เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 เมษายน 2024, 05:15:05
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 [23] 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440189 ครั้ง)
แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-.
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,309


*..ปรับปรุงระบบ..*


« ตอบ #440 เมื่อ: วันที่ 03 เมษายน 2012, 10:38:25 »

เหลือไม่กี่ไอดีแล้วนะคะ ที่ยังเผลอๆ เพลินๆ  แชทกันอยู่
เจ้าของกระทู้เค้าตั้งกระทู้มา เค้าก็อยากได้คำตอบ อยากได้ความคิดเห็นตามที่ตั้งไว้ 
ยังไงก็เกรงใจเค้านิดนึงเนาะ    จุมพิต จุมพิต
IP : บันทึกการเข้า

ஐ.¸¸.·´¯`¸¸.·•.¸¸.•´´¯`•(^)•♥ คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างในกำลังพัง คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย [ว.วชิรเมธี]ஐ.¸¸.·´¯`¸¸.·
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #441 เมื่อ: วันที่ 03 เมษายน 2012, 17:08:35 »

ธุรกิจรับสร้างบ้านตจว.ไร้ปัญหาค่าแรง 300 เหตุแรงงานมีเพียงพอ "พีดีเฮ้าส์"สบช่องเร่งขยายแฟรนไชน์เพิ่ม

วันที่ 03 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 16:19:53 น.

พีดีเฮ้าส์ เผยไตรมาสแรกยอดขายสาขาต่างจังหวัด ส่งสัญญาณฟื้นตัวช่วงท้ายไตรมาสชัดเจน ขณะที่ยอดขายกกทม.และปริมณฑลพลาดเป้า ส่งผลยอดขายรวมจาก 26 สาขาทั่วประเทศทำได้แค่ 267 ล้านบาทต่ำกว่าเป้า 11% แต่ยังมองบวกเติบโตกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เล็งเปิด "ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์" กทม.และเชียงรายอีก 2 แห่ง พร้อมเตรียมเปิด "เอคิวโฮม" แบรนด์น้องใหม่ 2 สาขารวดไตรมาสสอง ชี้ปัญหาแรงงานเป็นอุปสรรคสำคัญ หากส่งมอบงานช้าอาจกระทบรายได้ปี 55 นี้

นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้าน "พีดีเฮ้าส์" และ "เอคิวโฮม" เปิดเผยว่า ตลาดรับสร้างบ้านและยอดขายของกลุ่มบริษัทฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลช่วงไตรมาสแรก พบว่าความต้องการสร้างบ้านและกำลังซื้อยังไม่คึกคักนัก ทำให้ยอดขายในช่วง 3 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
 
ขณะที่กำลังซื้อจากสาขาในต่างจังหวัดกลับฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้สาขาในพื้นที่ภาคอีสานได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี สุรินทร์ สกลนคร และสาขาในภาคเหนือ เช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก ต่างมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกแห่ง
 
โดยปัจจัยสำคัญๆ ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการกับพีดีเฮ้าส์ เป็นเพราะ 1.ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ และ 2.ความต้องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานหรือบ้านที่ก่อสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
 
สำหรับแผนการขยายสาขาในไตรมาสสองนี้ บริษัทฯ จะเปิดสาขาพีดีเฮ้าส์เพิ่มอีก 2 แห่งได้แก่ สาขาถนนพระราม 2 และสาขาจังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการขยายพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น
 
รวมทั้งเตรียมเปิดศูนย์รับสร้างบ้านเอคิวโฮม พร้อมๆ กันอีก 2 สาขาคือ สาขานครปฐมและนครราชสีมา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท คาดว่าการขยายสาขาจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโต ตามแผนการตลาดที่บริษัทฯ วางไว้ปี 2555 นี้
 
"ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้คือ ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา บริษัทรับสร้างบ้านทั้งรายเล็กรายใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต่างเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเหมือนๆ กัน
 
ในส่วนของบริษัทฯ เองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์เอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง โดยนำระบบเสาคานสำเร็จรูปที่เรียกว่า Multi-Joint Lock System ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแรงงานจำนวนมาก มาใช้แทนวิธีก่อสร้างบ้านแบบเดิมๆ
 
รวมทั้งปีนี้ลูกค้าของบริษัทฯ กว่าร้อยละ 70% สร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังสามารถหาแรงงานก่อสร้างฝีมือเข้ามาร่วมงานได้เพียงพอ กับปริมาณงานสร้างบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน"
 
นายพิศาล กล่าวว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาตั้งเป้ายอดขายไว้ 300 ล้านบาท ในขณะทุกสาขาของ พีดีเฮ้าส์ ทั่วประเทศสามารถทำยอดขายรวมได้เพียง 267 ล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 11% แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดรวมรับสร้างบ้านที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวก็ถือว่ายอมรับได้
 
อย่างไรก็ดีในช่วงไตรมาสสองนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าไตรมาสแรก เนื่องเพราะความกังวลเรื่องปัญหาน้ำท่วมคลายลงมากแล้ว ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำยอดขายเพิ่มได้อีก
ทั้งนี้บริษัทฯ เตรียมใช้งบการตลาดจำนวน 5 ล้านบาท ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ เช่น โฆษณาหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ป้ายบิลบอร์ด เวบไซต์ เคเบิ้ลทีวี และร่วมออกบูธในงาน Build Tech′ 12 ระหว่างวันที่ 5-8 เมษายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา
 
โดยไตรมาสสองนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 340-360 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนประมาณ 30% จากเป้ายอดขายตลอดทั้งปีตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333445068&grpid=&catid=07&subcatid=0700
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #442 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2012, 16:27:10 »

เชียงรายปรับถนนคนเดินเป็นปิดถนนคนม่วนเล่นน้ำสงกรานต์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 เมษายน 2555 11:46 น.   

   

เชียงรายปรับถนนคนเดินเป็นปิดถนนคนม่วนเล่นน้ำสงกรานต์
       เชียงราย - สมาพันธ์การท่องเที่ยวเชียงราย ร่วมกับ ททท.สำนักงานสาขาเชียงราย จัดกิจกรรมปี๋ใหม่เมืองถนนคนม่วน (ปีใหม่เมืองถนนคนสนุก) เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลประเพณีมหาสงกรานต์ ในระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน โดยเฉพาะในปีนี้เมืองเชียงรายมีอายุครบรอบ 750 ปี
       
       นายกิตติ ทิศสกุล นายกสมาพันธ์การท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ของปีนี้ จังหวัดเชียงรายจะมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมประเพณีและการท่องเที่ยว ซึ่งจะมีการปิดถนนชุมชนสันโค้งเพื่อไม่ให้รถทุกชนิดผ่านในวันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป โดยสานต่อจากโครงการถนนคนม่วนที่ทางชุมชนมีการปิดถนนทุกเย็นวันอาทิตย์อยู่แล้ว
       
       ทั้งนี้ กิจกรรมจะมีมากกว่าเดิม โดยมีขบวนแห่ประเพณีสงกรานต์ การแสดงของชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาวอยู่ใน จ.เชียงราย เช่น ชาวจีน ญี่ปุ่น ยุโรป ฯลฯ การจัดประเพณีการขอพรรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ เพื่อให้ผู้ใหญ่อวยพรในปีใหม่ไทยเพื่อความสุข ความเจริญ ตามประเพณีชาวล้านนา
       
       “นอกจากนี้ มีการตั้งจุดบริการน้ำสะอาด เพื่อให้คนไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมสนุกเล่นน้ำสงกรานต์กัน มีรำวงย้อนยุค การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ที่สำคัญในกิจกรรมไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมทั้งไม่ให้มีการตั้งวงดื่มสุราบนถนนคนม่วนด้วย โดยมีการขอกำลังสารวัตรทหารจากจังหวัดทหารบกเชียงราย และชุด ฉก.ม.2 รวมทั้งตำรวจ มาดูแลรักษาความสงบสุขจำนวน 50 นายด้วย” นายกิตติกล่าว
       
       ด้านนางจิรารัตน์ มีงาม ผู้ช่วย ผอ.ททท.เชียงราย กล่าวว่า ททท.ได้ให้การสนับสนุนช่วยประชาสัมพันธ์ไปตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว โดยต้องการให้จัดเป็นประเพณีเช่นนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้บรรจุในปฏิทินการท่องเที่ยว เหมือนกับกิจกรรมสงกรานต์ของ จ.เชียงใหม่ และ จ.สุโขทัย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่น ทั้งนี้ คาดหวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติหลั่งไหลไปเที่ยวจังหวัดเชียงรายในช่วงเทศกาลสงกรานต์มากขึ้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042484
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #443 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2012, 10:34:39 »

ผุด13นิคมหนีค่าแรง300

วันที่ 05 เมษายน พ.ศ. 2555 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7798 ข่าวสดรายวัน

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ผลกระทบ จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งที่ใช้แรงงานเป็นหลักได้รับผลกระทบ ประกอบกับเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ได้สั่งการให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เร่งจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมชายแดนรองรับการลงทุนในพื้นที่ชายแดนที่จำเป็น อาทิ กัมพูชา พม่า เพราะไม่สามารถรับค่าแรงที่ปรับขึ้นได้ นักลงทุนจึงควรย้ายฐานการผลิตไปหาแรงงานถูก และจำนวนมากพอ

นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่าง จัดทำรายละเอียดการจัดตั้งนิคมฯใหม่ชายแดนในจังหวัดต่างๆ ทาง ภาคอีสาน และที่ขอขยายพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคตรวม 13 แห่ง เสนอคณะกรรมการบริหาร กนอ. ได้แก่ นิคมฯชายแดนด่านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี นิคมฯ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นิคมฯล้านนา จ.ลำพูน นิคมฯ ซี.พี. จ.ระยอง นิคมฯ เหมราชชลบุรี(โครงการ 2) จ.ชลบุรี นิคมฯชัยโย อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ชลบุรี นิคมฯปิ่นทอง(โครงการ 3) จ.ชลบุรี นิคมฯ อีสเทิร์นซีบอร์ด จ.ระยอง นิคมฯจ.ขอนแก่น นิคมฯจ.อุดรธานี นิคมฯผลิตสื่อบันเทิง จ.เพชรบุรี นิคมฯจ.นครพนม และนิคมฯจ.นครราชสีมา คาดว่าทั้งหมดจะสร้างเสร็จภายใน 2 ปีนับจากนี้

หน้า 8
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #444 เมื่อ: วันที่ 06 เมษายน 2012, 23:26:16 »

เชียงรายปัดฝุ่น"เขตศก.พิเศษ"ชูธงแม่สาย-เชียงแสน-เชียงของ



นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงรายได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อร่วมกำหนดทิศทางและวางแผน การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วยตัวแทน

จากหน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ด้านการค้าและการลงทุน ด้านการท่องเที่ยว ด้านโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน กำหนดศึกษาพื้นที่ 3 อำเภอชายแดน คืออำเภอแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ มุ่งให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส โดยเฉพาะพม่า สปป.ลาว จีนตอนใต้ ซึ่งขณะนี้มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับกลุ่มประเทศต่าง ๆ เหล่านี้อยู่แล้ว

