรับทุกข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ. http://www.thairath.co.th/content/eco/229804
|
|
|
|