เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 04:07:59
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 [22] 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440205 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #420 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2012, 17:25:00 »

รัฐบาลจีนให้"เอ็กซิมแบงก์"ปล่อยกู้ไทย สร้าง"ไฮสปีด เทรน"2.5แสนล.



 รัฐบาลไทย-จีน หารือแผนลงทุนโครงการ รถไฟความเร็วสูง พร้อมตั้งคณะกรรมการ ร่วมเพื่อมาเจรจาในกรอบความร่วมมือ ขณะที่ ธนาคารเพื่อการลงทุนและส่งออก เสนอตัวปล่อยกู้ ขณะที่ไทยยังไม่รับปาก ที่จะขอความช่วยเหลือ เผยเส้นทาง "เชียงใหม่-กรุงเทพฯ" เป็นแบบยกระดับ ใช้เงินลงทุน 2.5 แสนล้าน ขอเวลาศึกษาอีกไม่เกิน 3 เดือน คาดเริ่มก่อสร้าง ได้ในปีหน้า จะแล้วเสร็จภายใน 4 ปี ที่กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายเฉิน เจี๊ยน รมช.คมนาคม สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม พร้อมหารือถึงแนวทางการร่วมมือการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีด เทรน) ในประเทศไทย ซึ่งทางจีนมีความสนใจที่จะเข้าร่วมในการ พัฒนา 2 เส้นทาง คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-หนองคาย

 ขณะที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม กล่าวว่า การหารือร่วมกับ ทางรัฐบาลจีนในครั้งนี้เน้นในเรื่องเทคนิคการก่อสร้าง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น การก่อสร้างในรูปแบบยกระดับทั้งหมด เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม และหากก่อสร้างในระดับผิวดินนั้นอาจจะติดขัดใน เรื่องของจุดตัดต่างๆ ที่จะต้องยกระดับถนนที่ตัดผ่านให้เป็นสะพานข้าม รวมถึง การก่อสร้างระดับผิวดินจะเป็นการทำลาย วิถีชีวิตท้องถิ่นและระบบนิเวศน์ในพื้นที่ เนื่องจากการก่อสร้างนั้นจะต้องเป็นระบบปิดทั้งหมด ทำให้ผู้คนที่อยู่ทั้ง 2 ฝั่งไม่สามารถ ไปมาหาสู่กันได้เหมือนเดิม แต่การก่อสร้างในรูปแบบยกระดับนั้นจะทำให้มูลค่าการก่อสร้างนั้นสูงขึ้น โดยฝ่ายจีนได้คำนวณว่าการก่อสร้างดังกล่าวจะต้องใช้เงิน 750 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ซึ่งทางการไทยมองราคาดังกล่าวสูงเกินไป

 สำหรับการก่อสร้างเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ซึ่งในเส้นทางดังกล่าว จีนเสนอให้ขนส่งผู้โดยสารอย่างเดียว และจะมีความเร็วสูงถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจีนจะสามารถโชว์ศักยภาพของรถไฟได้เต็มที่ ซึ่งมูลค่าการก่อสร้างในโครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท โดยภายหลังจาก คณะผู้แทนจากจีนเข้าพบ รมว.คมนาคม ในวันเดียวกันนี้แล้ว ทางจีนจะลงพื้นที่สำรวจแนวรถไฟของประเทศไทย โดยจะลงพื้นที่ในเส้นทางรถไฟกรุงเทพฯ-อยุธยา

 รมช.คมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุม ทางรมช.พาณิชย์ของประเทศจีน ได้เชิญ ธนาคารเพื่อการลงทุนและการส่งออก หรือธนาคารเอ็กซิมแบงก์ของประเทศจีน เพื่อมาพูดคุยถึงกรอบเงินกู้ที่จะให้ไทย กู้ยืมเงินจากจีนในการก่อสร้างด้วย ซึ่งทางการไทยโดยกระทรวงคมนาคม ขอให้ มีการหารือเฉพาะในกรอบความร่วมมือการก่อสร้างด้านเทคนิคเท่านั้น

 "ทางการไทยมองว่าหากมีการเจรจาถึงเรื่องเงินทุนแล้วจะเป็นการผูกมัด ให้ไทยต้องมีการก่อสร้างร่วมกับจีนเท่านั้น แต่ไทยเห็นว่าควรเปิดกว้างให้กับประเทศ อื่นๆ ที่มีความสนใจที่จะลงทุนสามารถ เข้ามาเจรจาได้ด้วย"

 ด้าน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช. คมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลจีนมีความสนใจที่จะสร้างเส้นทางเชื่อมต่อกับไทย โดยจะเชื่อมต่อจากคุนหมิงของประเทศจีนมายังกรุงเทพฯ 3 เส้นทาง คือ

 1.เส้นทางคุนหมิง ผ่านประเทศพม่า และเข้ามาทางประเทศไทยทางจังหวัดเชียงราย ซึ่งเส้นทางดังกล่าว มีความเสี่ยง เนื่องจากประเทศพม่า มีปัญหาชนกลุ่มน้อยอยู่บริเวณดังกล่าว อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ

 เส้นทางที่ 2 คือ เส้นทางจากประเทศไทยผ่านทางจังหวัดตากผ่านอำเภอแม่สอด ออกไปยังประเทศพม่า ผ่านประเทศปากีสถาน เข้าไปยังประเทศจีน เส้นทางดังกล่าวมีระยะทางที่ยาวมาก จึงมีความเป็นไปได้ยาก

 ส่วนเส้นทางที่ 3 หนองคาย ผ่านประเทศลาว สิ้นสุดที่ คุนหมิง ซึ่งเส้นทางนี้มีความเป็นไปได้และมีความเหมาะสมมากที่สุด

 ส่วนความคืบหน้าของการเจรจานั้น ไทยกับจีน ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อ มาเจรจาในกรอบความร่วมมือในระดับเจ้าหน้าที่เพื่อทำงานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายไทยนั้นมีนายศิลปชัย จารุเกษม รักษาการปลัดกระทรวงคมนาคม และฝ่ายจีนมีอธิบดีกรมการรถไฟของจีนเป็นหัวหน้าคณะ โดยทั้ง 2 ฝ่าย จะร่วมกันศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูง ซึ่งตาม ปกติแล้วการศึกษารูปแบบนี้จะใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 6 เดือน แต่ที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่าย ได้ทำการศึกษาไว้บ้างแล้ว จึงคาดว่าจะสามารถลดระยะเวลาในการศึกษาไม่เกิน 3 เดือน

 ในการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง นั้นถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาลและเป็นนโยบายหลัก ซึ่งทางรัฐบาลจะเร่งดำเนินการให้มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างให้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งหากเซ็นสัญญาก่อสร้างได้สำเร็จจะสามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ ภายใน 4 ปี ทั้งนี้หากแบ่งสัญญาก่อสร้าง ออกเป็นหลายๆ สัญญาจะช่วยร่นเวลา การก่อสร้างให้สามารถก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเวลา 2 ปี 6 เดือนเท่านั้น

http://www.naewna.com/news.asp?ID=302582
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #421 เมื่อ: วันที่ 06 มีนาคม 2012, 09:45:55 »

AREA ชี้วิกฤติผังเมืองไทย 160 ผังหมดอายุไป 91ผังแล้ว แสดงถึงภาครัฐขาดการวางแผนใช้ที่ดิน



ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร AREA (ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส) ระบุว่า ผังเมืองที่ออกมาทั่วประเทศ 160 ผัง หมดอายุไปถึง 91 ผัง เท่ากับขาดการวางแผนการใช้ที่ดิน ทำให้เมืองขาดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ
โดย AREA ได้รวบรวมข้อมูลพบว่า ขณะนี้ผังเมืองไทยหมดอายุไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว เท่ากับประเทศไทยขาดการวางผังเมือง จะสร้างความปั่นป่วนในการใช้ที่ดินในอนาคต พื้นที่ที่ครอบคลุมอยู่ในผังเมืองเป็นพื้นที่เพียงน้อยนิดในประเทศไทย และครอบคลุมเพียงส่วนน้อยของเขตเมืองทั่วประเทศ แต่ก็ยังหมดอายุไปเป็นจำนวนมาก
 
ถ้าในอนาคตกรมโยธาธิการและผังเมืองปล่อยให้ผังเมืองหมดอายุไปจนเกือบหมด อาจเกิดคำถามว่าบทบาทของกรมโยธาธิการและผังเมืองจะทำอะไรต่อไปในอนาคต
หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าผังเมืองหมดอายุไปเกิน 2 ปีจนไม่มีผลบังคับใช้แล้ว มีถึง 71 ผัง  ตามกฎหมายผังเมือง หากผังเมืองหมดอายุลง และร่างผังเมืองใหม่ยังจัดทำไม่เสร็จ  ทางราชการยังสามารถต่ออายุได้ครั้งละ 1 ปี 2 ครั้ง  หากเกินกำหนดนี้แล้ว ก็เท่ากับไม่มีผังเมืองในท้องที่ดังกล่าว ยกเว้นท้องถิ่นต่าง ๆ ออกข้อกำหนดของตนเองให้มีลักษณะคล้ายผังเมืองเดิมไว้ก่อน ซึ่งคงมีเพียงเมืองพัทยาที่ดำเนินการดังกล่าว แต่ผังเมืองพัทยาก็ครอบคลุมเกินพื้นที่เมืองพัทยา ดังนั้นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นที่ผังเมืองพัทยาหมดอายุลง ก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เช่นเมืองพัทยา
ผังเมืองที่หมดอายุไป 1 ปี มี 10 ผัง และหมดอายุไปเกือบ 2 ปีอีก 10 ผัง  หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ โอกาสที่ผังเมืองเหล่านี้จะหมดอายุไปถาวรก็จะเกิดขึ้น
 
