เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 00:56:18
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  +++กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย +++
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 24 พิมพ์
ผู้เขียน +++กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย +++  (อ่าน 163885 ครั้ง)
^อยากขี้เหล่^
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 557


ฮ่าตึงว่าละหนา!!???


« ตอบ #100 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2010, 16:11:42 »

กว่าประเทศไทยจะมีรถไฟขึ้นมาเชียงราย
ต่างประเทศเค้าใช้รถไฟความเร็วสูงกันทั้งโลกแล้วมั้งครับ
ผมว่าเปิ้นใจ๋รถยนต์เหาะได้ แหม๋ซ้ำก๋าคับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #101 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2010, 00:23:55 »

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
tee_aom CRUTD
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 95


แน่นหนา..ขนาดหนัก


« ตอบ #102 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2010, 00:29:25 »

ว่าไป  เปิ้นหายตัวเอาเน้อ ยิงฟันยิ้ม ปิ๋ง...
IP : บันทึกการเข้า



               "คิด"ทุกสิ่งที่ทำ  แต่อย่าทำทุกสิ่งที่ "คิด"
                         หนทางแห่งความสูขจริง
                       http://www.lightway.in.th
Rooney2549
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 500


« ตอบ #103 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2010, 13:49:50 »

ชอบนั่งรถไฟมากกกก
IP : บันทึกการเข้า
Paranois~
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,377



« ตอบ #104 เมื่อ: วันที่ 05 กันยายน 2010, 22:57:07 »

UPDATE!! ล่าสุดวันนี้ ผู้ว่าการรถไฟมาที่ อบจ. ครับ ท่านพาคนมาวัดขนาดที่ หน้า ร.5 (ศาลากลางหลังเก่า) เห็นว่าจะเอาโบกี้รถไฟมาลงก่อน 5 โบกี้ เพื่อที่จะทำเป็นห้องสมุด ในโบกี้รถไฟครับ
IP : บันทึกการเข้า
CEI_Lover
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #105 เมื่อ: วันที่ 06 กันยายน 2010, 00:37:28 »

อยากได้รถไฟที่วิ่งได้ พร้อม รางรถไฟ

ไม่ได้อยากได้ รถไฟตายแล้ว

เอามาให้เหมือน ประมาณ

อยากได้นัก ก็ เอา โบกี้ ไปก่อน


เฮ่อ................. กำกึ๊ด
IP : บันทึกการเข้า
Down_Hill
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,137



« ตอบ #106 เมื่อ: วันที่ 06 กันยายน 2010, 07:55:38 »

รถไฟความเร็วสูงในเวียดนาม ระยะทาง 1,000 กม. เพียง 3 ชม. !!!

เวียดนามได้เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) อย่างสมบูรณ์แล้วในวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.) หลังจากใช้ความพยายามมานานกว่า 11 ปี เป็นประเทศสมาชิกอันดับที่ 150 ของประชาคมการค้าโลก สำหรับประเทศนี้กำลังจะก้าวล้ำหน้าแซงประเทศไทยในทางเศรษฐกิจใช่หรือไม่?
** เวียดนามกำลังจะเจริญกว่าประเทศไทยใช่ไหม? **ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ความสำเร็จที่โดดเด่นประการหนึ่งก็คือ การที่คอมมิวนิสต์เวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างมากมาย และ เรากำลังเผชิญกับความจริงที่ว่าวันนี้มีต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากกว่าเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นการสูญเสียของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสียโอกาสในปี 2549 ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเวียดนาม "เฮงแล้วเฮงอีก" เฮงแบบ 3-4 เด้ง
ตัวเฮงที่สำคัญมากก็คือ การที่ยังสามารถรักษาตำแหน่ง ประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูงเป็นอันดับ 2 ในทวีปเอเชียเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เวียดนามเป็นรองแค่ประเทศจีนเท่านั้น
หลายปีมานี้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.5% ปีที่แล้วตัวเลขเป็น 8.1% ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยเพราะความผันผวนด้านในเรื่องราคาน้ำมันดิบโลก และ ยังถูกไต้ฝุ่นเล่นงานหนักๆ ถึง 3 ลูก
ส่วนปี 2550 นี้ เวียดนามวางเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ที่ 8.2-8.5%
ลองมาดูความเฮงอันเป็นภาพรวมที่สำคัญกันบ้าง :
1. การลงทุนของต่างชาติในปี 2549 ทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไม่คาดไม่ฝัน ทั้งๆ ที่ตั้งเป้าเอาไว้เพียง 6,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าปี 2548 ที่ทำได้เพียง 6,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2547 ตัวเลขการลงทุนของต่างชาติคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในปี 2548-2549 สัดส่วนเงินลงทุนของต่างชาติในจีดีพีของเวียดนามย่อมจะสูงกว่านั้นอย่างมากมาย

