เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 18:02:21
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 [30] 31 32 33 34 35 36 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439838 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #580 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013, 22:57:36 »

ลาว-พม่าบรรลุข้อตกลงวางศิลาฤกษ์ผุดสะพานข้ามโขง เสร็จ ส.ค.58


เชียงราย - ลาว-พม่าบรรลุข้อตกลงสร้างสะพานข้ามน้ำโขงแห่งแรก พร้อมวางศิลาฤกษ์เริ่มเดินเครื่องก่อสร้างแล้ว เปิดเส้นทางหมายเลข 17 E ในลาว เชื่อมตรงถึงอินเดีย-บังกลาเทศ
       
       วันนี้ (19 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และพม่าได้บรรลุข้อตกลงก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงพม่า-ลาวแห่งแรกแล้ว วงเงินก่อสร้างรวม 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พม่าและลาวจ่ายฝ่ายละ 50% กำหนดสร้างแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2558 หรือ 30 เดือน หลังจากที่ได้ประชุมหารือกันมาหลายรอบ
       
       ล่าสุดทั้ง 2 ประเทศได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีท่านสมมาด พนเสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโยธิการและซ่อมสร้าง ดร.พิมมะสอน เลืองคำมา เจ้าแขวงหลวงน้ำทา ร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงก่อสร้าง ประเทศพม่า เป็นประธานในพิธีที่จุดก่อสร้าง ระหว่างฝั่งบ้านห้วยกุ่ม เมืองลอง แขวงหลวงน้ำทา และเมืองเชียงลาบ หรือเวียงแคว้นสา หรือเมืองโขง หรือโขงโค้ง จ.ท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน ประเทศพม่า
       
       สะพานดังกล่าวออกแบบให้มีความยาว 691.60 เมตร กว้าง 10.9 เมตร มี 2 ช่องทาง กว้าง 8.5 เมตร ทางเดินเท้าทั้ง ฝั่งละ 1.2 เมตร รับน้ำหนักรถยนต์บรรทุก 10 ล้อได้ 75 ตัน รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ตาม 7 ริกเตอร์ และเนื่องจากแม่น้ำโขงจะมีเรือสินค้าหลากหลายสัญชาติวิ่งขนส่งสินค้า จึงกำหนดความสูงของสะพานให้เรือขนาด 599 ตันกรอส ลอดผ่านได้อีกด้วย
       
       ทั้งนี้ สะพานดังกล่าวจะเชื่อมถนนหมายเลข 17 E ซึ่งเป็นทางหลวงในลาว สามารถเชื่อมไปยังประเทศเวียดนาม หรือขึ้นเหนือไปจีน และตรงไปยังอินเดียหรือบังกลาเทศได้ ส่วนฝั่งพม่ามีถนนที่จะเชื่อมไปยังถนน R3B ที่ตัดผ่านแนวเหนือ-ใต้
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า การมีสะพานแม่น้ำโขงเชื่อมพม่าและลาว ถือเป็นมิติใหม่ในเชิงรุกของทั้ง 2 ประเทศ ที่เราไม่ค่อยพบเห็นกันมากนัก โดยเฉพาะเมื่อมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เพราะในอดีตมักเห็นประเทศใหญ่เป็นฝ่ายสนับสนุนการก่อสร้าง หรือเข้าไปผลักดัน รวมทั้งธนาคารระหว่างประเทศอื่นๆ
       
       “หากสะพานดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จจะเพิ่มการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้น จากในปัจจุบันมีถนน R3B เชื่อมไทย-พม่า-จีน ถนน R3A เชื่อมไทย-ลาว-จีน และแม่น้ำโขง นอกจากจะทำให้เกิดพัฒนาการด้านการค้าและการคมนาคม ยังทำให้การท่องเที่ยวที่คึกคักขึ้น เพราะสภาพภูมิประเทศของพม่าและลาว เป็นป่าเขาและชนบทที่จะถูกเปิดตัวสู่โลกภายนอก”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021243
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #581 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013, 23:03:53 »

เถ้าแก่ทัวร์เชียงรายยกคณะเข้าจีน ชง 5 แพกเกจดึงเที่ยวไทย

เชียงราย - เถ้าแก่บริษัทนำเที่ยวเมืองพ่อขุนเตรียมยกคณะเปิดโต๊ะเจรจาทัวร์จีน ตั้งแต่สิบสองปันนายันคุนหมิง ชง 5 แพกเกจทัวร์ดึงคนจีนเข้าไทยแวะพักเชียงราย 1-3 คืน ก่อนเข้าเชียงใหม่-กทม.-จังหวัดชายทะเล


       
       วันนี้ (19 ก.พ.) รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายเตรียมจัดโครงการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทยเชียงราย-มณฑลหยุนหนาน ประเทศจีน โดยจะนำคณะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประมาณ 120 คน ข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ไปยังลาว และจีนตอนใต้ที่เมืองคุนหมิง วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 มีนาคมนี้
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า มณฑลหยุนหนานอยู่ใกล้ไทยมากที่สุด ประมาณ 245 กิโลเมตร ประชากรอยู่กว่า 45 ล้าน นักท่องเที่ยวปีละกว่า 30 ล้านคน แต่ละปีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จะเดินทางมาตามถนนอาร์สามเอ สู่อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้าเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และจังหวัดชายทะเล ประมาณ 10,000 คน
       

       ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนนับหมื่นคน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละประมาณ 3,000 บาท แต่ข้ามมาเชียงของแล้วเดินทางต่อไปเชียงใหม่ หรือจังหวัดอื่นเลย เนื่องจากเชียงรายไม่มีแผนรองรับ ดังนั้นจึงจัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พักในเชียงราย 1-3 คืนก่อนเดินทางต่อไป อีกทั้งหากสะพานข้ามน้ำโขง 4 เสร็จ คนจีนจะทะลักเข้ามามากขึ้นและใช้จ่ายเป็นมูลค่ามหาศาล
       
       “สมาคมฯ ได้จัดรายการนำเที่ยวไทย 5 แพกเกจไปนำเสนอ และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการนำเที่ยวจีน ตั้งแต่สิบสองปันนาหรือเชียงรุ่งถึงคุนหมิง เพราะทางการจีนเอื้อให้ออกหนังสือเดินทางระหว่างประเทศให้คนจีนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมีถนนที่ดีขึ้น โดยระยะทางจากเชียงของ-จิ่งหงประมาณ 493 กิโลเมตร และจากจิ่งหง-คุนหมิง เป็นมอเตอร์เวย์ ระยะทางประมาณ 344 กิโลเมตร ทำให้คนจีนที่มีรายได้ดีและร่ำรวย เดินทางลงมาตามถนน R3a สู่ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น แพกเกจทัวร์รองรับนักท่องเที่ยวจีน จึงมีความสำคัญกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยเฉพาะเชียงรายมาก”


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000021020
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #582 เมื่อ: วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013, 22:30:22 »

สินค้าไทยฮิตในลุ่มน้ำโขง ทั้งเนื้อจระเข้ ไก่ ควาย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   22 กุมภาพันธ์ 2556


   
เชียงราย - ผู้บริโภคจีนและกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงตอนบนยังนิยมสินค้าไทยต่อเนื่อง ล่าสุดพบผู้ประกอบการส่งสินค้าใหม่ผ่านชายแดนเชียงราย ทั้งเนื้อจระเข้ ไก่ ควาย เชื่ออนาคตกลุ่มอาหารแช่แข็งขยายตัวอีกเพียบ
       
       วันนี้ (22 ก.พ.) นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า หลังการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน ผ่านทาง จ.เชียงรายสะดวกมากขึ้น ทำให้มีการซื้อขายสินค้าใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบว่าผู้ประกอบการฟาร์มจระเข้จากภาคกลางได้ส่งออกเนื้อจระเข้ไปยังมณฑลยูนนาน เนื่องจากคนจีนเชื่อว่าเนื้อจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาโรคนานาชนิดตามศาสตร์ของการแพทย์แผนจีน สามารถใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่หัวจดหาง หรือแม้แต่เลือดจระเข้ก็มีความเชื่อกันว่าช่วยเสริมธาตุเหล็ก และภูมิคุ้มกัน รวมถึงสินค้าอื่นก็เป็นที่ต้องการ เช่น เนื้อกระบือแช่แข็ง ชิ้นส่วนไก่แช่แข็งจากไต้หวัน ที่ส่งผ่านท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน ไปยังจีนตอนใต้ เป็นต้น
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้มากขึ้น เพราะแม้แต่สินค้าจากประเทศที่ 3 ที่ขนส่งมาทางทะเล ยังส่งต่อมายังท่าเรือแม่น้ำโขงที่จ.เชียงราย และในอนาคตถ้าสะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับถนนอาร์สามเอไทย-ลาว-จีนเสร็จสมบูรณ์ก็คงจะมีความคึกคักมากขึ้น เพราะมณฑลทตะวันตกเฉียงใต้ของจีนทั้งยูนนาน เสฉวน อยู่ห่างจากทะเล มีความต้องการอาหารประเภทอาหารแช่แข็ง แช่เย็น อาหารสำเร็จรูป วัตถุดิบค่อนข้างมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการไทย
       
       “ผู้บริโภคในจีน พม่า และลาวนิยมบริโภคสินค้าไทย เพราะถือว่ามีคุณภาพ แม้แต่อุปกรณ์ไฟฟ้าก็มีการส่งจากชายแดนเชียงรายเข้าไปถึงจีนตอนใต้ และประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นทุกปี แสดงว่าตลาดสินค้าแบรนด์เนมกับสินค้าลอกเลียนแบบแยกกันชัดเจน”
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ชาวล้านนาตะวันออกทั้งเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน คงต้องปรับสมดุลเศรษฐกิจของจังหวัดใหม่ โดยหันมาผลิตสินค้าที่ตลาดจีนมีความต้องการสูง เช่น ปศุสัตว์ ประมง หรือพืชเกษตร อีกทั้งขณะนี้มณฑลยูนนานให้ความสำคัญกับเชียงรายมาก ดังนั้นในงาน “คุนหมิงแฟร์ 2013” ที่จะมีขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน ทางจังหวัดได้ขอบูทในราคาพิเศษ 30 บูธ เพื่อนำมากระจายให้ผู้ประกอบการโอทอป ขณะเดียวกัน มร.ลี ยง เชง เจ้าของอาคารอาเซียน-เซี่ยงไฮ้ เมืองเฉิงก้ง ซึ่งสร้างอาคารศูนย์การค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วโลก ห่างจากนครคุนหมิงประมาณ 22 กิโลเมตร ได้มอบพื้นที่ชั้นล่างของอาคารให้กับจังหวัดเพื่อนำสินค้าไปวางจำหน่ายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นเวลา 3 ปีด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #583 เมื่อ: วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2013, 22:40:13 »

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ยังไม่จบ สำหรับบัญชีโครงการของ "กระทรวงคมนาคม" ตามแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาท ที่ "รัฐบาลเพื่อไทย" กำลังเร่งผลักดันให้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแบบผ่านฉลุยในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้

เพราะติดเม็ดเงินลงทุนโครงการถนนที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา เจ้ากระทรวง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" จัดคิวประชุมด่วนช่วงบ่ายแก่ ๆ หวังให้สรุปจบโดยเร็ววัน