เมื่อผังเมืองหมดอายุ ก็จะกลายสภาพเป็นการไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย  ท้องถิ่นส่วนใหญ่คงไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทำให้ไม่มีการวางแผนการใช้ที่ดินใด ๆ และทำให้เกิดปัญหาการใช้ที่ดินที่ขาดประสิทธิภาพในอนาคต
ที่ผ่านมากรมโยธาธิการและผังเมืองให้ข้อมูลว่ากรมมีนโยบายให้ท้องถิ่นจัดทำผังเมืองเอง  แต่ท้องถิ่นบางแห่งก็ให้ข้อมูลว่า หากให้ท้องถิ่นดำเนินการเอง ท้องถิ่นก็ขาดบุคลากรและงบประมาณในการดำเนินงาน ส่วนเจ้าหน้าที่ผังเมืองในแต่ละจังหวัดก็มีจำนวนน้อย ไม่สามารถดำเนินการได้เช่นกัน   อาจมีพียงกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาที่มีความพร้อมในการดำเนินการมากกว่า  ด้วยเหตุนี้ ผังเมืองจึงจะเป็นปัญหาที่บานปลายต่อไปในอนาคต
รายละเอียดพบว่า ผังเมืองที่หมดอายุ 9 ปี (2546) จำนวน 2 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองบ้านบึง  ผังเมืองรวมเมืองราชบุรี
ผังเมืองที่หมดอายุ 8 ปี (2547) จำนวน 5 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมชุมชนพิกุลทอง  ผังเมืองรวมเมืองหัวหิน  ผังเมืองรวมเมืองปัตตานี  ผังเมืองรวมเมืองบ้านโป่ง  ผังเมืองรวมเมืองลำพูน 
ผังเมืองที่หมดอายุ 7 ปี (2548) จำนวน 3 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองพล  ผังเมือง บริเวณอุตสาหกรรมและชุมชนแหลมฉบัง  ผังเมืองรวมเมืองชุมพร 
ผังเมืองที่หมดอายุ  6 ปี (2549) จำนวน 13 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองขอนแก่น  ผังเมืองรวมเมืองบ้านไผ่  ผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่    ผังเมืองรวมเมืองแม่สอด  ผังเมืองรวมเมืองปากพนัง  ผังเมือง ชุมชนจุฬาภรณ์  ผังเมืองรวมชุมชนคูคต  ผังเมืองรวมเมืองปราจีนบุรี  ผังเมืองรวมเมืองบางมูลนาก  ผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก  ผังเมืองรวมเมืองแม่ฮ่องสอน  ผังเมืองรวมเมืองโพธาราม  ผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี 
ผังเมืองที่หมดอายุ 5 ปี (2550) จำนวน 15 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองท่าเรือพระแท่น  ผังเมืองรวมเมืองกาญจนบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก-ลก  ผังเมืองรวมเมืองนราธิวาส  ผังเมืองรวมชุมชนตากใบ  ผังเมืองรวมเมืองน่าน  ผังเมืองรวมเมืองกบินทร์บุรี  ผังเมืองรวมเมืองชะอำ  ผังเมืองรวมเมืองลำปาง  ผังเมืองรวมเมืองอรัญประเทศ  ผังเมืองรวมเมืองหนองแค  ผังเมืองรวมเมืองสองพี่น้อง  ผังเมืองรวมเมืองอ่างทอง  ผังเมืองรวมเมืองป่าโมก  ผังเมืองรวมเมืองอำนาจเจริญ 
ผังเมืองที่หมดอายุ 4 ปี (2551) จำนวน 12 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองท่าใหม่  ผังเมืองรวมเมืองนครปฐม  ผังเมืองรวมเมืองนครพนม  ผังเมืองรวมเมืองนางรอง  ผังเมืองรวมเมืองแกลง  ผังเมืองรวมจังหวัดเลย  ผังเมือง ผังเมืองรวมสมุทรปราการ  ผังเมืองรวมเมืองกระทุ่มแบน  ผังเมืองรวมเมืองบ้านนาสาร  ผังเมืองรวมชุมชนเกาะพะงัน  ผังเมืองรวมเมืองหนองบัวฯ  ผังเมืองรวมเมืองลับแล 
ผังเมืองที่หมดอายุ 3 ปี (2552) จำนวน 21 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกาฬสินธ์  ผังเมืองรวมเมืองจันทบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสิงห์(ชัยนาท)-เมืองท่าซุง(อุทัยธานี)  ผังเมืองรวมชุมชนปากน้ำหลังสวน  ผังเมืองรวมเมืองหลังสวน  ผังเมืองรวมเมืองตราด  ผังเมืองรวมเมืองตาก  ผังเมืองรวมเมืองนครศรีฯ  ผังเมืองรวมเมืองบุรีรัมย์  ผังเมืองรวมเมืองสายบุรี  ผังเมืองรวมเมืองตะกั่วป่า  ผังเมืองรวมเมืองตะพานหิน  ผังเมืองรวมเมืองมหาสารคาม  ผังเมืองรวมชุมชนตะพง  ผังเมืองรวมเมืองบ้านหมี่  ผังเมืองรวมเมืองสงขลา  ผังเมืองรวมเมืองสมุทรสงคราม  ผังเมืองรวมเมืองอัมพวา  ผังเมืองรวมเมืองสุราษฎร์ธานี       
 
ผังเมืองที่หมดอายุ 2 ปี (2553) จำนวน 10 ผัง ได้แก่  ผังเมือง เมืองพัทยา  ผังเมืองรวมเมืองบัวใหญ่  ผังเมืองรวมเมืองทุ่งสง  ผังเมืองรวมเมืองปทุมธานี  ผังเมืองรวมชุมชนบางสะพาน  ผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมและชุมชน  ผังเมืองรวมเมืองลพบุรี  ผังเมืองรวมเมืองสะเดา  ผังเมืองรวมเมืองหาดใหญ่  ผังเมืองรวมชุมชนช่องแม็ก
 
ผังเมืองที่หมดอายุ 1 ปี 2554 จำนวน 10 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกำแพงเพชร  ผังเมืองรวมเมืองชุมแพ  ผังเมืองรวมเมืองบางคล้า  ผังเมืองรวมเมืองตรัง  ผังเมืองรวมเมืองนครราชสีมา  ผังเมืองรวมเมืองสตูล  ผังเมืองรวมเมืองแก่งคอย  ผังเมืองรวมเมืองอุทัย  ผังเมืองรวมเมืองพิบูลมังสาหาร  ผังเมืองรวมเมืองอุบลราชธานี 

ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2555 จำนวน 20 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองขลุง  ผังเมืองรวมเมืองพนัสนิคม  ผังเมืองรวมเมืองชัยภูมิ  ผังเมืองรวมเมืองเชียงราย  ผังเมืองรวมเมืองโนนสูง  ผังเมืองรวมเมืองนนทบุรี  ผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพรก-โรงช้าง-มหาราช  ผังเมืองรวมเมืองพะเยา  ผังเมืองรวมเมืองพังงา  ผังเมืองรวมเมืองพัทลุง  ผังเมืองรวมเมืองพิจิตร  ผังเมืองรวมเมืองเพชรบุรี  ผังเมืองรวมเมืองเพชรบูรณ์  ผังเมืองรวมเมืองยโสธร  ผังเมืองรวมเมืองร้อยเอ็ด  ผังเมืองรวมเมืองโคกสำโรง  ผังเมืองรวมชุมชนท่าเรือน้ำลึกสงขลา  ผังเมืองรวมเมืองสมุทรสาคร  ผังเมืองรวมชุมชนท่าลาน  ผังเมืองรวมเมืองสระบุรี 

ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2556 จำนวน 12 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองเสนา  ผังเมืองรวมเมืองมุกดาหาร  ผังเมืองรวมเมืองระยอง  ผังเมืองรวมเกาะสมุย  ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร  ผังเมืองรวมเมืองฉะเชิงเทรา  ผังเมืองรวมเมืองนครนายก  ผังเมืองรวมชุมชนอ้อมใหญ่  ผังเมืองรวมเมืองหนองเสือ-คลองหลวง-ธัญญบุรี  ผังเมืองรวมชุมชนหินกอง-โคกแย้  ผังเมืองรวมชุมชนทับกวาง  ผังเมืองรวมเมืองสุรินทร์ 
ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2557 จำนวน 7 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองชุมแสง  ผังเมืองรวมเมืองท่าโขลง-คลองหลวง-รังสิต  ผังเมืองรวมเมืองพระนครศรีอยุธยา  ผังเมืองรวมเมืองสระแก้ว  ผังเมืองรวมเมืองพระพุทธบาท  ผังเมืองรวมเมืองสวรรคโลก  ผังเมืองรวมเมืองอุตรดิตถ์ 
ผังเมืองที่จะหมดอายุปี 2558 จำนวน 8 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองชลบุรี  ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท  ผังเมืองรวมชุมชนโคกกลอย-ท้ายเหมือง  ผังเมืองรวมเมืองพิษณุโลก  ผังเมืองรวมเมืองระนอง  ผังเมืองรวมชุมชนเกาะแตน  ผังเมืองรวมเมืองอุดรธานี 
ผังเมืองที่หมดอายุปี 2559 จำนวน 18 ผัง ได้แก่  ผังเมืองรวมเมืองกระบี่  ผังเมืองรวมชุมชนบางปะกง  ผังเมืองรวมเมืองห้วยยอด  ผังเมืองรวมชุมชนแหลมงอบ  ผังเมืองรวมเมืองตาคลี  ผังเมืองรวมเมืองนครสวรรค์  ผังเมืองรวมเมืองประจวบคีรีขันธ์  ผังเมืองรวมชุมชน กม.5  ผังเมืองรวมขุมชนท่าเรือ  ผังเมืองรวมเมืองแพร่  ผังเมืองรวมเกาะภูเก็ต  ผังเมืองรวมเมืองเบตง  ผังเมืองรวมเมืองยะลา  ผังเมืองรวมชุมชนบ้านเพ  ผังเมืองรวมเมืองศรีสะเกษ  ผังเมืองรวมเมืองสกลนคร  ผังเมืองรวมจังหวัดสิงห์บุรี  ผังเมืองรวมเมืองหนองคาย 
ผังเมืองที่หมดอายุปี 2560 จำนวน 4 ผัง ได้แก่  ผังเมือง ชุมชนบ้านเหล่า  ผังเมืองรวมเมืองกันตัง  ผังเมือง จังหวัดสระบุรี  ผังเมือง ชุมชนวิหารแดง

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1330685218&grpid=&catid=07&subcatid=0700
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #422 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:16:06 »