2. การส่งออกดีวันดีคืน ประเทศนี้ส่งออกน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซียโดยแซงหน้าประเทศบรูไนมาหลายปีแล้วการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าการเกษตรก็สูงขึ้นทุกตัว ยกเว้นข้าวที่ส่งออกได้น้อยลงในปีที่ผ่านมา เพราะความต้องการใช้บริโภคในประเทศสูงขึ้น อันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติถึงกระนั้นเวียดนามก็ยังเป็นรองแชมป์ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก คือเป็นรองจากประเทศไทยเท่านั้นเวียดนามยังได้กลายเป็นประเทศส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศบราซิล และ เมื่อปีที่แล้วก็เป็นปีแรกที่มูลค่าส่งสินค้ารายการนี้พุ่งทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป เช่นเดียวกันกับการส่งออกยางพาราที่มีมูลค่าถึง 1,300 ล้านดอลลาร์การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปกับเครื่องนุ่งห่ม ต้องเรียกว่าไปโลด อีกเช่นกัน โดยมีตลาดใหญ่ที่สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปการส่งออกรองเท้าปีที่แล้วเจออุปสรรคใหญ่ เวียดนามถูกอีซีกล่าวหาว่าทุ่มตลาดและโดนมาตรการตอบโต้ แต่ตัวเลขส่งออกสินค้าหมวดนี้ก็ยังเพิ่มขึ้น

3. เมื่อปีที่แล้วตลาดทุนเวียดนามเติบโตรวดเร็วมาก ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์นครโฮจิมินห์ซึ่งเป็น "ตลาดหุ้น" แห่งแรกของประเทศ ขยายตัวกว่า 160% ตอนสิ้นปี เทียบกับตอนเริ่มปีใหม่
ต้นปี 2549 ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์โฮจิมินห์ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 43 แห่ง ถึงสิ้นปีได้เพิ่มขึ้นเป็น 70 แห่ง มูลค่ารวมของตลาดเพิ่มขึ้นแบบทุบทุกสถิติ ที่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ฮานอยก็ไม่ได้แตกต่างกันดัชนีหุ้นเวียดนาม (VN Index) ได้พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ๆ เกือบจะทุกวันนับตั้งแต่เปิดทำการวันแรกในปีนี้ ดัชนีปิดลงที่ 865 จุดเมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) เทียบกับ 809 จุด ที่ทำเอาไว้ก่อนสิ้นปี 2549
รัฐบาลได้ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะนำธนาคารของรัฐ 4 แห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจนถึงปี 2553 รวมทั้งธนาคารเวียดนามคอม (Vietcombank) หรือ Bank of Indochina แห่งอดีต ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐวิสาหกิจกับบริษัทของรัฐรวม 71 แห่งที่จะเข้าจดทะเบียนในช่างปีเดียวกันนี้ ในนั้นมีบริษัทสายการบยินแห่งชาติ คือ เวียดนามแอร์ไลนส์รวมอยู่ด้วยตลาดทุนเวียดนามก็จึงมีแต่ข่าวดีตลอด ดัชนีตลาดก็จึงทะยานตลอดเหมือนกระทิงบ้า

** เวียดนามกำลังจะแซงหน้าประเทศไทยแล้วหรือ? **
หลายคนเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ยังจะไม่ใช่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ เมื่อวัดกันด้วยปัจจัยและปรากฏการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ว่ามาแล้วทั้งหมด ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น

1.แม้ว่าในวันนี้มูลค่าการลงทุนของต่างชาติในไทยจะเบาบางลง แต่การลงทุนที่นี่ก็เป็นแบบลงหลักปักฐานแน่นหนาแล้ว มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตออกมาก็ดีกว่าทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
ส่วนบริษัทต่างชาติในเวียดนามจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าจะถึงจุดที่ประเทศไทยได้มาถึงแล้ว ณ วันนี้

2.จีดีพีของเวียดนามอาจจะขยายตัวในอัตราสูงมากก็จริง แต่มูลค่ารวม หรือที่เรียกกันว่า "ขนาดของเศรษฐกิจ" (Economics Size) ยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับประเทศไทย

3. การส่งออกของเวียดนามเติบโตในอัตราสูงมากคือ ปีละกว่า 20% (ปีที่แล้ว 22%) แต่มูลค่าการส่งออกรวมก็ยังเทียบกับของไทยไม่ได้ สินค้าออกเกือบจะทุกรายการมูลค่ายังห่างกันแบบคนละชั้น หากเวียดนามส่งออกได้สักพันล้าน ไทยก็จะส่งออกได้ถึงห้าหรือหกพันล้าน หรือ หมื่นล้าน เป็นต้น
ทั้งนี้ยกเว้นน้ำมันดิบที่เป็นตัวชูโรงในรายการสินค้าส่งออกของเวียดนาม ซึ่งประเทศไทยไม่มี ปีที่แล้วมูลค่าส่งออกน้ำมันดิบของเวียดนามสูงกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ เพราะราคาตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นแม้ว่าจะลดปริมาณการส่งออกก็ตาม

