เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 11:44:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 [32] 33 34 35 36 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439940 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #620 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2013, 22:01:03 »

เซ็นจูรี่ 21ฯ ชี้ราคาที่ดินแตะตรว.ละ 2ล้าน, CBD และชานเมืองความต้องการยังสูง

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2013 เวลา 15:39 น.   
เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) ที่ปรึกษาด้านการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชี้ราคาที่ดินพุ่ง มีการเสนอราคาขายถึง 2 ล้านบาท ต่อตารางวา อยู่ระหว่างรอการตัดสินใจจากผู้ซื้อ ทำเล ราชดำริ เพลินจิต สุขุมวิท วิทยุ ราคายังไปได้สวย แนวโน้มสูงขึ้นอีก ล่าสุดเสนอขายกว่า ตารางวาละ 1.5 ล้านบาท


บริษัท เซ็นจูรี่ 21 เรียลตี้ แอฟฟิลิเอทส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยการสำรวจราคาที่ดินต่อตารางวา ที่ซื้อขายกันขณะนี้มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในบางพื้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากการประเมินราคาที่ดินของปี พ.ศ. 2555 – 2558 เช่น ถนนเพลินจิต ราชดำริ และวิทยุ เป็นต้น สาเหตุของราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น อันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นเรื่องทำเลที่ตั้ง ที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า การเดินทางสะดวกสบาย เป็นย่านที่มีความนิยมของชาวต่างชาติ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก  แต่ในบางพื้นที่ก็อาจเกิดการพัฒนาอย่างหนาแน่นแล้ว เช่น ถนนสุขุมวิท สีลม สาทร โดยหากมองในอีกมุมหนึ่ง พื้นที่ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT กลับกลายเป็นที่ดินที่น่าลงทุน เช่นถนนรัตนาธิเบศ, บางใหญ่, แจ้งวัฒนะ, เพชรเกษม, พระราม 2 และ ราชพฤกษ์ เป็นต้น เพราะมีที่ดินราคายังไม่สูงมากนัก คุ้มค่าแก่การลงทุนหากมองในระยะยาว นอกจากนี้โครงการ Mega Project ของภาครัฐในการสร้างรถไฟความเร็วสูง ก็ส่งผลให้ราคาที่ดินเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้ามีราคาสูงขึ้นตามกัน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอยุธยา พิษณุโลก เชียงใหม่ เป็นต้น และนักพัฒนาบางรายได้เข้าไปจับจองที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อไป ซึ่งอสังหาฯ ไม่ได้ส่อแววชะลอตัว แต่กระจายตัวมากกว่า
   
ด้านนายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นว่า “ขณะนี้ราคาเสนอขาย หรือ Asking Price ในย่านทำเลดีเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก สูงถึง 2,000,000 บาท ต่อตางรางวา ในขณะที่ราคาซื้อขายของ สุขุมวิท สูงถึง 1,500,000 บาท ต่อตารางวา จากราคาประเมินอยู่ที่ 520,000 บาท ต่อตารางวาเท่านั้น เท่ากับเพิ่มขึ้นถึง 188.46% เช่นเดียวกับ สุขุมวิท-ทองหล่อ ที่ราคาสูงถึงตารางวาละ 1,200,000 – 1,500,000 บาท และอย่างถนนสาทร ราคาประเมินอยู่ที่ 450,000-600,000 บาท แต่ราคาขายจริง น่าจะสูงถึง 1,000,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถนนสาทรไม่มีที่ดินขนาดใหญ่ หรือเพียงพอต่อการพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งหากราคาที่ดินมีมูลค่าสูงเพียงนี้ สิ่งที่เป็นปัญหาต่อมาคือ หากเมื่อมีการพัฒนาโครงการแล้ว ราคาต่อยูนิต หรือต่อตารางเมตรเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน”


จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่าย่านสุขุมวิท ตอนต้น-ตอนกลาง มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินสูงถึง 300% เมื่อเทียบจากราคาประเมิน คือมีการเสนอขายกันในราคา 1,600,000 บาท ต่อตารางวา หากมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในเส้นทางนี้ จะต้องขายในราคา ไม่ต่ำว่า 250,000 บาท ต่อตารางเมตร ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน เช่นเดียวกับย่านทองหล่อ และสุขุวิท ตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบจากตาราง ย่านเจริญนคร และกรุงธนบุรี ที่ดินมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งส่งผลให้เห็นว่าการลงทุนในพื้นที่ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้านั้น มีความคุ้มค่าเกิดขึ้น
   
นายกิติศักดิ์ยังกล่าวต่ออีกว่า “อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินใจกลางเมือง หรือ  CBD นั้น อันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วในด้านความได้เปรียบของทำเลที่ตั้ง แต่ลองสังเกตุในจุดที่เป็นชานเมือง หรือนอกใจกลางเมืองอย่าง ถนนบางนา-ตราด กรุงธนบุรี เจริญนคร เพชรเกษม และสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่มีราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะย่านเจริญนคร ที่มีรถไฟฟ้า สาธารณูปโภค คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และ Community Mall ทำให้ที่ดินในบริเวณนี้มีราคาสูงขึ้น หากเปรียบเทียบ 3 - 4 ปีก่อน ยกตัวอย่างที่ดินย่านบางใหญ่ ราคาซื้อขายอยู่ที่ 30,000 บาท ต่อตารางวา แต่ปัจจุบัน ราคาอยู่ที่ 100,000 บาทต่อตารางวา ราคาเพิ่มขึ้นถึง 233.33% ดังจะเห็นได้ว่าผู้พัฒนาโครงการเริ่มหันไปพัฒนาตัวเมืองชั้นนอก หรือตามแนวส่วนขยายต่อของรถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าใต้ดินมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ถนนรัตนาธิเบศ, บางใหญ่, แจ้งวัฒนะ, เพชรเกษม, พระราม 2 และราชพฤกษ์ เพราะมีแนวโน้มการเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าราคาที่ดินในระแวกนี้ก็จะราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทำเลใจกลางเมืองก็ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องอยู่ดี และด้วยโครงการ Mega Project ของภาครัฐ อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูง (HSR) ทำให้พื้นที่ในหลายจังหวัดมีการปรับราคาขึ้นตามๆ กัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางออกของผู้พัฒนาโครงการรายเล็กกับปัญหาราคาที่ดิน CBD ที่ปรับเพิ่มขึ้นรายวัน” Source: Century21 Thailand
   
ไม่เพียงแต่ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ที่มีการปรับตัว เพราะจากงานแถลงข่าวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยผลสำรวจความต้องการของประชาชนที่มีต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง (HSR) ว่า หากเส้นทาง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เกิดขึ้นก่อน จะเป็นเส้นทางที่คุ้มค่าแก่การลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะสามารถโดยสารคนได้เป็นจำนวนมาก และเป็นเส้นทางระยะไกล ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จากเส้นทางนี้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ส่งผลให้ราคาที่ดินของจังหวัดอยุธยา พิษณุโลก รวมไปถึงเชียงใหม่ และเชียงราย มีราคาที่ดินสูงขึ้นทันที และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จากโครงการดังกล่าวยังส่งผลในด้านการปรับราคาที่ดินในเส้นทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพ-หัวหิน, กรุงเทพ-ระยอง และกรุงเทพ-นครราชสีมา ด้วยเหตุนี้ผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ที่เริ่มมีแนวโน้มหันไปพัฒนาโครงการตามเส้นทางของรถไฟความเร็วสูง (HSR) ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นในจังหวัดแถบภาคอีสานอย่าง อุดรธานี ขอนแก่น เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังเรื่องกำลังซื้อในต่างจังหวัดด้วย เพราะอาจจะไม่มากเท่า
   
จากการเปรียบเทียบราคาที่ดินทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล กับแนวโน้มการพัฒนาที่จะเกิดขึ้น จะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครอบคลุมไปในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงกระจุกตัวอยู่แต่ในใจกลางเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งเมื่อการพัฒนาไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัด ก็ทำให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ เกิดการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น ย้อนกลับมาเป็นภาษีซึ่งจะนำไปพัฒนาพื้นที่ส่วนอื่นๆ ต่อไป ดูเหมือนว่า ปัจจัยด้านราคาที่ดินปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาต้นทุนที่สูงขึ้น การมีข้อจำกัดด้านแรงงาน อาจเป็นเหตุที่ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บ้าง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง อาจส่งผลให้เกิดการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ การกระจายตัวของโครงการไปสู่รอบนอก และภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ในฐานะที่อยู่ในวงการ เราอาจต้องมองโอกาสเหนือข้อจำกัด แต่ก็ยังมีบางปัจจัยที่ทำให้การพัฒนานั้นไปไม่ถึงที่วางไว้ อย่างปัจจัยด้านราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำ และราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการชะลอตัวด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงเล็กน้อย แต่เป็นการกระจายตัวสู่ภูมิภาคอื่นๆ มากกว่า
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #621 เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2013, 12:31:59 »

เชียงราย - เจ้าเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาวที่ตั้งกาสิโนยักษ์ทุนจีนยกคณะข้ามฝั่งโขงหารือไทย รับเปิดจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เชื่อมด่านสากลลาว แถมขยายเวลาให้คนเข้า-ออกได้ถึง 2 ทุ่ม
       
       วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงรายว่า หลังจากประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 2 ของอำเภอ และแห่งที่ 4 ของจังหวัด พร้อมขยายระยะเวลาการเปิด ที่ปกติอนุญาตให้เข้าออกตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ได้ขยายให้ถึงเวลา 20.00 น.
       