กรมศุลกากรติดเทอร์โบ รับมือค้าเสรี

วันอังคารที่ 06 มีนาคม 2012 เวลา 18:39 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    การเงิน FINANCIAL    - การ
สมชาย พูนสวัสดิ์ผลพวงจากการเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างภูมิภาคอาเซียน (AFTA) ต่อด้วยประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่ทำให้ประเทศสมาชิกต้องทยอยลดภาษีสินค้าเป็น 0% มากขึ้น ส่งผลต่ออัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าเข้า-ออกของกรมศุลกากรซึ่งเป็นด่านหน้าของการค้าขายระหว่างไทยกับคู่ค้าทั่วโลกหดตัวลงเป็นมูลค่ามหาศาล
 เมื่อบทบาทการจัดหารายได้เข้าประเทศถูกบั่นทอน ทำให้กรมศุลกากรต้องจัดทัพใหม่เพื่อทำหน้าที่เป็นกองหนุนคอยควบคุมและป้องปรามสิ่งผิดกฎหมายที่จะลักลอบเข้ามา ควบคู่กับการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการขยายตัวทางการค้า หนุนให้ไทยสามารถคว้าโอกาสทองจากการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานที่มีทักษะ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนภายใต้ความเสรีทางการแข่งขันที่มีมากขึ้น
โดยนายสมชาย พูนสวัสดิ์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 กรมศุลกากรได้เตรียมความพร้อมใน 3 ด้าน คือ 1.การพัฒนาคุณภาพบุคลากร ทั้งการเสริมสร้างความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และภาษา 2.การอำนวยความสะดวกตามแนวการค้าชายแดน ในแง่การปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับอาเซียน และ 3. การพัฒนาระบบไอทีให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง National Single Window หรือ NSW ซึ่งเป็นระบบบูรณาการ การนำเข้า-ส่งออก และโลจิสติกส์ ณ จุดเดียว ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลออนไลน์ต่างๆ ได้แก่ ใบรับรอง ใบอนุญาตและข้อมูลการอนุญาตยกเว้นภาษีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติ
 "ยอมรับว่าการเข้าร่วม AEC และ AFTA อาจส่งผลกระทบทำให้การจัดเก็บภาษีของกรมศุลกากรลดลง แต่ยังยืนยันว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2555 จะยังคงเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ที่ 105,000 ล้านบาท แม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.54-ม.ค.55) การจัดเก็บรายได้อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่ง แต่ภายหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย รวมถึงภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีการฟื้นตัว จึงเชื่อมั่นจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย"
++ทิศทางการค้าชายแดนยังสดใส
 ขณะเดียวกันเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจการค้าของประเทศมีความก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนและเพิ่มความอยู่ดีกินดีของคนทั้งประเทศ กรมศุลกากรยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาช่องทางการค้าชายแดนมากขึ้น โดยจากข้อมูลในปีงบประมาณ 2554 มูลค่าการค้าชายแดนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วน 9.26% หรือคิดเป็นมูลค่า 1,270,722 ล้านบาท ของมูลค่าการค้ารวม 13,717,103.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2553 และ 2552 ที่มีมูลค่า 11,789,077.43 ล้านบาท และ 9,721,870.59 ล้านบาท ตามลำดับ แยกเป็นการส่งออก 785,324 ล้านบาท การนำเข้า 485,398 ล้านบาท แบ่งเป็นการค้าไทย-มาเลเซีย มีมูลค่า 897,852 ล้านบาท หรือ 70.7% การค้าไทย-พม่า มีมูลค่า 151,100 ล้านบาท หรือ 11.9% การค้าไทย-กัมพูชา มีมูลค่า 62,849 ล้านบาท หรือ 4.9% การค้าไทย-สปป.ลาว  มีมูลค่า 158,922 ล้านบาท หรือ 12.5%
 ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2-4 มีนาคมที่ผ่านมา กรมศุลกากรได้นำคณะสื่อมวลชนไปศึกษาดูงานการอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างพรมแดนไทย-พม่า-ลาว ณ จ.เชียงราย โดยระบุถึงมูลค่าการค้าชายแดนภาคเหนือ ในปีงบประมาณ 2554 มีมูลค่า 72,228 ล้านบาท คิดเป็น 21.7% ของมูลค่าการค้าเขตชายแดนรวม โดยสินค้าส่งออกและนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า น้ำมัน ปิโตรเลียม และยานยนต์และส่วนประกอบ ขณะที่แนวโน้มการค้าชายแดนภาคเหนือในปี 2555 มองว่ายังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการค้าชายแดนในภาคอื่นๆ
++เร่งดำเนินโครงการต่อยอด
 อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นต่อยอดการค้าชายแดนที่ผ่านมารัฐบาลมีการดำเนินโครงการในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนในแถบลุ่มน้ำโขง ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์การค้าชายแดน เช่น ความร่วมมือโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน และไทย-จีน ความร่วมมือในการมุ่งสู่การเปิดเออีซี รวมถึงการปรับแผนภายในเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
 ส่วนโครงการที่เอื้ออำนวยต่อการค้าชายแดนทางลำน้ำโขง คือ1.โครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 (ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน) ที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งขณะนี้แล้วเสร็จกว่า 99% โดยกระทรวงคมนาคมคาดว่าจะเปิดให้บริการในวันที่ 1 เมษายนนี้ 2.โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายและระบบขนส่งทางรถไฟที่ช่วยลดต้นทุนด้านโลจิส ติกส์ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและประเทศจีน ซึ่งจะนำไปสู่การขยายตัวด้านการค้าชายแดนของประเทศ
 ขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างการสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งจะเชื่อมโยงจ.เชียงราย-บ่อแก้ว-คุนหมิง (ไทย-ลาว-จีน) ตามเส้นทางแนว R3A คาดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2556
นอกจากนี้โครงการลงทุนของประเทศเพื่อนบ้าน เช่นรัฐบาล สปป.ลาว ได้ให้สัมปทานกับนักลงทุนจีนในนามบริษัท คิงโรมันฯ ซึ่งให้บริการบ่อนกาสิโน เป็นเวลา 99 ปี ซึ่งได้มีแผนพัฒนาพื้นที่ 28 ตารางกิโลเมตร เพื่อทำเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีทั้งการสร้างสนามบิน ศูนย์กระจายสินค้า ทำให้ทั้งด่านเชียงแสนและด่านเชียงของจะได้รับประโยชน์จากการส่งผ่านสินค้าจำนวนมากขึ้น ดังนั้น กรมศุลกากรจึงเร่งปรับปรุงด่านศุลกากรรองรับแผนดังกล่าว พร้อมกันนี้การเปิดประเทศพม่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังทำให้การค้าชายแดนในแถบ อ.แม่สอด จ.ตาก และอ.แม่สาย จ.เชียงราย มีความคึกคักมากขึ้นด้วยเช่นกัน
++อีกหน้าที่ป้องปรามสิ่งผิดกฎหมาย
 นายสมชาย กล่าวว่า กรมศุลกากรยังทำหน้าที่ดูแลการนำเข้าและส่งออกสินค้าโดยสิ่งผิดกฎหมาย โดยได้สั่งการให้ด่านศุลกากรในพื้นที่ภาคเหนือให้ความร่วมมือในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เนื่องจากค่อนข้างมีความเสี่ยงต่อการลักลอบนำเข้าสิ่งเสพติดมากที่สุด โดยเฉพาะด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย ที่มีพรมแดนติดกับพม่า ซึ่งให้ปรับเปลี่ยนวิธีการตรวจสอบสินค้าอย่างเข้มงวด 100% แทนการสุ่มตรวจ ด้วยการใช้เครื่องเอกซเรย์ตรวจทั้งสินค้าและบุคคลเข้าออก
 "แม้ที่ผ่านมาจะมีการเอกซเรย์สินค้าทุกรายการ แต่การลักลอบการนำเข้ายาเสพติดมักจะลักลอบตามตะเข็บชายแดนมากกว่าช่องทางผ่านด่านศุลกากร ดังนั้นจึงได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปติดตั้งตามเส้นทางลำเลียงสินค้าลงภาคกลางที่จังหวัดลำพูนและลำปาง ด้วยการนำรถโมบายเครื่องเอกซเรย์ไปร่วมตรวจตามด่านสกัดของตำรวจทางหลวงโดยตรง เพื่อให้รถวิ่งผ่านเครื่องเอกซเรย์เน้นตรวจรถต้องสงสัยหรือที่มีสายรายงานมาและใช้เวลาตรวจไม่นานเพียง 3-4 นาทีเท่านั้น"

http://www.thanonline.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #423 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2012, 10:54:20 »

ดีเดย์ 1 เม.ย. เปิดบริการท่าเรือเชียงแสน 2

กทท.พร้อมเปิดบริการ "ท่าเรือเชียงแสน 2" 1 เม.ย.นี้  เชื่อว่าหากเปิดท่าเรือแห่งใหม่แล้ว จะมีเรือมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน...

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความพร้อมในการเปิดให้บริการท่าเรือแม่น้ำโขง เชียงแสน แห่งที่ 2 บริเวณปากแม่น้ำกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายว่า ในวันที่ 1 เม.ย. นี้ ท่าเรือเชียงแสน 2 พร้อมเปิดให้บริการอย่างแน่นอน โดยขณะนี้มีปัญหาบ้างเล็กน้อย เช่น กรมเจ้าท่า ขุดลอกแม่น้ำ พบหินทำให้การขุดลอกลำบากขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กรมเจ้าท่า ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร องค์การอาหารและยา จะย้ายไปอยู่ในท่าเรือแห่งใหม่ทั้งหมด และในวันที่ 20 -21 มี.ค. ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม จะมาตรวจความพร้อมอีกครั้ง

"ตอนนี้รอกรมเจ้าท่า ประกาศที่จะให้เรือทุกลำต้องจอดในท่าเรือเชียงแสน 2 เท่านั้น ห้ามมีการจอดเรือตามชายฝั่งเหมือนตอนสมัยใช้ท่าเรือเชียงแสน 1 เพราะตอนนั้นท่าเรือเชียงแสน 1 มีพื้นที่จำกัด ทำให้แออัด แต่ท่าเรือแห่งใหม่ มีพื้นที่กว้างถึง 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และเชื่อว่าหากเปิดท่าเรือแห่งใหม่แล้ว จะมีเรือมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน" นายเฉลิมชัย กล่าว

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ขณะนี้กรมเจ้าท่าอยู่ระหว่างขุดลอกร่องน้ำบริเวณท่าเรือเชียงแสน 2 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เรือขนส่งสินค้าที่จะเข้ามาใช้บริการในท่าเรือเชียงแสน 2 คาดว่าจะสามารถดำเนินการทุกอย่างให้แล้วเสร็จ 100% ในวันที่ 20 มี.ค.นี้อย่างแน่นอน ส่วนการประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนเจ้าของเรือขนส่งสินค้า ขณะนี้กรมเจ้าท่ามีแผนการดำเนินงานอยู่แล้ว คาดว่าเมื่อทุกอย่างพร้อมจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการเรือทั้งหมดรับทราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดน รวมปีละกว่า 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม เครื่องดื่ม ฯลฯ นำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลไม้และพืชผัก และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยการค้าส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน และใช้เรือสินค้าสัญชาติจีนเป็นหลัก ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็พบว่า มีการส่งออกแล้วกว่า 892,277,892.57 บาท และนำเข้า 39,999,775.67 บาท.

http://www.thairath.co.th/content/eco/243903
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #424 เมื่อ: วันที่ 09 มีนาคม 2012, 11:46:54 »

เปิดเมกะโปรเจค"คมนาคม"ปี 55 เดินหน้าซื้อรถเมล์NGV 3 พันคัน ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา-รถไฟฟ้า 10 สาย-รถไฟความเร็วสูงและรถไฟฟ้ารับเออีซี

วันที่ 9 มีนาคม 2555

เปิดโครงการเมกะโปรเจคแสนล้าน'คมนาคม'ปี55

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎรได้สรุปรายงานการชี้แจงแผนการดำเนินงานโครงการในปี พ.ศ. 2555 ของกระทรวงคมนาคม ระบุว่าในปี 2555 กระทรวงคมนาคมมีแผนการดำเนินโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สำคัญด้านการขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางอากาศ และการขนส่งทางราง ดังนี้

1. ด้านการขนส่งทางบก จะดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน 3,183คัน ใช้วงเงินประมาณ 13,162 ล้านบาท คาดว่าหลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการแล้ว จะสามารถส่งมอบครั้งแรกได้ 1,000 คันภายในปี 2555 ส่วนรถประจำทางที่มีอยู่อีก 323 คัน จะนำมาปรับปรุงเครื่องยนต์

2. ด้านการขนส่งทางน้ำ จะดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราจังหวัดสตูล ระยะที่ 1 วงเงินลงทุนประมาณ 12,434 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติโครงการ

ส่วนโครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้าเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน 2 แห่ง ที่อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ใช้วงเงินประมาณ 14,442 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเสนอครม.ให้ความเห็นชอบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2559

3. ด้านการขนส่งทางอากาศ จะพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารจาก 45 ล้านคน/ปี เป็น 60 ล้านคน/ปี ใช้งบประมาณในการลงทุนประมาณ 62,503 ล้านบาท

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต เพื่อขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 12.5 ล้านคน/ปีใช้งบประมาณในการดำเนินการ 5,791 ล้านบาท

4. ด้านการขนส่งทางราง จะพัฒนารถไฟฟ้า 10 สายทาง โดยจัดให้มีการประกวดราคาให้แล้วเสร็จทุกโครงการในปี 2557 เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม(หมอชิต-สะพานใหม่) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) สายสีแดง (บางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน/บางซื่อ-หัวลำโพง) , (รังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต) สายสีม่วง(บางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ) สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม-บางกะปิ-มีนบุรี)

โครงการระบบรถไฟความเร็วสูงอยู่ระหว่างดำเนินการของบประมาณเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ 4 เส้นทาง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2560 ได้แก่ สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ , สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา , สายกรุงเทพฯ-ระยอง ,สายกรุงเทพฯ-หัวหิน

โครงการรถไฟฟ้าสายใหม่เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ดำเนินการศึกษา 2โครงการ คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2556 คือ โครงการศึกษาและออกแบบเพื่อเตรียมการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย และโครงการศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบัวใหญ่-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม

โครงการระบบรถไฟทางคู่ระยะทาง 873 กิโลเมตร จำนวน 6 เส้นทาง อยู่ระหว่างเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA)1 โครงการ คือ ช่วงฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย โคงการที่อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบ 2 โครงการ ระยะทาง 352 กิโลเมตรช่วงชุมทางจิระขอนแก่น และช่วงประจวบคีรีขันธ์- ชุมพร ในปี 2555 จะได้งบประมาณเพื่อศึกษารายละเอียด 3โครงการระยะทาง 415 กิโลเมตร เส้นทางช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ

http://www.bangkokbiznews.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #425 เมื่อ: วันที่ 09 มีนาคม 2012, 13:37:16 »

เรือจีนขึ้นราคาขนสินค้าผ่านน้ำโขง หลังน้ำแห้ง-ความปลอดภัยลด

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   9 มีนาคม 2555 13:26 น.   