4. ตลาดหุ้นโฮจิมินห์เพิ่งตั้งมา 6 ปี แม้จะได้ทำสถิติเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่ยังไม่มีอะไรเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่พัฒนามาก่อนถึง 30 ปีได้ ทั้งในด้านบริษัทจดทะเบียน มูลค่ารวมของตลาด และ คุณภาพของการลงทุนการพัฒนาตลาดทุนในประเทศต่างๆ จะต้องใช้เวลานานหลายสิบปี ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทั้งวิกฤตและโอกาสมากมายพอสมควร จึงจะเข้าที่เข้าทาง นี่ก็เป็นความจริงที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วความสำเร็จทางเศรษฐกิจของไทยใช้เวลาสั่งสมมานาน 30-40 ปี แต่เวียดนามเพิ่งจะ "เปิดประเทศ" เมื่อปี 2529 เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐอุปถัมภ์ ไปเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) แต่กว่าจะตั้งลำได้ก็ในอีก 10 ปีต่อมา จึงยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างไรก็ตาม เวียดนามโตเร็ว ไปเร็วและแรงมาก อย่างที่หลายๆ คนกล่าว
สิ่งหนึ่งที่มีความโดดเด่นมากก็คือ รัฐบาลกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศให้ไปสู่ความทันสมัย มีนโยบาย มีเป้าหมาย และ ระยะเวลาที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ดังจะเห็นได้จาการทุ่มทุน ยอมกู้หนี้ยืมสินเป็นเงินมหาศาล และระดมความช่วยเหลือจากทุกทิศทุกทาง เข้าสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ
เวียดนามเริ่มปรับทิศปรับทางการลงทุนของต่างชาติ จากที่เคยส่งเสริมให้เข้าลงทุนผลิตสินค้าเพื่อส่งออกอย่างเดียว ทางการยังได้หันไปส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างต่างๆ ภายในประเทศด้วย
จากที่เคยส่งเสริมการลงทุนแบบเหวี่ยงแห ก็เริ่มมีเป้าหมายเด่นชัดมากขึ้น มีการจัดลำดับความสำคัญของแขนงการลงทุน แยกแยะอุตสาหกรรมทั่วไป กับอุตสาหกรรมที่ประเทศต้องการอย่างเร่งด่วน ซึ่งนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์แตกต่างกันไปจากที่เคยผลิตอาหาร เสื้อผ้า รองเท้า หรือ ผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมาก เวียดนามได้หันมาส่งเสริมการผลิตสินค้าเทคโนโลยีมี่ใช้ความรู้และภูมิปัญญาต่างๆ มากขึ้น เพื่อป้อนตลาดต่างประเทศ
เวียดนามประสบความสำเร็จมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากสามารถเอาชนะใจอินเทลคอร์ปอเรชัน (Intel Corp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกได้
อินเทลประกาศในเดือน ก.พ. ปีที่แล้วเกี่ยวกับแผนการลงทุน 605 ล้านดอลลาร์ เพื่อก่อสร้างโรงงานออกแบบ ผลิตและทดสอบชิปแบบครบวงจรในนครโฮจิมินห์ พอถึงเดือน พ.ย.ก็ได้ประกาศขยายการลงทุนเป็นประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์
ผู้ผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้อิเลกทรอนิกส์จากญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าลงทุนในเวียดนามอย่างเป็นขบวนการในปีนี้ หลังจากมีการโหมโรงและบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เข้าไปนำร่องเอาไว้เมื่อปีที่แล้วนักลงทุนชาวญี่ปุ่นได้เลือกเวียดนามเป็นปลายทางลงทุนแห่งที่ 2 ภายใต้แนวคิด “จีน+หนึ่ง” (China plus One) ซึ่งหมายความว่า บริษัทใดจะขยายการลงทุนจากจีน เพื่อลดต้นทุน หรือ เฉลี่ยความเสี่ยงอะไรก็แล้วแต่ เป้าหมายก็จะเป็นเวียดนาม ไม่ใช่ที่อื่น
ส่วนอีกทางหนึ่งเวียดนามมีประชากรกว่า 83 ล้านคน ชาวเวียดนามโดยพื้นฐานได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ขยันในการทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้
พรรคคอมมิวนิสต์เอาใจใส่การพัฒนาการศึกษาของผู้คน สถิติผู้อ่านออกเขียนได้ในเวียดนามจึงสูงมากสูงเกือบจะ 100% สูงกว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง ที่มีอัตราการรู้หนังสือของประชากร 50-70% เท่านั้น
ประชากรเวียดนามกว่าครึ่งหนึ่งเป็นกลุ่มที่มีอายุ 20-40 ปี ที่นั่นจึงเป็นทั้งตลาดแรงงานสำคัญ และเป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ในขณะเดียวกัน