แต่สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งเป็นประธาน เมื่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี เรียกไปพบที่ทำเนียบด่วน พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ "พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต" และ "ประเสริฐ จันทรรวงทอง"

ว่ากันว่า...ที่ 3 บิ๊กหูกวางถูก

"นายกฯหญิง" เรียกตัวด่วนแบบไม่ได้ตั้งตัว นอกจากกรณีเกิดเหตุประท้วงหยุดทำโอทีของสหภาพ "กทท.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย" และต้องการเร่งงานที่ยังล่าช้าให้เร็วขึ้น

อีกเป้าหมายเพื่อติดตามบัญชีรายชื่อโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทของ "คมนาคม" ที่ยังไม่ลงล็อก โดยเฉพาะแผนโครงการถนนของ 2 หน่วยอย่าง "กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท" ที่มีเทศกาล "ชักเข้า-ชักออก" อยู่ตลอดเวลา ด้วยผู้คุมหน่วยก็ไม่อยากตัดโครงการของตัวเองออก

เพราะต่างก็รู้กันดีว่า "งบฯถนน" เป็นสิ่งที่ "ส.ส." อยากดึงไปลงพื้นที่ตัวเองให้มากที่สุด เนื่องจากจับต้องง่ายและเกิดได้เร็ว จึงไม่แปลกที่แผนลงทุนถนนจึงยังไม่นิ่ง เพราะยังมีคลื่นใต้น้ำตีกระเพื่อม "จัดสรรเงิน-จัดสรรพื้นที่" ลงทุน

แต่ที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้น เมื่อ "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เด็กในคาถา "เจ๊ ด." แห่งวังบัวบาน จู่ ๆ ก็มาปรากฏตัวที่ "คมนาคม" และทำหน้าที่ประธานที่ประชุมแทน"ชัชชาติ" ทันทีที่มีภารกิจด่วนอยู่ที่ทำเนียบ

แม้การประชุมใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1 ชั่วโมง และยุติลงแบบไร้ข้อสรุป เมื่อเจ้ากระทรวงไม่อยู่ โปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่ "กรมทางหลวง" และ "กรมทางหลวงชนบท" เสนอเพิ่ม จึงยังไม่สามารถบรรจุในสารบบบัญชีได้ถึงการประชุมจบไปแล้ว แต่ยังมีเสียงวิพากษ์ถึงการมาของ "วราเทพ" มีนัยสำคัญซ่อนเร้น จะมาช่วยสแกนจุดอ่อนจุดแข็งของโครงการให้จบโดยเร็ว หรือมีจุดเป้าหมายอื่น

หลังก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวออกมาเป็นระยะว่า งานถนนที่ยังไม่ตกผลึก เพราะยังมีคลื่นแทรกของคนกันเอง

ขณะที่บรรยากาศในที่ประชุม ยังมีโครงการถนนที่ 2 อธิบดีจาก "กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท" พยายามเสนอขอใช้เงินลงทุนจาก 2 ล้านล้านบาท

"มีโครงการถนนทั้งทางหลวงและทางหลวงชนบทเสนอกลับเข้าสู่ที่ประชุมอีก หลังรอบที่แล้วถูกตัดเงินลงทุนไป แต่ยังไม่ได้อนุมัติและวงเงินก็ยังไม่สรุป รอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาพิจารณาก่อน" แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมกล่าวและว่า

สำหรับแผนงานที่ "กรมทางหลวง" เสนอเพิ่มมี 2 รายการ มูลค่าลงทุนกว่า 15,000 ล้านบาท หลังถูกตัดโครงการไปเหลือ 180,230 ล้านบาท (ณ วันที่ 4 ก.พ.)

โดยโครงการใหม่ที่เสนอ ประกอบด้วย โครงการขยายถนน 4 ช่องจราจร จำนวน 15 สายทาง วงเงิน 13,200 ล้านบาท ในพื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ 11 สายทาง มีจังหวัดพังงา สุราษฎร์ธานี สงขลา ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และเมืองระดับรอง 4 สายทาง ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร ลำพูน ลพบุรี และนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างสะพานกลับรถบนถนนสายหลัก จำนวน 9 แห่ง ประมาณ 2,000 ล้านบาท

"หลังโครงการใหญ่อย่างมอเตอร์เวย์ 2 สาย ทั้งสายบางปะอิน-โคราช และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่กรมทางหลวงพยายามจะขอค่าก่อสร้างด้วย แต่ได้เฉพาะค่าเวนคืนที่ดิน จึงหาโครงการอื่นมาแทน แต่ยังไม่สรุป" แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับในส่วนของ "กรมทางหลวงชนบท" ขอเพิ่มอีก 8,000 ล้านบาท จากเดิมที่ถูกตัดเหลือ 48,731 ล้านบาท สำหรับค่าเวนคืนที่ดินก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อม "อ.พระสมุทรเจดีย์ กับ อ.มหาชัย" ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการและสมุทรสาคร จากเดิมถูกตัดออกไปแล้ว เนื่องจากใช้เงินก่อสร้างค่อนข้างสูงถึง 49,000 ล้านบาท

ขณะที่บทบาทของ "รองนายกฯวราเทพ" ในที่ประชุมวันนั้น กำชับให้แต่ละหน่วยพิจารณาโครงการเป็นภาพรวมตามยุทธศาสตร์ เชื่อมโยงเมืองเศรษฐกิจหลักในภูมิภาค และใช้เงินลงทุนในงบประมาณปกติไม่ได้

แต่ไม่ลืมโฟกัสไปที่ "โครงการถนน" ซึ่งระบุว่าต้องเป็นเส้นทางโครงการใหญ่ที่พร้อมดำเนินการ ช่วยเสริมศักยภาพของการเป็น "ฮับ" หรือศูนย์กลางทั้ง "เมืองหลัก-เมืองรอง" ครอบคลุมทุกภูมิภาคและรองรับประตูการค้าชายแดนทั้ง9 แห่ง ประกอบด้วย ด่านเชียงของ แม่สาย แม่สอด หนองคาย มุกดาหาร นครพนม อรัญประเทศ สะเดา และปาดังเบซาร์ เช่น ขยายถนนสายหลักเป็น 4 ช่องจราจร เชื่อมระหว่างเส้นทางเศรษฐกิจการค้า

ซึ่ง "ภาคเหนือ" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ลำปาง แม่ฮ่องสอน ลำพูน กำแพงเพชร สุโขทัย พิจิตร และเพชรบูรณ์" มีประตูการค้าอยู่ที่ "เชียงราย-ตาก"

[COLOR="DarkRed"]"ภาคอีสาน" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย นครราชสีมา อุบลราชธานี ซึ่งเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "เลย-กาฬสินธุ์-ชัยภูมิ-ร้อยเอ็ด-บุรีรัมย์ และสุรินทร์" ส่วนประตูการค้าอยู่ที่ "มุกดาหารและนครพนม"[/COLOR]

ขณะที่ "ภาคกลาง" มีกรุงเทพฯและเมืองปริมณฑลเป็นเมืองศูนย์กลาง และมีจังหวัด "สระบุรีและลพบุรี" เป็นเมืองระดับรอง

"ภาคตะวันตก" เมืองศูนย์กลางอยู่ที่ "ประจวบคีรีขันธ์และเพชรบุรี" มี "ราชบุรีและสมุทรสงคราม" เป็นเมืองระดับรอง มีจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประตูการค้า

"ภาคตะวันออก" มีจังหวัด "ชลบุรีและระยอง" เป็นเมืองศูนย์กลาง ส่วนเมืองระดับรองอยู่ที่จังหวัด "ฉะเชิงเทรา จันทบุรี

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1361519435&grpid=02&catid=19&subcatid=1901
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #584 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2013, 19:22:35 »

ยี่ปั๊ว"คลอดแผนสู้ศึกโมเดิร์นเทรด ผนึกโชห่วยหมื่นราย-ผู้ผลิตไทยจัดโปรโมชั่นทั้งปี


Prev1 of 1Next
updated: 21 ก.พ. 2556 เวลา 18:15:30 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ยี่ปั๊วผนึกกำลังทั่วประเทศคลอดแผนสู้ศึกโมเดิร์นเทรดต้นเดือนมีนาคมนี้ มีกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ แบ็กอัพ รวมสมาชิก 70 รายทั่วประเทศ พร้อมโชห่วย 1 หมื่นแห่งเดินหน้าจัดอีเวนต์ โปรโมชั่นร่วมกันหั่นราคาลง 20-30% ต่อเนื่องทั้งปี หวังสร้างอิมแพ็ก ชู "ราคา" สู้ศึก รับมือคอนวีเนี่ยนสโตร์รุกเปิดสาขาไม่อั้นปีนี้

การแข่งขันที่รุนแรงทั้งในส่วนของผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ และช่องทางค้าปลีก ส่งผลให้ภาพการปรับตัวธุรกิจในปีนี้มีให้เห็นอย่างชัดเจน ที่น่าจับตาคือในส่วนของ "เทรดิชั่นนอลเทรด" หรือค้าปลีกแบบดั้งเดิม ที่ประกอบด้วยยี่ปั๊ว

ซาปั๊ว หรือ "โชห่วย" ถือเป็นอีกฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญของวงการธุรกิจไทย ซึ่งเริ่มมีความเคลื่อนไหวเพื่อต่อกรกับทางฝั่งโมเดิร์นเทรดอย่างชัดเจนตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการคลอดแนวคิดผนึกตัวสมาชิกทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและอำนาจการต่อรองของตัวเอง ซึ่งล่าสุดได้มีการสรุปแนวทางและเตรียมเปิดตัวโครงการในวันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้

ยี่ปั๊วคลอดแผนสู้โมเดิร์นเทรด

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากแนวคิดของสมาคมที่ริเริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยรวมตัวยี่ปั๊วทั่วประเทศผนึกกับซัพพลายเออร์ไทย ขนาดกลางและเล็ก พัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ขณะนี้ถือว่าเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น โดยที่ผ่านมาตนในฐานะนายกสมาคมได้เดินทางไปประชุมกับสมาชิกในแต่ละภาค ตั้งแต่สมุทรสงคราม, เชียงราย, ขอนแก่น และสุดท้ายคือสงขลา เพื่อสรุปแนวทางในการดำเนินงานทั้งหมด ก่อนที่จะจับมือกับกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ จัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการดังกล่าวในวันที่ 7 มีนาคมที่จะถึงนี้

รูปแบบเบื้องต้นคือการผนึกกำลังซัพพลายเออร์คนไทย ขนาดเล็ก-กลาง เบื้องต้น 10 ราย กับยี่ปั๊วทั่วประเทศ 70 ราย จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด 110 ราย จัดตั้งโครงการดังกล่าวขึ้น ซึ่งขณะนี้ยัง

ไม่ได้สรุปชื่อโครงการ กิจกรรมในช่วงแรกคือการทำอีเวนต์และโปรโมชั่นพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เมษายนเป็นต้นไป เพื่อสร้างอิมแพ็กให้เกิดขึ้น โดยช่วงแรกยังให้ยี่ปั๊วแต่ละราย แต่ละจังหวัดดำเนินการสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเอง เพราะแต่ละภูมิภาคก็ขายของไม่เหมือนกัน แต่ในอนาคตก็มีแผนจัดตั้งในรูปแบบ "สหกรณ์" เพื่อรวมระบบการสั่งซื้อสินค้า และโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุน

ชี้โมเดลร้านถูกใจแข่งขันยาก

ทั้งนี้ โมเดลดังกล่าวจะแตกต่างจากโครงการ "ร้านค้าถูกใจ" ของกรมการค้าภายใน ซึ่งเป็นโครงการเพื่อช่วยเหลือและลดภาระค่าครองชีพประชาชนผ่านร้านค้าย่อย ซึ่งจะหมดอายุโครงการในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ปัจจุบันมีร้านค้าถูกใจที่ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 6,800 ราย

นายสมชายกล่าวว่า โมเดลดังกล่าวประสบความสำเร็จได้ยากในแง่ของการดำเนินธุรกิจในความเป็นจริง เพราะเป็นการสั่งซื้อของแพง แต่มาจำหน่ายในราคาถูกต่ำกว่าท้องตลาด 20-30% โดยที่รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุน

"เรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่สำเร็จ เพราะเป็นโมเดลที่ไม่ถูก เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดออกมาแค่ชั่วคราว พองบฯ ของทางรัฐบาลหมด ก็ต้องสิ้นสุดกันไป แต่หลังจากนี้ทางกรมการค้าภายในจะพัฒนาต่อยอดโครงการนี้ต่อไปอย่างไรยังไม่แน่ชัด แต่ก็ไม่อยากให้ดันทุรัง ที่สำคัญต้องคำนึงถึงกลไกการแข่งขันในตลาดที่แท้จริง"

ตั้งเป้าโชห่วยหมื่นรายโปรโมชั่นสู้

นายสมชายกล่าวเพิ่มเติมว่า คาดหวังร้านค้าย่อย หรือโชห่วย 1 หมื่นรายทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการนี้ โดยเบื้องต้นจะได้จากร้านค้าเครือข่ายของสมาชิกยี่ปั๊ว ซึ่งเฉลี่ยยี่ปั๊ว 1 รายจะมีร้านค้าโชห่วยที่ส่งสินค้าให้ 200 ร้านค้า หากรวมสมาชิก 70 รายที่เข้าร่วมโครงการนี้ เท่ากับว่าจะมีร้านโชห่วยประมาณ 14,000 รายสำหรับการรวมตัวกันครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มากเพียงพอในการสู้กับทางโมเดิร์นเทรด และดึงดูดลูกค้าได้ ทั้งนี้จะมีการทำโปรโมชั่นเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง

"เดิมยี่ปั๊วหรือร้านค้าก็แยกกันจัดโปรโมชั่น ต่างคนต่างทำ ครั้งนี้คือทำเป็นแนวทางเดียวกัน อาทิ เดือนเมษายนนี้จะนำสินค้าของซัพพลายเออร์ที่เข้าร่วมโครงการมาลดราคาลง 25-30% การทำอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็ทำให้เกิดอิมแพ็ก"

"คอนวีเนี่ยนส์" ขยายสาขาไม่ยั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปรับตัวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการขยายตัวเชิงรุกของโมเดิร์นเทรดโดยเฉพาะ "คอนวีเนี่ยนสโตร์" หรือร้านค้าใกล้บ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของโชห่วยที่มาพร้อมกับความสะดวกสบาย และสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของโชห่วย ซึ่งวันนี้เสียเปรียบทั้งเรื่องของโลเกชั่น การจัดดิสเพลย์ในร้าน รวมถึงตัวสินค้ากลุ่มอาหาร

อย่างไรก็ตาม นายกสมาคมยี่ปั๊วมองว่า ที่ทางยี่ปั๊วและโชห่วยพอจะนำมาสู้ได้ก็คือ "ราคา" ผ่านโครงการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ เชื่อว่าจะเป็นหนทางอยู่รอดได้บ้างของช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิม ควบคู่ไปกับการพัฒนาในด้านอื่น ๆ จากนี้

จากตัวเลขของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุว่า เดือนธันวาคม 2555 ปัจจุบันคอนวีเนี่ยนสโตร์ทั่วประเทศมีสาขารวมกันกว่า 1 หมื่นสาขา อาทิ เซเว่นอีเลฟเว่น 6,450 สาขา, เทสโก้ เอ็กซ์เพรส 1,060 สาขา 108 ช็อป 630 สาขา เป็นต้น โดยคาดว่าปีนี้ทุกแบรนด์จะเปิดสาขารวมกันไม่ต่ำกว่า 1,000 สาขา ล่าสุดยังมีผู้เล่นรายใหม่คือ "ลอว์สัน" จากประเทศญี่ปุ่น ที่จับมือกับทางสหพัฒน์เตรียมเปิดร้านสาขาแรกในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ พร้อมปรับร้าน 108 ช็อป 265 สาขามาเป็นแบรนด์ "ลอว์สัน 108" ที่จะทยอยเปิดหลังจากนี้

เร็ว ๆ นี้ "เทสโก้ โลตัส" เตรียมจะแถลงกลยุทธ์ฉลอง 10 ปี โรลแบ็ค ถือเป็นแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี ซึ่งร่วมกับซัพพลายเออร์นำสินค้ากว่า 1,000 รายการในทุกแผนก ตั้งแต่อาหารสด ของใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ภายในบ้าน นำมาจัดโปรโมชั่นเพิ่มเติมจากช่วงปกติ ที่มีความร่วมมือกับซัพพลายเออร์จัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #585 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2013, 14:57:34 »

น้ำโขงไม่แห้งเรือสินค้าคึกการค้าเชียงแสนทะลุ1.3หมื่นล.

PRACHACHAT ONLINE
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 สาขา จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ปัจจุบันระดับน้ำในแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 เมตร ยังสามารถเดินเรือสินค้าในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-พม่า-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ได้ตามปกติ ไม่ได้ประสบปัญหาการขนส่งจากความแห้งแล้งเหมือนปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สาเหตุระดับน้ำโขงทรงตัวยังไม่มีข้อมูลแน่ชัด แต่อาจเป็นไปได้ว่าประเทศจีนมีการบริหารจัดการการปล่อยน้ำจากเขื่อนในน้ำโขงเขตจีนตอนใต้ เนื่องจากปัจจุบันเรือสินค้าจีนแม้จะเป็นสัญชาติ สปป.ลาว แต่ก็มีการขนส่งสินค้าไปยังตลาดในประเทศจีนเช่นกัน โดยมีการนำเรือขึ้นฝั่งแม่น้ำโขงก่อนถึงประเทศจีน และขนส่งทางบกไปยังจีนตอนใต้ต่อไป

นอกจากนี้ช่วงเวลาการเดินเรือที่ขยายมากขึ้น ทำให้มีเรือสินค้าเข้าไปใช้บริการที่ท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 ซึ่งเปิดใช้ใหม่ที่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2555 มีเรือไปใช้บริการแล้วกว่า 829 ลำ เพิ่มขึ้นจากเดือนละไม่เกิน 500 ลำ ส่งผลให้ภาวะการค้าชายแดนค่อนข้างคึกคัก เพราะนอกจากจะมีสินค้าชนิดเดิมแล้ว ปัจจุบันยังมีสินค้าใหม่ ๆ หลายชนิด เช่น สมุนไพร ไม้ ปลากรอบ ฯลฯ รวมทั้งมีผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้น

หลายราย ล่าสุดพ่อค้าชาวจีนสั่งซื้อไก่แช่แข็งจากผู้ประกอบการชาวไทยกว่า 100,000 ตัน แต่สามารถจัดส่งไปให้ได้เพียง 30,000 ตัน จึงส่งผลให้เรือสินค้าขนสินค้าเดินเรือเป็นประจำทุกวัน

ด้านนายวีระ จินนิกร ผู้จัดการท่าเรือน้ำโขงอำเภอเชียงแสน แห่งที่ 2 เปิดเผยว่า การขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-จีน ระยะทาง 300 กว่ากิโลเมตร ล่าสุดยังคงเป็นปกติและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพราะปีนี้น้ำแห้งช้า ขณะเดียวกัน เรือสินค้าสัญชาติ สปป.ลาว มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ล่าสุดมีมากกว่า 200 ลำ จากเดิม 40-50 ลำ คาดว่าจะทำให้การค้าชายแดนเชียงรายคึกคักตลอดทั้งปี

สำหรับการค้าชายแดนผ่าน อ.เชียงแสน ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการค้ารวม 13,114.66 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 13,626.88 ล้านบาท และนำเข้า 512.22 ล้านบาท

ส่วนในปี 2554 มีมูลค่ารวม 7,891.91 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 8,991.17 ล้านบาท นำเข้า 1,099.9 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นไก่แช่แข็ง เนื้อกระบือแช่แข็ง สุกรมีชีวิต ฯลฯ โดยสินค้าส่วนหนึ่งถูกส่งด้วยเรือสินค้าสัญชาติ สปป.ลาว ขนาดเล็กไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองสบหรวย สหภาพเมียนมาร์ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือเชียงแสนประมาณ 182.1 กิโลเมตร ก่อนจะขนส่งทางบกไปยังตลาดเมืองลา ชายแดนพม่า-จีน และตลาดในจีนตอนใต้ต่อไป
 

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1361766669&grpid=03&catid=19&subcatid=1901
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #586 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:00:18 »

อ้างจาก: WiiCHY;100765328
มีท่านใดเอามาลงแล้วหรือยัง





https://webapp.reedtradex.co.th/enews/me12epostshow/image/preparation_of_infrastructure_and_efficient.pdf
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #587 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:35:42 »


วันศุกร์ ที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
tags : อุตฯตั้งนิคม, SME, รับทุนต่างชาติ,
 

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรมกล่าวว่า ได้มอบหมายให้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับกลุ่มอุตสาหกรรมของประเทศเป้าหมาย เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์ และการค้าชายแดน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ นอกจากนี้จะเป็นการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รวมทั้งรองรับกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ที่ให้ความสนใจในการย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในประเทศมากขึ้น

โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจะประกอบด้วย 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร

ทั้งนี้มีแนวทางในการดำเนินโครงการ คือ การพัฒนาพื้นที่เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มอุตสาหกรรม โดยการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม SMEs ในพื้นที่ 3 แห่งได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจังหวัดใกล้ชายทะเล อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา เป็นต้น การพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการให้บริการด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดน โดยตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริการด้านโลจิสติกส์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย และการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมตามพื้นที่เป้าหมาย โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โดยนำร่องในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีผลการศึกษาความเป็นไปได้ 8 จังหวัด คือ นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร สกลนคร นครพนม และหนองคาย

“ในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวจะใช้พื้นที่ทั้งหมด 18,000 ไร่ โดยเป็นเงินลงทุนของภาคเอกชนในการก่อสร้างจำนวน 27,000 ล้านบาท จะทำให้มีการจ้างงาน 212,000 คน โดยคาดว่าจะมีมูลค่าประกอบการที่เข้ามาลงทุนทั้งสิ้น 517,000 ล้านบาท” นายประเสริฐกล่าว
 

 


 
- See more at: http://www.naewna.com/business/43259#sthash.1S5WybWr.dpuf
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #588 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 07:39:15 »

อุตฯเพิ่มพื้นที่ 1.8 หมื่นไร่ตั้งนิคมฯ 12 แห่งรองรับนักลงทุนทะลักเข้า
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 16:36 น.