ปัจจุบัน มีจุดผ่านแดนถาวรที่จังหวัดเชียงราย 4 จุด ใน 3 อำเภอดังกล่าว และมีจุดผ่อนปรน 10 จุด ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีปริมาณการค้ามูลค่า 29,771.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.25% นอกจากนี้ ศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นเมืองหน้าด่านประตูเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่กลุ่มจีเอ็มเอส กลุ่มบิมสเทค (อินเดีย บังกลาเทศ) ได้อีกด้วย

เบื้องต้นมีการกำหนด ให้อำเภอแม่สาย เป็นเขตการค้า การลงทุน เพราะมีความได้เปรียบทางด้านแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ อ.เชียงแสน มุ่งไปที่การค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว โดยมีความได้เปรียบด้านช่องทางการขนส่งทางน้ำผ่านแม่น้ำโขง ไปยังจีนตอนใต้ และ อ.เชียงของ มีปัจจัยการสนับสนุนจากการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 4 เชื่อม สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งจะมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2556 นี้ เส้นทางดังกล่าวยังเป็นเส้นทางใหม่ และเป็นทางบก เหมาะกับระบบการขนส่งที่ต้องการความรวดเร็ว ผ่านไปยังเส้นทางใน สปป.ลาว และเข้าสู่จีนตอนใต้ของมณฑลหยุนหนาน

ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย และประธานหอการค้าอำเภอแม่สาย กล่าวว่า ภาคเอกชนจะนำเสนอรูปแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวให้สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของ พื้นที่โดยไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนใหญ่ ๆ เข้าไปถือครองทั้งหมด โดยอำเภอแม่สาย มุ่งพัฒนาให้เป็นเขตการค้าระหว่างประเทศและชายแดน ส่วนอำเภอเชียงแสน จะมีการผลักดันให้เป็นเมืองท่าเรือ และอำเภอเชียงของ เป็นเขตพาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว โดยแต่ละแห่งต้องมีการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวก เพื่อการค้าการลงทุนในเขตนั้น ๆ ที่มีความเป็นพิเศษกว่าพื้นที่โดยทั่วไป

"แนว โน้มการประกาศเขตและการใช้กฎหมายจะแตกต่างจากการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษใน รูปแบบพระราชกำหนดในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้กฎหมายประกาศครอบคลุมพื้นที่และให้ผู้ว่าการเขตเข้าไปบริหารงานขึ้น ตรงต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง โดยหันมาใช้พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 (เจ๋ง ที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการเข้าไปบริหารพื้นที่เศรษฐกิจได้ในบางพื้นที่"

นาย บุญธรรมกล่าวอีกว่า เป้าหมายของการพัฒนาชายแดนจะเป็นการค้าระหว่างประเทศ ไม่ใช่ตั้งเขตอุตสาหกรรม และควรส่งเสริมจุดแข็งของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงคือ การท่องเที่ยว โดยการดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนตอนใต้กว่า 200 ล้านคนลงมาท่องเที่ยว และมุ่งสู่พม่าอีก 60 ล้านคน

โดยเฉพาะปัจจุบันมีถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-พม่า ที่สะดวก รวมทั้งสามารถเชื่อมต่อไปยังเดียนเบียนฟู เวียดนามได้อีกด้วย

ขณะ ที่พม่าและ สปป.ลาว ก็กำลังร่วมมือกันสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง อย่างไรก็ตาม การผลักดันคงต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะยังอยู่ในขั้นการระดมสมองก่อนที่คณะกรรมาธิการจะนำไปสรุปผลและนำเสนอ รัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1333712333&grpid=03&catid=&subcatid=
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #445 เมื่อ: วันที่ 08 เมษายน 2012, 21:08:41 »

รมว.คมนาคมตรวจท่าเรือเชียงแสนใหม่ เล็งเพิ่มเรือสินค้าไทยในแม่น้ำโขงรับเออีซี








เชียงราย - รมว.คมนาคมตรวจท่าเรือเชียงแสนหลังเริ่มดำเนินการแล้ว พอใจท่าเรือมีความพร้อม แต่ติงต้องหาที่ให้เอกชนเพิ่ม ส่วนสถานการณ์เดินเรือลำน้ำโขงช่วงหน้าแล้ง พบเรือลาวให้บริการคึกคักหลังเรือจีนหาย เตรียมหารือเอกชนเพิ่มเรือไทยรับเออีซี
       
       วันนี้ (8 เม.ย.) นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เดินทางไปตรวจการดำเนินการของท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย หลังจากท่าเรือดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขนส่งทางน้ำในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย สปป.ลาว พม่า และจีนตอนใต้ ตามข้อตกลงเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำโขงตอนบน
       
       ทั้งนี้ผลการตรวจสอบพบว่า มีเรือพาณิชย์เข้าใช้บริการไม่มากนัก ซึ่งเป็นไปตามปกติของฤดูแล้ง โดยเรือส่วนใหญ่ให้บริการเป็นเรือสินค้าของ สปป.ลาว ขนาด 100-150 ตัน ที่แล่นให้บริการขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงมากขึ้น เพื่อทดแทนเรือสินค้าจากจีนที่มีขนาดกว่า 200-300 ตัน ซึ่งไม่เหมาะกับฤดูแล้งที่น้ำในแม่น้ำโขงแห้งขอดลง รวมทั้งยังคงอยู่ในความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ยิงลูกเรือจีน 13 ศพ เมื่อเดือน ต.ค. 2554 บริเวณสามเหลี่ยมทองคำชายแดนพม่า-สปป.ลาว ด้วย



       นายจารุพงศ์กล่าวว่า ท่าเรือแห่งใหม่นี้มีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว โดยความสามารถรองรับสินค้านำเข้า และส่งออกได้ปีละกว่า 6 แสนตัน ส่วนปัญหาที่พบตอนนี้คือ ความไม่สะดวกของผู้ประกอบการ เนื่องจากยังไม่ได้มีการย้ายสำนักงานดำเนินการ จากเดิมที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ท่าเรือแห่งเก่า ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน มายังท่าเรือแห่งใหม่ ขณะเดียวกัน ภายในท่าเรือแห่งใหม่เองก็ยังไม่มีพื้นที่ให้ภาคเอกชนตั้งสำนักงาน เพราะออกแบบให้เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเข้ามาตั้งสำนักงานเท่านั้น
       
       “ทางท่าเรือคงจะต้องเร่งจัดสรรพื้นที่สำหรับตั้งสำนักงาน หรือโกดัง เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการต่อไป ส่วนเรื่องน้ำโขงแห้งถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่มีเป็นประจำทุกปี และยังไม่เป็นปัญหาต่อการเดินเรือสินค้าแต่อย่างใด แต่ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ ขณะนี้ ไม่มีเรือไทยวิ่งขนส่งสินค้ามากกว่า ต่อจากนี้คงต้องพูดคุยกันเรื่องให้ผู้ประกอบการไทยจัดหา หรือซื้อเรือบรรทุกสินค้าของคนไทยเอง เพื่อรองรับประชาคมอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 ซึ่งคาดว่าการค้าการนำเข้าส่งออกจะมีมูลค่าสูงขึ้น” นายจารุพงษ์กล่าว
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ติดชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ว่าจ้างเอกชนให้ทำการก่อสร้าง โดยใช้งบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค. 2552 ถึงวันที่ 28 ธ.ค.2554 และเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยที่มาของโครงการนี้ สืบเนื่องจากท่าเรือแห่งแรกตั้งอยู่กลางเมืองโบราณ และชุมชน อีกทั้งมีความคับแคบ และมีศักยภาพรองรับสินค้าได้เพียงปีละประมาณ 3 แสนตันเท่านั้น



       อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจการขนส่งทางเรือในแม่น้ำโขงในปัจจุบัน พบว่า มีเรือสินค้าไทยน้อยมาก โดยปัจจุบัน มีมีเรือสัญชาติจีนที่ทำการขนส่งในแม่น้ำโขงประมาณ 90 ลำ แต่ได้ลดปริมาณลงหลังเกิดเหตุการณ์ยิงลูกเรือจนเสียชีวิต 13 ศพ เมื่อเดือน ต.ค. 2554 ทำให้เรือสินค้าลาวเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 140 ลำแล้ว จากเดิมที่มีเพียงเรือลำเล็กๆ ประมาณ 70 ลำ โดยมีเรือของลาวจากแหล่งอื่นๆ เช่น หลวงพระบาง เข้ามาให้บริการเพิ่มมากขึ้น
       
       ขณะที่เรือของพม่าพบว่ามีทั้งสิ้น 25 ลำ ส่วนเรือไทยมีเพียง 3 ลำเท่านั้น โดยผู้ประกอบการระบุว่า สาเหตุที่ไม่มีเรือสินค้าไทยนั้น เป็นเพราะเอกชนไทยเลือกที่จะเข้าไปถือหุ้นกับเอกชนจีน หรือประเทศอื่นๆ มากกว่า ประกอบกับการเดินเรือแม่น้ำโขงยังมีความเสี่ยง เพราะไม่มีมาตรฐานเรื่องการประกันภัย อีกทั้งยังไม่มีการจ่ายเงินค่าขายสินค้าผ่านธนาคาร ทำให้ต้องใช้เงินสด หรือแลกสินค้ากัน นอกจากนี้ การเดินเรือแม่น้ำโขงต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะซึ่งทางจีนมีมากกว่า และยังมีเหตุผลในเรื่องอิทธิพลแถบลุ่มแม่น้ำโขงอีกด้วย
       
       สำหรับการค้าชายแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนถือว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2554 มีการส่งออก 8,992.65 ล้านบาท นำเข้า 1,100.12 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2555 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2554-ก.พ.2555 มีการส่งออกแล้ว 4,480.40 ล้านบาท นำเข้า 180.08 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นส่วนน้ำมันดีเซล ไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม ส่วนสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เมล็ดทานตะวัน กระเทียม ดอกไม้เพลิง เห็ดหอม เป็นต้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000044204
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #446 เมื่อ: วันที่ 12 เมษายน 2012, 19:41:25 »

ทูตสหรัฐเชื่อมั่นไทยพร้อมหนุนธุรกิจอเมริกันลงทุนในไทยต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดี ที่ 12 เม.ย. 2555 
   
กรุงเทพฯ 12 เม.ย.- ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวภายหลังนางคริสตี้ เคนนี เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเข้าพบว่า นางคริสตี้ให้ความสนใจสอบถามความคืบหน้ามาตรการดูแลนิคมอุตสาหกรรมหลังประสบอุทกภัย