** ที่นั่นทำอะไรกันบ้าง? แซงหน้าประเทศไทยไปหรือยัง? **

กล่าวโดยสรุป เวียดนามกำลังเร่งพัฒนาทุกอย่างที่ประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่ 10-30 ปีก่อน บางอย่างในไทยดำเนินไปช้ามาก แต่ในเวียดนามไปได้เร็วมากกว่าจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิในวันนี้ต้องใช้เวลานานกว่า 30 ปี แต่เวียดนามใช้เวลาเพียง 1 ปีในการศึกษาโครงการสนามบินลองแท็ง (Long Thanh) ใน จ.ด่งนาย (Dong Nai)
เวียดนามได้ประกาศจะสร้างลองแท็งขึ้นมาแข่งกับปลายทางต่างๆ ในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นสุวรรณภูมิ ชางงีในสิงคโปร์ หรือ สนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อชิงความเป็นศูนย์กลางการบินพาณิชย์ โดยเป้าหมายจะรับผู้โดยสารได้ปีละประมาณ 100 ล้านคน ใหญ่โตกว่าสุวรรณภูมิเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
การเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างสนามบินลองแท็งจะเริ่มลงมือในกลางปีนี้ ไม่ยากนักเนื่องจากที่แห่งนั้นมีสภาพคล้ายๆ กับสนามบินอูตะเภา คือเป็นฐานทัพอากาศเก่าของสหรัฐฯ ในเวียดนามภาคใต้ ที่ทำเอาไว้อย่างแน่นหนาแต่คงจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี จึงจะเปิดให้บริการเฟสที่ 1 ได้อีกเรื่องหนึ่ง ประเทศไทยพูดถึงรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ หรือ กรุงเทพฯ-นครราชสีมา มานานกว่า 10 ปี แต่เวียดนามกำลังจะก่อสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงฮานอย-โฮจิมินห์ ความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร ในปีนี้
การก่อสร้างจะเริ่มขึ้นก่อนในช่วงฮานอย-เหงะอาน (Hanoi-Nghe An) คือ ระหว่างภาคเหนือกับภาคกลางตอนบน กับ ช่วงด่าหนัง-โฮจิมินห์ (Danang-Ho Chi Minh) ระหว่างภาคกลางตอนล่างกับภาคใต้ รวมความยาวทั้ง 2 ช่วง เกือบ 1,000 กิโลเมตร ช่วงอื่นๆ รวมทั้งส่วนต่อขยายต่างๆ จะดำเนินไปตลอด 5-10 ปีข้างหน้า
ในบ้านเรากำลังพูดถึงการประมูลการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ในเมืองหลวงอีก 5 โครงการ เพื่อจะเริ่มลงมือกันเสียที ในเวียดนามก็กำลังศึกษาโครงการขนส่งมวลชนระบบรางและระบบล้ออีกนับ 10 โครงการ
ในนั้นมี 2 โครงการเริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว อีกจำนวนหนึ่งอยู่ระหว่างการเชิญชวนผู้ลงทุน
ในกรุงฮานอยเพิ่งมีการวางศิลาฤกษ์รถรางไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Tramway) สายแรก ที่นั่นยังจะมีรถไฟฟ้าชุมชนรอบนอกอีก 1 โครงการ กับรถไฟลอยฟ้าขนส่งมวลชนอีก 1 โครงการจากใจกลางเมืองหลวงส่วนในนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภาคใต้ของประเทศเต็มไปด้วยโครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวเมืองออกสู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไซ่ง่อน จึงต้องมีการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่รองรับ
นครโฮจิมินห์เพิ่งประกาศเชิญชวนนักลงทุน เข้าร่วมโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยวความเร็วสูง (Hi-Speed Monorail) สายแรกจากทั้งหมด 3 สาย
การก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเฟสแรกจำนวน 2 สายจากทั้งหมด 6 สายก็จะเริ่มขึ้นในปีนี้เช่นเดียวกัน
ในกรุงเทพฯ กำลังจะมีรถบัสโดยสารขนส่งมวลชน ที่เรียกว่า BRT (Bus Rapid Transit) สายแรก ในนครโฮจิมินห์ก็มีกำหนดลงมือสร้าง BRT สายแรกในปีนี้เช่นเดียวกัน
นักวิเคราะห์ทุกค่ายมองตรงกันว่า เหตุผลที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติแห่งเข้าสู่เวียดนามนั้นมีอยู่เพียงแค่ 2-3 ประการ สูงสุดในนั้นคือ เวียดนามมีความมั่นคงทางการเมืองสูงมาก และ ทางการมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน หนักแน่นและมั่นคง
นอกจากนั้นรัฐบาลยังเอาใจใส่และมีมาตรการเฉียบขาดในการปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่เคยเป็นปัจจัยเพิ่มต้นทุน และ เตะหน่วงการลงทุนของต่างชาติ
ปัจจัยสำคัญต่อมาก็คือ เวียดนามมีตลาดแรงงานที่ใหญ่โตมาก ค่าแรงยังไม่สูงมาก และที่นั่นก็เป็นตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่อย่างที่กล่าวมาแล้ว
ห่างจากนครโฮจิมินห์ออกไปไม่ไกล เกษตรกรส่วนใหญ่ยังปากกัดตีนถีบ คนกลุ่มใหญ่ของประเทศพร้อมหรือยัง? สำหรับการแข่งขันภายใต้ WTO


การเข้าเป็นสมาชิก WTO ในวันที่ 11 ม.ค. นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่สำหรับเวียดนามในการเข้าร่วมกับประชาคมการค้าโลก ในนั้นมีทั้งโอกาสและอุปสรรค ซึ่งอันหลังมักจะเรียกกันอย่างสวยหรูว่า "ความท้าทาย"เวียดนามกำลังจะมีตลาดส่งออกสินค้าที่ใหญ่โตและกว้างไกลกว่าเก่าอีกหลายเท่าตัว ไม่มีโควตา ไม่มีขีดจำกัด และ มีโอกาสๆ เท่าๆ กับอีก 149 ประเทศสมาชิก แต่ที่สำคัญก็คือ จะต้องเจาะให้ได้ ไปให้ถึง
ขณะเดียวกันภายใต้พันธสัญญาที่ให้ไว้ เวียดนามจะต้องเปิดตลาด เปิดแขนงเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ที่เคยปิดตายมาตลอด เพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้าไปแข่งขันได้
สำหรับประเทศสมาชิกใหม่ การแข่งขันที่รุนแรงอาจจะเริ่มต้นใน 3-5 ปีข้างหน้าโน้น แต่ที่สำคัญก็คือ เวียดนามจะต้องแข่งขันให้ได้ เช่นที่ประเทศไทยกำลังพยายามอยู่กระทั่งทุกวันนี้
IP : บันทึกการเข้า

Down_Hill
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,137



« ตอบ #107 เมื่อ: วันที่ 06 กันยายน 2010, 08:04:01 »

ถ้าไทยยังไม่พัฒนา จะมีภาพเปรียบเทียบมาแน่นอน


* 103310_552000002097001.jpg (31.74 KB, 500x375 - ดู 994 ครั้ง.)