       นายวีระศักดิ์ ศิริสิทธิ์ นายอำเภอเชียงแสน ได้มีโอกาสให้การต้อนรับคณะของท่านจอมสี ลัดตะนะบัน เจ้าเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำโขง พรมแดนไทย-ลาว ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงเขต อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ที่เดินทางมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ด้วยการจัดขบวนรถม้าและรถไฟฟ้าไปรับที่ริมฝั่งน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอ ก่อนนำชมทัศนียภาพรอบตัวเมืองเชียงแสน และแวะไหว้พระธาตุเจดีย์หลวง
       
       จากนั้นได้นำคณะเข้าร่วมประชุมหารือกับฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)เชียงแสน ตำรวจน้ำ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรเชียงแสน ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์ ศุลกากร ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
       
       ที่ประชุมได้แจ้งถึงเรื่องการเข้าออกไทย-ลาวด้าน อ.เชียงแสน ที่มีความสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต้นผึ้งที่มีการเปิดด่านสากลที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภายในโครงการคิงส์โรมันของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ จากประเทศจีน ที่มีส่วนบริการเป็นกาสิโนขนาดใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก พร้อมขยายระยะเวลาการเปิดด่านมากกว่าจุดอื่น ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกหรือเมื่อค่ำแล้วให้เรือทุกลำที่จะใช้จุดผ่านแดนถาวรทั้งสองฝั่งมีไฟฟ้าส่องสว่างชัดเจน โดยกำหนดให้ใช้ไฟสีแดงที่กาบซ้ายของเรือ ติดไฟสีเขียวที่กาบขวาของเรือ ติดไฟสีขาวที่ท้ายเรือ นอกจากนี้ เรือที่แล่นในแม่น้ำโขงทุกลำต้องติดธงของแต่ละประเทศเพื่อแสดงสัญชาติตามมาตรฐานสากลในการเดินเรืออย่างชัดเจนด้วย
       
       ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยได้ผ่อนผันกรณีผู้ป่วยสามารถเข้ามารักษาตัวแบบเร่งด่วนที่โรงพยาบาลเชียงแสนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการค้าขายที่มีการอำนวยความสะดวกมากขึ้น ก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายของทั้งสองประเทศเป็นหลัก
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศได้เจรจาเรื่องความสัมพันธ์กัน เพราะทั้งไทยและลาวต่างมีความรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว และยิ่งได้มาพูดจาหารือกัน ก็เป็นการสร้างความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากการค้า และการที่มีนักท่องเที่ยวข้ามจากฝั่งไทยไปยัง สปป.ลาววันละกว่า 1,000 คน และจะมีจำนวนมากกว่านี้ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งจะมีเม็ดเงินสะพัดจากทั้งสองฝั่ง
       
       ท่านจอมสีกล่าวว่า ดีใจที่ได้มาเยือนเมืองเชียงแสน และได้มีการพูดคุยกับทางฝ่ายไทย เพราะเมืองต้นผึ้งและเมืองเชียงแสนติดต่อค้าขายกันมานานนับร้อยปี แต่ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงต้องมีการพบปะหารือกันให้บ่อยครั้งขึ้น เพื่อการปรับตัว ปรับรูปแบบการสานความเข้าใจ อันจะเป็นประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000064832
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #622 เมื่อ: วันที่ 02 มิถุนายน 2013, 23:46:19 »

เพื่อไทยรุกจัดเวทีปราศรัย "เชียงราย-เชียงใหม่" แจงความคืบหน้าโครงการรัฐบาล
วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 12:05:05 น.
   
 



วันที่ 1 มิ.ย. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดเวทีปราศัย "เพื่อไทย เพื่ออนาคตประเทศไทย" ในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 - 21.00 น. ที่หอประชุมนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 16.00 - 21.00 น. ที่โรงยิม 2 สนามกีฬา 700 ปี จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อชี้แจงความคืบหน้าโครงการต่างๆ ของรัฐบาลและอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ความคืบโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ความคืบหน้างานไทยแลนด์ 2020 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการทำความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม , นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการทระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ร่วมปราศัย

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #623 เมื่อ: วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 00:19:09 »



สรุปที่ฟังจบแล้วจาก งบ 2.2 ล้านล้าน ของรัฐบาล ที่เชียงรายได้รับ

งบภาคเหนือได้ 5 แสนกว่าล้าน
- รถไฟรางคู่ เด่นชัย-เชียงของ ประมาณ 77000 ล.
- หยอดคำหวาน อนาคตรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชียงใหม่- เชียงราย
- ถนนสร้างในภาคเหนือ 61000 ล. เชียงราย ปรับปรุงพหลโยธิน ทำใหม่หมด
เส้นสำคัญ เช่น เชียงราย-เชียงของ / ดอกคำใต้ -เทิง 4350 ล้าน/ เส้น 118 เชียงใหม่ - เชียงราย ขยายเป็น 4 เลน 5800 ล้าน / ตัดถนนใหม่ เชียงราย - ขุนตาล 1000 ล้าน
- พัฒนาพหลโยธิน(ภาคเหนือ) 11000 ล้าน  เชียงราย-แม่สาย ทำใหม่หมด
- ถนน เชียงแสน 3 โครงการ 2700 ล้าน
- ศูนย์กระจายสินค้าที่เชียงของ 2336 ล้าน
- ศูนย์รวบรวมสินค้า อีก 5 จังหวัด เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ 4400 ลล้าน
- วงแหวน รอบที่ 1 รอบเมืองเชียงราย
- ปีนี้ ผดส.สนามปินแม่ฟ้าหลวงปีนี้ 1 ล้านคน
- รถไฟรางคู่
- ถนนเลี่ยงเมืองฝั่งตะวันออกจะเสร็จแล้ว
- ถนนเลี่ยงเมืองตะวันตกกำลังของบสร้างปีหน้า
- ถนนวงแหวน รมต.จะรับไปออกแบบ เชียงใหม่มี 3 วงแล้ว..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 00:24:01 โดย boondham » IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
AOWTHAI
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 350



« ตอบ #624 เมื่อ: วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 14:04:23 »

ถนนใหม่เจียงฮาย-ขุนตาล

อ้างอิง http://www.tescogis.com/chiangrai-khuntan/about.php
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มิถุนายน 2013, 14:48:22 โดย AOWTHAI » IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #625 เมื่อ: วันที่ 05 มิถุนายน 2013, 23:18:01 »




http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=185637:2013-06-04-06-10-50&catid=106:-marketing&Itemid=456
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #626 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2013, 23:39:25 »

รมว.อุตฯ คาดยอดขอบีโอไอปีนี้ทะลุ 1 ล้านล้านบาท

updated: 12 มิ.ย. 2556 เวลา 16:45:56 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากขณะนี้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมลดน้อยลง แต่เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโต ทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น

เห็นได้จากตัวเลขที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเฉพาะผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปี 2555 เติบโตสูงมาก มียอดรวมกว่า 1.47 ล้านล้านบาท จากที่ปี 2554 มียอดกว่า 700,000 ล้านบาท และในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้วกว่า 500,000 ล้านบาท จึงคาดว่าตลอดปี 2556 จะมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 700,000 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากชาวไทยและต่างประเทศจึงมีการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่งและมีนโยบายภาครัฐที่ดำเนินโครงการป้องกันน้ำท่วมวงเงินรวม 350,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอีก 2 ล้านล้านบาท อีกทั้งผลจากนโยบายคอนเน็คทิวิตี้ หรือนโยบายเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านที่ประเทศไทยมีถนนเชื่อมเข้ากับระเบียงเศรษฐกิจทิศเหนือถึงใต้ และด้านตะวันออกไปยังทิศตะวันตกของประเทศ
 
สำหรับการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จะเน้นเสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมในลักษณะกลุ่มอุตสาหกรรมหรือคลัสเตอร์ เบส โดยการดำเนินการผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี มีการพัฒนาพื้นที่นิคมฯ เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ และการค้าชายแดนที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ และด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมตามพื้นที่เป้าหมาย (AREA base) โดยดำเนินโครงการผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่เพื่อการอุตสาหกรรมนั้น กนอ.มีภาคเอกชนยื่นเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมรวม 28 โครงการ เป็นนิคมฯ เอสเอ็มอี 18 โครงการ วงเงินลงทุนรวมทั้งหมด 21,245 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 530,000 คน และคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนต่อเนื่องในพื้นที่ประมาณ 891,750 ล้านบาท คาดว่าจะเสร็จต้นปี 2558
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #627 เมื่อ: วันที่ 15 มิถุนายน 2013, 21:14:40 »

ฟันธง! เออีซีดันเชียงรายขึ้นชั้นประตูสามเหลี่ยม เชื่อมจีน-อินเดีย-อาเซียน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มิถุนายน 2556 13:21 น.   
 