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งให้ทราบว่า โรงงานอุตสาหกรรมไทยฟื้นตัวแล้วร้อยละ 60 ด้านการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำมีคืบหน้าต่อเนื่องบางแห่งสร้างแล้วร้อยละ 25 ขณะที่บางแห่งเริ่มได้ร้อยละ 10 แล้ว และรัฐบาลไทย คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ.ซึ่งมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นประธานเห็นชอบในหลักการ ที่จะให้ความช่วยเหลืองบประมาณในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันน้ำ 2 ใน 3 ของวงเงินก่อสร้างของนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้รอเพียงราคากลางเท่านั้น โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กอน.) มีการประชุมเรื่องการกำหนดราคากลางและจะเสร็จเดือนเมษายนนี้ ขณะที่นางคริสตี้ ยังให้ความสนใจภาพรวมการลงทุนในประเทศไทย พร้อมยืนยันว่า นักลงทุนสหรัฐมีความเชื่อมั่นประเทศไทยที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งถนน ท่าอากาศยาน อีกทั้งประเทศไทยคนไทยมีความเป็นมิตรกับนักลงทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐจะช่วยอธิบายความคืบหน้าพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางอาเซียนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้กับอุตสาหกรรมไทยที่กำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยนางคริสตี้ ยืนยันว่านักลงทุนสหรัฐจะลงทุนในประเทศไทยต่อภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลสหรัฐและหอการค้าสหรัฐในไทย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นักลงทุนสหรัฐลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 3 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2555 โดยมีการลงทุนในไทยเพิ่มอีก 9,000 ล้านบาท ซึ่งเวสเทริน์ดิจิตอลยืนยันยังคงใช้ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญต่อไป ]สหรัฐยังเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงให้ทราบถึงนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมที่จะให้มีการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมชายแดน ซึ่ง กนอ.จะศึกษาเสร็จในเดือนกันยายนนี้ และให้เกิดขึ้นก่อนการเกิดขึ้นของ AEC เพื่อให้โครงการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น เฟอร์นิเจอร์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ได้ใช้ประโยชน์จากแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้มีการลงทุนในอุตสาหกรรมยางพาราในชายแดนไทยกับลาว เนื่องจากที่อุดรธานี มีการปลูกยางพารามากและยังมีการปลูกในลาวด้วย จึงสามารถลงทุนโครงการที่ใช้ยางพาราได้ตั้งแต่ระดับต้นน้ำถึงปลายน้ำได้ อีกทั้งการจะเกิดขึ้นของนิคมอุตสาหกรรมที่ทวายของพม่าก็จะมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่อำเภอน้ำพุ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งที่ป้อนชิ้นส่วนจำเป็นให้แก่โรงงานที่ลงทุนในนิคมที่ทวายด้วย ซึ่งนางคริสตี้ตอบรับที่จะแจ้งโครงการดังกล่าวให้นักลงทุนสหรัฐทราบโอกาสการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมตามแนวชายแดนด้วย.-สำนักข่าวไทย

http://www.mcot.net/cfcustom/cache_page/352846.html
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #447 เมื่อ: วันที่ 16 เมษายน 2012, 12:22:47 »

เชียงราย - ธุรกิจที่ดินเมืองพ่อขุนฯ เริ่มขยายตัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทุนใหญ่ไทย-เทศเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ขณะที่การซื้อขาย-โอนกรรมสิทธิ์รายย่อยเกิดขึ้นต่อเนื่อง
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้การซื้อขายที่ดิน-โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ จ.เชียงรายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายแห่งยังมีอัตราการเพิ่มขึ้น
       
       ทั้งนี้ มีรายงานจากสำนักงานที่ดิน จ.เชียงรายว่า ในปี 2554 พบมีการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินรูปแบบต่างๆ รวมจำนวน 6,917 แปลง มูลค่าทรัพย์สินกว่า 6,021 ล้านบาท และในปี 2555 ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม หรือไตรมาสแรกพบมีการทำนิติกรรมแล้วจำนวน 1,894 แปลง มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 1,488 ล้านบาท
       
       นายวุฒิสิทธิ์ จันทสูตร เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย กล่าวว่า การซื้อขายถ่ายโอนที่ดินในพื้นที่ จ.เชียงรายมีความคึกคักมากขึ้นกว่าในอดีตมาก สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน
       
       เช่น มีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ที่ อ.เชียงของ ฯลฯ จนทำให้บางบริเวณ เช่น อ.เชียงของ ฯลฯ มีการซื้อขายที่ดินกันอย่างมากมาย หรือเกิดจากการส่งเสริมด้านการปลูกยางพารา ทำให้มีการหาซื้อที่ดินหรือเข้าไปจับจองที่ดินเพื่อการเกษตรด้านนี้มากขึ้นจนเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันพบว่ามีประชาชนบางส่วนหันมาจับจองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยที่ จ.เชียงรายมากขึ้นด้วย



       อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการเปลี่ยนการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินยังพบว่าส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนสิทธิเพื่อการอยู่อาศัยเป็นสำคัญ โดยยังไม่มีตัวเลขที่ผิดปกติหรือแตกต่างจากอดีตมากนัก แต่ก็ถือว่ากระเตื้องเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆ มาราว 5-10%
       
       โดยยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทางการเกษตรไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมทั้งของไทยและต่างชาติ และมีเพียงกลุ่มทุนจีนบางส่วน และกลุ่มเครือสหฟาร์มไม่กี่รายที่เข้าไปซื้อที่ดินที่ อ.เชียงของประมาณ 500 ไร่ และ อ.พญาเม็งรายประมาณ 800 ไร่ เพื่อเปิดกิจการโรงงานอุตสาหกรรม
       
       ขณะเดียวกัน พบว่ากลุ่มบริษัท ซี.พี. กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กลุ่มเบียร์ช้าง ฯลฯ ได้เข้าไปหาที่ดินในพื้นที่เช่นกัน เพียงแต่ที่ดินจำนวนมากที่ถูกระบุว่าเข้าไปดำเนินการก็ยังไม่มีการทำนิติกรรมต่อสำนักงานที่ดินเชียงรายแต่อย่างใด คาดว่าคงอยู่ระหว่างดำเนินการกันอยู่
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มทุนใหญ่เข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อประกอบธุรกิจใหญ่ๆ อย่างหลากหลาย ตามความเหมาะสมของพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศในกลุ่มจีเอ็มเอสได้หลายประเทศ ทั้งพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้
       
       ในอดีตเราไม่ค่อยเห็นการเข้าไปลงทุนในลักษณะนี้มากนัก พบเพียงกลุ่มทุนจีนที่เข้ามาค้าขาย นำเข้าและส่งออก แต่ปัจจุบันกลุ่มทุนใหญ่ของไทยตัวจริงได้ทยอยไปลงทุน โดยเห็นได้ชัดเจนที่สุดในขณะนี้คือ เครือสหฟาร์ม ที่ไปซื้อที่ดินจำนวนมากที่ อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของเพื่อผลิตไก่ส่งออก จึงคาดว่าในอนาคตกลุ่มทุนที่ได้เข้าไปหาที่ดินจะทยอยลงทุนกันมากขึ้นเรื่อยๆ
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับราคาประเมินที่ดินประจำปี 2551-2554 โดยกรมธนารักษ์ระบุว่า ราคาที่ดินในเขต อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ซึ่งกำลังมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ผ่านถนน R3a และมีกำหนดแล้วเสร็จราวปลายปี 2556 มีความแตกต่างจากราคาซื้อขายจริงในพื้นที่อย่างมาก
       
       ราคาประเมินตามจุดสำคัญๆ คือ ที่ดินติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1129 สายเชียงของ-เชียงแสน ราคาไร่ละ 100,000 บาท ราคาติดถนนริมโขงและติดแม่น้ำโขงราคา 1,500,000-2,000,000 บาท
       
       ขณะที่ที่ดินติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1020 สายเทิง-เชียงของ อยู่ที่ไร่ละ 2,500,000 บาท แต่เชื่อกันว่าราคาซื้อขายจริงจะเกินกว่าราคาประเมินไม่ต่ำกว่า 50% ขึ้นไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000047228
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #448 เมื่อ: วันที่ 17 เมษายน 2012, 11:06:30 »

วาระครม. มท.เสนอโยกย้ายซี 10- กห.ชงบกลาง 952 ลบ.ปรับเงินเดือนทหาร

วันอังคารที่ 17 เมษายน 2012

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) ในวันนี้ ( 17 เมษายน ) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะทำหน้าที่ประธานการประชุมแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับการประชุมวันนี้ มีวาระที่น่าสนใจคือ กระทรวงมหาดไทยจะเสนอรายชื่อโยกย้ายข้าราชการ ประเภทตำแหน่งบริหารระดับสูง(ระดับ 10) ประมาณ 7 ตำแหน่ง คาดว่าจะมีการเสนอย้าย นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์วุฒิ อธิบดีกรมที่ดินไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และแต่งตั้งนายบุญเชิด คิดเห็น ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.)ลำพูน ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดินแทน  ทั้งนี้ก่อนหน้าที่นายบุญเชิด จะไปเป็นผู้ว่าฯนายบุญเชิด เคยดำรงคำแหน่งรองอธิบดีกรมที่ดินมาก่อน  พร้อมกันนี้จะเสนอย้ายผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยออกไปเป็นผวจ. ประกอบด้วย นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ตรวจฯ ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานี และย้ายนายธีระยุทธ เอี่ยมตระกูล ผวจ.สุราษฎร์ธานี ไปเป็นผู้ตรวจ นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ตรวจฯ ไปดำรงตำแหน่งผวจ.ร้อยเอ็ด และย้ายนายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผวจ.ร้อยเอ็ด ไปเป็นผู้ตรวจฯ รวมทั้งจะมีการย้าย นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.ตรัง ไปดำรงตำแหน่งผวจ.ระยอง แทนนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ผวจ.ระยอง และคาดว่าจะมีการย้าย นายธวัชชัย ไปดำรงตำแหน่ง ผวจ.ลำปาง หรือผวจ.ตรัง

 

กระทรวงมหาดไทยชงปรับเงินเดือนทหารตามขรก. โดยคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอครม. คณะที่ 1 (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้าง) ที่มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ เป็นประธาน เสนอเรื่อง การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของกระทรวงกลาโหม โดยกห.ขออนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง 3 ฉบับ เพื่อปรับปรุงกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารทหารทุกคุณวุฒิให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการพลเรือนสามัญในคุณวุฒิเดียวกัน รวมทั้งการชดเชยแก่ทหารที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ เพื่อแก้ปัญหาเงินเดือนทหารกับข้าราชการพลเรือนสามัญเหลื่อมลำกัน

ได้แก่ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหาร และการให้ได้รับเงินเดือน พ.ศ. …. 2. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้ได้รับเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับข้าราชการทหารที่มีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ราชการของกระทรวงกลาโหม 3. ร่างคำสั่งกระทรวงกลาโหม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ
 
ทั้งนี้กห.จะขออนุมัติงบประมาณในส่วนงบกลาง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการเลื่อนชั้นเงินเดือนเพื่อชดเชยแก่ข้าราชการทหารผู้ได้รับผลกระทบโดยจัดสรรให้แก่ส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม จำนวนเงิน 952,454,020 บาท โดยจัดสรรให้แก่ส่วนราชการสังกัดกห.กลาโหม ดังนี้ 1. สำนักงานรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงกระทรวงกลาโหม 18,045,120 บาท 2. กรมราชองครักษ์ 1,985,040บาท 3. กองบัญชาการกองทัพไทย 86,779,830บาท 4.กองทัพบก 584,341,030 บาท 5. กองทัพเรือ 182,182,280 บาท 6. กองทัพอากาศ 79,120,720บาท

โดยจะมีการปรับกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของข้าราชการทหารทุกคุณวุฒิให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกับเงินเดือนแรกบรรจุของพลเรือนสามัญในคุณวุฒิเดียวกัน กรณีที่มีคุณวุฒิต่างกันให้ปรับอัตราเงินเดือนโยคงค่าความต่างของอัตราเงินเดือนเเดิมกับคุณวุฒิหลักที่ใช้อ้างอิง โดยให้ดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ณ 1 ต.ค. 2553 ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของทหารทุกคุณวุฒิตามแนวทางของข้าราชการพลเรือนสามัญตามติครม.เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2553 และ ณ 1 ม.ค. 2555 ปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุของทหารตามแนวทางของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามติครม.วันที่ 31 ม.ค. 2555 ตัวอย่างเช่น บุคคลที่มีวุฒิปริญญาตรีหรือประกาศนียบัตรเทียบได้ไม่ต่ำกว่าปริญญาตรี หลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า4 ปี ประเภทนายทหารชั้นสัญญาบัตร ณ 1 ต.ค.53 รับเงินเดือนอัตรา น.1 ชั้น 8 ณ 1 ม.ค.55 ผู้มีคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีแนวท้ายกฎกระทรวง รับอัตรา น.1 ชั้น 12.5 ขณะที่บุคคลคุณวุฒิการศึกษาตรงตามบัญชีและมีคุณสมบัติตามปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การปฎิบัติหน้าที่ราชการที่กห.กำหนดได้รับอัตรา น.1ชั้น13.5
 
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความในพ.ร.บ.กำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 ที่กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยา ตอนกรุงเทพมหานคร – เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง และทางแยกเข้าพัทยาและทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตอนบางปะอิน – บางพลี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวง (ร่างข้อ 1 แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 1 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540)
 
ขณะที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก พ.ศ. ….กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ดำเนินการสนามบินอนุญาตที่ประสงค์จะเรียกเก็บค่าบริการผู้โดยสารขาออก ต้องยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนดพร้อมด้วยเอกสารหรือหลักฐาน เช่น ใบอนุญาต เอกสารแสดงอัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บรายงานการเงิน แผนการพัฒนาสนามบินห้าปี เป็นต้น และเมื่ออธิบดีได้รับคำขอพร้อมเอกสารและหลักฐานแล้วให้ดำเนินการ เช่น ตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของเอกสารและหลักฐาน จัดทำความเห็นและส่งคำขอพร้อมเอกสารหลักฐานให้แก่คณะกรรมการการบินพลเรือน เป็นต้น รวมทั้งให้คณะกรรมการการบินพลเรือนพิจารณา และจัดทำความเห็นและคำแนะนำต่อรัฐมนตรีและให้รัฐมนตรีพิจารณาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับความเห็นและเอกสา
 
กระทรวงคมนาคม ขออนุมัติในหลักการให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย วงเงินรวม 1,522.275 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2555-2557) เพื่อให้สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง ปีงบฯ 2555 เป็นค่าจ้างที่ปรึกษาเกี่ยวกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน ค่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อจัดทำผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และค่าเวนคืนที่ดินและค่าชดเชยในราษฎรที่ใช้ประโยชน์จากที่ดินในครอบครองของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม วงเงินรวม 264.300 ล้านบาท
 
นอกจากนี้กระทรวงคมนาคมยังขอควาเห็นชอบร่างกฎกระทวงว่าด้วยการงดรับจดทะเบียนรถที่ประกอบจากจากชิ้นส่วนของรถที่ใช้แล้ว สาระสำคัญเป็นการกำหนดให้งดรับจะทะเบียนรถที่ประกอบจากชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถที่ใช้แล้วทั่วประเทศ ครอบคลุม 4 ประเภท คือ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลและรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล เนื่องจากปัจจุบันมีการนำเข้าชิ้นส่วนและโครงสร้างรถที่ใช้แล้วจากต่างประเทศเข้ามาประกอบหรือดัดแปลงเป็นรถใหม่ เพื่อเลี่ยงไต้องชำระภาษี
 
ด้านกระทรวงพาณิชย์ เสนอขอความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงเรื่องกำหนดให้ตัวถังรถยนต์นั่งและโครงรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยขณะนี้้มีประกาศกระทรวงพาณิชย์ควบคุมการนำเข้ารถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว แต่ไม่ครอบคลุมถึงการนำเข้าโครงรถรถยนต์และรถจักรยานต์ที่ใช้แล้ว จึงต้องมีร่างประกาศนี้มารองรับการการควบคุมดังกล่าว แต่จะควบคุมเฉพาะตัวถังรถยนต์นั่งและโครงรถรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้วเท่านั้น ไม่รวมการนำเข้าการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้แล้ว เพราะอาจจะกระทบต่อผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ต้องการนำชิ้นส่วนมาทดแทนส่วนที่ชำรุดเสียหาย

ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)เสนอ ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์และการฟื้นฟู รวมทั้งให้ประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้มีคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกฯมอบหมายเป็นประธาน กรรมการ16 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งครม.แต่งตั้งไม่เกิน 8 คน กำหนดโทษสำหรับกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคล โดยให้กรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้จัดการ หรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลนั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนในการกระทำความผิดนั้น ทั้งนี้ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งอธิบดีที่ให้ระงับการกระทำหรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลฯเป็นการชั่วคราวตามความเหมาะสม และผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
 
กระทรวงสาธารณสุข ขอความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. ….โดยให้ยกเลิกพ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 ให้รมต.มีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับอาหารเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และให้มีคณะกรรมการอาหาร ที่มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานกรรมการ ทำหน้าที่พิจารณาสั่งเพิกถอนทะเบียนตำรับอาหาร โดยมีบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.นี้ ซึ่งมีโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่น ผู้ฝ่าฝืนผลิตอาหารปลอม ต้องระวางโทษจำคุก1-10ปี ปรับ1ล้านหรือทั้งจำทั้งปรับ


http://www.thanonline.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #449 เมื่อ: วันที่ 17 เมษายน 2012, 22:05:10 »

'ปู'ถกเต็มคณะกับนายกฯจีน

'ยิ่งลักษณ์' หารือเต็มคณะ กับ 'นายกฯจีน' พร้อมยกระดับความสัมพันธ์ สู่หุ้นส่วนความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ ตั้งเป้าเพิ่มการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เตรียมสถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง กับมณฑลต่าง ๆ วอนไทยทำตามกม.ลุ่มน้ำโขงสร้างความปลอดภัย

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มวิเทศสัมพันธ์ สำนักโฆษก  ทำเนียบรัฐบาลส่งอีเมลถึงสื่อมวลชนใจความว่า  เมื่อเวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางถึงมหาศาลาประชาชน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน รอให้การต้อนรับ ก่อนนำนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งประกอบด้วยการขึ้นแท่นทำความเคารพ เดินตรวจแถว กองทหารเกียรติยศ ณ ลานหน้ามหาศาลาประชาชน ด้านทิศตะวันออก

 
          จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าสู่อาคารมหาศาลาประชาชน  เพื่อหารือข้อราชการแบบเต็มคณะกับนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผู้เข้าร่วมฝ่ายไทยประกอบด้วย ประกอบด้วย นายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ  นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ  มรว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม  สรุปดังนี้
          นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเยือนจีนครั้งนี้  ซึ่งเป็นครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรี พร้อมขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและสมเกียรติ และเชื่อมั่นว่าการเยือนครั้งนี้จะประสบความสำเร็จในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมถือโอกาสนี้ แสดงความขอบคุณในความห่วงใยและความช่วยเหลือที่จีนให้แก่ไทย เมื่อครั้งไทยประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรง ซึ่งเป็นกำลังใจให้ไทยเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้
          โดยในการหารือ ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้อง ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนของสองประเทศ โดยเฉพาะโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในสาขาที่ยั่งยืนของไทย 4 สาขา
          ได้แก่ การจัดหาคอมพิวเตอร์แบบพกพา (แท็บเล็ต) แก่นักเรียนไทย  ความร่วมมือด้านรถไฟ พลังงานสะอาด และการบริหารจัดการน้ำ  ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการใช้กลไกต่างๆ  ที่มีอยู่ในการเจรจาหารืออย่างต่อเนื่อง โดยขอให้มีการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่ายเป็นลักษณะยุทธศาสตร์โดยเร็ว เพื่อขยายผลความร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุด
          นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกำหนดทิศทางและตั้งเป้าความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย- จีน ใน 3 สาขาหลัก ดังนี้ การเพิ่มการค้าร้อยละ 20 ต่อปี การลงทุนให้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15 ในอีก 5 ปีข้างหน้า และการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เสนอให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุนและเศรษฐกิจไทย-จีน ครั้งที่ 3 เพื่อผลักดันความร่วมมือใน 3 สาขาหลักดังกล่าว  เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 
          ไทยและจีนยังได้เน้นกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือเป็นรายมณฑลของจีนกับไทย โดยไทยได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับ 3 มณฑลของจีนแล้ว คือ ยูนนาน กวางตุ้ง และเซียะเหมิน  ซึ่งไทยจะตั้งคณะทำงานร่วมกับมณฑลเสฉวนต่อไป รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสถาปนาบ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างจังหวัดของไทยกับมณฑลต่าง ๆ ของจีน
          สำหรับความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานด้านการค้าสินค้าเกษตรไทย-จีน ซึ่งเป็นกลไกในการเจรจาเพื่อเพิ่มพูนปริมาณการค้าสินค้าเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลังและผลไม้ รวมทั้งเสนอให้มีการร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าต่างๆ ระหว่างกัน อาทิ การจำกัดโควต้าการนำเข้า และการปลอมปนข้าวไทยในจีน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แสวงหาความร่วมมือใหม่ๆ เช่น ความร่วมมือในการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันในประเทศที่สาม โดยรัฐบาลของสองประเทศจะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งระหว่างภาคเอกชนกับเอกชน

          นายกรัฐมนตรี ยังได้ใช้โอกาสนี้ขอบคุณรัฐบาลจีนที่ให้การดูแลนักลงทุนไทยในจีน และขอให้ช่วยดูแลนักลงทุนไทยให้ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินธุรกิจในจีน  โดยนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้จีนจัดตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือ SMEs ที่เข้าไปลงทุนในจีนแบบครบวงจรในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ซึ่งเป็นประตูสู่อาเซียนของจีน

          พร้อมใช้โอกาสนี้ เชิญชวนให้นักธุรกิจจีนไปลงทุนในสาขาที่ไทยส่งเสริมการลงทุน อาทิ ผลิตภัณฑ์ยางพารา ชิ้นส่วน ยานยนต์ เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึง อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน  อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลมและพลังงานชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

          นายกรัฐมนตรียังเสนอให้ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวและเน้นการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากขี้น  โดยตั้งเป้าให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า  และขอให้รัฐบาลจีนอนุมัติการตั้งสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยที่นครกวางโจว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจีนได้ดีขึ้น  พร้อมย้ำนโยบายของไทยในการกระชับความสัมพันธ์กับจีนในรายมณฑล โดยไทยประสงค์จะจัดตั้งคณะทำงานไทย-เสฉวน เพิ่มเติมจากที่มีคณะทำงานมณฑลยูนนาน กวางตุ้งและเมืองเซียะเหมิน
          นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญต่อความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โดยเห็นด้วยกับข้อเสนอของรองประธานาธิบดีสี  จิ้นผิง ของจีนในการแลกเปลี่ยนนักศึกษา 100 คน  และขณะนี้ทราบว่ามีนักศึกษาจีนจำนวนมากที่สนใจเรียนภาษาไทย และนักศึกษาไทยก็สนใจเรียนภาษาจีนมากขึ้นเช่นกัน  จึงขอให้รัฐบาลจีนสนับสนุนส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาไทยในจีน  และขอให้จีนสนับสนุนการส่งครูอาสาสมัครจีนไปสอนในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คน  ซึ่งในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจีนตอบรับตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ

          สำหรับประเด็นเกี่ยวกับความร่วมมือในภูมิภาคที่ผ่านมาไทยและจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครือข่ายการเชื่อมโยงคมนาคมในภูมิภาค อาทิ การเปิดเส้นทาง R3A ที่เชื่อมโยงจากนครคุนหมิง ยูนนาน ผ่านลาว และเข้าสู่ไทยที่ อ.เชียงของ จังหวัดเชียงราย และมาถึงกรุงเทพฯ และสะพานเชื่อมแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งกำหนดจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปลายปีนี้

          ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้จีนเร่งรัดการก่อสร้างสะพานดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกำหนด  ซึ่งจะช่วยเกื้อกูลต่อการไปมาหาสู่ของประชาชนและการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในอนาคตอันใกล้

          นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับระดับน้ำไทย-จีนในฤดูแล้งอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีด้วย พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรียังได้เชิญนายเวิน เจียเป่า เข้าร่วมการประชุม WEF ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม -  1 มิถุนายน 2555 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ที่กรุงเทพฯ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกับผู้นำจากประเทศเอเชียตะวันออก ซึ่งไทยยินดีที่จะประสานกับ WEF เพื่อจัดกำหนดการพิเศษในลักษณะการสนทนาพิเศษร่วมกับศาสตราจารย์ ดร.เคล้าส์ ชวับ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง WEF

          ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจีนได้แสดงความสนับสนุนอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน และแผนพัฒนาระยะ 5 ปี ทางด้านเศรษฐกิจและการค้า โดยให้สองประเทศตั้งใจปฏิบัติตามแผนดังกล่าวอย่างจริงจัง

          ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการค้าการลงทุนระหว่างกัน  ซึ่งจีนยินดีอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจทั้งสองฝ่าย  โดยขอให้ไทยอำนวยความสะดวกด้านข้อกฎหมายต่าง ๆ พร้อมทั้งขอให้สนับสนุนบริษัทจีนเข้าไปพัฒนาแร่โปแตสเซียมในไทยด้วย  นอกจากนี้จะร่วมกันสนับสนุนความร่วมมือด้านการเงิน เช่น การขยายสาขาธนาคารในสองประเทศ   การชำระเงินโดยใช้เงินตราของไทยและจีนในการค้าการลงทุน

          พร้อมกันนี้ จีนยินดีสนับสนุนการสร้างระบบรถไฟ และมอบหมายให้หน่วยงานทั้งสองประเทศไปร่วมกันดำเนินงานอย่างรวดเร็วและราบรื่น รวมทั้งการสนับสนุนวิสาหกิจด้านอวกาศและไอทีระหว่างกัน  และจีนยินดีสนับสนุนด้านชลประทานตามที่ได้มีการลงนามร่วมกันไปแล้ว   ที่สำคัญจีนขอให้ไทยส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายตามลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อความปลอดภัยและการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ 
          อย่างไรก็ตาม ทั้งไทยและจีนจะร่วมกันพัฒนาการเชื่อมโยงภูมิภาค เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรมทวายในเมียนมาร์  ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับจีนเพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ประเทศในอนุภูมิภาค รวมทั้งเมียนมาร์โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้เสร็จสมบูรณ์  เพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่โดยรอบด้วย

          นอกจากนี้ ไทยและจีนจะร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งในกรอบอาเซียน เพื่อรองรับความท้าทายจากปัญหาสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป
 
ลงนาม 8 ฉบับ แสดงถึงความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน
          ภายหลังการหารือข้อราชการเต็มคณะ ในเวลา 17.15 น. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมการเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน  จำนวน 8 ฉบับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

          1) แผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ระหว่างปี 2555-2559 (Joint Action Plan on Thailand-China Strategic Cooperation Between the Government of the People’s Republic of China 2012-2016) ซึ่งถือเป็นแผนปฏิบัติการร่วมฯ ฉบับที่ 2 สำหรับการดำเนินความร่วมมือระหว่างไทย-จีน ในสาขาต่างๆ กว่า 17 สาขา ที่จัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองฝ่าย ได้แก่ การเมือง การทหาร ความมั่นคง การค้า การลงทุน การเงินและธนาคาร เกษตรกรรม อุตสาหกรรม คมนาคม พลังงาน การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษาและการอบรม สาธารณสุขและวิทยาศาสตร์-การแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความร่วมมือในระดับภูมิภาคและพหุภาคี โดยมีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายจีน คือ นายหยาง เจี๋ยฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน   

          2) แผนพัฒนาระยะ 5 ปี ไทย-จีน ระหว่างปี 2555-2559 ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าเชิงกว้างและเชิงลึก (Five-Year Development Plan on Trade and Economic Cooperation between the People’s Republic of China and the Kingdom of Thailand) ที่มุ่งเน้นความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทยกับจีนในระยะ 5 ปี ระหว่างปี 2555 – 2559 ภายใต้ความตกลงการขยายความร่วมมือทวิภาคีทางเศรษฐกิจและการค้าในเชิงกว้างและเชิงลึกไทย-จีน อาทิ การอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคทางการค้า นวัตกรรมและเทคโนโลยีสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          3) บันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือเรื่องการค้าสินค้าเกษตรระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทยและจีน (Memorandum of Understanding Between the Ministry of Commerce of the People’s Republic of China and the Ministry of Commerce  of the Kingdom of Thailand on Agricultural Trade Cooperation) ซึ่งเป็นข้อเสนอของฝ่ายจีนที่จะจัดตั้งคณะทำงานเรื่องการค้าสินค้าเกษตร เพื่อหารือประดฺนที่ไทยและจีนมีผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการพัฒนา ส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร และการแก้ไขปัญหาและป้องกันหรือกำจัดอุปสรรคทางด้านสินค้าเกษตร มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          4) บันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ไทย และ State Administration for Industry and Commerce ของจีน (Memorandum of Understanding for Cooperation Between the Ministry of Commerce of the Kingdom of Thailand and the State Administration for Industry and Commerce of the People’s Republic of China) เป็นบันทึกความเข้าใจที่เน้นึความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค การลงทะเบียนกิจการบริษัท และเครื่องหมายการค้า มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายจีน คือ นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน

          5) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านรถไฟ (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study for Cooperation on railway Development Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) ที่ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรี เพื่อเป็นกลไกในการประสานงานสำหรับการขยายผลความร่วมมือด้านรถไฟ โดยเฉพาะ สาย กทม. – เชียงใหม่ มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และฝ่ายจีน คือ นายเซิ่ง กวางจู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟจีน

          6) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการน้ำ (Memorandum of Understanding Concerning Feasibility Study for Cooperation on railway Development Between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) ที่ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมระดับรัฐมนตรี เพื่อประสานงานให้เกิดความร่วมมือด้านนี้ต่อไป โดยฝ่ายจีนจะมีการจัดทำรายงานด้านต่างๆ อาทิ ความร่วมมือด้านระบบการจัดการน้ำแบบบูรณาดการ ระบบการบัญชาการเดี่ยว โครงสร้างพื้นฐานของการป้องกันอุทกภัย เป็นต้น

          7) ข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมด้านสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศน์ทางทะเล (Agreement on Establishment of Thailand – China Joint Laboratory for Climate and Marine Ecosystem between Ministry of Natural Resource and Environment, Kingdom of Thailand and State Oceanic Administration, People’s Republic of China) เป็นข้อตกลงย่อยของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางด้านทะเลระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับทบวงกิจการมหาสมุทรแห่งชาติจีน เพื่อร่วมมือกันในด้านต่างๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักเทดนิคและนักวิทยาศาสตร์ การประชุมเชิงปฏิบัติการระหว่างกัน และการค้นคว้าวิจัย มีผู้ลงนามฝ่ายไทย คือ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และฝ่ายจีน คือ นายหลิวชื่อกุ้ย ผู้บริหารทบวงกิจการมหาสมุทร (ระดับ รมช.)

          เจ๋ง ถ้อยแถลงร่วมระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทยเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน (Joint Statement Between the People’s Republic of China and the Kingdom of Thailand on Establishing a Comprehensive Strategic Cooperative Partnership) เป็นเอกสารผลลัพธ์การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรี ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือไทย-จีนที่มีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจ การศึกษาและวัฒนธรรม รวมถึงความพร้อมในการร่วมมือกันทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคีอย่างรอบด้านในอนาคต

          ภายหลังการร่วมเป็นสักขีพยาน นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ  ณ ห้องโถงตะวันตก ชั้น 1 มหาศาลาประชาชน


http://www.komchadluek.net
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
MaMoRu
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 357



« ตอบ #450 เมื่อ: วันที่ 18 เมษายน 2012, 12:21:34 »

 ยิ้มเท่ห์ ;)ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #451 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2012, 00:18:59 »

ทุนค้ารถหรูปักธงเปิดสาขาเชียงราย-เล็งตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 เมษายน 2555


เชียงราย - กลุ่มทุนนำเข้ารถหรูจากยุโรปดีเดย์เปิดโชว์รูมเชียงรายต้นเดือนหน้า เดินหน้าทำตลาดพม่า ลาว จีนตอนใต้ รับเออีซี.-เมียนมาร์เปิดประเทศ เชื่อมมั่นตลาดโตอีกมาก พร้อมเตรียมเปิดโชว์รูมในประเทศเพิ่มทุกภาคภายใน 3 ปี

นายประชา รุ่งเพ็ชรวิภาวดี ประธานกรรมการบริษัทฯ นำคณะผู้บริหารฝ่ายต่างๆ กลุ่มบริษัทในเครือซีเอ็นวายกรุ๊ป แถลงข่าวการเปิดโชว์รูมซีเอ็นวายกรุ๊ป ที่สำนักงานเลขที่ 730/1 สี่แยกแม่กรณ์ ถนนพหลโยธิน ต.เวียง อ.เมืองจ.เชียงรายว่า บริษัทซึ่งนำเข้ารถหรูจากยุโรป จะเปิดโชว์รูมเชียงราย อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พ.ค.55 นี้ภายใต้ชื่องาน "Grand Opening New Showroom And Service Center In Chiangrai Thailand 555"

ภายในงานจะมีการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของโชว์รูปรถนำเข้าจากทั่วโลก การเปิดตัวรถพิเศษจำนวน 5 คัน และการรวมตัวครั้งสำคัญของรถชั้นนำจากทั่วโลกมากกว่า 30 คัน รวมทั้งการแสดงพิเศษจากศิลปินชั้นนำ

นายประชา กล่าวว่า เครือซีเอ็นวาย มีประสบการณ์ด้านการจำหน่ายรถยนต์ยุโรปมานานกว่า 16 ปีแล้ว ปัจจุบันมีบริษัทในเครือหลายแห่ง เช่น หจก.ชนะยนต์อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด , บริษัทซีเอ็นวาย อิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต จำกัด ,บริษัทซีเอ็นวายออโต้อิมพอร์ต จำกัด ,บริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงเทเลอร์) และบริษัทหมิงทรานสปอร์ต จำกัด (หมิงออนทัวร์)