       เชียงราย - เรือขนสินค้าจีนในแม่น้ำโขง ดาหน้าขึ้นค่าระวางสินค้าจากราคาเริ่มต้น 200 หยวน/ตัน ปรับเพิ่มเป็น 250 หยวน/ตัน หลังน้ำโขงแห้ง ต้องลดระวางสินค้า แถมความเชื่อมมั่นเรื่องความปลอดภัยลด ตั้งแต่เกิดเหตุสังหารหมู่ลูกเรือจีนปลายปี 54 ขณะที่นักธุรกิจจีนยันกลางวงสัมมนา หากจีนสร้างเขื่อนยักษ์กั้นโขงเสร็จ คุมน้ำได้ 100%หมดปัญหาน้ำโขงแห้งแน่
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย วันนี้ (9 มี.ค.55) ว่า สถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำโขงถือว่าเหือดแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือซบเซาลงถนัดตา ซึ่งถือเป็นปกติของทุกฤดูแล้ง แต่ปีนี้ได้รับผลกระทบเพิ่มจากความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยหลังเกิดเหตุการณ์กองกำลังติดอาวุธบริเวณสามเหลี่ยมทองคำโจมตีและยิงเรือสินค้าจีน 2 ลำทำให้ลูกเรือเสียชีวิต 13 ศพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา และยังเคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงตามมาอีกหลายครั้ง
       
       ทำให้มีเรือสินค้าจีนที่แล่นมาจากจีนตอนใต้-เชียงแสนระยะทาง 264 กิโลเมตร เข้าเทียบท่าเรือเชียงแสนน้อยมากโดยนานๆ ครั้งจะมีเรือแล่นเข้าออก แต่ก็มีระวางบรรทุกน้อยอย่างเห็นได้ชัด และมีเพียงเรือสินค้าเล็กสัญชาติ สปป.ลาว และเรือท่องเที่ยว ที่พอจะแล่นผ่านไปมาได้บ้างเท่านั้น
       
       ซึ่งผิดกับการขนส่งสินค้าทางบกที่ท่าเรือ อ.เชียงของ ที่อยู่ห่างจากเชียงแสนประมาณ 58 กิโลเมตร ที่มีการใช้แพขนานยนต์และเชื่อมกับท่าเรือในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ไปยังถนนอาร์สามเอไทย-แขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-จีนตอนใต้ (ระยะทาง 254 กิโลเมตร) ที่คึกคักมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการหันไปใช้บริการขนส่งสินค้าบางชนิดที่จำเป็นเร่งด่วนแต่ก็ต้องเสียต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น



       นายพรเลิศ พรหมปัญญา ผู้ประกอบการท่าเรือเหนือสยามรุ่งเรือง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน กล่าวว่า ปัจจุบันการเดินเรือในแม่น้ำโขงระหว่างไทย-สปป.ลาว ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ ไปจนถึงท่าเรือเชียงแสนในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เป็นไปด้วยความยากลำบาก บางแห่งน้ำลึกไม่ถึง 1-1.50 เมตร และโดยเฉพาะบริเวณเกาะดอนซาว สปป.ลาว ตรงกันข้ามบ้านสบรวก ต.เวียง เหลือร่องน้ำเดินเรือแค่ร่องเดียว ให้เรือทั้งขาขึ้นและล่องใช้ในการเดินเรือ
       
       ขณะที่เรือสินค้าไม่มีการแล่นเรือในช่วงนี้ เพราะปริมาณน้ำเหือดแห้ง ส่งผลต่อเนื่องทำให้ไม่มีใบพัดเรือขนาดใหญ่คอยตีทรายใต้น้ำให้กว้างขึ้น ทำให้เรือท่องเที่ยวก็ประสบความเดือดร้อนด้วยเช่นกัน
       
       ประกอบกับโครงการระเบิดเกาะแก่งในแม่น้ำโขงเมื่อหลายปีก่อน ได้ทำให้แก่งหินหักลงไม่โผล่เหนือน้ำให้เห็น เมื่อเรือเข้าไปแล่นก็ทำให้ไม่เห็นก้อนหินด้านบนแต่ใบพัดเรือไปถูกใส่หินที่ถูกระเบิดหักใต้น้ำทำให้เสี่ยงต่อความเสียหายด้วย
       
       ด้านนายประธาน อินทรียงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสยามเช้าท์ไชน่า ลอจิสติกส์ จำกัด กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้วที่ในช่วงฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำโขงจะเหือดแห้งลง และทำให้การขนส่งสินค้าทางเรือทำได้ไม่สะดวกเหมือนเดิมจนเป็นผลทำให้ปริมาณสินค้าลดลงและค่ารับจ้างขนส่งสินค้าของคนเดินเรือจีนเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณตันละ 50 หยวน
       
       โดยตามปกติเรือสินค้าจะเก็บค่าบรรทุกสินค้าจากผู้ประกอบการค้าขายตันละ 200-250 หยวน แต่หากเป็นช่วงนี้ก็จะเก็บเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 250 หยวนขึ้นไป ขณะที่เรือสินค้าก็มีระวางบรรทุกน้อยลงจากเดิมเคยบรรทุกเที่ยวละ 200-300 ตันเต็มพิกัดก็ลดเหลือไม่ถึง 100 ตันเพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเกยหาดทรายที่ตื้นเขิน
       
       "ก็ยังดีที่ช่วงฤดูแล้ง สินค้าจากจีนหมดฤดูเก็บเกี่ยวพอดี”



       โดยเฉพาะผลไม้ที่มีในช่วงนี้ โดยจะเหลือเพียงประเภทพืชผักที่นำเข้ามาเหมือนเดิม ส่วนสินค้าไทยก็ไม่มีมากเช่นกันโดยสินค้าใหญ่ๆ ก็จะมียางพาราซึ่งจำเป็นต้องใช้การบรรทุกครั้งมากๆ จึงจะคุ้มค่า ช่วงนี้ผู้ประกอบการส่งออกของไทยจึงถือโอกาสหยุดพักไปในตัว เพราะสินค้าขาล่องจากจีนก็น้อยอยู่แล้ว
       
       แต่สำหรับสินค้าเร่งด่วนก็จะส่งออกและนำเข้าทางถนนอาร์สามเอที่ อ.เชียงของ แทน ส่วนสินค้าอื่นต้องรอถึงฤดูน้ำหลาก เพราะไม่กล้าเสี่ยงกับต้นทุนขนส่งทางบกที่สูงกว่า เพราะการค้าขายนั้นค่าขนส่งโลจิสติกส์กินต้นทุนเข้าไปกว่า 10-20% แล้ว
       
       นายประธาน กล่าวอีกว่า ปัญหาอีกประการที่ทำให้การขนส่งทางแม่น้ำโขงไม่คึกคักเหมือนเดิมคือความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย หลังเกิดคดียิงลูกเรือสินค้าจีน 2 ลำ เสียชีวิต 13 ศพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา แม้จะมีศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดในแม่น้ำโขง (ศปปข.) คอยดูแล แต่กองกำลังของไทยก็ดูแลได้เฉพาะในน่านน้ำไทยเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ไทย จีน พม่า และ สปป.ลาว จะหารือร่วมกันเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวต่อไป
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการจัดเสวนาเรื่อง "เปิดประตูเศรษฐกิจ...ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนเชื่อมการค้า GMS" ณ โรงแรมสยาม ไทรแองเกิ้ล อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งมีนายพินิจ หาญพาณิชย์รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เช่น นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า สถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ผู้บริหารส่วนราชการ องค์กรธุรกิจ การท่าเรือแห่งประเทศไทย ฯลฯ เพื่อรองรับการเปิดใช้ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งจะเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2555 เป็นต้นไป ณ ปากแม่น้ำกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน นั้น มีการหารือเกี่ยวกับระดับแม่น้ำโขงที่แห้งจนหลายฝ่ายเกรงว่าท่าเรือแห่งใหม่ที่รัฐบาลใช้งบประมาณกว่า 1,546.4 ล้านบาท ก่อสร้างมาตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวาจะไม่สามารถใช้งานในฤดูแล้งได้ด้วย



       โดยนายพงษ์วรรณ จารุเดชา รองอธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวยืนยันว่า ก่อนการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ได้มีการศึกษาวิจัยในช่วงนั้นแล้วว่า ระดับน้ำในแม่น้ำโขงระหว่างท่าเรือแห่งที่ 1 ในเขตเทศบาลตำบลเวียงเชียงแสน กับท่าเรือแห่งที่ 2 จะมีระดับความลึกไม่น้อยกว่า 2-3 เมตร ณ วันที่ระดับน้ำต่ำสุด ซึ่งสามารถใช้เพื่อการขนส่งสินค้าทางเรือได้อย่างแน่นอน โดยท่าเรือแห่งใหม่จะมีระบบต่างๆ รองรับการขนส่งทางน้ำได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าเดิมด้วย
       
       ขณะที่ตัวแทนนักธุรกิจจีนที่เข้าร่วมในการเสวนาระบุว่า ในอนาคตเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงอีก หากว่าทางประเทศจีนได้ก่อสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงแห่งใหม่คือเขื่อนเชี่ยววานแล้วเสร็จ เพราะเขื่อนแห่งนี้จะกักเก็บน้ำให้ได้มากพอที่จะควบคุมปริมาณน้ำ โดยจะทำให้น้ำขึ้นลงได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีปริมาณน้ำมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เรือสินค้าขนาด 300 ตันจะสามารถแล่นขนส่งสินค้าได้ตลอดทั้งปี จากเดิมที่ในฤดูแล้งจะมีเพียงเรือขนาด 50-100 ตันเท่านั้นที่แล่นในแม่น้ำโขงได้
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันการค้าชายแดนไทย-จีน-สปป.ลาว-พม่า ในแม่น้ำโขงผ่านศุลกากรเชียงแสนมีมูลค่าการค้ารวมประมาณ 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท และส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งช่วงแม่น้ำโขงแห้งก็จะหันไปขนส่งสินค้าบางส่วนผ่านด่านศุลกากรเชียงของ ทำให้ในปีงบประมาณ 2554 มีมูลค่าการค้าที่เชียงของเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,199.5 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 2,268.3 ล้านบาท และส่งออก 5,931.1 ล้านบาท



       รายงานข่าวแจ้งอีกว่าในปัจจุบันปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ถูกระบุว่า ไหลมาจากจีนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16-20% ของปริมาณน้ำของแม่น้ำโขงทั้งหมด โดยจีนมีการสร้างเขื่อนหลายแห่งได้แก่ เขื่อนมันวาน สูง 126 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกกะวัตต์ แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1996
       
       เขื่อนต้าเฉาชาน สูง 110 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,350 เมกะวัตต์ กำลังก่อสร้างตั้งแต่ปี 2003 เขื่อนจิ่งหง สูง 118 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์ แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.2009 ตั้งอยู่ในเขตสิบสองปันนาอยู่ใกล้ประเทศไทยมากที่สุดประมาณ 345 กิโลเมตร และเขื่อนเชี่ยววาน สูง 300 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 4,200 เมกะวัตต์ ความจุอ่างน้ำกว่า 145,560 ล้านลูกบาศก์เมตร เริ่มกักเก็บน้ำแล้วและจะใช้งาน ก.ย.ปี ค.ศ.2012 นี้
       
       รวมทั้งยังมีเขื่อนกอนเกาเคียว สูง 105 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 750 เมกะวัตต์ ก่อสร้างแล้วเมื่อกลางปี 2552 โดยเป็นเขื่อนนี้ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดในบรรดาเขื่อนต่างๆ
       
       นอกจากนี้มีโครงการจะสร้างเขื่อนอื่นๆ อีก คือ เขื่อนเนาซาตู สูง 254 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ กำลังอยู่ในช่วงการศึกษาความเป็นไปได้คาดว่าจะสร้างปี ค.ศ.2017 เขื่อนกงกว่อเฉียว มีความสูง 130 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 750 เมกะวัตต์ เขื่อนกันลันปา กำลังผลิตไฟฟ้า 150 เมกะวัตต์ และเขื่อนเมงซอง กำลังผลิตไฟฟ้า 600 เมกะวัตต์