เชียงราย - การท่องเที่ยวฯ เปิดห้องเวิร์กชอปเตรียมพร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อดีต รมว.ท่องเที่ยวฯ ขึ้นเวทีฟันธง เชียงรายสำคัญ อนาคตเป็นจุดเชื่อมโยงจีน-อินเดีย-อาเซียน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ระหว่างวันนี้ (14 มิ.ย.)-17 มิ.ย. 56 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน “วางแผนเชิงยุทธ์ ติดอาวุธรับเออีซี” ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท เชียงราย อ.เมือง
       
       โดยมีนายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท.เป็นประธานในพิธีเปิด และมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิไปทำการบรรยายหลายคน เช่น นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีต รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ม.ร.ว.ปิยฉัตร ฉัตรชัย และ น.ส.จุฑารัตน์ วิบุลสมัย ฯลฯ ท่ามกลางตัวแทนภาครัฐ เอกชน และประชาชนสนใจเข้ารับฟังร่วม 500 คน
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวว่า การรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้เลื่อนระยะเวลาออกไปอีกประมาณ 1 ปีหรือถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2558 เนื่องจากเห็นว่าบางประเทศยังไม่มีความพร้อม
       
       ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีเวลาในการเตรียมพร้อมเข้าสู่เออีซี แต่หากถามว่าประเทศไทยพร้อมหรือยังนั้น ตนเห็นว่าน่าจะพุ่งเป้ามาที่เชียงรายว่ามีความพร้อมหรือยังมากกว่า เพราะจากภูมิศาสตร์แล้วเชียงรายจะต้องเตรียมความพร้อมมากกว่าประเทศไทยเสียอีก เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันทั้งผ่านพม่า สปป.ลาว และจีนได้ทั้งทางบก-แม่น้ำโขง
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า และเมื่อผ่านเส้นทางในพม่าก็จะเชื่อมไปถึงประเทศอินเดีย ดังนั้นเชียงรายจึงยังเป็นศูนย์กลางอาเซียนบวกอินเดีย และบวกจีนไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาที่ดินในพื้นที่จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่เคยพุ่งสูงในยุคปี 2532 ยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็ลดลง และนิ่งเงียบเรื่อยมา
       
       กระทั่งในช่วง 10 ปีหลังมานี้กลับพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ปัจจัยสำคัญเกิดจากการเชื่อมโยงไทย-จีน โดยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2555 ปีที่ผ่านมาก็มีการเชื่อมโยงสะพานไทย-สปป.ลาว-จีน กันที่ อ.เชียงของมาแล้ว จุดนี้จะเชื่อมไปถึงด่านปาดังเบซาร์ที่ภาคใต้ในอนาคต
       
       “คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้านอกจากจะมีการเชื่อมไทย-จีนดังกล่าวแล้ว เชียงรายจะมีศักยภาพในการเชื่อมไทย-จีน-อินเดีย และอาเซียนเข้าด้วยกันทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก และระยะเวลา 10 ปีนี้ไม่ถือว่ายาวนานเลย บรรดานักศึกษาที่เพิ่งเรียนอยู่ก็จะต้องออกมาเผชิญกับสถานการณ์นั้นแน่นอน จึงยังมีเวลาในการเตรียมตัวอยู่”
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวอีกว่า ตอนนี้จีนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอยู่แล้ว ส่วนอินเดียก็กำลังเติบโตขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการเชื่อมจีน อินเดีย และอาเซียนเข้าด้วยกันจึงจะกลายเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจใหม่ของโลกที่มีอำนาจมหาศาล โดยเชียงรายจะมีบทบาทในด้านนี้อย่างมากในฐานะเมืองเชื่อม
       
       อดีต รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวต่อว่า เมื่อมองในมุมย่อยลงมาคือ พม่า ยิ่งน่าสนใจ เพราะกำลังมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากเพิ่งเปิดประเทศ และมีทรัพยากรมหาศาลทั้งภายในประเทศ และมหาสมุทรอินเดีย ทั่วโลกจับตามองพม่าแม้แต่นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ยังเดินทางไปเยือนพม่าตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ และที่สำคัญคือ จ.เชียงรายก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพม่าพอดีด้วย
       
       นายวีระศักดิ์กล่าวด้วยว่า ตนเคยพิมพ์คำว่า Chiang-Rai ในกูเกิล พบศัพท์คำนี้ในกว่า 69.4 ล้านเว็บเพจ ขณะที่เชียงใหม่มีแค่ 45 ล้านเว็บเพจ แม้แต่เมืองคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ก็มีระบุแค่ 12 ล้านเว็บเพจ และยูนนานมี 26 ล้านเว็บเพจ ทั้ง 2 ชื่อนำมารวมกันยังไม่เท่าเชียงราย ขณะที่เมืองเสิ่นเจิ้นมี 5.4 ล้านเว็บเพจ โกลเดนไทรแองเกิลหรือสามเหลี่ยมทองคำมี 26 ล้านเว็บเพจ
       
       แต่ถ้าพิมพ์เป็นภาษาไทยเข้าไปพบว่า เชียงรายมีจำนวน 39 ล้านเว็บเพจ ขณะที่เชียงใหม่มีจำนวน 130 ล้านเว็บเพจ แสดงให้เห็นว่าคนทั่วโลกตื่นตาตื่นใจกับ จ.เชียงรายมากกว่าแห่งอื่นๆ ขณะที่คนไทยให้ความตื่นตาตื่นใจกับเชียงรายน้อยอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถดึงให้มากขึ้นได้
       
       “ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องเตรียมตัว ทั้งการรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสภาพของเชียงรายเหมือนของทั้งประเทศคือ มีคนไทยเที่ยวไทยราว 80% ต่างประเทศ 20% แต่คงจะต้องมีสิ่งที่มากกว่าการท่องเที่ยวเสียแล้วจากความยิ่งใหญ่ของสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกัน ทั้งการอพยพเข้าไปของผู้คนต่างถิ่น ต่างด้าว คนไทยด้วยกันเอง ฯลฯ สะท้อนได้จากสถิติอุบัติเหตุที่เชียงรายมีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศก็อาจจะมากขึ้นอีก การเข้มงวดกวดขันใช้กฎหมายก็ควรจะเข้มข้นตามมาเพื่อรองรับ เป็นต้น” นายวีระศักดิ์กล่าว
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #628 เมื่อ: วันที่ 18 มิถุนายน 2013, 21:33:36 »

นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่บริเวณ อ.เชียงของ-ห้วยทราย พื้นที่ สปป.ลาว จะเลื่อนจากเดือนมิถุนายน 2556 ออกไปอีก 2-3 เดือน หรือเปิดในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

เนื่องจากผู้รับเหมาก่อสร้าง คือ กลุ่มทุนร่วมระหว่างบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด ผู้รับเหมาของประเทศไทย ประสบปัญหาในช่วงระหว่างการก่อสร้าง อาทิ ปัญหาจากการที่ปริมาณน้ำโขงขึ้นสูงจนทำให้เข้าไซต์ก่อสร้างไม่ได้ ปัญหาภายในบริษัทผู้รับเหมาเอง และการเบิกจ่ายเงินที่ล่าช้า เป็นต้น

"จากปัญหาดังกล่าวทำให้ที่ผ่านมาบริษัทได้ขอขยายเวลามา 1 ครั้งเมื่อปีที่แล้ว จากเดิมกำหนดแล้วเสร็จจะเป็นวันที่ 10 ธันวาคม 2555 แต่ผู้รับเหมาขอขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือนเป็นในเดือนมิถุนายนนี้ แต่จนถึงขณะนี้การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จตามแผนงาน ปัจจุบันผลงานคืบหน้าไปกว่า 70% ส่วนใหญ่งานหลัก ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเก็บงานบางส่วนเท่านั้น ตอนนี้หวังว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทันในช่วงเวลา 2-3 เดือนนี้"

นายชัชวาลย์กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการนี้ใช้เงินก่อสร้างทั้งสิ้นจำนวน 1,486.5 ล้านบาท  โดยเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและจีนออกค่าใช้จ่ายฝ่ายละ 50% ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน เริ่มสัญญาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553

รูปแบบตัวสะพานยาวประมาณ 480 เมตร มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ กว้าง 14.70 เมตร มีขนาด 2 ช่องจราจรพร้อมไหล่ทางข้างละ 2 เมตร รวมถึงมีการก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาวรวม 11 กิโลเมตร แบ่งเป็นฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และ สปป.ลาว 6 กิโลเมตร รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่ง

นอกจากนี้ กรมอยู่ระหว่างจะขอจัดสรรงบประมาณจากโครงการอื่นที่ยังไม่ถึงกำหนดการใช้เงิน มาดำเนินการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 5 จังหวัดบึงกาฬ คาดว่าจะใช้งบประมาณสำหรับศึกษาโครงการประมาณ 30-40 ล้านบาท และเริ่มงานได้ประมาณ 1-2 เดือนนี้หลังจากที่ได้ตัวบริษัทที่ปรึกษาเรียบร้อยแล้ว จะใช้เวลาศึกษา 1 ปี จากนั้นถึงจะเริ่มก่อสร้างได้

"โครงการนี้ทางประเทศไทยจะช่วยเรื่องศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครงการ หาจุดที่ตั้งโครงการว่าควรจะอยู่ตรงไหน ส่วนค่าก่อสร้างยังไม่สรุปว่าใครจะรับผิดชอบ หรือรับผิดชอบร่วมกันในสัดส่วนเท่าไรระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว เพราะโครงการนี้เป็นการร่วมมือกันของ 2 ประเทศเหมือนสะพานข้ามโขงอีก 4 แห่งที่ผ่านมา" อธิบดีกรมทางหลวงกล่าว


http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1371531418&grpid=00&catid=07&subcatid=0700


IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #629 เมื่อ: วันที่ 20 มิถุนายน 2013, 11:32:46 »

กนอ.เข็นครกนิคมอุตฯอีสาน

วันพุธที่ 19 มิถุนายน 2013 เวลา 10:42 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    ลงทุน-อุตสาหกรรม   

ลุยเข็นตั้งนิคมฯภาคอีสานต่อ หลังรอบแรกเอกชนลงทุนพลาดเป้า ก.ค.นี้ชงบอร์ดประกาศอีกใน 4 จังหวัด หวังดำเนินการให้เสร็จภายในปีนี้ ก่อนขยายพื้นที่ไปภาคเหนือในปีหน้า ขณะที่การตั้งนิคมฯเอสเอ็มอี และนิคมฯเชียงของ 22 แห่ง ที่เสนอมา รอลุ้น กนอ.ยันไม่ได้สนับสนุนทุกโครงการจะได้เกิด

วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม    นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่กนอ.ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนเสนอพื้นที่เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน 8 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม มุกดาหาร สกลนคร และอุบลราชธานี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวและเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจังหวัด ที่จะเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีนั้น
    "ปรากฏว่ามีเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมมาเพียง 6 โครงการใน 4 จังหวัด ได้แก่ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี พื้นที่นิคมประมาณ 999 ไร่ บริษัท เอเชีย เอ็กซ์เพรส จำกัด จังหวัดขอนแก่น พื้นที่ประมาณ 4 พันไร่ บริษัท โรงแรม โกลเด้นแลนด์ จำกัด จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ประมาณ 1 พันไร่ บริษัท นาคา คลีนเพาเอวร์ จำกัด จังหวัดหนองคาย พื้นที่ประมาณ 2.3 พันไร่ บริษัท โรยัล เอ็กซเพรส ทรานสปอร์ต แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด จังหวัดหนองคาย พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ และบริษัท สวนอุตสาหกรรม จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ประมาณ 973 ไร่ คิดเป็นพื้นที่รวม 9.799 พันไร่  ซึ่งถือว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กนอ.กำหนดไว้"
    ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) ที่จะมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ กนอ.จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณากำหนดให้มีการประกาศเชิญชวนภาคเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมในอีก 4 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ มุกดาหาร สกลนคร อุบลราชธานี และนครพนม ต่อไป เพื่อให้การดำเนินงานในปีนี้บรรลุตามวัตถุประสงค์และนโยบายของรัฐบาล และในปีหน้าจะได้วางยุทธศาสตร์การจัดตั้งนิคมในจังหวัดภาคเหนือต่อไป
    "ที่ผ่านมากนอ.ได้ไปชักชวนเอกชนมาจัดตั้งนิคมทั้ง 8 จังหวัด แต่ 4 จังหวัดที่เหลือ อาจจะยังไม่มีความพร้อม เนื่องจากระยะเวลาการเชิญชวนอาจจะสั้นเกินไป และอาจจะยังไม่ทราบศักยภาพทั้งหมดของจังหวัดตัวเองว่าจะสามารถดำเนินการตั้งนิคมได้ ซึ่งหลังจากนี้ไปกนอ.จะไปประสานงานกับ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในส่วนนี้ขึ้นมา และเมื่อดำเนินการได้ครบทุกจังหวัดตามเป้าหมายแล้ว ในแต่ละปีกนอ.จะประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามาจัดตั้งนิคมในภาคอื่นๆ ต่อไป"
    นายวีรพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีนั้น ได้เสนอมาจำนวน 18 โครงการ กระจายอยู่ในจังหวัด นครราชสีมา ชลบุรี ระยอง หนองคาย ขอนแก่น อุบลราชธานี ยโสธร นครพนม ฉะเชิงเทรา พิจิตร กาญจนบุรี และอยุธยา รวมพื้นที่ประมาณ 1.924 พันไร่ ขณะที่การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเชียงของ จังหวัดเชียงราย เสนอมาจำนวน 4 โครงการ รวมพื้นที่ประมาณ 2.44 พันไร่
    "ทั้งหมดนี้กนอ.จะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการตรวจสอบเอกสารของเอกชนแต่รายที่เสนอมา ว่าเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งนิคมไม่ขัดต่อการใช้ที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมหรือเป็นพื้นที่สีเขียว เป็นต้น ขณะที่การจัดตั้งนิคมฯเอสเอ็มอี และนิคมฯเชียงของที่เสนอเข้ามาเป็นจำนวนมาก อาจจะคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจริงๆ พื้นที่ไหนที่มีความซ้ำซ้อนกันอาจจะไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนการจัดตั้ง ซึ่งหลังจากตรวจสอบเอกสารทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะนำเสนอบอร์ดกนอ.ได้ในเดือนกรกฎาคมนี้ และจะแจ้งให้ผู้ประกอบการรับทราบเป็นรายๆ ต่อไป คาดว่าภายในปีนี้จะมีนิคมที่สามารถเดินหน้าโครงการได้ประมาณ 10 แห่ง ก่อน เพื่อให้ทันรองรับการเปิดเออีซีในปี 2558"
    ส่วนเม็ดเงินลงทุนนั้น เบื้องต้นประมาณการว่า จะใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการไม่รวมค่าที่ดินตกไร่ละประมาณ 1.5 ล้านบาท หรือใช้เงินลงทุนในการจัดตั้งนิคมฯภาคอีสาน 6 แห่งที่เสนอมาประมาณ 1.469 หมื่นล้านบาท 

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,854 วันที่  20 - 22  มิถุนายน พ.ศ. 255
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #630 เมื่อ: วันที่ 26 มิถุนายน 2013, 19:41:36 »

"ศุภชัย"ชี้ทางรุ่งธุรกิจไทยในเออีซี ชูสินค้าบริการ-พัฒนาโลจิสติกส์-เชื่อมตลาดจีน

Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 26 มิ.ย. 2556 เวลา 14:30:01 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

"ศุภชัย พานิชภักดิ์" เลขาธิการอังค์ถัด ชี้ไทยอยากรุ่งนำประเทศอาเซียนเร่งสปีดธุรกิจบริการ ชูโมเดล "เอาต์ซอร์ซ" ฟิลิปปินส์แบบอย่างเด่น พร้อมพัฒนาโลจิสติกส์ใน-นอกประเทศควบคู่ทั้งระบบ

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานจากสัมมนาในวาระครบรอบก่อตั้ง 50 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีนายศุภชัย พานิชภักดิ์ เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "Thailand"s Future : How to Lead Trade and Investment in the ASEAN"s Frontier ? Lessons & Learns from My Whole Life Experience"



นายศุภชัยกล่าวว่า สินค้าบริการเป็นอนาคตของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเกี่ยวพันกับการค้า การออกไปลงทุนต่างประเทศ และการเดินทางติดต่อของโลกธุรกิจปัจจุบัน เพราะเมื่อนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวเดินทางไปต่างประเทศต้องพึ่งพาธุรกิจบริการเสมอ กระทั่งปัจจุบันการใช้ธุรกิจบริการจากต่างประเทศขณะที่อยู่ในประเทศตัวเองก็เป็นที่แพร่หลาย เป็นการบริการข้ามแดน ธุรกิจนี้จึงสำคัญมาก

"ทั้งนี้ หากไทยมุ่งพัฒนาสินค้าบริการ จะทำให้ไทยเติบโตได้ในอนาคตอย่างดี เพราะสอดคล้องกับการเป็น "ฮับอาเซียน" ที่ไทยต้องการ และรองรับสิ่งที่ไทยจะทำในอนาคต อยากให้มองประเทศฟิลิปปินส์เพราะเป็นอีกประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนาธุรกิจบริการ โดยเฉพาะการเอาต์ซอร์ซจนช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น"

"ไทยควรส่งเสริมธุรกิจนี้ด้วย เพราะฟิลิปปินส์เติบโตอย่างมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการรับจ้างบริหารระบบธุรกิจ หรือ Business Process Outsourcing ที่ฟิลิปปินส์มุ่งพัฒนาเติบโตสูง ซึ่งหากต้องการพัฒนาในด้านนี้ต้องมีแรงงานจำนวนมาก ที่ต้องได้รับการอบรมด้านเทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ นี่เป็นหนึ่งในสาขาธุรกิจบริการที่โดดเด่น กระทั่งประเทศในแถบแอฟริกาเริ่มพัฒนาเรื่องนี้แล้ว" นายศุภชัยกล่าว

นายศุภชัยกล่าวถึงภาพรวมธุรกิจสินค้าบริการของอาเซียนว่า ข้อตกลงด้านนี้มีมานาน แต่ไม่เดินหน้า ยังย่ำอยู่กับที่ และจำเป็นต้องปรับปรุงให้เกิดมาตรฐานกลางของอาเซียนเป็นมาตรฐานเดียวกัน ส่วนการถือหุ้นภายในอาเซียนควรเท่าเทียมกันทั้งหมด ไม่ให้เกิน 70% ในทุก ๆ สาขาบริการ โดยไม่มีการยกเว้น เพราะอุปสรรคสำคัญคือ ยังมีกฎระเบียบภายในของบางประเทศที่พยายามกีดกันและเลือกปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน

ทั้งนี้การสร้างกฎหมายกลางระหว่างกันเป็นเรื่องยากที่จะบังคับใช้ แต่จำเป็นต้องมีอย่างยิ่งในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายทางการเงินที่ควรมีหน่วยงานกลางดูแล ทั้งยังต้องลดการกีดกันการค้าที่มีสูง โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซียและอินเดีย ที่ต้องเปิดมากกว่านี้

นายศุภชัยเพิ่มเติมว่า "รัฐบาลต้องมุ่งพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในประเทศเพื่อเชื่อมอาเซียนและประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) โดยหากอ้างอิงจากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index : LPI) ของธนาคารโลกปีล่าสุด (2555) จะเห็นว่า CLMV และไทยยังต้องพัฒนาด้านนี้เทียบกับระดับโลก ขณะที่สิงคโปร์นั้นดีมากระดับโลกเช่นกัน"

ดัชนี LPI ปี 2555 ระบุว่า จากคะแนนเต็ม 5 สิงคโปร์อยู่ที่ 4.13, มาเลเซีย 3.49, ฟิลิปปินส์ 3.02, ไทย 3.18, อินโดนีเซีย 3.02, เวียดนาม 3.00, เมียนมาร์ 2.37, กัมพูชา 2.56 และลาว 2.50