นายประชา บอกว่า หลังจากได้มีการเปิดตัวการนำเข้าและส่งออกรถยนต์ยุโรปมาได้แล้ว 1 ปีในปัจจุบันได้มีการตั้งโชว์รูมอยู่ที่เชียงราย และที่ย่านอ่อนนุช กรุงเทพฯ แล้ว ซึ่งผลประกอบการถือว่าก้าวหน้าไปได้ดีอย่างมาก โดยเฉพาะการนำรถตระกูลชื่อดัง เช่น เมอร์เซเดสเบนซ์ บีเอ็มดับบริว เลคซัส ฯลฯ ไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมาร์ สปป.ลาว จีนตอนใต้ ฯลฯ

“โดยเฉพาะเมียนมาร์ ถือว่า รถยุโรปกว่า 90% มาจากทางซีเอ็นวายแทบทั้งสิ้น”

ล่าสุดบริษัทได้ไปเปิดบริษัทในเครือคือบริษัทเมียนมาร์ซีเอ็นวาย จำกัด ที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ด้วย เนื่องจากเมียนมาร์มีการเปิดประเทศมากขึ้น โดยนำเข้ารถยนต์ไปแล้วกว่า 4,000-5,000 คัน และในอนาคตเมื่อมีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีเต็มตัว ก็จะทำให้บริษัทได้เปรียบด้านธุรกิจในนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายกลุ่มอาเซียนต่อไปด้วย

นายประชา กล่าวอีกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มต้นเปิดโชว์รูปอย่างยิ่งใหญ่ที่ จ.เชียงราย ก่อนจากนั้นจะค่อยๆเปิดเพิ่มเติมจุดอื่น ๆ ทั่วประเทศอีก คือ โชว์รูม ในกรุงเทพฯ อีก 2-3 แห่ง โดยอยู่ระหว่างตกลงเรื่องที่ดิน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุบลราชธานี และขอนแก่น และภาคใต้ที่ จ.ภูเก็ต และเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โดยโชว์รูมที่เหลือทั้งหมดจะพร้อมให้บริการภายใน 3 ปีนี้ โดยจะนำรถยนต์ชั้นนำมาจำหน่ายและเปิดเป็นศูนย์บริการลูกค้า 24 ชั่วโมงด้วย

ด้านนางสลินดา ชมพูศรี รองประธานกรรมการเครือซีเอ็นวาย กล่าวว่า ความจริงบริษัทนำเข้ารถยนต์ชั้นนำเข้าไปในเมียนมาร์นานแล้ว โดยนำเข้าไปทางเรือแม่น้ำโขงจากท่าเรือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปยังท่าเรือเมืองสบหรวย ประเทศเมียนมาร์ และสามารถกระจายเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในของเมียนมาร์ และจีนตอนใต้ได้ รวมทั้งส่งออกไปทางด่าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ด่านแม่สอด จ.ตาก ฯลฯ แต่ล่าสุดทางการเมียนมาร์ได้พัฒนาการนำเข้าและส่งออกโดยปิดจุดนำเข้ารถยนต์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด แต่เปิดให้มีการนำเข้าที่ท่าเรือทางทะเลแทน ซึ่งบริษัทก็ได้ใบอนุญาตจากรัฐบาลเมียนมาร์ในการนำเข้าที่ท่าเรือเมืองย่างกุ้งโดยตรงแล้ว

นางสลินดา กล่าวอีกว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาถือว่าตลาดเมียนมาร์ดีมาก โดยมียอดนำเข้าในเดือนละกว่า 2,000-3,000 คัน นอกจากนี้ยังมีการนำรถยนต์มือสองเข้าไปจำหน่ายเฉพาะปี 2554 ที่ผ่านมา แล้วกว่า 5,000 คันแล้ว


http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000048141
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #452 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2012, 14:04:47 »

ททท.จัดงาน 750 ปี ชร.ดึงคนเที่ยวหลังสงกรานต์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 เมษายน 2555

เชียงราย - เตรียมเปิดสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ และพื้นที่ชั้น 2 เซ็นทรัลเชียงราย จัดใหญ่ “750 ปีเชียงรายรำลึก” 20-22 เมษายนนี้ ดึงคนเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ หลังสงกรานต์ 55
       
       นายพงศธร เกษสําลี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “750 ปี เชียงรายรำลึก” ระหว่างวันที่ 20-22 เมษายน 55 นี้ ณ บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมือง จ.เชียงราย และบริเวณโดยรอบ ว่า งาน 750 ปี เชียงรายรำลึก จัดขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่เมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปีในปีนี้ และส่งเสริมให้คนมาเที่ยวเชียงรายหลังสงกรานต์ด้วย
       
       โดยกิจกรรมจะมีขึ้นอย่างหลากหลายตั้งแต่เวลา 17.00 น.เป็นต้นไป เช่น ถนนสายศิลปวัฒนธรรม การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าชุมชน อาหารและเครื่องดื่มในลักษณะกาดมั่ว การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา การแสดงพื้นเมือง การจำลองวิถีชีวิตชนเผ่า การประกวดร้องเพลง “เชียงรายรำลึก” การแสดงจากศิลปินชั้นนำ
       
       ส่วนพิธีเปิดจะมีขึ้นในเย็นวันที่ 20 เมษายน 55 โดยมีการแสดงชุดราตรีมังรายมิ่งเมืองแก้ว ส่วนวันที่ 21 เมษายน 55 จะมีการจัดขบวนแห่เทิดพระเกียรติพญามังรายมหาราช
       
       และงานดังกล่าวนี้จะเชื่อมโยงกับศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา โดยจะมีรถปรับอากาศและมัคคุเทศก์หรือไกด์นำเที่ยวจากศูนย์การค้าไปยังบริเวณจัดงานวันละ 5 รอบ ตั้งแต่เวลา 12.00-16.00 น.ฟรีทุกต้นชั่วโมง
       
       ส่วนภายในศูนย์การค้าชั้น 2 ก็จะมีการจัดนิทรรศการ 750 ปีเมืองเชียงราย ณ โซนแฟชั่น พลัส และโซนด้านหน้าห้างโรบินสัน ชั้น 2 และวันที่ 22 เมษายน 55 ก็จะมีการประกวดวาดภาพของเยาวชนในหัวข้อ “750 ปีเมืองเชียงราย” ชิงทุนการศึกษาและรางวัลต่างๆ ด้วย
       
       นายธานินทร์กล่าวว่า การจัดกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นผลดีต่อจังหวัดอย่างมาก โดยนอกจากจะสืบสานประเพณีวัฒนธรรมล้านนาแล้ว ยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้จังหวัด เพราะที่ผ่านมากำลังคิดวางแผนกันเรื่องการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวหลังเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นฤดูฝนไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว จึงต้องมีกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
       
       สำหรับเมืองเชียงรายและพญามังรายมหาราชถือว่ามีความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างมาก โดยพญามังรายมหาราชมีพระปรีชาสามารถอย่างมาก โดยนอกจากจะสร้างเมืองเชียงราย ยังสร้างเมืองฝาง เมืองกุมกาม เมืองเชียงใหม่ ฯลฯ เป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งกาจมากและยังเป็นนักค้าขายเศรษฐกิจ โดยปรากฏหลักฐาน เช่น การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ เงินโบราณ ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรจีนในยุคเดียวกันเพราะมีการส่งเสริมการค้าผ่านทางเรือแม่น้ำโขงมาแล้วตั้งแต่อดีต
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
nuypond
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 242


« ตอบ #453 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2012, 20:00:46 »

...........
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2012, 02:47:16 โดย nuypond » IP : บันทึกการเข้า
Mosterbirdx
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #454 เมื่อ: วันที่ 20 เมษายน 2012, 10:04:59 »

สวดๆ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #455 เมื่อ: วันที่ 20 เมษายน 2012, 20:53:21 »


   
เชียงราย - จังหวัดทหารบกเชียงรายเปิดบ้าน “จอมพล ป.” ทำศูนย์การเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ แจงประวัติละเอียดยิบ พร้อมขนอาวุธปืนโบราณยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ร่วมโชว์เพียบ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้จังหวัดทหารบกเชียงรายได้เปิดศูนย์การเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์บ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม บนดอยทอง เขตเทศบาลนครเชียงรายแล้ว โดย พล.ต.ธันยวัตร ปัญญา ผู้บังคับการ จทบ.เชียงราย นำคณะทหาร พร้อมด้วยนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินชื่อดังชาวเชียงราย และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ-เอกชนเข้าร่วมงานเปิดตั้งแต่วานนี้ (19 เม.ย.)
       
       ในโอกาสนี้ พล.ต.ธันยวัตร และคณะได้เชิญชวนให้คณะผู้ไปร่วมกิจกรรมได้ชมบริเวณบ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่สร้างเมื่อปี 2484 เพื่อเป็นบ้านพักรับรองให้จอมพล ป.ที่ไปตรวจราชการและเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพภาคพายัพ จนกระทั่งถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2489 จึงให้อยู่ในความดูแลของจังหวัดทหารบกเชียงราย แต่ที่ผ่านมาถูกปล่อยทิ้งร้างสภาพจึงทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
       
       พล.ต.ธันยวัตรกล่าวว่า ดังนั้นจึงได้ทำการบูรณะขึ้นมาใหม่ให้มีสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงเหมือนเดิม และบริหารจัดการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในหน่วยทหาร เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเมืองเชียงรายอย่างมีส่วนร่วม
       
       ซึ่งการบูรณะก็ไม่ได้ใช้งบประมาณจากกองทัพบก แต่เกิดจากการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ เช่น เทศบาลนครเชียงราย หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 บกก.สส.ที่จัดทหารช่างมาช่วยสนับสนุน ฯลฯ นอกจากนี้ มีภาคเอกชนให้การสนับสนุนอีกหลากหลาย เช่น เชียงรายแลนด์ หาญเจริญ ฯลฯ โดยใช้เวลาในการบูรณะประมาณ 1 ปีจึงแล้วเสร็จในปัจจุบัน และเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมและศึกษาได้
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับบ้านจอมพล ป.พิบูลสงคราม แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีภูมิประเทศสงบร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวาง และรูปแบบบ้านเป็นอาคารสองชั้น กว้าง 19.25 เมตร คูณ 29.25 เมตร พื้นชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นชั้นบนเป็นไม้เนื้อแข็ง ฝาชั้นบนและล่างก่ออิฐฉาบปูนเรียบ ห้องชั้นบนและล่างมีชั้นละ 3 ห้อง โดยมีเตาผิงไว้ใช้ในฤดูหนาวด้วย ปัจจุบันทางจังหวัดทหารบกเชียงรายได้นำอาวุธปืนโบราณที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งฝ่ายญี่ปุ่นและสัมพันธมิตรไปจัดแสดง พร้อมมีรูปถ่ายจอมพล ป.และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องให้ผู้เข้าชมได้ดู และศึกษา
       
       สำหรับบทบาทของกองทัพภาคพายัพที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักจอมพล ป.ดังกล่าว เกิดจากกรณีกองทัพไทยและญี่ปุ่นได้มีข้อตกลงเรื่องเขตแดนการรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี 2484 ให้ประเทศไทยรับผิดชอบฝั่งตะวันออกแม่น้ำสาละวินถึงลำน้ำโขง จนเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาในปี 2485 ทำให้กองทัพภาคพายัพของไทยถูกส่งเข้าไปบุกเมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ซึ่งอยู่ในฝั่งของฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนั้น จนเป็นที่มาทำให้เกิดบ้านจอมพล ป.ที่ใช้เป็นศูนย์บัญชาการ และบ้านพักดังกล่าว
       
       อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบ้านพักถูกปล่อยทิ้งร้างหญ้าขึ้นรกจนเป็นที่สงสัยของผู้คนที่ผ่านไปมา กระทั่ง พล.ต.ธันยวัตรได้เข้ารับหน้าที่ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเชียงราย จึงได้มีการบูรณาการหน่วยงานต่างๆ เข้าพัฒนาดังกล่าว
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #456 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 22:18:05 »

ทุนท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ ปรับแผนทำทัวร์ดักคนจีน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 เมษายน 2555

เชียงราย - สมาคมท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ เดินเครื่องปรับแผนรับยุทธศาสตร์รัฐบาล-จังหวัดฯ จัดทัวร์ดักนักท่องเที่ยวจีน พร้อมสร้างเครือข่ายร่วม 8 จังหวัดภาคเหนือเพิ่มจุดขายดึงคนเข้าพักค้างในพื้นที่นานขึ้น
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 55 ครั้งที่ 1 ของสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ที่ห้องประชุมโรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมืองเชียงรายนั้น นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมฯ ที่ได้รับเลือกตั้งจากสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน นำคณะผู้บริหารแถลงนโยบายการบริหารให้สาธารณชนได้รับทราบ โดยมีที่ปรึกษา กรรมการ และสมาชิกเข้าร่วม
       
       นายอภิชาระบุว่า ในโอกาสที่ตนได้เข้ามาบริหารงานอีกในครั้งนี้ได้มีการปรับนโยบายของสมาคมให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาลและของจังหวัดไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อประสานงานและการได้รับงบประมาณสนับสนุน
       
       นายอภิชากล่าวว่า นโยบายที่สมาคมจะดำเนินการให้สำเร็จเพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวของเชียงรายมีหลายด้าน ได้แก่ ด้านการตลาด จะมีการเข้าร่วมงานแสดงหรือแฟร์ท่องเที่ยว เช่น เดือนมิถุนายนไปจัดแสดงที่อิมแพค เมืองทองธานี เดือนกันยายนที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจะมีการตระเวนแสดงหรือโรดโชว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน โดยเน้นไปยังตลาดด้านการสัมมนาและศึกษาดูงานเป็นหลัก เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ ก็จะดำเนินการพัฒนารูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด โดยจะมีการพัฒนานอกเหนือจากที่เคยปฏิบัติหรือมีมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้วให้เพิ่มความหลากหลายขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวพักเพิ่มขึ้น จากเดิมมีสถิติพักเฉลี่ยในพื้นที่คนละ 2 วัน ก็จะพยายามให้เพิ่มขึ้นเป็น 4 วันหรือ 1 สัปดาห์ โดยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น แนวผจญภัยซึ่งนักท่องเที่ยวในปัจจุบันนิยมขับขี่จักรยานยนต์ท่องป่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การชิงรางวัลต่างๆ เป็นต้น
       
       นายอภิชากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีนโยบายด้านมาตรฐานการให้บริการ ทั้งโรงแรม ห้องพัก มัคคุเทศก์หรือไกด์ สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ โดยร่วมกับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงราย และสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติ อ.เชียงแสน ฯลฯ ในการสร้างทีมผู้นำ ทีมนักการขาย การฝึกอบรมภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เป็นต้น
       
       ขณะเดียวกันยังมีนโยบายด้านการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จ.เชียงราย ซึ่งมีความจำเป็นที่ธุรกิจท่องเที่ยวจะต้องมีเครือข่ายเพื่อขยายตลาดให้ใหญ่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างเครือข่ายร่วมกับ 8 จังหวัดภาคเหนือ ฯลฯ ตามแนวคิดที่เปรียบกับห้างสรรพสินค้าซึ่งหากมีความหลากหลายก็จะได้รับความนิยมมาก ทั้งเรื่องโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
       
       นายกสมาคมท่องเที่ยวฯ กล่าวต่อว่า สมาคมยังมีนโยบายจะจัดทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวหรือแพกเกจทัวร์ตามเส้นทางประเทศไทย-จีนตอนใต้ โดยเส้นทางสู่ประเทศจีนจะจัดทำเส้นทางเชียงราย-สปป.ลาว-สิบสองปันนา-คุนหมิง-ต้าลี่-ลี่เจียง-แชงกรี-ลา เพื่อขายให้นักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ จะจัดทำแพกเกจเส้นทางท่องเที่ยวในเส้นทางเดียวกันเข้าสู่ประเทศไทยผ่าน จ.เชียงราย-สุโขทัย-กรุงเทพฯ และไปเที่ยวทะเล เพื่อขายให้นักท่องเที่ยวชาวจีน โดยจะมีการจัดให้พักที่ จ.เชียงรายอย่างน้อย 2 คืน คือคืนที่เดินทางขาเข้า และขาออก ซึ่งหากทำสำเร็จนอกจากจะดึงนักท่องเที่ยวให้ไปสู่พื้นที่เป็นจำนวนมาก ยังทำให้ภาคธุรกิจได้ร่วมมือกันและแก้ไขปัญหาการตัดราคากันเองด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050145
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #457 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2012, 22:36:48 »

เตรียมปรับโฉมท่าเรือเชียงแสน 1 ผุดดิวตี้ฟรี-ท่าเรือท่องเที่ยว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   23 เมษายน 2555



       เชียงราย - เทศบาลฯ เชียงแสนวางแผนปรับโฉมท่าเรือเชียงแสน 1 หลังการท่าเรือย้ายเข้าบริหารท่าเรือเชียงแสน 2 ปากน้ำกกเบ็ดเสร็จ วางผังผุดดิวตี้ฟรี-ท่าเรือท่องเที่ยว รับทัวร์น้ำโขงที่ยังคงคึกคักต่อเนื่อง
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า หลังการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ยุติการบริหารท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ซึ่งอยู่ในเขตเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 55 ที่ผ่านมา และไปบริหารงานท่าเรือแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างขึ้นที่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน แทนตามมติคณะรัฐมนตรีไปแล้วนั้น


       ล่าสุดการถ่ายโอนท่าเรือแห่งที่ 1 เพื่อให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสนนำไปใช้เพื่อใช้เป็นท่าเรือด้านการท่องเที่ยวยังไม่แล้วเสร็จ แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเห็นชอบเรื่อยมาหลายรัฐบาลแต่ยังคงติดขั้นตอนในทางปฏิบัติอยู่ ทำให้ปัจจุบันท่าเรือยังคงอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ ที่รับผิดชอบพื้นที่ชั่วคราวต่อจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
       
       ด้านนายชยกฤษณ์ นิสสัยสุข นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสน กล่าวว่า แม้ตามหลักการจะมีการถ่ายโอนท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ให้เทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน แต่ขั้นตอนในปัจจุบันคือได้มีการโอนไปให้กรมธนารักษ์ดูแลก่อน ซึ่งทางกรมธนารักษ์ได้มีหนังสือสอบถามมายังเทศบาลฯ และทางเทศบาลฯ ก็มีหนังสือยืนยันกลับไปแล้ว คาดว่าจะมีการถ่ายโอนสถานที่ให้เทศบาลฯ ในเร็วๆ นี้



       โดยพื้นที่ที่ทางเทศบาลฯ จะเข้าไปบริหารคือ อาคารส่วนหน้าที่เคยเป็นของการท่าเรือแห่งประเทศไทย อาคารกลางริมท่าเรือ ตัวท่าเรือ สถานที่ในภาพรวม ฯลฯ หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องและได้ออกแบบเบื้องต้นเพื่อจะเข้าไปพัฒนาแล้ว
       
       นายชยกฤษณ์กล่าวอีกว่า รูปแบบการพัฒนาท่าเรือคือ จะตั้งอาคารส่วนหนึ่งให้เป็นอาคารอำนวยการและศูนย์ข้อมูลต่างๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ส่วนอาคารกลางริมท่าเรือจะจัดให้ส่วนทิศใต้เป็นเขตปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี เพื่อเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าไปบริหารจัดการ โดยหากได้รับพื้นที่ก็จะมีการเข้าไปสำรวจ คาดว่าจะมีเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางเมตร และทำการเปิดประมูลเพื่อให้เอกชนเข้าไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์และสร้างความคึกคักให้แก่พื้นที่ เพราะเป็นท่าเรือด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว



       ส่วนทางด้านทิศเหนือของอาคารจะมีการจัดทำเป็นร้านค้าหรือบูทของเทศบาลฯ เอง ด้านตัวท่าเรือที่มีอยู่แล้วคงจะเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเป็นหลัก เพราะเหมาะกับเรือที่มีขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นเรือโดยสารเล็กทั่วไปที่ประชาชนไทย-สปป.ลาว ใช้เพื่อการสัญจรไปมาตามปกติบริเวณหน้าที่ว่าการ อ.เชียงแสน
       
       นายกเทศมนตรีตำบลเวียงเชียงแสนกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ด้านงบประมาณและรายละเอียดในการดำเนินการคงจะมีการประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีกครั้งเมื่อได้รับการถ่ายโอนท่าเรืออย่างเป็นทางการแล้ว



       ทั้งนี้ แนวโน้มด้านการท่องเที่ยวผ่านแม่น้ำโขงยังคงมีความคึกคักและดีขึ้นแม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกี่ยวกับเรือสินค้าจีน แต่ในปัจจุบันเรือท่องเที่ยวของ สปป.ลาวกลับมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเส้นทางท่องเที่ยวสายไปเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกของ สปป.ลาว ขณะที่เรือสินค้าท่องเที่ยวอื่นๆ ก็ยังคงมีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรือท่องเที่ยวของจีน เช่น เรือเทียนต๋า เรือเจ้าชาย ฯลฯ รวมทั้งผู้ประกอบการไทยก็มีความพร้อมและประกอบการด้านนี้มาอย่างต่อเนื่องแล้วด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในปัจจุบันมีเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในแม่น้ำโขงหลายราย แต่เอกชนไทยที่มีความโดดเด่นที่สุดในปัจจุบันคงเป็นบริษัทแม่โขงเดลต้า ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด ซึ่งเปิดกิจการท่องเที่ยวแม่น้ำโขงมาอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นมีการซื้อเรือท่องเที่ยวเพื่อการรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ รวมทั้งมีความชำนาญด้านกิจการดิวตี้ฟรี ซึ่งมีห้างร้านอยู่ที่ตลาด จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย และเอกชนรายเดียวกันนี้เข้าไปสนับสนุนกิจการของท่าเรือและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่อง จนถูกคาดการณ์ว่าท้ายที่สุดคงจะได้ประมูลเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ดังกล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050152
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
VALUE
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114


« ตอบ #458 เมื่อ: วันที่ 24 เมษายน 2012, 20:56:21 »

ความเป็นมาในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและพัฒนา

เนื่องจากจังหวัดเชียงรายมีการพัฒนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมาย อันเนื่องมาจากสภาพภูมิศาสตร์อันเป็นเป็นประตูการค้าที่สำคัญของประเทศในการเชื่อมโยงการค้า การขนส่ง การบริการ  และการท่องเที่ยว การดำเนินการต่างๆของโครงการภาครัฐมีมูลค่าจำนวนมากมายมหาศาล และมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต โดยเชื่อว่ามีคนไม่น้อยเช่นกันที่สนใจด้านการพัฒนา

การตั้งกระทู้นี้ เพื่อรวบรวบเป็นแหล่งความรู้ ต่างๆทั้งจากข่าว บทความ และการแสดงความคิดเห็นจากเพื่อนสมาชิก เพื่อประโยชน์จากผู้ที่สนใจค้นคว้าข้อมูล ได้เห็นภาพรวมของการพัฒนาจังหวัด ได้เห็นตัวทิศทางการพัฒนา ที่สำคัญ ท่านที่มาอ่านได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองได้รับจากการพัฒนา และจะปรับตัวเข้าอย่างไร หรือตั้งรับกับความเจริญ ที่เราห้ามไว้ไม่ได้ แต่จะเติบโตอย่างไร บนรากฐานวัฒนธรรมประเพณีที่เข็มแข็ง ความอุดมสมบูรณ์ในธรรมชาติ ของเมืองเชียงราย

ตอนนี้สิ่งที่ขาดจากกระทู้รวมรวมการพัฒนา คือนักข่าวที่เป็นพลเมือง คนในท้องที่ และมุมมองความคิดเห็นที่หลากหลาย ที่สำคัญต้องสร้างสรรค์ เพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย

โดยถ้ามีข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในจังหวัด ถ้าได้รับรู้ และรับทราบ อาจเป็นข้อมูล ทิศทาง วิสัยทัศน์การพัฒนาเชียงราย

มาช่วยกันติดตาม มองความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของเชียงราย พร้อมๆกันนะครับ.