* images.jpg (12.09 KB, 278x182 - ดู 928 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

THANAPUT
เชียงรายบ๊อช คาร์ เซอร์วิส
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,444



« ตอบ #108 เมื่อ: วันที่ 06 กันยายน 2010, 08:51:20 »

อีกหน่อย..ไม่นาน
คนทั้งโลก..จะแห่แหนกันมานั่งรถไฟโบราณ..ในประเทศไทย
รถไฟรุ่นโบราณ..ที่ยังขับเคลื่อนได้..
จะเหลือที่เดียวในโลก..
IP : บันทึกการเข้า

บริการ  ติดตั้งแก๊สรถยนต์ ระบบหัวฉีด รับประกัน 5 ปีเต็ม  จำหน่าย สินค้า  BOSCH  ทั้งปลีกและราคาขายส่ง
http://www.chiangraiboschcarservice.com
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #109 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2010, 10:19:50 »

ดันอีกครั้ง ว่าชาวเชียงราย ต้องการรถไฟ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
Phongthip
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #110 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2010, 10:43:20 »

ขอให้ชาวเชียงรายสมปราถนานะครับ เพราะการขนส่งทางรถไฟเป็น
การขนส่งที่ต้นทุนต่ำที่สุด
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #111 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2010, 11:36:27 »

“พาณิชย์” ดันนโยบายประตูตะวันตกเปิด5 เส้นทางการค้าใหม่รุกตลาดพม่าจรดจีน คาดท่องเที่ยว การค้า ลงทุนบูม

วันนี้ (16ก.ย.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยมีแผนเปิดเส้นทางการค้าใหม่อย่างน้อย 5 เส้นทาง เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-พม่า ตามนโยบายประตูสู่ตะวันตก เพราะในปัจจุบันไทยและพม่ามีพรมแดนติดต่อกันยาวถึง 2,400 กม. และมีจังหวัดชายแดน 10 จังหวัดของไทยที่ติดต่อกับพม่า ประกอบด้วย เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง แต่เพิ่งมีด่านชายแดนถาวรเพียง 3 แห่งเท่านั้น ได้แก่ ด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก จ.เชียงราย ด่านแม่สอด-เมียวดี จ.ตาก และด่านระนอง-เกาะสอง จ.ระนอง

ทั้งนี้ 5 เส้นทางใหม่ที่ผลักดันให้เกิดขึ้น ได้แก่ แม่ฮ่องสอน-เนปิดอ เพื่อเข้าสู่เมืองหลวงของพม่าด้วยระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร จากด่านห้วยต้นนุ่น อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน และเข้าสู่ตลาดตอนเหนือของพม่าและจีนตอนใต้ต่อไป แม่สอด-เมาะลำไย-ย่างกุ้ง เพื่อเข้าสู่ตลาดเมืองใหญ่ลำดับที่ 3 และลำดับที่ 1 ของพม่า และเชื่อมต่อเส้นทางเอเซียนไฮเวย์สู่อินเดีย กาญจนบุรี-ทวาย เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายกับจังหวัดกาญจนบุรีและ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิค สิงขร-มะริด เพื่อเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบด้านแร่ธาตุ สินค้าประมง และไม้ยางพารา ซึ่งอยู่ ทางตอนใต้ของพม่า รวมทั้งเชื่อมโยงการท่องเที่ยวชายทะเลระหว่างภาคใต้ของไทยกับเมืองมะริด และแม่ฮ่องสอน-ทันเว เพื่อเปิดประตูการค้าสำหรับภาคเหนือของไทยกับตลาดพม่าตอนกลาง พร้อมกับนำจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกสู่มหาสมุทรอินเดียที่เมืองทันเว

“การผลักดันช่องทางการค้าใหม่ๆ ระหว่างกัน โดยเฉพาะการเพิ่มเส้นทางการค้าตามแนวชายแดน นอกจากช่วยลดผลกระทบปัญหาการปิดด่านชายแดนแล้ว ยังจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของ 2 ประเทศด้วย”