อย่างไรก็ตาม นายศุภชัยเห็นว่า นักลงทุนต้องฉวยโอกาสจากเส้นทางถนนที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ โดยเฉพาะเส้นทาง R3A ที่เชื่อมเมืองเชียงรุ้ง มณฑลคุนหมิงในจีนตอนใต้ ลงมาเมืองห้วยทรายในลาว และเชียงของ จ.เชียงรายในไทย ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 กำลังจะเปิดใช้ โดยภาครัฐประเทศต่าง ๆ ต้องดูแลภาพรวมกฎระเบียบ และข้อตกลงศุลกากรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"เอกชนไทยต้องเข้าถึงตลาดจีนให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันจีน-อาเซียนค้าขายระหว่างกันอยู่ที่ร้อยละ 16 และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่การค้าอาเซียน-ยุโรป และอาเซียน-อเมริกา ลดลงมาอยู่ราวร้อยละ 10-11 โจทย์ขณะนี้คือ ใครเข้าถึงจีนได้มากกว่าได้เปรียบ"
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #631 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2013, 08:32:40 »

เชียงราย - สะพานข้ามน้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมชายแดนเชียงราย-ลาว-จีน ผ่านถนน R3a ไม่เสร็จตามกำหนด ต้องเลื่อนวันเปิด 135 วันถึงสิ้นปี แต่มูลค่าการค้ายังเพิ่มขึ้น
       
       วันนี้ (28 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม ต.ดอนมหาวัน อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว ว่ายังคงมีคนงาน และเครื่องจักรก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำหนดแล้วเสร็จตั้งแต่ 10 มิถุนายนนี้ก็ตาม อีกทั้งกระทรวงคมนาคม คาดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ปรากฏว่า การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จทั้งตัวสะพาน และอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและลาว รวมถึงการติดตั้งระบบรองรับการเปิดสะพาน ทำให้การขนส่งสินค้า และการข้ามแดนของประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวยังคงต้องใช้เรือข้ามแม่น้ำโขง ผ่านท่าเรือบั๊ก ท่าเรือแม่น้ำโขง
       
       นายธวัชชัย ภู่เจริญยศ ปลัดอาวุโส อ.เชียงของ กล่าวว่า ได้เลื่อนกำหนดแล้วเสร็จไปอีก 135 วัน หรือจนถึงปลายปีนี้ โดยเอกชนอ้างว่าเกิดจากการเร่งรัดเชื่อมระหว่างไทยลาว เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 หรือฤกษ์ดี 12/12/12 ทำให้เนื้องานต้องรวบรัดลง อีกทั้งดปัญหาน้ำท่วม และกระแสน้ำโขงในช่วงที่ผ่านมาด้วย ทำให้สะพานเล็กซึ่งเชื่อมกับสะพานใหญ่ในฝั่งลาว ที่มีอยู่ 2 แห่งแล้วเสร็จไปแค่ 80%
       
       อย่างไรก็ตาม สะพานใหญ่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 98% แล้ว ส่วนอาคารสิ่งปลูกสร้าง ถนน การติดตั้งระบบเพื่อรองรับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ กำลังดำเนินการอยู่ บางส่วนเสร็จแล้ว แค่รอให้เจ้าหน้าที่เข้าไปประจำการเท่านั้น
       
       นายธวัชชัย กล่าวว่า การจะเปิดใช้งานสะพานอย่างเป็นทางการยังมีขั้นตอน คือ ต้องก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน จากนั้นคณะรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ จะพิจารณาเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องใช้ร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้การเปิดใช้งานสามารถทำได้โดยไม่มีข้อขัดข้องต่อผู้ใช้บริการ สุดท้ายคือ กำหนดให้มีพิธีเปิดร่วมกันอย่างเป็นทางการ
       
       ด้านนายศรชัย สร้อยหงษ์พราย นายด่านศุลกากรเชียงของ กล่าวว่า การค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ ในปีที่ผ่านมีมูลค่าการค้ารวม 12,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30% และช่วง 9 เดือนแรกของปีงบ 2556 มูลค่าการค้ากว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าดทั้งปีจะมีมูลค่าการค้า 14,000 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ไทย-จีน ตกลงจะออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% ภายใต้งบประมาณรวม 1,486.5 ล้านบาท และได้ว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธน เอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย เดิมกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่ต้องเลื่อนออกไปด้วยปัญหาเรื่องการจ่ายงบประมาณของแต่ละประเทศ และอื่นๆ
       
       ตัวสะพานแห่งนี้ออกแบบเป็นคอนกรีตรูปกล่อง มีเสาตอม่อ 4 เสา กว้าง 14.70 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางข้างละ 2 เมตร ทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตร เมื่อรวมกับถนนขอบฝั่งจะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทยเพื่อเป็นจุดสลับการจราจร ก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่งลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร
       
       ด้านอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและลาว ถูกออกแบบให้มีรูปทรงล้านนาประยุกต์ เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว รวมเนื้อที่ฝั่งไทยประมาณ 400 ไร่ เดิมกรมทางหลวงมีแผนจะก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้า หรือลอจิสติกส์ ใกล้กับถนนทางเข้าสะพาน แต่มีปัญหาเรื่องการจัดหาที่ดินประมาณ 280 ไร่ เพราะประชาชนบางส่วนไม่ต้องการให้เวนคืน แต่ต้องการให้ซื้อซึ่งมูลค่าสูงกว่า

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078522
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #632 เมื่อ: วันที่ 01 กรกฎาคม 2013, 09:02:40 »

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2013 เวลา 11:41 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL ESTATE    - คอลัมน์ : อสังหาฯ REAL ESTATE
User Rating: / 0
แย่ดีที่สุด
กรมทางหลวงเร่งสรุปแผนแม่บทมอเตอร์เวย์ ชี้แนวโน้มมีการปรับเปลี่ยนแผนเดิมให้สอดคล้องเออีซีและการเชื่อมโยงประตูการค้าชายแดนปัจจุบัน ลุ้นงบก่อสร้าง-เวนคืนจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานและเงินกู้ 2 ล้านล้าน
    นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้เร่งสรุปแผนการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของประเทศไทยหรือมอเตอร์เวย์ โดยอาจจะปรับเปลี่ยนแนวเส้นทางจากเดิมหลายส่วน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นไปที่การให้เกิดการเชื่อมโยงประตูด่านการค้าชายแดนและเมืองท่องเที่ยวสำคัญๆมากขึ้น
    "เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมาและเส้นบางใหญ่-กาญจนบุรีมีลุ้นงบประมาณค่าเวนคืนและค่าก่อสร้างในโครงการ 2 ล้านล้านบาท เส้นทางพัทยา-มาบตาพุดยังเตรียมใช้งบในเส้นทางสาย 7 และสาย 9 มาลงทุนเช่นเดิม ส่วนงบจากกองทุนโครงสร้างพื้นฐานยังรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลังพิจารณา คาดว่าเมื่อสรุปแผนแม่บทแล้วเสร็จหลายเส้นทางคงจะเห็นภาพการพัฒนาชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่เพื่อรองรับการเปิดประตูการค้าช่วงสะพานเชียงของ-ห้วยทรายที่จะเปิดอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้"
    แหล่งข่าวระดับสูงกรมทางหลวงกล่าวว่าในเบื้องต้นตามผลการศึกษาเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย อยู่ระหว่างการสรุปแนวเส้นทางและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางบางปะอิน-นครสวรรค์อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวนเส้นทาง มีแผนก่อสร้างปี 2561-63 เส้นทางวงแหวนตะวันตก อยู่ระหว่างการปรับเป็นมอเตอร์เวย์ เส้นทางกาญจนบุรี-บ้านพุน้ำร้อน อยู่ระหว่างการศึกษาโดยมีแผนก่อสร้างปี 2559-61
    เส้นทางบางใหญ่-กาญจนบุรี มีแผนก่อสร้าง ปี 2557-59 เส้นทางนครปฐม-ชะอำ มีแผนก่อสร้างมี 2559-61 เส้นทางวงแหวนตะวันตก-ทางหลวงสาย 4 อยู่ระหว่างการเร่งศึกษา เส้นทางชะอำ-ชุมพร อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางหาดใหญ่-ชายแดนไทย-มาเลเซีย อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
    เส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา มีแผนก่อสร้างปี 2557-59 เส้นทางสระบุรี-บางปะกง อยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางวงแหวนรอบที่ 3 อยู่ระหว่างการทบทวนผลการศึกษา เส้นทางส่วนต่อขยายยกระดับอุตราภิมุข-บางปะอิน อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีแผนก่อสร้างปี 2558-60 เส้นทางชลบุรี(ท่าเรือแหลมฉบัง)-ปราจีนบุรี อยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม เส้นทางพัทยา-มาบตาพุด อยู่ระหว่างการทบทวนผลการศึกษา ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีแผนก่อสร้างปี 2558-60
    โดยโครงการศึกษาตามแผนแม่บทของทล.ในครั้งนี้ระยะเวลาดำเนินการทั้งหมด 15 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 - สิงหาคม 2555 ใช้งบประมาณ 40 ล้านบาท เป็นการทบทวนจากที่องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่นหรือไจก้า ศึกษาไว้เมื่อปี 2540 โดยการทบทวนผลการศึกษารอบใหม่กลุ่มบริษัททีมคอนซัลติ้งเอ็นจิเนียริ่ง แอนด์เเมเนจเมนต์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ
    "เส้นทางใหม่นี้จะมีเพิ่มจากเดิมอีกบางส่วนเพื่อให้ตอบโจทย์ในปัจจุบัน การวางโครงข่ายจะเป็นไปในลักษณะตารางมากกว่า ล่าสุดได้สรุปเส้นทางในเขตพื้นที่เชียงใหม่-เชียงราย และแผนตามงบประมาณปี 2557 เสนออธิบดีกรมทางหลวงไปแล้ว ซึ่งโครงการอีกส่วนหนึ่งจัดอยู่ในพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทโดยมอเตอร์เวย์ที่ศึกษาใหม่โครงข่ายจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะกว่าเดิม ตลอดจนการศึกษาว่าจะมีการสร้างอุโมงค์จุดใดบ้าง ซึ่งเน้นเพื่อการขนส่งระหว่างประเทศมากขึ้น"
    แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าในเบื้องต้นทล.มีแผนก่อสร้างมอเตอร์เวย์ระยะเร่งด่วนระหว่างปี 2550-60 จำนวน 5 เส้นทาง คาดว่าวงเงินลงทุนรวมใช้ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ได้แก่ 1.เส้นทางบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทางประมาณ 199 กม. วงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าเส้นทางนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะดำเนินการก่อสร้างได้ก่อน เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวจะได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณางบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา 2.เส้นทางชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด ระยะทาง 89 กม. 3.เส้นทางบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี ระยะทาง 98 กม. 4.เส้นทางบางปะอิน-นครสวรรค์ ระยะทาง 180 กม. และ 5.เส้นทางนครปฐม-สมุทรสงคราม-ชะอำ ระยะทาง 134 กม. 
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,857
วันที่  30  มิถุนายน  - 3   กรกฎาคม  พ.ศ. 2556
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #633 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2013, 21:43:38 »