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000031048
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #426 เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2012, 11:54:11 »


แนวโน้มสถานการณ์ห้องพักและสถานภาพในแหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยเมื่อพิจารณาลงรายจังหวัด/แหล่งท่องเที่ยวหลักของประเทศไทยทั้ง 10 แห่งซึ่งครองส่วนแบ่งห้องพักร้อยละ 65 ของห้องพักทั้งหมดในประเทศไทย คือ กรุงเทพฯชลบุรี (พัทยา) ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี (สมุย) ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) สงขลา(หาดใหญ่) เชียงราย ระยอง และ นครราชสีมา พบว่า ในปี 2553 อัตราการเข้าพักแรมเฉลี่ยทุกแห่งต่ำกว่าร้อยละ 50 และในแต่ละจังหวัด/แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ส่วนใหญ่มีลักษณะการเข้าพักเป็นไปตามฤดูกาล (Seasonal) โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคใต้



เมื่อตรวจสอบสถานภาพของแหล่งท่องเที่ยวหลักลงในตาราง BCG 2x2 Matrixเพื่อตรวจสอบความสมดุลระหว่างอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของจำนวนผู้เข้าพัก (อุปสงค์)และอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของจำนวนห้องพัก (อุปทาน) ของสถานที่พักแรมไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยใช้อัตราการเติบโตค่าเฉลี่ยกลางเป็นตัวแบ่งเกณฑ์ พบว่า
1) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการสร้างสมดุลได้ดีระหว่างอุปสงค์และอุปทาน
คือ ภูเก็ต ชลบุรี (พัทยา)
2) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการหดตัวทางด้านอุปสงค์ในขณะที่อุปทานขยายตัวเล็กน้อย
คือ สุราษฎร์ธานี (สมุย) และสงขลา (หาดใหญ่)
3) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวดีทางด้านอุปสงค์ แต่ไม่รวดเร็วเท่ากับทางด้าน
อุปทาน คือ กรุงเทพฯ และ เชียงราย
4) แหล่งท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวได้ต่ำทางด้านอุปสงค์ แต่มีการขยายตัวทางด้าน
อุปทานสูง คือ ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) เชียงใหม่ ระยอง และนครราชสีมา



ข้อมูลจาก นิตยสาร eTAT ฉบับที่ 1/2555 [/QUOTE]


อ้างอิงจากคุณ pana193
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #427 เมื่อ: วันที่ 12 มีนาคม 2012, 18:42:22 »

เมืองใหญ่อันดับ 2 อินโดฯดึง “เชียงราย” เป็นบ้านพี่เมืองน้อง ร่วมพัฒนาก่อน AEC



เชียงราย - หัวหน้าคณะกรรมการส่วนการส่งเสริมการลงทุน “เวสต์จาวา” เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดฯ มีประชากรกว่า 40 ล้านคน ยกคณะร่วมสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับ “เชียงราย” เดินหน้าประสานความร่วมมือ 5 ด้านก่อนเกิด AEC ชูภูมิศาสตร์เมืองพ่อขุนฯ เป็นข้อได้เปรียบมากสุด
       
       วันนี้ (12 มี.ค.55) ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ได้ให้การต้อนรับนายอากูส กูสแทร์ หัวหน้าคณะกรรมการส่วนการส่งเสริมการลงทุน จังหวัดเวสต์จาวา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะซึ่งได้เดินทางไปร่วมหารือเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างจังหวัดเวสต์จาวา กับจังหวัดเชียงราย
       
       นายอากูส กูสแทร์ กล่าวว่า จังหวัดเวสต์จาวา เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดนีเซีย มีประชากรกว่า 40 ล้านคน เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับการทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ และการท่องเที่ยว เป็นหลัก การที่เลือก จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่จะสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง เพราะถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ที่สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอาเซียนด้วยกันถึง 2 ประเทศ คือประเทศพม่า และ สปป.ลาว รวมทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ทางตอนใต้ได้อีกด้วย
       
       ซึ่งเขามาครั้งนี้ก็เพื่อหารือความร่วมมือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกันใน 5 ประเด็นหลัก คือ ความร่วมมือทางด้านเกษตรกรรม ความร่วมมือทางด้านอุสาหกรรมสร้างสรรค์ ความร่วมมือทางด้านการศึกษา ความร่วมมือทางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ความร่วมมือทางด้านการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการลงทุนของทั้ง 2 ประเทศ
       
       “ทั้งหมดนี้จะมีการเริ่มต้นขึ้นก่อนที่จะเกิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ที่จะถึงนี้”
       
       ด้านนายธานินทร์ กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะความร่วมมือแบบบ้านพี่เมืองน้องดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก่อนปี 2558 โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านการศึกษา ซึ่งเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ส่วนความร่วมมือ ทั้งด้านการเกษตร เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือต่อไปด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000032157
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #428 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2012, 05:20:33 »

จังหวัดเชียงราย จัดประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็นการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดเชียงราย ปี 2557 -2560

วันนี้(13 มีนาคม 2555)ที่โรงแรมลิตเติ้ลดั๊ก เชียงราย นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในการประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดเชียงราย ปี พ.ศ. 2557 – พ.ศ. 2560 เพื่อเป็นกรอบการทำงานของการพัฒนาจังหวัดเชียงราย ในอนาคต โดยการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย ผู้แทนส่วนราชการประจำจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม องค์กรธุรกิจเอกชน และปราชญ์ชาวบ้านในสาขาต่างๆ กว่า 800 คน ร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมหารือและวางแนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงรายร่วมกัน
นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงการสัมมนาในครั้งนี้ว่า เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคเอกชนและประชาสังคม ได้บูรณาการร่วมกันดำเนินการให้แผนพัฒนาจังหวัดมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ทิศทางการพัฒนาระดับต่างๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และสามารถแปลงไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดยการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ มีวิทยากรที่ทรงคุณวุฒิ จากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคเหนือ คอยให้คำปรึกษาแนะนำ แนวทางการจัดทำแผน ซึ่งการสัมมนา มีกำหนด 2 วันในวันที่ 13 – 14 มีนาคม 2555
ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวถึงการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ว่า แนวทางการพัฒนาจังหวัดเชียงราย น่าจะมีการกำหนดเป็นพื้นที่ในการพัฒนา หรือการกำหนดโซนในการพัฒนาว่าพื้นที่ไหนควรพัฒนาไปในด้านใด ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและความพร้อม ของทุกๆ ด้านในอนาคต ต่อไปด้วย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : เชียงราย (ส.ปชส.) /สุธรรม เกื้อบุญส่ง   Rewriter : นายธนพิชฌน์ แก้วกา / สนข.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #429 เมื่อ: วันที่ 19 มีนาคม 2012, 16:28:15 »

ขอรับ!!!!! ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
MooMoo11
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #430 เมื่อ: วันที่ 20 มีนาคม 2012, 12:52:30 »

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม,มาเก็บข้อมูลดีดีคร้า
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #431 เมื่อ: วันที่ 21 มีนาคม 2012, 22:00:06 »

ที่ประชุมเจชีไทย-ลาว ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เห็นพ้องร่วมกันปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ

ที่ประชุมเจชีไทย-ลาว ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เห็นพ้องร่วมกันปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ สนับสนุนการเปิดจุดผ่านแดนไทย-ลาวเพิ่มเติม พร้อมจะหยิบยกปัญหาหมอกควันบริเวณชายแดนภาคเหนือติดกับฝั่งลาว เข้าหารือในเวทีอาเซียน
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ หรือ เจซี ไทย-ลาว ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 17 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ โดยสาระสำคัญประกอบด้วยการกล่าวรายงานผลความตกลงในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ของการประชุมเจซี เมื่อวานนี้ (20 มี.ค.55) ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมืองความมั่นคง ด้านสังคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ อาทิ การตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือการปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ การยกระดับจุดผ่านแดนต่างๆ เช่น จุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา ซึ่งตรงกับด่านท้องถิ่นบ้านปางมอน เมืองคอบ แขวงไซยะบุลี และจุดผ่านแดนภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งตรงกับด่านท้องถิ่นบ้านผาแก้ว เมืองปากลาย แขวงไซยะบุลี สืบเนื่องจากการเรียกร้องของนักธุรกิจและผลการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ที่จังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าเรื่องการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ที่กำหนดเสร็จสิ้นในปลายปีนี้ และคาดว่าจะเปิดใช้ได้ในกลางปี 2556 ตลอดจนแนวคิดการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำเอกสารความร่วมมืออย่างเป็นทางการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งไทยและลาวมีความเข้าอกเข้าใจกัน ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายอันดีต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ทางการลาวยังได้ร้องขอให้ทางการไทยสนับสนุนการตั้งจุดผ่านแดนถาวร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากลาวจะมีการก่อสร้างสนามบินสากล และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจาก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยทางการไทยจะเร่งนำเรื่องดังกล่าวไปดำเนิน การ ส่วนประเด็นเรื่องปัญหาหมอกควันนั้น ทางการลาวได้รับปากจะจริงจังกับเรื่องนี้ รวมทั้งยังเห็นพ้องร่วมกันในการหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือในเวทีการประชุมอาเซียนด้วย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : อรวรรณ เผือกไธสง / สนข.   Rewriter : ธนวัต วงศ์วิริยะวณิช / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #432 เมื่อ: วันที่ 22 มีนาคม 2012, 13:10:07 »

บิ๊กอสังหาฯตอมทำเลทองบสก.
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

ที่ดินบสก. บิ๊กอสังหาฯ ยังรุมซื้อไปพัฒนาโครงการขายต่อ ช่วง 2 เดือนทำยอดขายได้กว่า 500 ล้าน ขณะที่ดินต่างจังหวัดนักลงทุนซื้อขึ้นสวนเกษตรรองรับการเปิดการค้าชายแดนทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ คาดปีนี้บสก.ทำผลประกอบการได้ 6,000 ล้าน พร้อมจัดกิจกรรมต่อเนื่องออกบูธ 100 ครั้ง
นายสุเมธ เมธีวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ที่ดินของบสก.ปัจจุบันได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถขายที่ดินแปลงใหญ่ให้ผู้ประกอบการไปประมาณ 200-300 ไร่ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการอีกหลายราย และบสก.ก็มีทรัพย์สินรอการขายในส่วนของที่ดินเปล่าอีกหลายแปลง เช่น บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.39 จำนวน 400 ไร่ เป็นต้น
"ที่ดินของบสก.ดีเวลอปเปอร์ให้ความสนใจซื้อเพื่อนำไปพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่ผ่านมามีกลุ่มพฤกษา กลุ่มทีซีซี แลนด์ เข้ามาซื้อ ซึ่งตลอดทั้งปีบสก.สามารถขายที่ดินแปลงใหญ่ได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่แล้ว บริษัทพัฒนารายเล็กๆ ก็เข้ามาซื้อที่ดินของบสก. ขนาด 30-50 ไร่ ก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ปัจจุบันทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของบสก.มี 40,000 ล้านบาท เป็นที่ดินเปล่าสัดส่วนมากถึง 60%"นายสุเมธ กล่าวและว่า
นอกจากที่ดินที่ผู้ประกอบการนำไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อที่ดินเพื่อนำไปปลูกพืชเศรษฐกิจ อาทิ สวนยาง ปาล์ม ในต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ทั้งในพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ เช่น จังหวัดขอนแก่น เชียงราย อุดรธานี นครราชสีมา ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากการเปิดเขตการค้าชายแดน ที่ทำให้นักลงทุนเห็นโอกาสที่จะซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการรองรับด้วยเช่นกัน
นายสุเมธ กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนกว่าบสก.สามารถทำยอดขายทรัพย์สินรอการขายประเภทต่างๆ ได้กว่า 800 ล้านบาท จากเป้าหมายตลอดทั้งปีที่น่าจะทำได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยอดขายที่มาจากภูมิภาคเป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนต้องการซื้อทรัพย์เพื่อการลงทุน และเพื่อเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในส่วนของการทำการตลาดปีนี้บสก.ใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยจะมีการจัดกิจกรรมการออกบูธทั่วประเทศ 100 ครั้ง รวมถึงการออกหาลูกค้าโดยตรงด้วย
นอกจากนี้บสก. ยังร่วมมือกับสถาบันการเงินและพันธมิตรต่างๆ ในการทำตลาดอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งในส่วนของธนาคารต่างๆ ที่ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และบริษัทรับสร้างบ้าน ขณะเดียวกันในปีนี้บสก.ยังจะทำโครงการที่ดิน 1 ไร่ ทำได้ 1 แสนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาด้วย ซึ่งในปีนี้จะร่วมมือกับสภาหอการค้าฯและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดตัวโครงการดังกล่าวในอีก 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งทางบสก.จะช่วยหาที่ดินทั่วประเทศที่เหมาะสมเพื่อให้กับสมาชิกสภาหอการค้าฯและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยไปดำเนินโครงการดังกล่าว
นายสุเมธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ทางบสก.ยังมีแผนที่จะซื้อทรัพย์สินรอการขายเข้ามาเพิ่มด้วย โดยจะทำการซื้อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อีก 5,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา รวมถึงการซื้อทรัพย์จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) อีกจำนวนหนึ่งด้วย นอกจากนี้ในปีนี้บสก.ยังมีการจัดทำโครงการพิเศษ โดยการนำเอาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ มาขายในราคาพิเศษ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถทำยอดขายในส่วนโครงการพิเศษได้ 400 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,724 22-24 มีนาคม พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #433 เมื่อ: วันที่ 22 มีนาคม 2012, 13:12:36 »