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)  เห็นชอบแนวทางการพัฒนาโครงการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใหม่ 12 แห่งในพื้นที่ 18,000 ไร่ รองรับการเข้าของนักลงทุนโดยเฉพาะ ญี่ปุ่นและจีน ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าพื้นที่การลงทุนในนิคมฯ 47 แห่งพื้นที่กว่า 50,000 ไร่ใกล้เต็มความจุ


  สำหรับนิคมอุตสาหกรรมใหม่ทั้ง 12 แห่งประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (นิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี) ได้กำหนดเป้าหมายรวม 3 แห่ง ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกติดชายทะเล , นิคมอุตสาหกรรมโลจิสต์ติกส์ อ.เชียงของ จ.เชียงราย  และ.นิคมอุตสาหกรรมเพิ่มเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีก 8 แห่งประกอบด้วย นิคมฯในจังหวัดนครราชสีมา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, อุดรธานี, มุกดาหาร, สกลนคร, นครพนม, และหนองคาย


  “ทั้ง 12 นิคมอุตสาหกรรมใหม่ จะใช้พื้นที่รวม 18,000 ไร่  คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนรวม 27,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมทุนกับผู้พัฒนานิคมเอกชนและเงินลงทุนก็จะเป็นของเอกชนทั้งหมด ส่วนรัฐก็จะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างความสบายแก่นักลงทุน ซึ่งนิคมฯใหม่ทั้งหมดคาดว่าจะจ้างงานเพิ่มรวม 212,000 คน และมีเอกชนเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานมูลค่ารวม 517,000 ล้านบาท”


  นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการ กนอ. กล่าวว่า คณะกรรมการกนอ. ได้เห็นชอบให้กนอ.ร่วมกับบริษัทเอกชน ในการจัดตั้งหน่วยธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด ไปดำเนินการลงทุนตั้งนิคมอุตสาหกรรมในต่างประเทศ รวม 4 แห่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับนักลงทุนไทยที่ต้องการไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน  โดยนิคมอุตสาหกรรมใหม่จะมีความชัดเจนภายในปีนี้

http://m.dailynews.co.th/businesss/187542
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #589 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 09:39:26 »

หอค้าเชียงรายผลัดใบ ได้คนชายแดนนั่ง ปธ.คนใหม่ เน้นลุยจีเอ็มเอสก่อนเออีซี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   28 กุมภาพันธ์ 2556
เชียงราย - หอการค้าเมืองพ่อขุนผลัดใบ ได้ตัวประธานคนใหม่จากแม่สาย หัวเมืองชายแดนสำคัญ หวังดัน “เชียงราย” เป็นทั้งประตู และศูนย์กลาง “จีเอ็มเอส” เน้นตลาดที่จับต้องได้ ทั้งพม่า ลาว จีน เวียดนาม ที่ค้ากันมานาน ก่อนก้าวสู่เออีซี
       
       วันนี้ (28 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่าการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2556 หอการค้าจังหวัดเชียงราย มีวาระสำคัญ คือ การเลือกตั้งประธานคนใหม่แทนนายชวลิต สุธรรมวงศ์ อดีตประธานที่หมดวาระลง ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย และประธานหอการค้าอำเภอแม่สาย ได้รับเลือกตั้งด้วยเสียงเป็นเอกฉันท์
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า จะจัดตั้งคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ เพื่อกำหนดนโยบายไปแถลงต่อที่ประชุมใหญ่หอการค้าอีกครั้งในวันที่ 22 มีนาคม แต่เบื้องต้นมีแนวนโยบายกว้างๆว่า จะพยายามผลักดันให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้า เชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (จีเอ็มเอส) ให้ได้ เพราะถือว่าเป็นจังหวัดที่มีภูมิศาสตร์ดีเลิศที่สุดแล้ว ทั้งด่านการค้ากับประเทศพม่า ลาว เชื่อมไปถึงจีนตอนใต้ มีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งทางบก ทางเรือในแม่น้ำโขง และทางอากาศ
       
       “ส่วนการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในอีก 2 ปีข้างหน้านั้น ที่จริงแล้วการผลักดันให้เชียงรายเป็นศูนย์กลางจีเอ็มเอสก็เป็นส่วนหนึ่งของเออีซีเช่นกัน และประจวบเหมาะกับการดำรงตำแหน่งประธานหอการค้าที่จะมีการพิจารณากันทุก 2 ปี ก็สอดรับการกับเข้าสู่เออีซีในปี 2558 พอดีด้วย”
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า แนวทางการทำงานของหอการค้าในอนาคต คงไม่มองในมิติที่กว้างมากเกินไป จะไม่เน้นกลุ่มเออีซีซึ่งครอบคลุมถึง 10 ประเทศ ประชากรร่วม 600 ล้านคน เพราะถือว่าใหญ่เกินไป แต่จะมองในมุมที่ภาคธุรกิจภูมิภาคสามารถปฏิบัติได้จริง อาศัยภูมิศาสตร์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมอยู่แล้วเป็นตัวขับเคลื่อน รวมทั้งอาศัยหน่วยงานภาครัฐและสื่อมวลชนช่วยเหลือผลักดันเรื่องจีเอ็มเอส เพราะปัจจุบันมีการติดต่อค้าขายกันอยู่ เป็นตลาดรองรับสินค้าจากไทยอยู่แล้ว เช่น พม่าที่มีประชากรกว่า 60 ล้านคน เวียดนาม 90 ล้านคน จีนตอนใต้ร่วม 200 ล้านคน ยังไม่รวมลาว ที่ค้าขายกันเป็นปกติ
       
       “ปัจจุบันเชียงรายมีการค้ากับท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่าอย่างมหาศาล หากเราใช้พม่าเป็นฐานกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาหาร และการเกษตรจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ เช่น กระจายไปบังกลาเทศ อินเดีย และจีน ซึ่งต้องผลักดันตั้งแต่วันนี้ เพราะเชื่อว่าอีก 5-10 ปี เส้นทางคมนาคมในพม่าจะสะดวกมากขึ้ ขณะเดียวกัน เมื่อดูทางลาวและจีนตอนใต้เห็นได้ว่าหลังเกิดเหตุเรือสินค้าจีนถูกปล้นฆ่าดินสินค้าในแม่น้ำโขง ทำให้การค้าด้าน อ.เชียงของ ผ่านถนนอาร์สามเอเข้าไปลาว มีปริมาณมาเป็นอันดับ 1 แทนที่ อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน ซึ่งจะต้องผลักดันเรื่องความสะดวกในการส่งสินค้าไทยไปยังตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่ต่อไป”
       
       นายบุญธรรมกล่าวว่า ด้านการท่องเที่ยวเราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวชาวจีนทะลักลงมาจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น หอการค้ายุคใหม่จึงจะผลักดันให้กลุ่มคนเหล่านี้พักในเชียงราย หรือ 17 จังหวัดภาคเหนือ ก่อนที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะเดินทางต่อไปยังภูมิภาคอื่นต่อ เพื่อจะได้มีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่
       
       “แนวทางหลัก คือ ต้องผลักดันให้เชียงรายเป็นทั้

งศูนย์กลาง เป็นประตูสู่จีเอ็มเอส และส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาคนี้ด้วย ส่วนที่เหลือเป็นวิธีการที่เราในฐานะภาคธุรกิจจะได้นำเสนอต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องๆ ไป อย่างไรก็ตาม ภาคการเมืองของไทยยังมีปัญหากันอยู่ ดังนั้น ภาคธุรกิจอย่างเราต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อยืนหยัดผลักดันนโยบายต่อไป”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000025201
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #590 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2013, 19:01:40 »


อดีตเลขาฯอาเซียน ระบุเชียงใหม่มีภูมิศาสตร์เหมาะสมเชื่อมโยงกับเออีซีและคู่ทางการค้าจีน แนะพัฒนาโครงข่ายคมนาคม

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาพิเศษเรื่อง"โอกาสความร่วมมือประชาคมอาเซียน+จีน"ในงาน 40 ปีผสานใจนักธุรกิจไทยจีนเชียงใหม่ ที่อาคารศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) มีประชากรรวมกันทั้ง 10 ประเทศสมาชิกราว 600 ล้านคน จะรวมตัวกันเป็นประชาคมในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือในปี 2558 และจะกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อรวมจีดีพีของทั้ง 10 ประเทศมีประมาณ 2.4 ล้านล้านหรียญสหรัฐ แต่ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจีดีพีของประเทศจีน ซึ่งมีจีดีพีสูงถึง 7.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จีนจึงมีความสำคัญกับเออีซีอย่างมาก โดยประเทศที่มีพรมแดนติดจีน เช่น พม่า ลาว เวียดนาม แต่ทั้ง 3 ประเทศไม่ใช่ผู้ก่อตั้งอาเซียน แต่ไทยคือผู้ก่อตั้ง ซึ่งไทยมีเศรษฐกิจอยู่ในอันดับ 2 ของเออีซีรองจากอินโดนีเซีย ด้วยความผูกพันระหว่างไทยจีนที่มีพรมแดนห่างกันเพียง 200 กม.โดยมีแม่น้ำโขงและสายการบินเป็นตัวเชื่อมโยง

นอกจากนี้ไทยยังมีนักธุรกิจที่มีเชื้อสายจีนจึงสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในภูมิศาสตร์ที่มีส่วนช่วยเชื่อมโยงความร่วมมือและผลักดันประชากรในเออีซีทั้ง 600 ล้านคน เพราะความพร้อมของไทยจะนำโอกาสมาสู่เออีซี และคู่เจรจาเช่นจีน ขณะนี้ทั้งประเทศไทยตื่นตัวกับเออีซี แต่ยังเป็นการตื่นตัวแบบตระหนก กลุ่มที่มีความพร้อมที่สุด คือ นักธุรกิจ และประชาชนไทยที่มีเชื้อสายจีน ซึ่งไปผูกโยงกับประเทศจีนที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก หลังจีนเปิดประเทศ กลุ่มคนจีนโพ้นทะเลในเอเชียใต้เข้าไปลงทุนในจีนมากที่สุด แม้ช่วงแรกไม่ประสบผลสำเร็จแต่เป็นเรื่องปกติของการลงทุน เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

ดร.สุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของจีนเต็มหมดแล้ว ฉะนั้นจุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมสำคัญนักลงทุนในเออีซี คือ จังหวัด รัฐ และมณฑลภายในของจีน ซึ่งเมืองเล็กๆเหล่านี้มีประชากรไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน ทำอย่างไรที่จะให้เฉินตู คุนหมิง กวางสี เป็นจุดเศรษฐกิจที่เอกชนในเออีซีเข้าไปผูกโยงได้ ต้องทีระบบการเชื่อมโยง โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่นโครงข่ายคมนาคมทั้ง รถไฟ เครื่องบิน ฯลฯ เหล่านี้ถือเป็นจิตวิญญาณของข้อตกลงความร่วมมือของกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หรือ จีเอ็มเอส ที่รัฐบาลจีนพยายามมุ่งเน้นสร้างเครือข่ายโลจิสติกส์ขึ้นมาเชื่อมโยง ทั้งเส้นทางคมนาคมทางบก เส้นทางรถไฟ สายการบิน รวมทั้งสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่จีนออกเงินสร้างคนละครึ่งกับรัฐบาลไทย จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่สะดวกที่สุดไปยังมณฑลตอนใต้ของจีน คือ เชียงรุ้ง ยูนาน และคุนหมิง ที่เป็นเมืองใหญ่สุดในภูมิภาคตอนใต้ที่จีนให้ความสำคัญอย่างมากในเวลานี้เมื่อมีการเชื่อมโยงเกิดขึ้นแล้วเชียงใหม่จะได้รับประโยชน์พัฒนาในจีเอ็มเอส และก้าวต่อไปคือ บิมสเทค