ทุนเคลื่อนยึดสะพานมิตรภาพ4

วันอังคารที่ 02 กรกฏาคม 2013 เวลา 15:56 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

กรมทางหลวงถือฤกษ์ 11-12-13 เปิดสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทรายอย่างเป็นทางการ เผยงานก่อสร้างล่าสุดคืบหน้า 95% บริษัทกรุงธนฯยอมจ่ายค่าปรับเหตุล่าช้า วันละ 1.5 แสน  ยื่นขอขยายเพิ่มอีก 60 วันไปถึง 9 สิงหาคมนี้  กลุ่มที่ปรึกษายันพร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าติดตั้งพร้อมทดสอบระบบประมาณตุลาคมก่อนเปิดทดลองใช้ตั้งแต่พฤศจิกายนนี้ ปลุกราคาที่ดินพุ่งรับ
    แหล่งข่าวระดับสูงกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เตรียมเปิดใช้สะพานมิตรภาพข้ามโขงแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย โดยถือฤกษ์ 11-12-13 นั่นคือวันที่ 11  เดือน 12 (ธันวาคม ) ปีค.ศ.2013(พ.ศ.2556) โดยปัจจุบันความคืบหน้างานก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยจะเปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ เข้าติดตั้งและทดสอบการใช้งานด้านต่างๆ ได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ต่อจากนั้นคาดว่าประมาณเดือนพฤศจิกายน 2556 จะเปิดให้ทดลองใช้อย่างไม่เป็นทางการ ก่อนที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการตามวันและเวลาที่กำหนดไว้ ล่าสุดงบประมาณของโครงการเพิ่มเป็น 1.6 พันล้านบาท โดยการขอขยายสัญญาไปถึงวันที่ 9 สิงหาคมนั้นบริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด จะต้องจ่ายค่าที่ปรึกษาควบคุมงานเพิ่มอีกวันละไม่เกิน 6 หมื่นบาทหรือคิดเป็น 4 ล้านบาทกับระยะเวลา 1 เดือนจนกว่างานจะเสร็จเรียบร้อย
    ด้านนายธวัช เบญจพลชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด ในฐานะบริษัทผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพานดังกล่าว กล่าวว่า ขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้ากว่า 95% เหลือเพียงงานตกแต่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็เปิดให้หน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าติดตั้งทดสอบระบบตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ให้พร้อมก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ
    สำหรับโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) จังหวัดเชียงราย กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา แต่บริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่งฯ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างโครงการดังกล่าวไม่สามารถส่งมอบงานได้ตามเป้าหมาย  กรมทางหลวงได้ขยายเวลาให้ 6 เดือน หรือถึงวันที่ 9 สิงหาคม นี้ จากการประเมินล่าสุดคาดว่าจะต้องใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 1-2 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งกรมทางหลวงยืนยันจะไม่มีการขยายสัญญาให้ผู้รับเหมาอีกแล้ว ดังนั้นหากพ้นกำหนดสัญญางานยังไม่แล้วเสร็จผู้รับเหมาจะต้องจ่ายเงินค่าปรับประมาณวันละ 1.5 แสนบาทจนกว่าโครงการก่อสร้างจะแล้วเสร็จสมบูรณ์
           ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย เขตพื้นที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย กล่าวว่าหากงบประมาณกว่า 9 หมื่นล้านบาทที่อยู่ในโครงการพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลจะส่งผลให้การเชื่อมโยงเส้นทางโลจิสติกส์ในเขตพื้นที่เมืองเชียงรายที่เชื่อมโยงกับการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนสร้างรายได้แก่ประเทศอย่างมาก
    ประการสำคัญทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ควรต้องเร่งปรับตัวโดยเร็ว เพราะสิ่งที่เห็นได้ชัดในขณะนี้คือราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าบางแปลงราคาสูงกว่า 1.5 ล้านบาทต่อไร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริมเส้นทางที่มุ่งสู่สะพานแห่งใหม่ ซึ่งปัจจุบันจะพบว่ากำลังจะถูกพัฒนากลายเป็นศูนย์รับส่งสินค้าขนาดใหญ่ จุดจอดรับส่งตู้คอนเทนเนอร์ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ก็กำลังก่อสร้างบนพื้นที่นี้อีกไม่ต่ำกว่า 2 แห่ง ไม่นับรวมธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เตรียมจะเปิดให้บริการอีกนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับสินค้าประเภทพืช ผัก ผลไม้จากกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านก็นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือบ่อนการพนันในประเทศเพื่อนบ้านมีมากอาจจะส่งผลเสียตามมาในภายหลังได้ซึ่งภาครัฐต้องเร่งป้องกันไว้ตั้งแต่วันนี้
           ทั้งนี้สะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยไทยและจีนให้การสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% วงเงิน 44.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 1,566 ล้านบาท) ต่อมาเพิ่มอีก 2.54 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยมีกลุ่ม CR5-KT Joint Venture (บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 5 เอ็นจิเนียริ่งกรุ๊ป จำกัด ร่วมทุนกับบริษัท กรุงธน เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด) เป็นผู้รับจ้าง รูปแบบสะพานความยาว 630 เมตร ถนนฝั่งไทยความยาว 5 กิโลเมตร ก่อสร้างขนาด 4 ช่องจราจร ฝั่งสปป.ลาวความยาว 6 กิโลเมตร ขนาด 2 ช่องจราจร พร้อมอาคารด่านชายแดนฝั่งไทยและสปป.ลาว เป็นโครงข่ายถนนสายเอเชียหมายเลข AH3 แล้วเสร็จสมบูรณ์ ทำให้การขนส่งสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากจังหวัดเชียงรายของประเทศไทย กับเมืองห้วยทรายของสปป.ลาว และจีนทางตอนใต้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,858 วันที่  4  - 6   กรกฎาคม  พ.ศ. 2556
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #634 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2013, 22:22:40 »

เชียงราย - ผู้ประกอบการชิปปิ้งไทยยกคณะสำรวจเส้นทางเชื่อมไทย-ลาว-จีน (R3a) พบการขนส่งสินค้าขยายตัวแบบก้าวกระโดด จากระยะ 10 ปีก่อนมีแค่ 7 หมื่นตัน/ปี ล่าสุดทะลุ 1.27 ล้านตันต่อปีแล้ว แถมทั้งรถ-คนเข้าออกเพียบ
       
       นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยถึงผลการได้เดินทางไปพบปะท่านคำมั่น สูนวิเลิด เจ้าแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ณ ศาลากลางแขวงบ่อแก้ว ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ เชียงราย ว่า ได้เดินทางไปดูโครงการก่อสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ในฝั่ง สปป.ลาว ทราบว่าคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% เหลือเพียงการทำถนนเชื่อมตัวอาคารด่านตรวจพรมแดนไปยังสะพาน และสะพานย่อยอีก 2 จุด คาดว่าจะเสร็จทันก่อนสะพานใหญ่ แต่ก็ยังมีข้อติดขัดอยู่บ้าง ซึ่งจะได้นำข้อเสนอและปัญหาทั้งหมดนี้แจ้งต่อทางรัฐบาลไทยให้ทราบต่อไป
       
       ขณะเดียวกัน กรมการค้าต่างประเทศได้นำสมาคมชิปปิ้งแห่งประเทศไทย นำโดยนายยรรยง ตั้งจิตต์กุล นายกสมาคมชิปปิ้งแห่งประเทศไทย เดินทางไปสำรวจถนน R3a จาก อ.เชียงของ ข้ามแม่น้ำโขงไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว-เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา ชายแดน สปป.ลาว-จีน ก่อนข้ามไปพบปะหารือด้านการค้า การลงทุน ความคืบหน้าโครงการต่างๆ กับภาครัฐและเอกชนของประเทศจีนที่ศาลาว่าการเขตปกครองพิเศษโมฮาน มณฑลยูนนาน โดยมีนางชไมพร เจือเจริญ กงสุลไทย ฝ่ายการพาณิชย์ ณ นครคุนหมิง ประเทศไทย และคณะจากด่านภาษีเมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ร่วมหารือด้วย
       
