เชียงราย - การรถไฟแห่งประเทศไทย ยกทีมบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเชียงราย เปิดห้องรับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ รับแนวรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เผยผลศึกษาล่าสุดต้องปรับอุตลุดเลี่ยงชุมชนเพิ่ม โยกศูนย์ไปสะพานน้ำโขง รวมระยะทาง 326 กม.คาดใช้งบก่อสร้าง 1 พันล้าน/กม.ลุ้นรัฐบาลใหม่หนุนก่อสร้างเสร็จใน 7 ปี วันนี้ (14 ก.ค.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท เอ็ม เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท เอพซิลอน จำกัด บริษัท Noppon Koei Co.Ltd.และบริษัท เอนริช คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จัดประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) เพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลาง จ.เชียงราย โดยมี นายพินิจ หายพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิด และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชนและประชาชนเข้ารับฟังเป็นจำนวนมาก
นายนันทชัย หวังเลี้ยงกลาง ตัวแทน ร.ฟ.ท.ได้ชี้แจงความเป็นมาของโครงการ ว่า มีมาตั้งแต่ปี 2503 ก่อนจะมีสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 ซึ่งช่วงนั้นประเมินว่าต้องใช้งบประมาณก่อสร้างเพียงประมาณ 1,700 ล้านบาท แต่เนื่องจากไม่คุ้มทุนจึงยกเลิกไป แต่ในปี 2537-2538 ได้ศึกษาใหม่และพบประเทศจีนขยายเส้นทางรถไฟลงใต้ จึงศึกษาความเหมาะสมในระยะทาง 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2546-2547 ก็ได้ศึกษาซ้ำอีกครั้งจนพบแนวที่เหมาะสมด้วยวงเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
แต่เนื่องจากมีหลายเหตุผล เช่น สภาพที่เปลี่ยนไป ระบบรางเดี่ยว ฯลฯ ร.ฟ.ท.จึงได้ว่าจ้างเอกชนทั้ง 4 ราย ทำการศึกษาใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ค.2554-มิ.ย.2555 เป็นระยะเวลา 14 เดือน โดยเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีแบบแปลนที่ชัดเจนและละเอียดจนไปถึงประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาต่อไป
ด้านนายนิรัตน์ ตันสวัสดิ์ รองผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า การศึกษาได้นำแนวเส้นทางเดิมมาศึกษาและปรับตามความเหมาะสมจนมีระยะทางยาวเพิ่มขึ้นเป็น 326 กิโลเมตร โดยเปลี่ยนจากรถไฟรางเดี่ยวเป็นรางคู่ เพื่อสวนทางได้ ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการย้ายสถานีซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายสินค้า (DOPOT&ICQ) จากสถานี อ.เมือง ไปยัง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว รองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่เชื่อมกับถนนR3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งเปิดใช้งานแล้วต่อไป
ทั้งนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาพบสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลการศึกษาครั้งก่อนมาก จึงต้องมีการปรับเส้นทาง เพิ่มและลดสถานีอีกหลายแห่ง โดยจะผ่าน จ.แพร่ 82 กิโลเมตร มีสถานี 6 แห่ง ลำปาง 54 กิโลเมตร 3 แห่ง พะเยา 55 กิโลเมตร มีสถานี 5 แห่ง และเชียงราย 135 กิโลเมตร มีสถานี 13 แห่ง
“ถ้าได้รับการสนับสนุนตามแนวทางโดยเฉพาะด้านงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่าในปีที่ 6-7 หลังเสนอผลการศึกษาก็จะทำให้การก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้แล้วเสร็จแน่นอน และในช่วง 6 เดือนแรกของการศึกษาเราก็จะได้แนวเส้นทางที่ชัดเจน หลังการร่วมกับท้องถิ่นและชุมชนในการช่วยแนะนำเรื่องเส้นทางทุกตำบลและเทศบาล จากนั้นก็จะชัดเจนเรื่องงบประมาณและนำเสนอผลการศึกษาให้พื้นที่ได้ทราบอีกครั้งราวเดือน พ.ค.2555” นายนิรัตน์ กล่าว
เขาบอกว่า แนวเส้นทางใหม่ตั้งแต่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน อ.งาว จ.ลำปาง และ จ.พะเยา ได้มีการปรับหลายจุด เช่น สถานี อ.เมืองแพร่ มีการย้ายแนวเพื่อเลี่ยงการขวางทางน้ำ อ.สอง จ.แพร่ ก็มีโครงการเขื่อนลุ่มน้ำยม ซึ่งจำเป็นต้องปรับแนวให้พ้นแนวระดับน้ำ รวมทั้งมีการขุดอุโมงค์ทะลุภูเขา ย่นระยะทางอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ส่วน จ.พะเยา ก็ปรับให้ห่างจากแนวเดิมหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เพราะแนวเก่าเริ่มมีชุมชนหนาแน่น รวมทั้งเพิ่มสถานีดงเจน ตามข้อเรียกร้องของชุมชนเพื่อรองรับการขยายเมือง