"สิ่งที่ต้องตระหนักคือโอกาสของจังหวัดเชียงใหม่มีมากในเออีซี ทั้งด้านการลงทุน การพัฒนาและการแลกเปลี่ยนด้านท่องเที่ยว การศึกษา การคมนาคม ฯลฯ แต่การแข่งขันมีสิ่งท้าทายที่สำคัญสุด คือ เราพร้อมจะออกไปแข่งขันในเวทีเออีซีหรือไม่ คนไทยยังเคยชินและติดกับอดีต แม้ตื่นตัวแต่ยังตื่นตัวกันแบบผิดๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐของบประมาณมาทำเรื่องเออีซี แต่ละกระทรวงมีงบประมาณรวมกันมากกว่าหมื่นล้านบาทมาทำเรื่องเออีซี สิ่งที่ต้องทำ คือ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ใหม่ เชื่อว่านักธุรกิจไทยเปลี่ยนมานานแล้ว แต่สิ่งที่ไทยควรเปลี่ยนแปลงคือ ระบบการศึกษาที่ต้องปรับเปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องสอนให้ท่องจำ แต่ควรสอนให้รู้จักคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ต้องมีการปฎิรูประบบราชการและการศึกษา ในอดีตระบบราชการเคยเป็นเสาหลักของประเทศ แต่ปัจจุบันระบบราชการเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา"ดร.สุรินทร์ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20130302/492954/สุรินทร์ชี้เชียงใหม่เหมาะเชื่อมเออีซี.html




* image.jpg (99.58 KB, 615x635 - ดู 265 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #591 เมื่อ: วันที่ 03 มีนาคม 2013, 07:52:12 »

 
“ผมลงพื้นที่เก็บข้อมูลมาหลายประเทศในอาเซียน มีเพียงประเทศไทยที่ดูเหมือนจะบ้าจี้ไปกับเรื่องเออีซีมากเป็นพิเศษเพียงประเทศเดียว อะไรๆก็เออีซีไว้ก่อน แม้แต่การของบประมาณของหน่วยงานราชการก็ต้องพ่วงท้ายด้วยเออีซี  แต่ไม่มีความเข้าใจว่าเออีซีคืออะไร เป็นแค่ข้ออ้างในการใช้งบประมาณเท่านั้น”

ประโยคสนทนาอันดับต้นๆจาก รศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์ อาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวหน้าสาขาวิชาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ โลจิสติกส์และการขนส่ง  เป็นการให้ข้อมูลระหว่างเดินทางสำรวจโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์มาเลเซียและการอำนวยความสะดวกทางการค้าเส้นทางไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัย “การสังเคราะห์ผลกระทบต่อประเทศไทยจากการจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และการปรับรูปแบบโซ่อุปาทานภายใต้บริบทประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” โดยเป็นงานวิจัยที่ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกันสนับสนุน

รศ.ดร.รุธิร์ได้ฉายภาพการตื่นตัวของประเทศต่างๆเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีต่อว่า ทางประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียนยังมองว่า เรื่องเออีซียังไม่ใช่ประเด็นหลัก เนื่องจากเงื่อนไขด้านภูมิศาสตร์ของประเทศมีเกาะกว่า 17,000 เกาะ ต้องสร้างระบบเชื่อมโยงภายในประเทศทั้งโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพได้เสียก่อน ขณะเดียวกันหากจะมองเรื่องที่ว่าการรวมตัวของเออีซีทำให้ตลาดใหญ่ขึ้น  ทางอินโดนีเซียก็มองว่า ประชากรของอินโดนีเซียมีจำนวน 255 ล้านคน เป็นตลาดใหญ่จึงให้ความสำคัญมุ่งเน้นตลาดในประเทศก่อนที่จะให้ความสำคัญกับเออีซี


เช่นเดียวกับประเทศฟิลิปปินส์ ที่ลักษณะพื้นที่มีเกาะจำนวนมาก ยังมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงภายในประเทศ ดังนั้น เรื่องเออีซีจึงเป็นเรื่องที่ยังห่างไกลมากและสาเหตุที่ฟิลิปปินส์ต้องซื้อข้าวจากไทย ไม่ใช่เพราะปลูกข้าวไม่เพียงพอสำหรับบริโภคในประเทศ  แต่แหล่งปลูกข้าวอยู่ในเกาะตอนใต้ค่าขนส่งทางเรือมากรุงมะนิลาแพงกว่าการซื้อข้าวจากไทยและเวียดนาม ส่วนประเทศสิงคโปร์ให้ความเห็นว่าการขับเคลื่อนเออีซีไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์มากนัก เพราะที่ผ่านมาสิงคโปร์ก็เปิดกว้างอยู่แล้ว จึงสามารถทำธุรกิจได้เหมือนเดิมและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของสิงคโปร์ก็ทันสมัยมาก มองไปไกลกว่าภูมิภาคอาเซียนด้วยซ้ำ

ขณะที่ประเทศเวียดนามมองว่า การเปิดเออีซีไม่ใช่ปัญหาเพราะในเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เวียดนามเป็นสมาชิกจะต้องเปิดเสรีทุกอย่างในปี 2014 เวียดนามจึงให้ความสำคัญกับกรอบของ WTO มากกว่าเออีซี ส่วนประเทศมาเลเซียถ้ามองในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ ทางมาเลเซียมีเป้าหมายก้าวไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2020 จึงไม่น่าแปลกใจที่มาเลเซียไม่ค่อยสนใจเรื่องกรอบเออีซีมากนัก แค่พัฒนาให้ท่าเรือรองรับการให้บริการตลาดหลักอย่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ได้ ตลาดก็ใหญ่เพียงพอแล้ว

ในระหว่างทีมงานวิจัยได้พบปะหารือกับผู้บริหารของการท่าเรือกลังของมาเลเซีย ที่มีหน้าที่กำกับดูแลท่าเรือสำคัญ 3 แห่งคือ Northport, Southport และ Westport ปัจจุบันสามารถรองรับสินค้าได้ปีละกว่า 100 ล้านตัน ได้ข้อมูลที่สำคัญคือ มาเลเซียมีการจัดการเรื่องฮาลาลแบบครบวงจร ทั้งเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์ คลังสินค้า แพ็กเกจ พนักงาน ทุกอย่างต้องสำหรับอาหารฮาลาลเท่านั้น ไม่มีการใช้ปะปนกัน  เป็นการเพิ่มมูลค่าของการให้บริการท่าเรือยกระดับขึ้นไปอีก ไม่ใช่เน้นเฉพาะแค่ตัวสินค้าเท่านั้นที่เป็นฮาลาล ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ประเทศไทยจะมองข้ามไปไม่ได้หากยังคิดจะเดินหน้าอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลต่อไปในอนาคต

รศ.ดร.รุธิร์ยังให้มุมมองในการจะสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนว่า หากจะให้เออีซีได้รับความสำคัญ ต้องให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจและได้ประโยชน์ร่วมกัน มีการพูดคุยหารือปรับระบบให้เชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำไปคนละทิศละทาง รวมไปถึงกฎระเบียบระหว่างประเทศในภูมิภาคด้วยที่ต้องปรับให้ไปในทิศทางเดียวกัน เดินไปพร้อมๆกัน ที่สำคัญต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งในปัจจุบันต้องยอมรับว่าประเทศไทยรู้น้อยมาก

“การรวมกลุ่มเศรษฐกิจในอาเซียน การสร้างตลาดร่วมกันเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่แค่คิดเพียงว่าเป็นคู่แข่งขันกัน จะหาประโยชน์จากประเทศอื่นได้อย่างไร หรือจะปกป้องประโยชน์ของประเทศตัวเองได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้เดินหน้าเออีซีไม่ได้แน่ ต้องมองว่าจะทำอย่างไรให้ทุกประเทศได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งเรื่องการพัฒนาจุดข้ามแดน การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง การพัฒนาเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน หลายกรอบข้อตกลงในอดีตที่เดินหน้าไม่ได้ก็เพราะต่างคนต่างจะคิดหาแต่ประโยชน์ ปกป้องตัวเองกันทั้งนั้น”

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะเปรียบเทียบการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กับการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรปจะมีความแตกต่างกัน ในยุโรปมีกองทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน หรือ European Infrastructure Fund เป็นแหล่งเงินในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน แต่ของอาเซียนไม่มี ต้องใช้งบ ประมาณของแต่ละประเทศเองและแต่ละประเทศก็มีระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแตกต่างกัน ดังนั้น จึงเกิดปัญหาตามจุดผ่านแดนและยิ่งเปิดเออีซีในปี 2558 จะยิ่งมีการค้าระหว่างกันมากขึ้น ถ้าไม่มีการปรับปรุงจุดผ่านแดนจะกลายเป็นคอขวดในที่สุด จุดผ่านแดนยังถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดอยู่ในขณะนี้.

 

โดย: ทีมข่าวเศรษฐกิจ

http://www.thairath.co.th/content/eco/329767


IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #592 เมื่อ: วันที่ 03 มีนาคม 2013, 21:45:14 »

คนเชียงรายแห่ร่วมมหกรรม SET-TFEX ล้นห้อง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   3 มีนาคม 2556


เชียงราย - ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดห้องจัดมหกรรม SET-TFEX ที่เชียงราย พบคนสนใจแห่ร่วมงานจนล้นห้อง
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า มหกรรม SET-TFEX เชื่อมชาวเหนือสู่การลงทุน ที่จัดขึ้น ณ ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย สุดสัปดาห์นี้ โดยมีนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดงานฯ และมีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเข้าร่วม เช่น นายชาติชาย สงวนพงษ์ ปลัด จ.เชียงราย นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม จนที่นั่งที่โรงแรมจัดเอาไว้ 500 ที่นั่งไม่เพียงพอและมีการยืนฟังกันเต็มบริเวณด้านข้าง
       
       นายจรัมพรกล่าวว่า ในปี 2556 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมมือกับพันธมิตรในตลาดทุนมีกำหนดจัดกิจกรรมนี้ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งเปิดศูนย์ SET Investment Center รวมทั้งกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ด้านการลงทุน โดย จ.เชียงรายถือเป็นหนึ่งในจังหวัดดังกล่าวที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญเพราะเชื่อมโยงกับพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ รวมทั้งมีเส้นทางคมนาคมที่กำลังพัฒนาและการค้าชายแดนที่มีมูลค่ามหาศาล จึงถือเป็นพื้นฐานเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่สอดคล้องกับการค้าการลงทุนภายใต้โลกที่ไร้พรมแดน และการเปิดกว้างของประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ดังกล่าวมากขึ้น
       
       นายจรัมพรกล่าวอีกว่า การค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย มีมูลค่าสูงถึงปีละกว่า 30,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประจำทุกปี ปัจจุบันรัฐบาลได้เข้าไปพัฒนาโครงการเศรษฐกิจชายแดนมากมาย เช่น ผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน 3 อำเภอชายแดน คือ แม่สาย เชียงแสน และเชียงของ พัฒนาระบบลอจิสติกส์ ขณะที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปในพื้นที่ปีละเกือบ 3 ล้านคน มีฐานเงินออมที่สูงเป็นอันดับ 3 ของภาคเหนือ และมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์สูงเป็นอันดับ 2 ดังนั้นจึงเชื่อว่ากิจกรรมจะช่วยสนับสนุนการค้าการลงทุนและให้ความรู้แก่ประชาชนที่สนใจได้เป็นอย่างดี

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000026370
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #593 เมื่อ: วันที่ 04 มีนาคม 2013, 20:20:20 »

ห้าง-โรงแรมดังเชียงราย จับมือเปิดมิติธุรกิจใหม่ดึงลูกค้า

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 มีนาคม 2556 12:32 น.   