       นายหลี่ ซือ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ เขตปกครองพิเศษโมฮาน ได้นำคณะให้รายละเอียดถึงสภาพทางกายภาพ การคมนาคมที่คืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนสามารถใช้ถนน R3a จาก อ.เชียงของ-โมฮาน ระยะทาง 245 กิโลเมตรได้โดยสะดวก การพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองโมฮาน หลังจากนั้นคณะจากสมาคมฯ ได้เสนอความเห็นให้มีการเปิดด่านเมืองบ่อเต็น หลวงน้ำทา-โมฮาน ตลอด 24 ชั่วโมง สร้างห้องเย็น ณ จุดขนถ่ายสินค้าในฝั่งประเทศจีนให้เอื้อต่อการขนส่งสินค้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นผักสด-ผลไม้อย่างเต็มที่
       
       นายหลี่ซือกล่าวอีกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณสินค้าผ่านถนน R3a ถึงด่านเมืองโมฮานประมาณ 70,000 ตันต่อปี แต่ปรากฏว่าในปี 2555 ที่ผ่านมามีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.27 ล้านตันแล้ว มูลค่าทั้งหมดประมาณ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ มีรถเข้าออกกว่า 270,000 คัน และมีคนเข้าออกรวมกัน 810,000 คัน หากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เปิดใช้สถิติจะเพิ่มจากนี้อีกมากแน่
       
       ด้านท่านบุณแผง พันทะวง หัวหน้าด่านภาษีบ่อเต็น แจ้งว่า ปัจจุบันด่านศุลกากรของ สปป.ลาว ได้เปลี่ยนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสําหรับงานศุลกากรมาเป็นระบบ ASYCUDA เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
       
       “รถบรรทุกสินค้า 1 คันใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการผ่านพิธีการ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้บริการกับรถบรรทุกสินค้าที่วิ่งผ่านเข้าออกด่านทั้ง 3 ประเทศไม่ต่ำกว่า 120 เที่ยวต่อวัน”
       
       ด้านนายยรรยงกล่าวว่า หลังจากผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และชิปปิ้ง มีโอกาสหารือ 3 ฝ่าย ทำให้ได้เห็นโอกาส และหากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
       
       สำหรับสถิติการค้าชายแดนผ่าน อ.เชียงของไปยัง สปป.ลาว และถนน R3a ในปี 2554 มีการนำเข้า 2,268.311,388.94 บาท ส่งออก 5,931,142,766.61 บาท, ปี 2555 นำเข้า 3,071,105,387.65 บาท ส่งออก 9,453,687,905.03 บาท และตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2556 จนถึงเดือน มิ.ย. 56 มีการค้าเกิดขึ้นมากกว่า 12,000 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 30% สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000081952
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #635 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 09:20:06 »

รถไฟทางคู่20ปีแห่งการรอคอย

 12 July 2556 - 00:00

     ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างขยายเครือข่ายทางรถไฟบริเวณเขตพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม โครงการดังกล่าวรอมาเกือบ 20 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาติดปัญหาอุปสรรคนานับประการ กับช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ได้รับผลกระทบขาดสภาพคล่องด้านงบประมาณ
    สำหรับการก่อสร้างรถไฟสายนี้จะเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์สายที่ 2 ของ ร.ฟ.ท. ที่จะสามารถก่อสร้างได้ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการตั้งแต่ปี 2537 โดยสายแรกที่จะดำเนินการได้ก่อน คือ รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ที่ได้ผลักดันมาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะแล้วเสร็จอีก 1-2 เดือน หลังจากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอและนำเข้าสู่การพิจารณาของ  ครม.ปลายปีนี้ คาดว่าจะก่อสร้างได้ต้นปี 2557
    แต่มาวันนี้ ร.ฟ.ท.ได้ลงนามว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งมีบริษัท เอ็ม เอ เอ คอลซัลแตนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาหลัก เข้าสำรวจออกแบบรายละเอียดทางวิศวกรรมและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 347 กม. ใช้ระยะเวลาศึกษา 15 เดือน  จากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอใช้เวลาประมาณ 6 เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2558 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3-4 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ประมาณปี 2561
    สำหรับแนวเส้นทางก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ว่าง เช่น ไร่ปลูกมันสำปะหลัง จึงไม่มีปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชนมากนัก มีเพียงพื้นที่ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม ที่ต้องเวนคืนสิ่งปลูกสร้าง เพราะสถานีอยู่ในเมือง โดยจะเวนคืนที่ดินในเขตทางประมาณ 80 เมตร เผื่อไว้สำหรับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ซึ่งจะใช้แนวเส้นทางเดียวกันบริษัทต้องลงพื้นที่สำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นเส้นทางใหม่ ไม่มีแนวเส้นทางเดิม ลักษณะโครงการเป็นรางขนาด 1 เมตรและเป็นทางคู่ 
    “รถไฟสายนี้จะเป็นรถไฟรางคู่สายใหม่ที่ไม่ได้ก่อสร้างตามแนวเส้นทางเดิม สามารถวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและการขนส่งสินค้าในพื้นที่ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมการขนส่งทางภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของประเทศเข้าด้วยกัน ส่วนพื้นที่ที่ต้องเวนคืนมากที่สุด คือ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ เพื่อขนถ่ายสินค้าเชื่อมต่อไปยังประเทศลาวผ่านสะพานมิตรภาพ”
    นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า รถไฟสายนี้มีทั้งหมด 14 สถานี ผ่าน 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร และนครพนม เชื่อมการขนส่งสินค้าและการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุกดาหาร บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สามารถเชื่อมต่อได้ถึงเวียดนาม และนครพนม ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 โดยเป็นโครงการภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จึงคาดหวังว่า พ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณา เพราะหากไม่ผ่านจะส่งผลกระทบกับโครงการแน่นอน
    “หากเริ่มการก่อสร้างโครงการได้จะถือว่าเป็นอีกเส้นทางที่จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะทำให้การขนส่งทางรางมีความสะดวกขึ้น ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าวถือว่าเป็นเส้นทางที่มีการศึกษารายละเอียดมาตั้งแต่ปี 2537 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าโครงการนี้ไม่ผ่านก็เสียดายโอกาส“
    สำหรับงบประมาณเบื้องต้นในการสำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด คาดว่าจะต้องใช้เงินเวนคืนที่ดินประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนค่าก่อสร้างประมาณ 38,000 ล้านบาท แนวการก่อสร้างทั้งหมดไม่ผ่านเขตอุทยาน หรือสถานที่สำคัญใดๆ โดยพื้นที่ที่จะต้องเวนคืนมากที่สุด คือ มุกดาหารและนครพนม  เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ ต่อไปยังลาวผ่านสะพานมิตรภาพ และเผื่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง  (ไฮสปีดเทรน) ในอนาคต ที่ใช้แนวเส้นทางเดียวกันด้วย
    นี่ก็ถือว่าเป็นอีก 1 โครงการที่เป็นความหวังให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง ที่จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างจังหวัดได้สะดวกยิ่งขึ้น หากภาครัฐให้ความมั่นใจและจริงใจในการดำเนินโครงการ อย่างไม่มีวาระซ่อนเร้น แอบแฝงเพื่อผลประโยชน์พวกฟ้องและตัวเอง ก็ต้องเร่งเดินหน้าโครงการอย่างโปร่งใส จริงใจและดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปจนต้องมีการศึกษาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ซ้ำไป ซ้ำมาก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็จะไม่ได้อะไรกลับไปสู่วังวนเดิม ศึกษาไม่เลิกลาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.

http://www.thaipost.net/news/120713/76284
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #636 เมื่อ: วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 20:07:26 »




"ปลอด"ลงพื้นที่ติดตามการจัดตั้งเมือง ศก.ชายแดนเชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 กรกฎาคม 2556 16:37 น.   

   


       นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการตรวจติดตามการปฏิบัติราชการในครั้งนี้ว่า เป็นการตรวจติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่สืบเนื่องมาจากการลงพื้นที่ใน จ.เชียงราย ของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในการพิจารณาจัดตั้งเมืองเศรษฐกิจชายแดนของ จ.เชียงราย ในพื้นที่ อ.แม่สาย เชียงแสน และ อ.เชียงของว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และมีปัญหาอุปสรรคที่จะต้องดำเนินการในระดับสูงด้วยหรือไม่ ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้อยู่ในกระบวนการขั้นตอนของการศึกษาตามความเหมาะสม และผลกระทบ
          ทั้งนี้ นายปลอดประสพ ได้ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องน้ำตามหลัก 2 พี 2 อาร์ และการปลูกป่าต้นน้ำ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับน้ำในระยะยาว รวมถึงการพัฒนา และการจัดตั้งศูนย์โอทอปประจำจังหวัด และการพัฒนาพื้นที่ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทั้งในส่วนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่ใช้งบประมาณฟังก์ชั่น และงบยุทธศาสตร์ที่เป็นเมกะโปรเจ็กต์ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #637 เมื่อ: วันที่ 23 กรกฎาคม 2013, 16:36:08 »


เชียงรายสุดคึกคัก เงินสะพัดเข้าพรรษา 200 ล้าน "จีน-มาเลย์" แห่เที่ยว

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15:09:36 น.
   