กระทั่งเข้าสู่ จ.เชียงราย พบมีการปรับที่สถานี เพราะเมื่อข้ามถนนสายเชียงราย-เทิง ในเขต อ.เมือง จะตัดผ่านบ้านจัดสรรจึงได้ย้ายให้พ้นแนวเดิมให้ห่างออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องการให้ย้ายออกไปไกลอีก ซึ่งทีมที่ปรึกษาก็ยังคงยืนตามแนวนี้ เพราะถือว่าห่างไกลชุมชนแล้ว และจะตั้งสถานีเชียงรายที่จุดเดิม เพราะจำเป็นต้องเชื่อมไปยังสถานีอื่นๆ เช่น เครื่องบิน สถานีขนส่งผู้โดยสารรถยนต์ ฯลฯ
สำหรับเส้นทางต่อจาก อ.เมือง คือ มุ่งไปทาง อ.เวียงเชียงรุ้ง-ดอยหลวง ที่ ต.ป่าซาง อ.เวียงเชียงรุ้ง แทนสถานีสันยาวในรูปแบบเดิม เพื่อให้สามารถแยกไปสู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่สองและสะพานแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ได้พร้อมกัน แต่ครั้งนี้จะศึกษาไปถึงขั้นประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาเฉพาะเส้นทางไป อ.เชียงของ เท่านั้น ส่วนเส้นทางไปท่าเรือจะเป็นเพียงการศึกษาเพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับอนาคต เพราะจากการศึกษาปริมาณ-ชนิดสินค้าพบว่าที่ อ.เชียงของ มีการขนสินค้าไทย-จีนตอนใต้ ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเหมาะสมกับรถไฟมากกว่า ส่วนท่าเรือเชียงแสนเป็นสินค้าทางเรือที่ยังไม่ระบบนี้
อย่างไรก็ตาม เส้นทางบริเวณ อ.ดอยหลวง จะผ่านภูเขาจึงจะมีการเจาะอุโมงค์ทะลุเขาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และปรับแนวเส้นทางใหม่จากเดิมอยู่ฝั่งซ้ายของถนนสาย 1098 ซึ่งเป็นถนนไปยัง อ.เชียงของ ให้ไปอยู่ทางฝั่งขวาแทน เพราะเส้นเดิมตัดผ่านป่าเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ส่วนฝั่งขวาจะเป็นทุ่งนา ซึ่งสะดวกกว่า
ขณะเดียวกัน ได้ยกเลิกสถานีดอยท่าช้างเพราะออกแบบให้ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งไม่เหมาะสมกับการใช้งานจริง และสร้างสถานีแห่งใหม่ชื่อสถานีบ้านเกี๋ยง รองรับแทน กระทั่งถึงสถานีเชียงของ ห่างจากตัวเมืองเชียงของประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้จุดที่ออกแบบว่าเหมาะสมกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ ต.สถานี และ ต.ศรีดอนชัย โดยที่เชียงของจะมี DOPOT&ICQ และตลอดรายทางออกแบบให้มีเส้นทางตัด ยกระดับ ขุดเจาะ ฯลฯ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความไม่สะดวกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับรถไฟไทยในปัจจุบัน
สำหรับงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่า จะใกล้เคียงกับแอร์พอร์ตลิงก์ คือกิโลเมตรละประมาณ 1,000 ล้านบาท เพราะแม้จะไม่ยกสูงจากพื้นทั้งหมด แต่ก็ยังมีค่าเวนคืนที่ดิน ค่าขุดเจาะอุโมงค์ ฯลฯ จึงน่าจะใช้งบประมาณราว 30,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะสามารถสรุปผลอย่างชัดเจนได้อีกครั้งราวกลางปี 2555
ด้าน นายมงคลชัย ดวงแสงทอง รองประธานอุตสาหกรรมภาคเหนือ กล่าวว่า ดูการปรับแนวเส้นทางใหม่ของทีมที่ปรึกษาแล้วถือว่าดีมาก เพราะมีการออกแบบให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ อย่างไรก็ตามก็อยากจะเสนอกรณีมีการปรับสถานีและเส้นทางให้เพิ่มหรือลดลง ขอให้ยึดตามความเหมาะสมไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อสิ้นสุด และต้องศึกษาซ้ำกันอยู่ร่ำไป รวมทั้งให้ชี้แจงทุกฝ่ายว่ากรณีเส้นทางสายนี้คงจะมุ่งไปที่การขนส่งสินค้าเป็นหลัก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเชียงราย และภาคเหนือ ที่มีสินค้าทางการเกษตรที่ต้องการขนส่งไปจำหน่าย โดยยังไม่ถึงขั้นเป็นรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่งมวลชน
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการศึกษาที่ค่อนข้างคึกคักและได้รับความสนใจ แต่หลายฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายภาคการเมือง เนื่องจากมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เป็นคนละขั้วการเมือง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086733