   



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





   
เชียงราย - โรบินสันเชียงรายจับมือเลอ เมอริเดียน ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการ แลกส่วนลดในห้างสูงสุด 30% และส่วนลดร้านอาหาร-เครื่องดื่ม-สปาในโรงแรม 20%
       
       วันนี้ (4 มี.ค.) นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกเปิดงานความร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย ที่ตกลงร่วมมือให้บริการลูกค้าที่ใช้บริการในแต่ละธุรกิจสามารถนำไปใช้รับประโยชน์จากอีกธุรกิจหนึ่งได้ ภายใต้ชื่อ “Summer Fresh and Fabulous” หากลูกค้าเข้าพักที่โรงแรมจะได้รับคูปองซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย ด้วยส่วนลดตามที่ระบุในคูปองสูงสุด 30% หนึ่งคูปองใช้ได้หนึ่งครั้ง วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท
       
       โดยกรณีลูกค้าคนไทยเพียงแสดงบัตรสมาชิกเลอคลับ หรือคีย์การ์ดที่เข้าพักที่โรงแรม ต่อเคาน์เตอร์บริการลูกค้าของห้างสรรพสินค้าก็จะได้รับคูปองเช่นเดียวกัน และหากลูกค้าที่ไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าได้แสดงบัตรเดอะวันการ์ดที่โรงแรมก็จะได้รับสิทธิพิเศษในการสมัครสมาชิกเลอ คลับ ฟรี พร้อมส่วนลดอาหารและเครื่องดื่ม บริการสปา 20% เป็นต้น ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 6-24 มีนาคมนี้
       
       นายพิพัฒน์กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ภาคธุรกิจคนละประเภทมีการตกลงร่วมมือกัน ซึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเชียงรายให้มีสีสันมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันมีทั้งห้างสรรพสินค้า และโรงแรมหลายแห่ง ความร่วมมือจึงเป็นทางเลือกของผู้บริโภค และช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเชียงรายต่างไปใช้บริการในทั้ง 2 ภาคธุรกิจนี้จำนวนมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ทะลักลงมาท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       ดร.เสฎฐวุฒิ ทัตสุระ ผู้จัดการทั่วไปห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เชียงราย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการที่ห้างอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งพบว่าเป็นลูกค้าชาวจีนและต่างชาติกว่า 10-15% ดังนั้นจึงได้แสวงหาความร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าว
       
       ขณะที่ มร.สตีเฟน โมราฮาน ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท กล่าวว่า โรงแรมพยายามแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้ร่วมกับไร่แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเชียงราย เปิดให้ลูกค้าที่เข้าพักโรงแรม ได้รับสิทธิในการเข้าชมไร่แม่ฟ้าหลวงฟรีมาแล้ว และครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ทั้ง 2 ภาคธุรกิจมีข้อตกลงกันอีก ซึ่งเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จด้วยดี
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #594 เมื่อ: วันที่ 04 มีนาคม 2013, 21:34:02 »

ไทยยื่นจดจีไอข้าวสังข์หยดบุกตลาดอียู


วันจันทร์ที่ 04 มีนาคม 2013 เวลา 17:23 น.    ศรีอรุณ จังติยานนท์    ข่าวรายวัน    - คอลัมน์ :



ไทยเตรียมยื่นขอจดจีไอ ข้าวสังข์หยดจังหวัดพัทลุง กับทางอียู รวมทั้งเส้นไหมในภาคอีสานกับเวียดนาม ดันสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก

ด้านจีนชวนจดจีไอข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาหลังได้รับความนิยมสูง ขณะวุฒิสภามีมติให้เลื่อนบังคับใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้าประเภทกลิ่น และเสียง อ้างเป็นเรื่องใหม่ ผู้ประกอบการหวั่นล่าช้าถูกสวมรอย

นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา (ทป.) เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา เตรียมยื่นขอจดสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(จีไอ ) ข้าวสังข์หยดจังหวัดพัทลุง กับทางคณะกรรมาธิการยุโรป   ซึ่งข้าวสังข์หยดถือว่าเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยแก้ปัญหาโรคเบาหวาน และปัจจุบันมีการส่งออกไปในตลาดยุโรปอยู่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้ทางอียู ได้ขึ้นทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นสินค้าจีไอ มีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2556 ณ กรุงบรัสเซลส์ สาธารณรัฐเบลเยียมถือเป็นสินค้าข้าวรายแรกในอาเซียนที่ได้รับจดจีไอในอียู

 ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยยังมีแผนจะ ยื่นขอจดจีไอในสินค้าเส้นไหมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในเวียดนามและในสหภาพยุโรป (อียู) ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจาก เส้นไหม จะจัดอยู่ ในรายสินค้าหัตถกรรม ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตร (non –agriculture items  ) ที่สามารถยื่นขอจดจีไอได้ ซึ่งไทยมีสินค้าผ้าไหมที่โด่งดังไปทั่วโลก  นอกจากนี้ยังมี ชาเชียงราย ,กาแฟดอยช้าง ,กาแฟดอยตุง  ซึ่งในส่วนของกาแฟดอยช้างประเทศไทยได้มีการส่งออกไปยังตลาดยุโรปบ้างแล้ว ส่วนกาแฟดอยตุงคาดว่าน่าจะไปทำตลาดได้ในอนาคตนี้เพราะเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น   
“สำหรับชา น่าทำมากเพราะชาไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ติดตรงที่ว่าเรื่องที่มาว่าชาควรจะใช้ชาจากที่ไหนดี สุดท้ายก็มาเป็นชาเชียงราย  ซึ่งตอนนี้ทางผู้ประกอบการได้ยื่นเรื่องมาที่กรมเพื่อขอจดทะเบียนเป็นชาเชียงรายแล้ว หลังจากนั้นก็จะมีการประกาศประชาสัมพันธ์ชาเชียงรายต่อไป นอกจากชาแล้ว ยังมีมะพร้าวจากเกาะพะงันที่กำลังขอขึ้นทะเบียน”


นางปัจฉิมา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่าขณะนี้รัฐบาลจีนได้ เสนอที่จะขอทำเอ็มโอยู เกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับไทย และ ได้ชักชวนให้ไทยนำข้าวหอมมะลิไปจดทะเบียนจีไอที่จีนด้วย  เนื่องจาก คนจีนมีความนิยมในข้าวหอมมะลิไทยอยู่แล้ว  และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นข้าวที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งครอบคลุม 5 จังหวัด ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย   ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และยโสธร ซึ่งถือเป็นดินแดนที่มีทั้งความแห้งแล้ง ธาตุอาหารและความเค็มของดิน ผนวกกับสภาพอากาศ ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียด และหลั่งสารหอมส่งผลให้ข้าวมีความหอมมากกว่า ข้าวหอมมะลิอื่น

การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองเป็นสินค้าจีไอ ของสหภาพยุโรปจะมีผลทำให้ข้าวดังกล่าวใช้ตรา Protected Geographical Indication ของอียูติดที่สินค้าได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จะเป็นการสร้างรายได้ กระจายตลาดส่งออกให้กับข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ให้สามารถขายข้าวได้ในราคา premiumในตลาดโลก     
                                                   
 สำหรับความคืบหน้าในการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าโดยเพิ่มเรื่องกลิ่นและเสียง ให้สามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้นั้น ล่าสุดจากการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาที่ประชุมมีความเห็นว่าให้เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายเครื่องหมายการค้าเรื่องกลิ่นและเสียงออกไป อีก 2 ปี โดยให้เหตุผลว่า  เรื่องกลิ่นและเสียง ยังเป็นเรื่องใหม่ สำหรับผู้ประกอบการ และคนไทยจึงทำให้กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ล่าช้าออกไปเป็นเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งการบังคับใช้ที่ล่าช้าก็จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถยื่นจดกลิ่น และเสียงในสินค้าที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=172153:2013-03-04-10-23-43&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #595 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2013, 18:14:27 »

พาณิชย์เจาะช่องทางการค้าผ่านชายแดนไปยังตลาดโลก
วันพุธที่ 06 มีนาคม 2013 เวลา 10:53 น.


กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับผู้ประกอบการในจังหวัดชายแดนเพื่อปรับยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการค้าในแต่ละสาขาเชื่อมโยงทั้งส่วนกลางและภูมิภาคในการขยายธุรกิจเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขันและขยายธุรกรรมการพาณิชย์ไทย ก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางการค้าของASEAN เพื่อกระจายการค้าไปยังประเทศคู่ค้าเช่น อินเดีย จีน และตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินโครงการพัฒนาช่องทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศ เพื่อนบ้านใน ASEAN+6 ผ่านเครือข่ายโลจิสติกส์ เพื่อหาช่องทางใหม่ๆ (New Trade Infrastructure) ขยายช่องทางการค้าไทยสู่เพื่อนบ้าน CLMV และกำหนดกลไกในการอำนวยความสะดวกทางการค้าในมิติต่างๆ สนับสนุนSMEs ไทยขยายมูลค่าการค้าทั้งในท้องถิ่นและกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล 4 ประการในการสร้างฐานเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน

กิจกรรมภายใต้โครงการฯ จัดเวทีระดมความเห็นเพื่อวางแผนงานเชิงรุกในการหาช่องทางการค้าใหม่ๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลาง  และจังหวัดที่มีระเบียงเศรษฐกิจ (Economic Corridor) มีเส้นทางสามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กาญจนบุรี(สู่ทวาย ออกอ่าวเบงกอล) เชียงราย (สปป. ลาว เข้า จีนยูนนาน) และมุกดาหาร (ผ่านลาวเข้าเวียดนาม ไปจีนกวางสี)สระแก้ว (เข้ากัมพูชา พนมเปญ ไปเวียดนาม โฮจิมินห์)  โดยกลุ่มจังหวัดที่เป็นประตูการค้ายกระดับจากการค้าชายแดน สู่ประตูการค้าในภูมิภาค ASEAN และคาดว่าหากโครงการเสร็จสิ้น (ปลายเดือนมีนาคม 2556) จะสามารถกระตุ้นมูลค่าทางการค้าให้เพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะการค้าชายแดนกับประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงCLM มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 43.3 (มาเลเซีย 56.6%) ในปี 2555 เป็นร้อยละ 48 ร้อยละ 53  และร้อยละ 55 ในปี 2556 , 57 และ 58 ตามลำดับ  และในส่วนของการส่งออกสินค้าไปยังประเทศในอาเซียนโดยภาพรวม ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ตลอดในช่วง 3 ปี ดังกล่าวเป็นอย่างน้อย
 