หนุนกทท.สร้างท่าเรือฝั่งลาว
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2012

หนุนกทท.ลงทุนสร้างท่าเรือฝั่งสปป.ลาวตามแนวลำน้ำโขงในจุดสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อเชื่อมโยงการค้าชายแดนให้คึกคัก รูปแบบบาร์เตอร์เทรดสินค้า อาจนำร่องที่เชียงราย พร้อมเล็งก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งเพิ่มจากเหนือจดใต้ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรทางบกและลดต้นทุนการขนส่ง ยันแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ขอตรวจสอบรายละเอียดก่อนชงครม.ไฟเขียว
 พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)นำไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงคมนาคมและรัฐบาลดังนี้  1.การให้ความสำคัญต่อการขนส่งทางน้ำให้ได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นโดยมีนายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่าและในฐานะประธานคณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้ขับเคลื่อนต่อไป 2.มุ่งให้กทท.คอยอำนวยความสะดวกต่อการขนถ่ายสินค้าในท่าเรือต่างๆ ที่มีอยู่แล้วและที่กำลังจะเปิดให้บริการต่อไปไม่ว่าจะเป็นที่เชียงแสน 2  หรือที่ระนอง โดยจะเปิดเพิ่มอีกจำนวน 3 ท่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป                 
 3.เน้นให้เกิดการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ  เช่น รถไฟทางคู่ที่เชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งทราบว่าขาดระยะทางอีกประมาณ 3 กิโลเมตรที่จะเข้าสู่พื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ที่ต้องการให้การรถไฟฯต้องลงทุนพร้อมกับการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี 8 เดือนจะแล้วเสร็จ 4.ต้องการให้ต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาท่าเรือเพิ่มในโซนพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันตกรูปแบบท่าเรือชายฝั่งให้มากขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนให้กทท.ไปลงทุนสร้างท่าเรือในฝั่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ให้เชื่อมโยงกับท่าเรือในฝั่งไทยเช่นที่อำเภอเชียงแสนและอำเภอเชียงของที่ไทยเตรียมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้หรือจุดอื่น ๆ ตามแนวลำน้ำโขง 5.นโยบายการปฏิบัติงานให้ดำเนินการตามนโยบายขององค์กรโดยไม่ต้องไปอิงกระแสการเมืองขอให้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ และ 6.ในการดำเนินงานต้องยึดมั่นความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ หวงแหนองค์กรและร่วมกันสร้างความเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง
 "ท่าเรือแหลมฉบังต้องมีระบบโครงข่ายป้อนสินค้าให้มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดศักยภาพมากขึ้น พร้อมกับการเสริมอุปกรณ์ให้เพียงพอ ประการสำคัญท่าเรือชายฝั่งต้องมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นให้เกิดการเชื่อมโยง โดยเฉพาะจุดที่เป็นท่าเรือน้ำลึก ส่วนตามแนวลำน้ำโขงหากตกลงแลกเปลี่ยนสินค้าต่อกันได้ก็จะเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย นอกเหนือจะสร้างรายได้เพิ่มให้กทท. ซึ่งควรพิจารณาในจุดสำคัญ ๆ ก่อนโดยจะนำร่องที่เชียงรายฝั่งตรงข้ามไทยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเนื่องจากการค้าชายแดนจะได้รับความนิยมมากขึ้นแน่ ๆ นับต่อจากนี้ไปและที่กำลังจะเปิดประตูการค้าเสรีในปี 2558 เนื่องจากไทยมีจุดผ่านแดนจำนวนมาก น่าจะเกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จึงต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างเพียงพอ"
  พล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวอีกว่า ยังต้องการให้มีการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งเพิ่มขึ้นอีกทั้งฝั่งอ่าวไทยโซนตะวันตกหรือครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือจดภาคใต้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาจราจรและช่วยลดต้นทุนการขนส่งทางบกมาเป็นการขนส่งทางน้ำให้มากขึ้น โดยสามารถไปเชื่อมโยงกับการขนส่งคอนเทนเนอร์ในจุดต่าง ๆ ที่สามารถขยายพื้นที่รองรับได้
 ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ทั้ง 4 แปลงของกทท. ต้องขอดูรายละเอียดที่ชัดเจนก่อน เมื่อแล้วเสร็จจะให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ไปดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ ให้พร้อมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป
 "ทราบว่ามีจุดที่ต้องเกี่ยวข้องกับชุมชนแออัดจึงต้องไปสอบถามหากจะย้ายไปอยู่ที่อื่นมีกี่รายโดยต้องสร้างที่อยู่อาศัยรูปแบบอาคารชุดไว้รองรับซึ่งคงต้องร่วมกับการเคหะแห่งชาติรับไปดำเนินการ จัดเก็บค่าเช่าราคาไม่แพง หรืออาจจะใช้พื้นที่สร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อาจร่วมกับรัฐวิสาหกิจของกระทรวงคมนาคมเพื่อลงทุนร่วมกัน เพราะเชื่อว่าในท้ายที่สุดจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้ทรัพย์สินกทท.ในท้ายที่สุด"
 ด้านนายถวัลย์รัฐ  อ่อนศิระ  อธิบดีกรมเจ้าท่าในฐานะประธานบอร์ดกทท.กล่าวว่ากรมเจ้าท่าได้ดำเนินการศึกษาแผนการพัฒนาท่าเรือชายฝั่งรองรับไว้แล้วที่ชุมพร  สุราษฎร์ธานีและ มหาชัย ซึ่งจุดท่าที่ชุมพรจะต้องเร่งดำเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วต่อไป
 "ช่วงที่ผ่านมาพบว่าท่าที่ชุมพรมีปัญหาในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ต้องกลับมาศึกษาผลกระทบใหม่อีกครั้งตามคำแนะนำของคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อม หากแล้วเสร็จก็จะเร่งก่อสร้างโดยเร็วต่อไปคาดว่าจะใช้งบกว่า 100 ล้านบาท ส่วนท่าเรือที่สุราษฎร์ธานีพบว่าเอกชนเข้มแข็งมากในการดำเนินงาน เช่นเดียวกับท่าเรือมหาชัยที่เอกชนลงทุนสร้างขึ้นเองก็มีแนวโน้มที่ดีโดยทั้งหมดเป็นรูปแบบท่าเรือชายฝั่งทั้งหมด"นายถวัลย์กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,724    22-24 มีนาคม  พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #434 เมื่อ: วันที่ 27 มีนาคม 2012, 15:35:48 »

100 เส้นทางถนนปลอดภัยและสวยงาม


วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2012 เวลา 09:50 น.    กอง บก.ออนไลน์    ข่าวรายวัน    - ข่าว


นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ในโอกาสที่กรมทางหลวง จะครบรอบวันคล้ายวันสถาปนาปีที่ 100 ในวันที่ 1 เมษายน 2555 นี้ กรมทางหลวงได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งกิจกรรมภายใน และกิจกรรมภายนอก โดยเฉพาะกิจกรรมภายนอกที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน การดำเนินงานเพื่อสังคม และการรักษามาตรฐานงานทาง รวมทั้ง การยกระดับการให้บริการของกรมทางหลวง โดยมุ่งเน้นความสะดวก ปลอดภัย สนองตอบความต้องการของประชาชน และผู้ใช้ทาง ดังคำขวัญเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี กรมทางหลวง ที่ว่า “ร้อยปีร่วมสร้าง เส้นทางปลอดภัย ทางหลวงทั่วไทย สุขใจผู้ใช้ทาง”

โครงการ 100 ปีกรมทางหลวง 100 ปีกระทรวงคมนาคม 100 เส้นทาง ถนนปลอดภัยและสวยงาม เป็นหนึ่งในกิจกรรม/โครงการที่กรมทางหลวงดำเนินการขึ้น โดยปรับปรุงสายทางที่เคยเข้าร่วมโครงการถนนสีขาว จำนวน 100 สายทางทั่วประเทศ มาเข้าโครงการฯ เพื่อเป็นต้นแบบในการดูแลบำรุงรักษาทางหลวงทั่วประเทศ ให้มีการดำเนินการดูแลอย่างรอบด้าน และใส่ใจกับการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีแนวทางดำเนินการงาน 6 ด้าน คือ

1. ด้านวิศวกรรม (ENGINEERING) : ตรวจสอบ ปรับปรุง แก้ไข และบำรุงรักษา ผิวทาง ไหล่ทาง เกาะกลาง และพื้นที่สองข้างทาง อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อการใช้งานอย่างปลอดภัย ครบถ้วน และถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมทางหลวงกำหนด
2. ด้านความสวยงาม (Esthetic) : ตกแต่งและดูแลผิวทาง ไหล่ทาง เกาะกลาง และพื้นที่สองข้างทาง อุปกรณ์อำนวยความปลอดภัย สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย
3. ด้านการให้ความรู้ (Education) : จัดการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ทางหลวง รวมทั้งบทบาทและความสำคัญของทางหลวง เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาทางหลวงซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวม
4. ด้านการบังคับใช้กฎหมาย (ENFORCEMENT) : ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรณรงค์และกวดขันให้ผู้ขับขี่ใส่ใจในความปลอดภัย และปฏิบัติตามกฎจราจร
5. ด้านการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน (EMERGENCY MEDICAL SERVICE) : จัดเตรียมหน่วยเคลื่อนที่เร็วในการให้บริการและหน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน และให้ความร่วมมืออาสาสมัคร มูลนิธิต่าง ๆ ในการช่วยเหลือประชาชนในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือภัยพิบัติต่าง ๆ
6. ด้านการติดตามประเมินผล (EVALUATION) : มีการติดตามประเมินผล ทั้งในด้านความก้าวหน้าของการดำเนินงาน สถิติการเกิดอุบัติเหตุ และความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง