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม บรรยากาศบริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ทั้งชาวไทยและต่างประเทศกันอย่างคึกคัก ทำให้ตลอดทั้งวันช่องทางขาเข้าและขาออกของด่านพรมแดนไปยังตลาดท่าขี้เหล็ก เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่ข้ามไปเพื่อซื้อสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าราคาถูก อาทิ เสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ผลิตจากประเทศจีน ตลอดจนขนมขบเคี้ยวเพื่อนำกลับไปฝากคนทางบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่กันอย่างหนัก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว

ขณะที่ประชาชนทั้งคนไทย ลาวและพม่า ตลอดจนชาวจีนบางส่วนต่างหลั่งไหลเดินทางมากราบไหว้ขอพรพระพุทธนวล้านตื้อ ขนาดใหญ่สูงกว่า 9 เมตร ซึ่งตั้งตระหง่านริมฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และเทศกาลเข้าพรรษา ก่อนที่หลายคนพากันลอดท้องช้างปูนปั้น และลูบฆ้องขนาดใหญ่ เพื่อเป็นการเสริมบารมี ขณะที่หลายคนพากันจับจ่ายซื้อสินค้าและนั่งเรือชมทิวทัศน์ในแม่น้ำโขง ทำให้มีเรือข้ามฝั่งไปมาระหว่าง 3 ประเทศ คือ ลาว ไทยและพม่ากันอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน

นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ปีนี้ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งมีวันหยุดยาวถึง 4 วัน ทำให้การค้าและการท่องเที่ยวของจังหวัดเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากเชียงรายเป็นเมืองล้านนา และมีโบราณสถานเก่าแก่หลายอำเภอ ทำให้คนต่างถิ่นอยากมาสัมผัส โดยปีนี้ก็พบว่าคึกคักกว่าทุกปี สังเกตว่ามีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติโซนยุโรปเข้ามาเที่ยวแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวมาเลเซียมาเป็นเป็นกลุ่มทัวร์ใหญ่ๆ  ทำให้การท่องเที่ยวและการบริการด้านการค้าต่างๆ เจริญเติบโต คาดว่าจะมีเงินสะพัดในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

Cr. มติชน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #638 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2013, 13:13:47 »

แพทยสภาหวังผลิตหมอได้ปีละ2,800 คนหลังม.สยาม-ม.แม่ฟ้าหลวงเปิดคณะแพทย์

UploadImage

แพทยสภาผลิตแพทย์ปี 2556 ได้ 2,300 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ถึงพันคน เผยอนุมัติเพิ่มคณะแพทย์อีก 2 แห่ง ที่ ม.สยาม และ ม.แม่ฟ้าหลวง คาดผลิตแพทย์เพิ่มได้อีกปีละ 2,800 คน หนุนลงชนบทมากขึ้น การันตีแพทย์ไทยเจ๋งจริง ชี้ต้องผ่านการทดสอบระดับชาติ 3 ครั้ง

UploadImage       
 
 
       น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า จากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มทั่วประเทศของแพทยสภา โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย 19 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ในปี 2556 สามารถผลิตแพทย์จบใหม่ได้ถึง 2,300 คน เพิ่มจากปี 2552 ที่มีแพทย์จบใหม่เพียง 1,356 คน และล่าสุด ปีนี้ได้มีการอนุมัติเพิ่มคณะแพทยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยสยาม และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทำให้มีมหาวิทยาลัยที่ผลิตแพทย์เพิ่มเป็น 21 แห่งทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้จะทำให้สามารถเพิ่มแพทย์จบใหม่ได้เป็นปีละ 2,800 คนในอนาคต เพื่อดูแลประชาชนในส่วนที่ขาดแคลนโดยเฉพาะชนบท
       
       น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร กล่าวอีกว่า นอกจากการผลิตแพทย์ แพทยสภายังให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการศึกษาที่ต้องพัฒนาควบคู่ด้วย โดยเน้นให้มีการทดสอบและประเมินแพทย์ก่อนจบใหม่ทุกคน ที่จะต้องผ่านการรับรองจากแพทยสภาอีกชั้น ด้วยการทดสอบความสามารถวิชาชีพแพทย์ระดับชาติ เพื่อเป็นการการันตีวิชาชีพแพทย์ว่า แม้ผ่านการศึกษาจากสถาบันคนละแห่งแต่ต้องมีคุณภาพมาตรฐาน โดยมีความรู้ความสามารถผ่านเกณฑ์เดียวกันจึงออกไปดูแลประชาชนได้ ซึ่งไม่ว่าจะศึกษาจากสถาบันไหนทั้งที่จบในและต่างประเทศ ก็ต้องมาทดสอบเหมือนกันทั้งหมด
       
       “นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องทดสอบและประเมินความรู้ความสามารถก่อนจบเป็นแพทย์ ด้วยการเข้าทดสอบกับศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ศ.ร.ว.) ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามข้อบังคับแพทยสภา โดยกำหนดให้นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องผ่านการทดสอบ 3 ครั้ง แบ่งเป็นทดสอบวิชาการช่วงชั้นปีที่ 3 ทดสอบความรู้โรคต่างๆ ช่วงชั้นปีที่ 5 และทดสอบภาคปฏิบัติในการตรวจคนไข้ช่วงชั้นปีที่ 6 ซึ่งนักศึกษาทุกสถาบันต้องผ่านทดสอบกับ ศ.ร.ว.ทั้งสิ้น โดย ศ.ร.ว.จะมีการปรับปรุงข้อสอบมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบอัปเดตทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเน้นการดูแลประชาชนครอบคลุมทั้งการตรวจ วินิจฉัย รักษา ป้องกันโรค ให้คำแนะนำ และคุณธรรมจริยธรรม” รองเลขาธิการ กล่าวและว่า ข้อบังคับนี้กำหนดให้แพทย์ที่จบจากต่างประเทศ ที่จะได้รับใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมแบบถาวรเพื่อทำงานในประเทศไทย ก็ต้องทำการทดสอบและผ่านการประเมินจาก ศ.ร.ว.ในมาตรฐานเดียวกันด้วยเช่นกัน

ที่มา - โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2556
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #639 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2013, 22:33:08 »

คมนาคมเล็งเปิดสะพานน้ำโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน “11/12/13”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   1 สิงหาคม 2556 15:14 น.   

   

เชียงราย - กระทรวงคมนาคม เล็งใช้ฤกษ์ 11/12/13 เปิดใช้สะพานข้ามโขง 4 เชื่อมไทย-ลาว-จีน ผ่านเส้นทาง R3a หลังเลื่อนมาแล้วหลายรอบ
       
       วันนี้ (1 ส.ค.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมประชุมคณะทำงานด้านคมนาคมขนส่ง ครั้งที่ 17 ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (จีเอ็มเอส) ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีตัวแทนกระทรวงคมนาคม 6 ประเทศจีเอ็มเอส ประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน และตัวแทนจากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี เข้าร่วม
       
       โดยตัวแทนแต่ละประเทศได้รายงานโครงการการพัฒนาด้านการคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงเขตจีเอ็มเอสเข้าด้วยกันในอนาคต จากนั้นได้เดินทางไปดูการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ และท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่ อ.เชียงแสน
       
       นายชัชชาติกล่าวว่า กลุ่มจีเอ็มเอส 6 ประเทศมีประชากรรวมกันกว่า 300 ล้านคน แต่ละประเทศได้ทุ่มงบประมาณเพื่อการพัฒนาเส้นทางคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันไปแล้วกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่น ลาวแจ้งว่ามีโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม จ.บึงกาฬ ของไทยกับปากซัน ของลาว และอีกหลายโครงการ โดยสะพานดังกล่าวถือว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยมาก เพราะพื้นที่แถบนี้มีการปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก หากมีสะพานก็สามารถขนส่งผ่านลาวไปยังประเทศจีนได้ต่อไป
       
       และหลังการแถลงโครงการของแต่ละประเทศต่างๆ แล้วก็จะได้มีการนำข้อมูลไปหารือกันว่าจะมีการเชื่อมโยงโครงการของประเทศต่างๆ ให้กลายเป็นการเชื่อมโยงกันในจีเอ็มเอสให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร จากนั้นจะประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่กันอีกครั้งราวเดือนพฤศจิกายนนี้
       
       สำหรับไทยได้มีการแถลงเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟ จากเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ทั้งเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมถึงเชียงใหม่ และรถไฟรางคู่จาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ถึง อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเชื่อมกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ-เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ต่อไปยังถนนอาร์สามเอ ไทย-ลาว-จีนตอนใต้
       
       สะพานดังกล่าวได้ถูกเลื่อนระยะเวลาแล้วเสร็จมาหลายครั้ง เพราะก่อสร้างด้วยเอกชน 2 รายจากประเทศไทย และจีน ทำให้เกิดปัญหาข้อขัดข้องด้านการบริหาร และระดับน้ำ แต่ตอนนี้คืบหน้าจนใกล้แล้วเสร็จแล้ว และในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จ หรืออาจเหลือเพียงรายละเอียดอีกเล็กน้อยเท่านั้น โดยล่าสุดได้กำหนดเบื้องต้นว่าจะเปิดสะพานได้ในวันที่ 11 ธันวาคม 2556 หรือวันที่ 11 เดือน 12 ค.ศ. 2013 หรือ 11/12/13 ต่อไป
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 สร้างโดยกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งเป็นการร่วมทุนของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัท กรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย โดยรัฐบาลไทยและจีนร่วมกันก่อสร้าง ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธันวาคม 2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่ได้เลื่อนเรื่อยมา
       
       อย่างไรก็ตาม ได้มีพิธีเชื่อมสะพานไปแล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 โดยสะพานสร้างเป็นรูปแบบคอนกรีตรูปกล่องมีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ ความกว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาดสองช่องจราจร ช่องละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตร เมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร มีการก่อสร้างถนนและจุดสลับการจราจรในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และลาว 6 กิโลเมตร เชื่อมกับถนนอาร์สามเอ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 [32] 33 34 35 36 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!