นายอลงกรณ์กล่าวว่า การดำเนินนโยบายประตูตะวันตก จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับจังหวัดชายแดนไทย-พม่า 10 จังหวัดจากภาคเหนือจรดภาคใต้ เพราะจะกลายมาเป็นประตูหน้าด่านการค้าไทยสู่ตลาดพม่า อินเดีย บังกลาเทศ และจีน และจะเพิ่มศักยภาพในฐานะจังหวัดท่องเที่ยวที่น่าลงทุนและเป็นทำเลทองของการค้าชายแดนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันมีแผนผลักดันเส้นทางโลจิสติกส์รถไฟสายกาญจนบุรี-ทวาย เข้าสู่กรุงย่างกุ้ง เมืองเศรษฐกิจอันดับ 1 ของพม่า และเข้าสู่นครคุนหมิงของจีน ซึ่งจีนมีแผนที่จะเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างคุนหมิง-ย่างกุ้ง แล้วเสร็จในปี 56 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้มีแผนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจกับพม่าอีก 2 แห่ง ได้แก่ เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษเมียวดีของพม่า ซึ่งได้สร้างเสร็จแล้ว และตั้งอยู่ตรงข้ามแม่สอด ทั้งนี้ ผังเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จะประกอบด้วย ศูนย์โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า และพื้นที่พาณิชยกรรม 5,600 ไร่ และ 2) การพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยไทยจะเชื่อมโยงจังหวัดกาญจนบุรีกับท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่า ระยะทาง 150 กิโลเมตร ขณะนี้ในฝ่ายพม่าอยู่ระหว่างการก่อสร้างเส้นทางเชื่อมต่อกับไทย ทั้งนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายจะประกอบด้วย เขตนิคมอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ

ปัจจุบันพม่าเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 6 ในอาเซียน ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 1 ของพม่า ในปี 52 มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับพม่ามีมูลค่า ประมาณ 1.48 แสนล้านบาท เป็นการส่งออก 5.26 หมื่นล้านบาท และนำเข้า 9.59 หมื่นล้านบาท โดยไทยขาดดุลการค้าพม่า 4.33 หมื่นล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจำนวนมากจากพม่า


ที่มา : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=310&contentId=92298
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
MagicalMaeLao
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #112 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2010, 13:32:03 »

ขอให้ชาวเชียงรายสมปราถนานะครับ เพราะการขนส่งทางรถไฟเป็น
การขนส่งที่ต้นทุนต่ำที่สุด

เห็นด้วย ช่วยเชียร์
IP : บันทึกการเข้า
Doi_Jong
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #113 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2010, 15:42:46 »

ขนาด เครือข่าย 3 G หันอยู่ตังหน้านี้แต๊ๆ ยังบ่ได้ใจ้เลย..ถ้าเป๋นรถไฟเจียงฮายกา สงสัยต้องรอหื้อน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปุ้นนะก้า
IP : บันทึกการเข้า
hino
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 396


« ตอบ #114 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2010, 20:12:01 »

จะรอดูว่าจะมี แต้ก่อ ได้ยินมาสมัยละอ่อนแล้ว
IP : บันทึกการเข้า
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #115 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2010, 09:30:14 »

        ได้โบกี้เก่าๆ ไปชื่นชมก่อนนะครับ ชาวเชียงราย
ถ้ายังไม่มีทางรถไฟ อย่างน้อย ได้อ่านประวัติความอยากมีอยากได้ทางรถไฟไว้ชั่วลูกหลาน
ว่าแต่ว่า ในลาน ร.๕ จะมีอะไรเพิ่มมาตั้งโด่เด่  ก็จดจำภาพตอนยังโล่งๆ อาคารเก่าแก่
และพระรูป ร.๕  อันน่าเคารพบูชา เอาไว้ก่อนนะครับ  ถ่ายภาพเก็บไว้เปรียบเทียบก่อนและหลัง
ด้วยยิ่งดี  จะได้เห็นว่า ผู้บริหารสมัยนี้เขาคิดอะไรกันแน่...........งง
...ถ้าจะเอาไปตั้งสวนริมน้ำ(ที่จัดงานดอกไม้งามฯ) ให้คนไปพักผ่อน แวะขึ้นไปอ่าน
คงจะดีกว่านะ.....คนนั่งเรือก็ล่องไป คนไม่นั่งเรือ ก็นั่งรถไฟอ่านหนังสือคอย..คนไม่ทั้งสองก็เดิน
ชมสวนดอกไม้....คิดสั้นคิดยาวคิดให้ไกล.....ไม่ต้องคิดแบบผมก็ได้......
....ทำอย่างไรให้เขาเรียกว่าคิดแบบคนมี...กึ๋น.....น่ะครับ


* 530921_TrainChiangrai_02.jpg (123.8 KB, 631x447 - ดู 831 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #116 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2010, 11:03:18 »

ไม่เห็นด้วยครับ..ที่จะเอาไว้หน้าศาลากลางหลังเก่า หน้า ร.5

ไม่งามครับ..เพราะ ร.5 ทรงบุกเบิกการรถไฟ..เอามาตั้งหน้าศาลากลางรู้สึกยังไงไม่รู้ ครับ..