ตัวอย่างสายทางในโครงการฯ

- ทางหลวงหมายเลข 1 ตอน อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย – แม่จัน จังหวัดเชียงราย ระยะทาง 7 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 2 (แพร่))
- ทางหลวงหมายเลข 2 ตอน ท่าพระ – ขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ระยะทาง 6.41 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 5 (ขอนแก่น))
- ทางหลวงหมายเลข 3 ตอน สี่แยกเข้าจันทบุรี – พลิ้ว จังหวัดจันทบุรี ระยะทาง 11.5 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 12 (ชลบุรี))
- ทางหลวงหมายเลข 4 ตอน ตรัง – เขาพับผ้า จังหวัดตรัง ระยะทาง 2 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 14 (นครศรีธรรมราช))
- ทางหลวงหมายเลข 12 ตอน สุโขทัย – บ้านกร่าง จังหวัดสุโขทัย ระยะทาง 10.975 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 4 (พิษณุโลก))
- ทางหลวงหมายเลข 21 ตอน หนองไผ่ – จุดเริ่มทางเลี่ยงเมืองวังชมภู – ทางเลี่ยงเมืองวังชมภู จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยะทาง 5 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 6 (เพชรบูรณ์))
- ทางหลวงหมายเลข 33 ตอน ทางแยกไปจันทบุรี (สระแก้ว) – ทางแยกไปวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว ระยะทาง 7 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 8 (นครราชสีมา))
- ทางหลวงหมายเลข 340 ตอน แยกทางเข้าท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งที่ 2 (สุวรรณภูมิ) ด้านใต้ จังหวัดสมุทรปราการ ระยะทาง 2.742 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 11 (กรุงเทพ))
- ทางหลวงหมายเลข 1039 ตอน ต่อเขตเทศบาลนครลำปาง – บรรจบทางหลวงหมายเลข 11 จังหวัดลำปาง ระยะทาง 16 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักทางหลวงที่ 1 (เชียงใหม่))
- ทางหลวงหมายเลข 4024 ตอน ห้าแยกฉลอง – ราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 5.461 กิโลเมตร (พื้นที่รับผิดชอบสำนักงานทางหลวงกระบี่ (สุราษฎร์ธานี))
อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวต่ออีกว่า โครงการ 100 ปีกรมทางหลวง 100 ปีกระทรวงคมนาคม 100 เส้นทาง ถนนปลอดภัยและสวยงาม ยังเป็นหนึ่งในสามโครงการที่กรมทางหลวงดำเนินการตามแนวนโยบายการปรับปรุงการให้บริการประชาชน ตาม “โครงการขันน็อต 100 ปี ของกระทรวงคมนาคม” ที่ให้กรมทางหลวง และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดทำโครงการที่สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง สามารถเห็นได้เป็นรูปธรรม และดำเนินการได้ทันที

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=114277:100-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #435 เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2012, 12:53:14 »

คสศ.-หอ 10 จว.เหนือเชื่อปี 56 ค้ารอบพรมแดนโต 20% รับพม่าเปลี่ยน

ลำปาง - คสศ.-หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือเชื่อปี 56 เศรษฐกิจดี หลังพม่าเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำการค้ารอบพรมแดนภาคเหนือขยายตัวเพิ่มไม่น้อยกว่า 20% พร้อมเร่งผลักดันเปิดด่านเพิ่มอีก 5 แห่ง - แจ้งเกิดมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย และจี้รัฐเร่งพิจารณากูหมายศุลกากรที่ยังค้างเติ่งในสภาฯโดยเร็ว
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดลำปางแจ้งว่า คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือเพื่อปรึกษาหารือและเสนอโครงการเพื่อผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมในด้านเศรษฐกิจที่ห้องเวียงแก้ว โรงแรมลำปางเวียงทอง ตลอดบ่าย-เย็นวานนี้ (28 มี.ค.55)
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธาน คสศ.กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ทางคณะกรรมการได้มีการหยิบยกหลายประเด็นมาหรือ โดยสิ่งที่จะต้องเร่งผลักดันเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการมี 3 เรื่อง คือ
       
       1.การผลักดันกฎหมายศุลกากร ที่ยังค้างอยู่ในสภาฯ เพื่อให้การค้าข้ามแดนเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับทุกส่วนไม่เฉพาะจังหวัดเชียงรายเพียงจังหวัดเดียว
       
       2.ผลักดันให้เกิดมอเตอร์เวย์เชื่อมระหว่างเชียงใหม่-เชียงราย เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว และเพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ลดต้นทุนในการขนส่งเมื่อเทียบกับปัจจุบัน
       
       และ 3.ผลักดันให้มีการเปิดด่านชายแดนรวม 5 แห่ง อาทิ เร่งผลักดันให้เปิดด่านที่อำเภอภูซาง บ้านฮวก จ.พะเยา ซึ่งทางลาวก็ต้องการให้ประเทศไทยเปิดด่านที่เชียงแสนตอบแทนกัน
       
       นอกจากนี้ ทางกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ยังจะเร่งผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจชายแดนขึ้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งจะเน้นด้านการท่องเที่ยวและในอนาคต ก็จะขยายไปยังอำเภอเชียงแสน ที่จะมุ่งเรื่องการขนถ่ายสินค้าทางน้ำ และเป็นเขตอุตสาหกรรมได้
       
       นายพัฒนา บอกว่า คาดว่าในปี 2556 จะเห็นอะไรที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการค้าชายแดนจะขยายตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งปัจจุบันการค้าที่อำเภอแม่สอด จะมีเงินหมุนเวียนประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ส่วนที่จังหวัดเชียงราย ที่อำเภอแม่สายประมาณ 5 พันล้านบาท ในปี2556 จะต้องเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย20% แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการเมืองในประเทศพม่าด้วย
       
       ส่วนกรณีที่ทางรัฐบาลจะมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ300 บาทนั้นทางหอการค้าให้การสนับสนุนเพราะเห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากมีรายได้มากขึ้นก็จะมีกำลังซื้อมากขึ้นตามไปด้วย แต่ในระยะแรกอาจจะมีปัญหาด้านการปรับตัว แต่ก็มีข้อกังวลอยู่บ้างสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยในช่วงปรับตัวจะทำอย่างไร ซึ่งจะต้องฝากถึงรัฐบาลด้วย เพราะแม้ในภาพรวมเห็นด้วย เนื่องจากจะมีกำลังซื้อมากขึ้นผ่านแรงงานหรือผู้ที่ทำงานในด้านอุตสาหกรรม หรือในส่วนงานด้านบริการ แต่ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีกำลังในการที่จะจ้างกลุ่มคนเหล่าให้มีงานโดยสามารถจ่ายค่าจ้างวันละ300 ด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000039795
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
VALUE
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 114


« ตอบ #436 เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2012, 16:55:48 »

วาวๆขอบคุณจ้าวขอมูลและขอฮื้อโครงกานนี้สำเร็จเร็วๆจ้าว ยิ้ม
ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา  ข้อมูล เย๊อะจ๊าดดดดดดดด      โอ้ววววววววววววว    สุดดดย๊อดดดดด


sports
IP : บันทึกการเข้า

Post By Sport Basketball OnlySBO
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #437 เมื่อ: วันที่ 01 เมษายน 2012, 20:52:11 »


เปิดแล้ววันแรก ท่าเรือเชียงแสน 2 รับกองเรือสินค้า จีน ลาว พม่า

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 1 เม.ย. 55  นายกร จาติกวนิช กรรมการที่ปรึกษากรรมาธิการการเงิน การคลัง และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร นำคณะกรรมาธิการตรวจเยี่ยมโครงการท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่เปิดใช้งานเป็นวันแรกหลังจากก่อสร้างมานานตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 ที่ผ่านมาเป็นเวลาร่วมสองปีกว่า โดยมีผู้บริหารเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง 9 หน่วยงานให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ เช่น การท่าเรือแห่งประเทศไทยซึ่งเข้าไปบริหารงานกิจการทั้งหมด กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่งเข้าไปประจำการในวันนี้เป็นวันแรกเช่นกัน หลังจากได้ย้ายจากการปฏิบัติงานที่ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ภายในเขตเทศบาล ต.เชียงแสน