ร่วมทำเชียงรายให้น่าอยู่

คลิกดูตามกระทู้นี้ได้เลย

หัวข้อกระทู้ 1. กระทู้ติดตามรถไฟเชียงราย ครับ.  


หัวข้อกระทู้ 2. ติดตามถนน R3a และโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4

หัวข้อกระทู้ 3.พร้อมหรือยังเจียงฮาย กับการเปิดเขตการค้าเสรี

หัวข้อกระทู้ 4. รวบรวมข่าวสารที่เกิดขึ้นในเชียงรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพัฒนา  

หัวข้อกระทู้ 5.รวมกระทู้ติดตามความเคลื่อนไหวโครงการเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย    


หัวข้อกระทู้ 6. ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก

หัวข้อกระทู้ 7.อนาคตผังเมืองเจียงฮายจะเป็นจะได๋หา

หัวข้อกระทู้ 8. รถไฟที่จะมาเชียงราย เขามีโครงการหรือยังค่ะ

หัวข้อกระทู้ 9.เที่ยวเชียงราย รบกวนถามคนเชียงรายหน่อยคะ

หัวข้อกระทู้ 10. อีก 3 ปี ข้างหน้า ตลาดแรงงานในเชียงราย จะมีทิศทางไปทางไหนครับ

หัวข้อกระทู้ 11.สมควรมี "เทศบาลเมืองแม่สาย" ได้หรือยังครับ?

หัวข้อกระทู้12.  ความเคลื่อนไหวของ เซ็นทรัลเชียงราย

หัวข้อกระทู้ 13.ความก้าวหน้าของเชียงรายในหลายๆ ด้าน ลองอ่านดูนะครับ น่าสนใจมาก

หัวข้อกระทู้14.  จะมีไหมนิคมอุตสาหกรรมเชียงราย

หัวข้อกระทู้15.  ข้อคิดและบทเรียนรื้อโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย  

หัวข้อกระทู้1ุ6.  อีกสามปีก็เกิดAECแล้ว เชียงรายจะไปทางไหน  

หัวข้อกระทู้ 1ึ7.ติดตามข่าว รายงานความคืบหน้าโครงการหอศิลป์เชียงราย และเกาะศิลป์ ตลอดลำน้ำกก 6 กม.

หัวข้อกระทู้ 1ึ8.น่าจะฟื้นฟู คูเมือง ให้สะอาด

หัวข้อกระทู้ 19.   รวมข่าวสาร การค้าชายแดน ด้านจังหวัด เชียงราย และ ประชาคมอาเซียน

หัวข้อกระทู้ 20. มฟล.ทำเอ็มโอยู 7 รพ.เชียงรายเปิดสอนแพทย์แนวใหม่ป้อนกลับชุมชน

สนใจหัวการพัฒนาที่เคยโพสผมพยายามรวบรวมไว้แล้วครับ. ช่วยกันแสดงความคิดเห็นครับ เชียงรายจะพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง...แม้ความคิดเห็นเล็กก็เป็นการสะท้อนแง่มุมบ้างอย่างได้นะครับ

ขอบคุณครับ






ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ  เปงข้อมูลได้ดีทีเดียวเชี๊ยวเลย    ขยิบตา ขยิบตา
sports
IP : บันทึกการเข้า

Post By Sport Basketball OnlySBO
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #459 เมื่อ: วันที่ 26 เมษายน 2012, 19:24:50 »

คมนาคม  ทล.เล็งเปลี่ยนแนวมอเตอร์เวย์

ทล.เล็งเปลี่ยนแนวมอเตอร์เวย์
วันอังคารที่ 24 เมษายน 2012 เวลา 12:02 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL
ทล.เล็งปรับแนวมอเตอร์เวย์เส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่ รับเปิดท่าเรือเชียงแสน 2 และสะพานข้ามโขงแห่งที่4  เชียงของ-ห้วยทราย หวังร่นระยะทางและเลี่ยงผลกระทบชุมชน ส่วนช่วงหาดใหญ่-ด่านสะเดา ชายแดนมาเลเซีย รอลุ้นงบประมาณปี2556 กว่า 5 หมื่นล้านบาท เพื่อเปิดประตูการค้าเพิ่มรองรับเออีซีภาคใต้
 นายวันชัย  ภาคลักษณ์  อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งรัดให้บริษัทที่ปรึกษาดำเนินการทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมในโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์โดยเฉพาะเส้นทางสำคัญ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนที่จะเริ่มอย่างเป็นทางการในปี 2558 นี้ ซึ่งในส่วนของทล.ต้องการให้มอเตอร์เวย์มีส่วนสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการใช้บริการซึ่งจะเกิดรายรับจากการจัดเก็บค่าใช้บริการในแต่ละเส้นทาง
 โดยเฉพาะเส้นทางหลัก ๆ คือ ในพื้นที่ภาคเหนือตามที่ทล.มีแผนดำเนินการในเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่เพื่อจะรองรับการเปิดท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งได้เริ่มให้บริการแล้วและเปิดสะพานข้ามโขงแห่งที่ 4(เชียงของ-ห้วยทราย) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยโครงการมอเตอร์เวย์เส้นทางเชียงใหม่-เชียงรายตามที่ภาคเอกชนพื้นที่ภาคเหนือนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)สัญจรพิจารณาเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 ที่ผ่านมาจะต้องมีการทบทวนผลการศึกษาใหม่
 "เส้นทางนี้ได้เคยมีการศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 2549 โดยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่นหรือไจก้า ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงจากเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-เชียงราย ถือเป็นเส้นทางเพื่อชี้นำการกระจายความเจริญความเจริญไปสู่ภูมิภาค โดยจะเชื่อมโยงภาคเหนือสู่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย ลาว พม่า และจีนตอนใต้ รูปแบบ 4 ช่องจราจร ซึ่งตามผลการศึกษาเดิมระยะทางเกือบ 200 กิโลเมตรใช้งบประมาณการลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท ต้องเวนคืนที่ดินกว่า 6,000 ไร่ คิดเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันความเจริญในพื้นที่มีมากขึ้นกว่าช่วงเริ่มต้นศึกษาโครงการ จึงมีความจำเป็นและเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ  เนื่องจากรูปแบบเดิมที่ศึกษาระยะทางยาวมากเกินไปจึงน่าจะร่นระยะทางให้สั้นลงและปรับแนวบางช่วงเพื่อเลี่ยงชุมชนคาดว่าจะลดงบประมาณได้อีก"
 อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวอีกว่าส่วนโครงการมอเตอร์เวย์ช่วงหาดใหญ่-ด่านสะเดา(ชายแดนมาเลเซีย)ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นประตูการค้าเพิ่มและรองรับการเปิดการค้าเสรีอาเซียนโซนพื้นที่ภาคใต้ของไทย เพื่อรองรับการจราจรที่แออัดในถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นถนนสายหลักสายเดียวจากหาดใหญ่ไปยังด่านสะเดาที่เชื่อมโยงกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งต้องรอลุ้นงบประมาณปี 2556 จากรัฐบาลดำเนินโครงการดังกล่าวโดยปีนี้ทล.ได้ขออนุมัติงบประมาณ 30 ล้านบาทเพื่อทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสม
 "มอเตอร์เวย์สายนี้จะลดจุดตัดสำคัญ 3 จุด ในอำเภอหาดใหญ่ ตำบลปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา และที่ด่านสะเดา เพื่อให้รถใช้ความเร็วได้สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียผ่านด่านสะเดา จุดเริ่มต้นโครงการอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไปสิ้นสุดที่ด่านสะเดาติดกับชายแดนประเทศมาเลเซีย มีทั้งส่วนที่เป็นถนนระดับพื้นและทางยกระดับ เขตทางกว้าง 70 เมตร ทิศทางไป-กลับฝั่งละ 2 ช่องจราจร โดยมีแนวเส้นทางเชื่อมกับถนนเพชรเกษม ตำบลฉลุง อำเภอหาดใหญ่ ใกล้ๆ กับที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ หรือ นิคมฉลุง ผ่านพื้นที่ใกล้กับสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ เข้าไปในเขตอำเภอคลองหอยโข่ง แล้วเชื่อมต่อกับถนนกาญจวนิชก่อนถึงด่านสะเดาที่กำลังก่อสร้างด่านสะเดาแห่งใหม่"
 ทางด้านนายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลาเปิดเผยว่า วันที่ 27 เมษายนนี้ได้จัดสัมมนาเรื่องมอเตอร์เวย์เส้นทางหาดใหญ่-สะเดา(เชื่อมชายแดนมาเลเซีย) เพราะหอการค้าจะต้องทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาล กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ภาคธุรกิจและภาคประชาชนเพื่อร่วมกันผลักดันงบประมาณตรงจุดนี้ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากสิ่งที่หอการค้ายังเป็นกังวลและพยายามผลักดันมาโดยตลอดคือมอเตอร์เวย์ เนื่องจากถนนกาญจนวนิชที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีปัญหาในการใช้เส้นทางสัญจร ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องหาเส้นทางที่จะวิ่งตัดตรงไปยังหาดใหญ่-สะเดารวมระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 15,000 ล้านบาท
  "มั่นใจว่ามอเตอร์เวย์เส้นทางนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจด้วยการอำนวยความสะดวกด้านคมนาคมขนส่งสินค้าชายแดนทางบกระหว่างไทย-มาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าการค้านำเข้า-ส่งออกรวมกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าสู่ประเทศไทยให้กับตลาดนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การกระตุ้นการสร้างความตื่นตัวด้านการท่องเที่ยวให้กับพื้นที่อีกด้วยโดยเฉพาะช่วงนี้ภาคใต้กำลังประสบปัญหาด้านความไม่สงบจึงต้องเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,734   26-28  เมษายน พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 [23] 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!