เอาเป็นที่อื่นได้ไหม ครับ. เศร้า
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #117 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2010, 11:24:22 »

รถไฟเด่นชัย-เชียงราย แนวพระราชดำริ ร.5
วันอังคาร ที่ 21 กันยายน 2553 เวลา 0:00 น





เป็นเรื่องที่พูดกันมานานหลายรัฐบาลแล้วสำหรับการก่อสร้างเส้นทาง “รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย” ซึ่งดูเหมือนจะเข้าทำนองปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งให้ชาวเชียงรายและประชาชนคนเมืองเหนือในซีกตะวันออกของหัวขวานทองชะเง้อชะแง้แลหามาแล้วนานนับหลายสิบปี หากพลิกปูมความเป็นปลื้มปีติของคนเชียงรายกับเส้นทางรถไฟ พาหนะราคาถูกสำหรับคนจนแล้ว จะพบว่า แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.5 ทรงมีพระบรมราชโองการให้มีการเซอร์เวย์เส้นทางรถไฟ เชียงใหม่-เชียง ราย-เชียงแสน มาตั้งแต่ปี 2430 แล้ว โดยมีเหตุผลที่ ร่วมสมัยที่สุดคือ “...เพราะทางรถไฟอาจจะชักย่นหนทางหัวเมืองซึ่งตั้งอยู่ไกล ไปมาถึงกันยาก ให้กลับเป็นหัวเมืองใกล้ ไปมาถึงกันได้สะดวกเร็วพลัน......” เป็นประกาศแต่พระที่นั่ง จักรีมหาปราสาท ณ วันที่ 6 เดือน 5 ขึ้น 4 ค่ำ ปีชวด ยังเป็นนพศก จุลศักราช 1249 เป็นวันที่ 7066 ฤาปีที่ 20 รัชกาลปัจจุบันนี้...

กระทั่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลา 100 ปี พอดี ซึ่งก็น่าจะเป็นมหามงคลยิ่ง หากรัฐบาลนี้จะได้สาน ต่อซึ่งพระราชดำริของ ร.5 กรณีเส้นทางรถไฟเพื่อประ ชาชนชาวเชียงราย โดยการเดินหน้าสานฝันเส้นทางรถไฟ “เด่นชัย-เชียงราย” ให้เป็นจริง และสำเร็จสมบูรณ์ “ย่นระยะทาง” “ประหยัดค่า ขนส่ง” สำหรับประชาชนใช้บริการเดิน ทางไป-มา พี่น้องเกษตร กรขนส่งผลผลิตทางการเกษตรและสินค้า อุปโภคบริโภคทั่วไปในสนนราคาขนส่งที่โดนใจไม่เดือดร้อน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมคณะวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เดินทางลงสู่พื้นที่เชียงราย ในการจัดทำ “ห้องสมุดรถไฟ” ขึ้นภายในอาณาบริเวณด้านหน้าลาน อนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถานที่ตั้งอาคารศาลา กลางหลังแรก ซึ่งเป็นหนึ่ง ในโครงการหอประวัติ เมืองเชียงราย โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ซึ่งนางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียง ราย กล่าวว่า รถไฟห้องสมุดจะเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปทุกเพศ ทุกวัยได้สืบค้นข้อมูลประวัติเมืองเชียงราย วิถีชีวิต เผ่าพันธุ์ ความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของบรรพบุรุษชาวเชียงรายจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คนเชียงรายที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจครัวเรือนและโดยมวลรวมจากผลผลิตทางด้านเกษตรกรรม การปลูกข้าว ทำไร่ทำนา ทำยางพารา ในขณะที่พาหนะขนส่งเพื่อการค้าขายหรือการเดินทางด้วยพาหนะอื่นไปยังเส้นทางต่าง ๆ ในปัจจุบันจะมีอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นก็หมายถึงภาวะค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนมากขึ้น “รถไฟคนจน” จึงเป็นความหวังหนึ่งของชาวเชียงราย

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในมุม มองของผู้ประกอบการ นายประยงค์ เลาหะวีร์ วัย 71 ปี เจ้าของรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ ป.รุ่งโรจน์ขนส่ง รับ จ้างบรรทุกสินค้าขึ้น-ล่อง ระหว่าง กทม.-เชียงราย-กทม. มายาวนานและมีประสบ การณ์มากว่า 40 ปี การมีเส้นทางรถไฟจาก อ.เด่นชัย จ. แพร่ ผ่าน จ.พะเยา มา จ.เชียงราย นั้น ตนมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ประชาชนจะ ได้มีทางเลือกในการขนส่งสินค้า เรื่องราคาค่าโดยสารจะไปกระทบ ต่อรถเมล์-รถทัวร์ปรับอากาศที่วิ่งขึ้น-ล่อง กทม.-เชียงรายนั้น เชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากว่า ราคาค่าตั๋วโดยสารรถไฟชั้น 3 จะถูกกว่ารถยนต์ แต่การเดินทางจะใช้เวลามากกว่า ส่วนราคาที่ ชั้น 1 และ ชั้น 2 เมื่อรวมค่าธรรมเนียม ต่าง ๆ แล้ว เช่น ค่าธรรมเนียมรถด่วน รถเร็ว รถปรับอากาศ ตู้นอน หากรวมสิ่งเหล่านี้แล้ว ค่าธรรมเนียมบวกค่าโดยสาร จะมีราคาแพงกว่าทางรถยนต์แน่