ทั้งนี้  กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์  จะจัดประชุมสรุปผลการศึกษาในวันจันทร์ที่11 มีนาคม 2556เวลา 08.30-13.30 น. ณ ห้องมิราเคิล แกรนด์ ซี โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯเพื่อเสนอความเห็นและแลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อนำข้อเสนอแนะไปประกอบการปรับปรุงผลการศึกษาให้สามารถนำไปใช้ประกอบการกำหนดยุทธศาสตร์การค้าในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งธุรกิจในส่วนกลาง สร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนตามความเหมาะสมของแต่ละสาขา และขนาดธุรกิจ

โดยการบรรยายสรุป จาก ผศ.ดร.พงษ์ชัย อธิคมรัตนกุล ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ม.บางมด(Log –Ex)และการเสวนาในหัวข้อ “การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของกลุ่มประเทศ CLMV”รวมทั้งได้มีการจัดเตรียมผลการศึกษาฉบับเผยแพร่สำหรับผู้สนใจเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปสนใจสำรองที่นั่งได้ที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโลจิสติกส์ ม.บางมด โทรศัพท์ 02-470-8439


http://www.thanonline.com/index.
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #596 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2013, 18:15:48 »

ททท.ร่วมงานไอทีบี 2013 อย่างยิ่งใหญ่เน้นเจาะตลาดเฉพาะที่มีศักยภาพ

สร้างแบรนด์ประเทศไทยในเวทีการขายระดับโลก
     นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การนำภาคเอกชนร่วมงานในแต่ละปี นอกจากจะเปิดบูธให้ผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเจรจาธุรกิจตามปกติ และเสริมด้วยรูปแบบการขายแบบใหม่ในรูปแบบมินิมาร์ท ซ้อนในงานเพื่อเปิดตลาดใหม่แล้ว ยังส่งเสริมการเปิดตลาดเฉพาะที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายด้วย
     ขณะที่ นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการ ททท. ด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กล่าวว่า ในปีนี้ ทางททท.ได้จัดพื้นที่ห้องประชุมโซน 26 บี ทั้งหมดเป็นพื้นที่การขายของประเทศไทย ซึ่งจะมีผู้ประกอบการไทยมากกว่า 100 ราย เข้าร่วมในครั้งนี้ นับเป็นการสร้างแบรนด์ประเทศไทยในเวทีการขายระดับโลกได้เป็นอย่างดี  โดยปีนี้จะเน้นทำตลาดเฉพาะกลุ่ม ส่วนตลาดอื่นๆ ททท. จะใช้รูปแบบการจัดงานในลักษณะมินิมาร์ทซ้อนอยู่ภายในงานไอทีบี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยที่อยู่ภายในบูธ ได้พบปะกับผู้ประกอบการทางยุโรป โดยเฉพาะตลาดใหม่ และกลุ่มบายเออร์ ที่ไม่ได้มาเข้าร่วมงานไอทีบี ในช่วงหลังวันที่ 8 มีนาคม 2556   
     “ทางสำนักงาน ททท.ในยุโรป ทั้งหมด 7 สำนักงาน อาทิ ลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต และโรม ทำการดึงตลาดที่ตัวเองรับผิดชอบมาเข้าร่วมด้วย เช่น สำนักงานโรม นอกจากจะนำบายเออร์จากอิตาลีมาร่วมงานแล้ว ยังนำบายเออร์จากตุรกี สเปน เข้ามาในมินิมาร์ทด้วย  ซึ่งการจัดงานในรูปแบบดังกล่าว ปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ 2  โดยปีแรกประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับที่ดีมาก” นางจุฑาพร กล่าว
     สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่มนี้ ทางททท.ได้มุ่งไปที่ตลาดฮันนีมูนที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศแถบยุโรปจะไม่ดีนักก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะคู่รักทุกคา ยังต้องการที่จะแต่งงาน และเดินทางฮันนีมูน ซึ่งประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นหนึ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีความสวยงามของหาดทรายชายทะเล มีพูลวิลล่า มีเรื่องวัฒนธรรม อาหารไทย แหล่งช็อปปิ้ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว อีกทั้งในปีนี้ ททท. ยังได้มีการทำเอกสารไปแจกให้กับโอเปอเรเตอร์ สำหรับกลุ่มฮันนีมูนโดยเฉพาะ ภายในเอกสารดังกล่าวจะจัดทำเป็นรูปเล่ม ที่มีรายละเอียดต่างๆ ทั้งสถานที่ฮันนีมูนในทุกภูมิภาคของไทย เช่น จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย เลย ภูเก็ต เป็นต้น


http://www.siamrath.co.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #597 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2013, 22:38:48 »

วันที่ 6 มีนาคม 2556 09:00
เชียงของ 1 เมือง 2 แบบ

โดย : นิภาพร ทับหุ่น


เมื่อเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำโขงกำลังถูกกระแส AEC เจาะจงให้เป็น "เมืองเศรษฐกิจ" ชีวิตของผู้คนในเมืองนั้นจะเป็นอย่างไร และ "ใคร" กำหนด

รถยุโรปคันนั้นจอดนิ่งอยู่บนลานจอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมีรถหรูป้ายทะเบียนภาษาจีนอีกเกือบ 20 คัน จอดไล่เรียงกันไปเต็มพื้นที่ นี่ยังไม่นับรวมที่จอดระเกะระกะอยู่ตามซอกเล็กๆ หน้าอาคารต่างๆ หรือแม้แต่บนช่องทางจราจรที่มีป้าย "ห้ามจอด" ก็ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ เพราะทุกมุมกลายเป็นพื้นที่ "จอดได้" สำหรับรถป้ายทะเบียนจีนไปหมดแล้ว

เมืองเล็กๆ ที่เคยสงบงามอยู่ริมลำโขงอย่าง เชียงของ กำลังถูกรุกรานอย่างหนักจากคาราวานรถยนต์ของจีนที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี โดยเฉพาะปีนี้ (2556) ที่ภาพยนตร์ Lost in Thailand ได้รับความนิยม ทำให้เกิดกระแสท่องเที่ยวตามรอยหนังและมีคาราวานรถยนตร์จากจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศไทยผ่านการใช้ท่าเรือบั๊คเป็นจำนวนมากกว่า 2,000 คันภายในเวลา 2 เดือน

ไม่เพียงเท่านั้น รถบรรทุกคันโตอีกวันละหลายสิบคันก็ใช้ถนนเล็กๆ ภายในตัวเมืองเชียงของเป็นทางผ่านในการขนถ่ายสินค้า เมื่อรถบรรทุกขนาดใหญ่โคจรมาพบกับรถหรูไร้วินัย ปัญหาการจราจรจึงเกิดขึ้นและลุกลามจนเกือบจะกลายเป็นการจราจลให้คนเชียงของต้องปวดหัวไปตามๆ กัน

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) กำลังคืบคลานเข้ามาในอีก 2 ปี สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) กำลังจะเปิดใช้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถามว่า ในฐานะจุดเชื่อมต่อที่อยู่ใกล้กับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่อย่างจีน เชียงของเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ใกล้เข้ามานี้หรือยัง เพราะไม่เพียงแค่เรื่องของถนนหนทาง หรือสาธารณูปโภคพื้นฐานเท่านั้นที่จะกลายเป็นปัญหา แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นยังกระทบไปถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และสังคมของคนเชียงของในทุกๆ ด้านอีกด้วย

เมื่อการพัฒนาเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าเป็นนโยบายระดับชาติที่ไม่อาจทัดทานได้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่คนเชียงของจะต้องเตรียมตัวตั้งรับโดยที่ไม่ลืมที่จะรักษา "รากแห่งวัฒนธรรม" และความเป็น "เชียงของ" ที่งดงามไว้ด้วย

เมืองสงบในวันวาน

แม้จะเป็นเมืองในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยกับเมืองหิรัญนครเงินยาง(เชียงแสน) แต่ก็ดูเหมือนว่า "เชียงของ" เพิ่งจะเป็นที่รู้จักในหมู่สาธารณชนวงกว้างเมื่อราว 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เอง

ปี 2532-2533 พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ดำเนินนโยบายทางการทูตแนวใหม่ คือ "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" และมีการสำรวจแม่น้ำโขงตั้งแต่ประเทศจีนลงมา กระทั่งถึงเชียงของซึ่งเคยเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญในอดีตแต่ถูกปิดตัวลงเพราะปัญหาสงครามและการเมือง บทบาทศูนย์กลางการค้าขายจึงกลับมาสู่เมืองเชียงของอีกครั้ง ในยุคนั้นเริ่มมีผู้คนอพยพเข้ามาทำการค้า และก็มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นก็คือ การท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวประเภทแบกเป้ไม่มีใครไม่รู้จักเชียงของ เพราะที่นี่เป็นจุดล่องเรือที่จะพาทุกคนไปสู่เมืองมรดกโลก-หลวงพระบางได้อย่างง่ายดายที่สุด แน่นอนว่า สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ร้านอาหาร แต่ทั้งหลายนั้นก็ยังมี "ขนาดเล็ก" ล้อกันไปกับเมืองเล็กๆ อย่างเชียงของ

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา เล่าว่า เชียงของเริ่มเติบโตอีกครั้งเมื่อมีโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ อันประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ จีน พม่า ลาว และไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และเพิ่มอำนาจการเจรจาต่อรองทางการค้า เมื่อมองว่าอนาคตของเชียงของยังไปได้อีกไกลจึงมีคนต่างถิ่นและนายทุนเข้ามากว้านซื้อที่ดินไว้มาก จากราคาไม่ถึงหนึ่งแสนบาทต่อไร่ก็ขยับมาซื้อขายกันที่ 1 ล้านบาท และตลาดที่ดินก็ถูกปั่นขึ้นไปจนถึง 5-6 ล้านบาท เมื่อมีการประกาศเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย)

"ทุกคนเข้ามาเพราะอ่านเกมได้ว่า นี่คือเมืองหลวงของการค้าขาย แล้วสะพานเชียงของไม่เหมือนสะพานหนองคาย ไม่เหมือนสะพานมุกดาหาร สะพานนี้(เชียงของ-ห้วยทราย)จะเป็นสะพานที่คนใช้มาก อาจจะเรียกว่ามากที่สุดก็ได้ เพราะว่าคนจีนก็เข้ามา คนลาวก็เข้ามา ฉะนั้นเมืองเชียงของจะต้องเปลี่ยนไปมากมายแน่นอน"