ส่วนในเรื่องที่ว่าหากมีเส้นทางรถไฟมาถึง จ.เชียงราย จะกระทบกระเทือนต่อ รถยนต์บรรทุก 10 ล้อ นั้น ตนยืนยันและเชื่อมั่นว่า ไม่เกิดขึ้นแน่ เนื่องจากว่าการขนส่งสินค้าทางรถไฟนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยม เพราะจะต้องเสียเวลาในการจองตู้บรรทุกสินค้า และไม่มีกำหนดเวลาว่าจะได้เมื่อไหร่ จึงไม่เป็นที่นิยม เว้นแต่ว่าหากเป็นสินค้าที่มีน้ำหนักมาก-ใหญ่โต ไม่เร่งด่วน รอเวลาได้ อีกทั้งส่งไปทางรถยนต์ ไม่สะดวก จึงจะต้องขนส่งไปทางรถ ไฟ ส่วนการบรร ทุกสินค้าจากเมืองสิบสองปันนา (เชียงรุ้ง) ประเทศจีนมาไทย นั้น ปัจจุบันมาได้ทางรถยนต์ ผ่าน สปป.ลาว และมาส่งสินค้าที่ อ.เชียงของ อีกทางหนึ่ง ก็ล่องเรือมาตามลำน้ำโขง ผ่านพม่า ลาว มาขึ้นที่ท่าเรือเชียงแสน ยังไม่มีเส้นทางรถไฟจากจีนมาเชื่อมที่ไทย หากเส้นทางรถไฟดังกล่าวเกิดขึ้น จะทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าด้วย

ด้าน นางสุพัตรา นามวัฒน์ วัย 50 กว่าปี ชาวเชียงราย กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมา สมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปี 2500 คุณพ่อและชาวเชียงราย พูดถึงและอยากได้เส้นทางรถไฟต่อจาก อ.เด่นชัย เพราะเชื่อว่าการเดินทางจะมีความปลอดภัย และค่าโดย สารจะถูก แต่การเรียกร้องก็ไม่เห็นจะสำเร็จบรรลุผล ตนเชื่อว่าชาวเชียงรายทุกคนยังอยากได้นั่งรถไฟสายนี้ และจะรอคอยต่อไป

“รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย” รถไฟแก้จนเป็นรูปแบบการขนส่งราคาถูกที่มีประโยชน์และสร้างความประหยัดทางด้านการเดินทางให้แก่ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศที่จะเดินทางมาเยือนเชียงราย โดยเฉพาะชาวบ้านระดับล่าง ที่มีเศรษฐกิจครัวเรือนไม่มากมายนักจะได้ยิ้มแย้มแจ่มใสอบอุ่น จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายวิสัยทัศน์พัฒนาของรัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นอย่างมากว่า จะเล็งเห็นประโยชน์ที่ประชาชนคนยากจนพึงจะได้รับบริการจากรัฐมากน้อยเพียงใด?.

กริช มากกุญชร

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentID=92980
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #118 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2010, 13:36:32 »

".......ซึ่งเป็นหนึ่ง ในโครงการหอประวัติ เมืองเชียงราย โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ตุลาคม 2553 ซึ่งนางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียง ราย กล่าวว่า รถไฟห้องสมุดจะเป็นแหล่งความรู้ให้แก่ประชาชนทั่วไปทุกเพศ ทุกวัยได้สืบค้นข้อมูลประวัติเมืองเชียงราย วิถีชีวิต เผ่าพันธุ์ ความเชื่อประเพณีและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ของบรรพบุรุษชาวเชียงรายจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม คนเชียงรายที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจครัวเรือนและโดยมวลรวมจากผลผลิตทางด้าน เกษตรกรรม การปลูกข้าว ทำไร่ทำนา ทำยางพารา ในขณะที่พาหนะขนส่งเพื่อการค้าขายหรือการเดินทางด้วยพาหนะอื่นไปยังเส้นทาง ต่าง ๆ ในปัจจุบันจะมีอัตราค่าบริการค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นก็หมายถึงภาวะค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนมากขึ้น “รถไฟคนจน” จึงเป็นความหวังหนึ่งของชาวเชียงราย...."
...โครงการหอประวัติเมืองเชียงรายนี่ มันมีอะไรบ้างครับ   เกี่ยวกับ ครบรอบ ๗๕๐ ปีด้วยหรือเปล่า
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ทำได้ หรือเห็นชอบให้ตั้งตรงนี้  ทำไมไม่แสดงความคิดเห็นบ้างครับ..........
มีบ่อน้ำพุเน่าๆเกะกะการประกอบพิธีการ...มีป้ายหอวัฒนธรรมใหญ่เบ่อเริ่มๆ... บดบังความงดงาม
ของศาลากลาง และที่สำคัญ อนุสาวรีย์ ร.๕  ที่ต้องมีความเด่นชัด ในทุกๆจังหวัด ...แต่นี่..?
IP : บันทึกการเข้า

CEI_Lover
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #119 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2010, 23:07:08 »

มาขอยืนยันคำเดิมที่เคยประกาศเอาไว้ว่า

"คนมีอำนาจ ที่ได้มาจากประชาชน แต่ อัพตัวเองเป็นกลุ่ม Majority ทำตัวเหนือกว่าประชาชน คิดเพียงแต่ว่า "ความคิดความอ่านของตนนั้นถูกต้อง (ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้อง อ้างอิงอะไรบ้างอย่าง เพื่อความชอบธรรมและเพื่อดำเนินการ"

คงไม่ต่างจาก กลุ่มผู้บริหารบ้านเมืองเชียงรายหรอกครับ ไม่เคยเห็นหัวประชาชน คิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่สำนึกว่า ประชาชนเขาจะคิดอย่างไร

ทำไมไม่ออกมาสอบถามความคิดเห็นประชาชนพลเมือง

IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 ... 24 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!