แต่ยังไม่ทันที่สะพานมิตรภาพแห่งล่าสุดจะเปิดใช้ คนทั้งอาเซียนก็ได้ทำความรู้จักกับถนนมิตรภาพที่เรียกว่า R3A ถนนสายนี้เป็นถนนที่เชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงไว้ด้วยกัน โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ตัดเข้าสู่ สปป.ลาว ที่เมืองห้วยทรายแขวงบ่อแก้ว แล้วไปจบที่แคว้นสิบสองปันนา มณฑลคุนหมิงในจีน ซึ่งความสำคัญของถนนสายนี้ไม่ใช่แค่การคมนาคมธรรมดาทั่วไป แต่ยังถูกวางให้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า(โลจิสติกส์) ที่ทั้งสะดวกสบายและย่นระยะเวลาได้มากมายทีเดียว

"จากการใช้เส้นทาง R3A ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เราพบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นว่า การนำเข้าสินค้าจากเพื่อนบ้านเราไม่ว่าลาวหรือจีน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากจีนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผักผลไม้เมืองหนาว และสินค้าราคาถูกหลายๆ ตัวที่มีความต้องการในประเทศ ผมดูว่ามันเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี ส่วนสินค้าบ้านเราผ่านตู้คอนเทนเนอร์ไปก็มีเหมือนกัน ผักผลไม้เมืองร้อนเฉพาะฤดูกาล แต่ในบางช่วงที่เราเข้าไปขายในบ้านเขาปัญหาอุปสรรคที่เราเจอคือ ต้องมีใบรับรอง เชียงของมีสวนผลไม้ในพื้นที่เหมือนกับจันทบุรี แต่เราไปจีนไม่ได้เพราะขาดใบอนุญาตจากภาครัฐ" สงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายพัฒนาระบบโลจิสติกส์ พ้อ

นิวัฒน์ เสริมว่า นอกจากจะเป็นต้นทางของถนนสาย R3A หรือจุดเริ่มต้นของการขนส่งสินค้าชายแดนแล้ว เชียงของยังเป็นจุดผ่านของการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ใช้เส้นทางนี้ผ่านเข้าประเทศไทย แล้วมาแวะใช้บริการหลายๆ อย่างในเมืองเชียงของ จนเกิดภาพแห่งความโกลาหลขึ้น

"ทุกวันนี้รถของจีนเข้ามาเยอะมาก แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ทะเลาะกับคนท้องถิ่น เพราะใช้กฎจราจรไม่เหมือนกัน ผมคิดว่านี่เป็นตัวอย่างของวิธีคิดของรัฐไทยด้วยนะ เรื่องการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ถ้าคิดแบบนี้ตายเลย ถ้าเป็นผมท่องเที่ยวแบบนี้ไม่ได้ คนจีนเข้ามาเที่ยวประเทศไทยได้ แต่รถเข้ามาต้องเสียแพงนะ ยกตัวอย่างว่า เสียคันละ1-2 หมื่นถึงจะเข้าได้ แต่ถ้าเข้ามาเที่ยวได้ ผมมีรถให้คุณ มีไกด์ให้ มีคนขับให้ มีเส้นทางท่องเที่ยว แบบนี้คนท้องถิ่นถึงจะอยู่ได้ แต่นี่ปล่อยรถเข้ามาเป็นพันๆ คัน แล้วก็ไปเรื่อยๆ เลย แบบนี้มันเป็นวิธีคิดการจัดการท่องเที่ยวที่ไม่มีกึ๋น...คำว่าเสรี บ้านเรามันปิดเสรี ไม่รู้ว่าเสรีคืออะไร เราเข้าไปเมืองจีนยากมาก แต่ทำไมเขาเข้ามาบ้านเราง่ายมาก เมืองจีนเราเข้าไปเขาวางกินเราไว้ตลอดทาง แต่บ้านเรา...คือวิธีคิดมันคนละอย่างกัน เชียงของขณะนี้อยู่ในช่วงของวิกฤต ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนต้องมาช่วยกัน"

มองอนาคตแล้วประธานเครือข่ายฯ มองเห็นแต่ภาพเชียงของในด้านลบ ทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร้ขีดจำกัด และวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่จะค่อยๆ ถูกกลืนไป นั่นทำให้คนเชียงของเกิดการตื่นตัวครั้งใหญ่ นำมาสู่การระดมความเห็นและวางอนาคตที่ควรจะเป็นให้กับอำเภอเชียงของ

"ที่ผ่านมาคนเชียงของก็ได้พูดคุยกัน เรามีการตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้เมืองเชียงของเจริญเติบโตได้ และอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ในเชิงวิถีวัฒนธรรมจะใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร เรื่องการค้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่คิดว่าจะทำยังไงให้สองแบบนี้อยู่ด้วยกันได้ ก็มีการพูดคุยกันถึงเรื่อง 1 เมือง 2 แบบ ขึ้นมา"

ภาพฝันบนการเปลี่ยนแปลง

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม หัวหน้าคณะผู้วิจัยโครงการภูมิวัฒนธรรม ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวว่า มองโดยรวมภาคประชาคมของเชียงของถือว่ามีศักยภาพมาก เพราะทุกภาคส่วนสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น

"ผมว่ามีศักยภาพในการต่อรองกับรัฐได้ แต่ต้องระมัดระวังให้การวางแผนมันรอบคอบ ผมสนใจที่บอกว่าจะแยกเมืองเป็น 2 แบบ ผมเห็นด้วย จุดเด่นของเชียงของอยู่ที่เมืองโบราณตรงนี้ ซึ่งแม่สายไม่มี ไม่ชัด เชียงแสนไม่ต้องพูดถึง เพราะมันละลายเป็นที่ของเอกชนไปหมด เลอะเทอะ แต่ภาพของผังเมืองเชียงของยังเพอร์เฟกต์ที่สุด มีกำแพงคูน้ำคันดิน แล้วคนที่อยู่ด้วยก็อยู่ด้วยกันได้ รวมทั้งวัดต่างๆ ที่รวมอยู่ มันทำให้เชียงของเป็น Living Historic Cityเพราะฉะนั้นมันจะต้องมองเป็นภาพ Living Historic City แล้วรักษาตรงนี้ไว้ และจะเป็นไฮไลท์สำหรับการพัฒนาเรื่องต่างๆ ผมว่าเชียงของสร้างเมืองประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตได้ดีที่สุด เพราะว่าคนในยังอยู่ ขอให้จัดการให้ได้จะเห็นภาพ และจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เราไม่แชร์กับใคร ไม่ต้องง้อใครเขา ต้องวางแผนให้ดี"

ด้านประธานเครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง-ล้านนา อธิบายว่า สาระสำคัญของแนวคิดในการพัฒนาอยู่ที่การจัดแบ่งพื้นที่อำเภอเชียงของจากเอกลักษณ์ที่มีอยู่ ตามบริบททางประวัติศาสตร์และฐานการผลิตเดิม แล้วนำมาต่อยอดให้เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งเชียงของสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ นั่นคือ เขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่

เขตเมืองเก่า (เวียงเชียงของ) กินพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่โดยรอบที่เป็นฐานการผลิตทางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวเดิม รวมถึงวัดในเขตเมืองหลายแห่ง ส่วนเขตเมืองใหม่จะมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเข้ามารองรับ โดยกำหนดให้อยู่นอกเมืองเก่าออกไปบริเวณโดยรอบเชิงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 และพื้นที่ใกล้เคียง

"เมืองเก่าเมืองใหม่เป็นลักษณะการวางรูปธรรมของการพัฒนาที่ไม่ให้สับสน ให้มีความชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ที่เราจะเดิน ตอนนี้เป็นขั้นการเตรียมและพูดคุยกัน ภายในเดือนมีนาคม-เมษายน 2556 ยุทธศาสตร์จะต้องเสร็จ ซึ่งเราคิดว่าการทำยุทธศาสตร์ครั้งนี้จะเป็นการทำยุทธศาสตร์ของบ้านเมืองที่มีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากที่สุด เพราะที่ผ่านมายุทธศาสตร์ของเชียงของถูกจัดการโดยคนบางกลุ่ม หรือไม่มีส่วนร่วมของภาคประชาชนโดยแท้จริง ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 1 หรือครั้งสำคัญ ครั้งเปลี่ยนแปลง พ่อค้า ประชาชน ชาวบ้าน ภาคประชาสังคมทุกส่วนมาร่วมกันทำ"

ด้าน ธวัชชัย ภูเจริญยศ ปลัดอำเภอ หัวหน้ากลุ่มบริหารงานปกครอง อำเภอเชียงของ กล่าวว่า ในฐานะเมืองชายขอบที่เป็นประตูสู่อาเซียน เชียงของจำเป็นต้องออกแบบเมืองให้ชัดเจน

"ผมเคยได้คุยกับท่านเจ้าแขวงหลวงพระบาง ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพระบางเขาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือเมืองเดิมกับเมืองใหม่ ในประเทศจีนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาใช้วิธีบังคับได้ แต่บ้านเราทำไม่ได้เพราะว่า จารีต เสรีชน เสรีภาพ มันทำให้ต่างคนต่างคิด ข้าราชการบอกให้คุณย้ายออกไปจากตรงนี้ เดี๋ยวเขาร้องศาลปกครอง มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ยากมาก แต่ถ้าเราค่อยๆ จัดระบบ อาจจะเริ่มจากส่วนราชการตรงนี้ก่อน ผมได้แนวคิดจากครูตี๋(นิวัฒน์ ร้อยแก้ว) ว่าอยากได้ตรงนี้เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม หน้าที่ของพวกผมคือต้องออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด"

ปลัดอำเภอเชียงของหมายถึง การย้ายศูนย์กลางการติดต่อราชการออกไปอยู่ในเขตเมืองใหม่ แล้วยกพื้นที่เดิมนั้นให้เป็น "ศูนย์วัฒนธรรมนิทัศน์อำเภอเชียงของ" เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองในการทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมความรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาด้านต่างๆ ของคนในชุมชนเชียงของ รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวทั้งระบบ เพื่อให้เกิดการพัมนาอย่างยั่งยืน

"หน้าที่ของราชการคือต้องขับเคลื่อนตรงนี้ให้ได้ ที่สำคัญคือต้องนำเสนอให้ถึงรัฐบาล ทำยังไงก็ได้ขอให้เสนอถึงรัฐบาล ให้รัฐบาลให้ความสำคัญและโฟกัสลงมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งรัฐบาลจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องต้องร้อนรน เพราะถ้าเราให้คนเชียงของเดินได้ และเขาเข้าใจ ผมว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลต้องเอาตาม"

และคำยืนยันสุดท้ายของปลัดหนุ่มแห่งลุ่มน้ำโขง ก็ทำให้ภาพ "ประชาคม" ที่แข็งแรงของชาวเชียงของแจ่มชัดขึ้น

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20130306/493270/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-1-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-2-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A.html
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
alintacai999
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 115


ลูกเม็งราย มีน้ำใจ ให้อภัย รักสงบ


« ตอบ #598 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2013, 13:25:25 »

รับทราบครับ
IP : บันทึกการเข้า

boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #599 เมื่อ: วันที่ 20 มีนาคม 2013, 19:28:15 »

อ้างจาก: WiiCHY;101429443
[SIZE="4"][COLOR="Red"]ผลการออกแบบ The River of Ar[/COLOR][/SIZE]t

















https://www.facebook.com/media/set/?set=a.513458138695682.1073741828.134475629927270&type=3
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 [30] 31 32 33 34 35 36 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!