 
          ขณะที่บรรยากาศท่าเรือทั่วไปกลับยังคงเงียบเหงาโดยยังไม่มีเรือสินค้าไปใช้บริการ ไม่ว่าเป็นเรือสัญชาติจีนหรือ สปป.ลาว ที่มีอยู่จำนวนมากในแม่น้ำโขง โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าเพราะเป็นวันหยุด และผู้ประกอบการอาจรอดูท่าทีก่อน ขณะที่ยังคงมีการก่อสร้างในบางส่วนของโครงการอยู่ทำให้ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์มากนัก
          จากนั้นคณะได้รับฟังบรรยายสรุปทราบว่าท่าเรือดังกล่าวตั้งอยุ่บนเนื้อที่ประมาณ 387 ไร่  1 งาน 44 ตารางวา ติดชายแดนไทย-สปป.ลาว ว่าจ้างเอกชนให้ทำการก่อสร้างโดยใช้งบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท สัญญาตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2552 ถึงวันที่ 28 ธ.ค.2554 และกำหนดเปิดใช้งานได้ทันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.นี้ตามมติคณะรัฐมนตรี สำหรับที่มาของโครงการเพราะท่าเรือแห่งปัจจุบันอยู่กลางเมืองโบราณและชุมชน มีความคับแคบและมีศักยภาพรองรับสินค้าได้เพียงปีละประมาณ 3 แสนตันขณะที่มูลค่าการค้าและปริมาณเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะไทย-จีน แต่ท่าเรือแห่งใหม่สามารถรองรับสินค้าได้ปีละกว่า 6 ล้านตัน เพราะมีแอ่งขนาดใหญ่ขนาด 200 คูณ 800 เมตร มีท่าเรือย่อยอยู่ภายในหลายจุด มีระยะทางไกลจากท่าเรือกวยเหล่ยซึ่งเป็นเมืองท่าหน้าด่านของจีนประมาณ 265 กิโลเมตร ระดับน้ำในแม่น้ำโขงเฉลี่ย 1.70-7 เมตร ซึ่งสามารถใช้เพื่อการเดินเรือได้ตลอดทั้งปี
          นายทรงกลด ดวงหาคลัง ผู้อำนวยการ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 สาขาเชียงราย กล่าวว่า ในปัจจุบันมีเรือสินค้าที่อยู่ในระบบเป็นเรือสัญชาติจีนประมาณ 90 ลำ ส่วนสัญชาติ สปป.ลาว เดิมมีจำนวน 70 ลำ แต่หลังจากเหตุการณ์เรือสินค้าจีนถูกยิงจนเสียชีวิต 13 ศพเมื่อเดือน ต.ค.2554 ทำให้เรือสินค้าลาวถูกนำมาใช้บริการทดแทนเรือจีนที่หายไปมากขึ้นเป็นกว่า 140 ลำแล้ว และเรือพม่ามี 25 ลำ เรือไทย 3 ลำ ซึ่งจากการเฝ้าติดตามระดับน้ำในแม่น้ำโขงพบว่าในช่วง 2 ปีหลังๆ จากจีนก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จพบว่าน้ำไม่แห้งจนเดินเรือไม่ได้ โดยช่วง 2 เดือนมานี้ตนได้เฝ้าติดตามสถานการณ์พบน้ำตื้นสุด 1.50-2 เมตรซึ่งเรือขนาด 100-150 ตันสามารถเดินเรือได้ โดยเดือน มี.ค.นี้พบมีเรือจีนเข้าใช้บริการที่ท่าเรือเชียงแสนแห่งเดิมกว่า 65 เที่ยว เรือลาว 448 เที่ยว เรือพม่า 33 เที่ยวและเรือไทย 10 เที่ยว
          นายทรงกลด กล่าวอีกว่า หลังจากเที่ยงคืนวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยก็ย้ายไปอยู่ท่าเรือแห่งใหม่กันหมด ส่วนท่าเรือแห่งเดิมได้มอบให้กับเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เข้าไปบริหารงานแล้วโดยจะใช้เพื่อการท่องเที่ยว ส่วนท่าเรือใหม่คาดว่าจะมีเรือไปใช้บริการวันละกว่า 20 ลำ โดยท่าเรือจะเป็นระบบ Sigle window ให้บริการจากหน่วยงานต่างๆ พร้อมกันให้แล้วเสร็จ ณ ที่เดียวซึ่งสะดวกสบาย กระนั้นก็จะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการคาดว่าราวเดือน พ.ค.นี้ต่อไป สำหรับกรณีอาจจะมีร่องแม่น้ำโขงติ้นเขินจนเดินเรือไม่สะดวกเป็นบางช่วงนั้นมีคณะกรรมการประสานการดําเนินการตามความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์แม่น้ำโขง 4 ชาติ (The Joint Committee on Coordination of Commercial Navigation on the Lancang-Mekong Riveramong China, Laos, Myanmar and Thailand) คอยแก้ไขปัญหาเป็นจุดๆ ต่อไป ทั้งนี้เชื่อว่าอนาคตในการเดินเรือยังคงเติบโตเพราะมีต้นทุนต่ำกว่าการขนส่งด้านอื่นกว่า 5 เท่า
          ด้านนายบัวสอน ประชามอญ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และอยู่ในผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนมีข้อสงสัยเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิงที่ส่งออกในแม่น้ำโขงว่ามีการตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วนหรือไม่ เพราะทราบว่าอาจมีการลักลอบส่งน้ำมันออกอ้างว่าไปจีน แต่กลับนำกลับมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT 7% กัน โดยอยากทราบเรื่องการขอคืนภาษีดังกล่าวว่าแท้ที่จริงมีมากน้อยเพียงใด และระบบตรวจสอบเป็นอย่างไร เนื่องจากทราบว่ามีปัญหาเม็ดเงินที่หายไปกับการกระทำผิดดังกล่าวหลายพันล้านบาท
          นายอรรถภัณฑ์ รังษี ประธานชมรมผู้ค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ท่าเรือแห่งเดิมมีการเก็บค่าธรรมเนียมสินค้าที่เข้าไปใช้บริการท่าเรือเป็นเมกตริกตันๆ ละประมาณ 400 บาทไม่รวมค่าใช้อื่นๆ ทำให้ผู้ประกอบการเสียค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นในโอกาสที่ท่าเรือเปิดให้บริการใหม่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ครบครัน ก็อยากให้มีการลดราคาในช่วงแรกด้วยเพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการมากเกินไป
          ขณะที่นางเกศสุดา สังขกร รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อ.เชียงแสน กล่าวว่า ช่วงเดือน ม.ค.เป็นไปจนถึงฤดุฝนของทุกปีจะเป็นช่วงที่แม่น้ำโขงเหือดแห้ง ทำให้ในบางจุดเรือสินค้าไม่สามารถแล่นลงมาได้โดยมักจะไปติดสันดอนทรายตามเขตแดนพม่า-สปป.ลาว แถวป่าแลวหรือเกาะดอนซาว โดยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมามีเรือจะเข้ามาแต่ก็ติดสันดอนทรายดังกล่าวจนเข้ามายังท่าเรือเชียแสนไม่ได้จนถึงปัจจุบัน จึงขอให้มีการประสานกับจีนเพื่อให้มีการปรับร่องน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 เมตรด้วย
          รายงานข่าวจากด่านศุลกากรเชียงแสนระบุว่าปี 2554 ที่ผ่านมามีมูลค่าการค้าผ่านท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชีงยแสน เป็นการส่งออก 8,992.65 ล้านบาท ส่งออก 1,100.12 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2555 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2554-ก.พ.2555 มีการส่งออกแล้ว 4,480.40 ล้านบาท และนำเข้า 180.08 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีนและ สปป.ลาว โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม ส่วนน้ำมันดีเซลมีการส่งออก 354.78 ล้านบาท ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เมล็ดทานตะวัน กระเทียม ดอกไม้เพลิง เห็ดหอม ฯลฯ
 
 
http://www.komchadluek.net/
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #438 เมื่อ: วันที่ 02 เมษายน 2012, 14:47:54 »

“ยุทธ ตู้เย็น”โผล่ขึ้นโพเดียม กมธ.การเงินฯ-หนุนตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ชร.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 เมษายน 2555 14:17 น.   



เชียงราย - กรรมาธิการการเงิน การคลังฯ เปิดห้องดุสิตไอส์แลนด์ฯ จัดสัมมนาเตรียมพร้อมตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองพ่อขุนฯ วางไกลถึงขั้นไม่ใช้ผู้ว่าฯจาก มท.พร้อมเชิญ “ยงยุทธ ติยะไพรัตน์” นักการเมืองใหญ่เชียงราย ขึ้นเวทีครั้งแรก หลังติดโทษแบนทางการ ร่วมหนุนด้วย ขณะที่ ส.ส.เพื่อไทย ชร.ฟันธงปลายปี 55 เกิดแน่
       
       วันนี้ (2 เม.ย.55) ที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย นายไชยา พรหมา ประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดการสัมมนา "การเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของ จ.เชียงราย เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" โดยมีภาคธุรกิจเอกชน ผู้บริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ เข้าร่วมประมาณ 500 คน
       
       นายไชยา กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯต้องการมารับทราบข้อมูลและปัญหาจากคนในพื้นที่รวมทั้งดูสภาพพื้นที่โดยตรง เบื้องต้นที่ทราบคือ เชียงราย มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนสูง โดยมีการเชื่อมโยงการค้ากับพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ ได้ทั้งทางบกและทางเรือแม่น้ำโขง มีสนามบินภายในจังหวัด แต่ในอดีตการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจเกิดจากนักธุรกิจมากกว่าการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ต่อมาภาครัฐจึงค่อยเข้าไปสร้างระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ให้ เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน สะพานแม่น้ำโขง อ.เชียงของ ฯลฯ
       
       อย่างไรก็ตามขณะนี้ภาคธุรกิจก็ยังมีความเสี่ยงในหลายเรื่อง เช่น การซื้อขายสินค้าชายแดนด้วยเม็ดเงินมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งยังไม่มีระบบธนาคารรองรับ ฯลฯ
       
       ดังนั้น เขตเศรษฐกิจพิเศษจึงเป็นคำตอบในการจะทำให้การขับเคลื่อนไปได้สะดวกและรองรับการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค โดยเฉพาะการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 เพราะเราจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของภูมิภาคนี้ไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเราเป็นประตูหรือ Gate way ของภูมิภาค หากล่าช้าไปก็จะเสียโอกาสทั้งเรื่องการเคลื่อนย้ายทุน การลงทุน ฯลฯ
       
       นายไชยา กล่าวอีกว่า จะมีการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนใน 3 จังหวัดก่อนคือ จ.เชียงราย ,อ.แม่สอด จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี โดยกรณีกาญจนบุรี สามารถเชื่อมโยงไปยังท่าเรือทวาย ของพม่า เพียง 146 กิโลเมตร ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้มีแผนรองรับใดๆ ไว้เลย ส่วน จ.เชียงราย และ อ.แม่สอด ก็มีความพร้อมอยู่แล้ว
       
       “ต่อไปนี้เราจะให้ความเห็นต่างทางการเมืองมาเป็นตัวถ่วงเรื่องนี้อีกไม่ได้เป็นอันขาด”
       
       นายไชยา บอกว่า แนวทางก็คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยการยกกฎหมายและประกาศใช้กฎหมายออกมารองรับกิจกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งยืนยันว่ากฎหมายจะไม่กระทบกับการปกครอง โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่เกี่ยวกับการเมือง ซึ่งทางกรรมาธิการฯ จะผลักดันกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าจะเป็นรูปธรรมได้ภายในรัฐบาลชุดนี้
       
       นายไชยา ยังย้ำกับสื่อมวลชนว่า รูปแบบของเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทางคณะกรรมาธิการอาศัยคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ เพราะเคยมีการนำเสนอเรื่องนี้ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ต้องมีการนำมาปรับปรุงใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยกฎหมายก็จะมีการปรับให้ท้องถิ่นมีลักษณะพิเศษ หลีกเลี่ยงความหมายเรื่องผลกระทบต่อความมั่นคง และสามารถครอบคลุมในทุกมิติของเขตดังกล่าวในลักษณะ One Stop Service ทั้งเรื่องการอนุมัติ การดำเนินการ ฯลฯ โดยแต่ละพื้นที่คือ เชียงราย แม่สอด และกาญจนบุรี อาจจะมีการปรับแตกต่างกันออกไป ส่วนผู้บริหารอาจจะเทียบเท่าอธิบดีเข้าไปประจำพื้นที่ด้วย
       
       นายไชยา ยังบอกอีกว่า ตัวอย่างปัญหากรณีไม่มีเขตเศรษฐกิจพิเศษคือการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งฝั่งลาวมีความร่วมมือกับจีนตั้งเขตเศรษฐกิจ แต่ฝั่งไทยยังไม่รู้ว่าหน่วยงานใดจะเป็นเจ้าภาพ และยังต้องหาทางเวนคืนที่ดินกันอีก ซึ่งกรณีนี้เขตเศรษฐกิจพิเศษสามารถแก้ไขปัญหาให้ได้
       
       "เป้าหมายความสำเร็จคืออยากเห็นเชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ครอบคลุมทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชายแดน เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจไม่ได้มาจากกระทรวงมหาดไทยอาจเป็นนักธุรกิจ นายธนาคาร ข้าราชการหน่วยอื่นๆ เพื่อความเหมาะสม" นายไชยา กล่าว
       
       ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้มีการเชิญนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปีในคดียุบพรรคพลังประชาชน ขึ้นกล่าวปราศรัยเรื่อง "ความพร้อมของเชียงราย ในการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดชายแดนของประเทศไทยมองภาพในฐานะประชาชน จ.เชียงราย" ด้วย
       
       โดยนายยงยุทธ ระบุว่า ไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัย ณ ที่แห่งใดมานานกว่า 6 ปีแล้ว ส่วนในปัจจุบันอยู่ในช่วงการปรองดอง ซึ่งต้องมีคนยอมเจ็บ เพราะเราจะหนีจากกันไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่มีการสัมมนากัน เพราะในนานาชาติก็มีความร่วมมือกันของกลุ่มประเทศต่างๆ เช่น อเมริกา-แม็กซิโก หรือยุโรป ฯลฯ ส่วนประเทศไทยก็มีมูลค่าการค้าชายแดนมหาศาล และมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาภายในด้วย
       
       นายยงยุทธ กล่าวอีกว่า จ.เชียงราย อยู่ไม่ไกลจากจีนตอนใต้ ที่มณฑลหยุนหนัน มีประชากรประมาณ 40 ล้านคน จากทั้งประเทศประมาณ 1,300 ล้านคน ขณะที่เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวและ Gate way หากสามารถดึงคนจีนลงมาเที่ยวได้สมมติประมาณ 5 ล้านคนต่อปีก็จะมากกว่าประชากรของจังหวัดที่มีอยู่ราว 1.3 ล้านคนเสียอีก
       
       แต่จุดอ่อนคือเราต้องพัฒนาภายในประเทศเรา ซึ่งลำพังภาคข้าราชการปกติทำไม่ได้ ต้องอาศัยความเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในการขับเคลื่อน จึงอยากให้ทุกฝ่ายแสดงความเห็น
       
       “ภาพที่เคยมองว่าพูดกันมานานกว่า 5-10 ปีแล้วไม่มีสิ่งใดดีขึ้นนั้นจะได้หมดไป”
       
       นายยงยุทธ กล่าวยกตัวอย่างการพัฒนาว่า กรณีการท่องเที่ยวเชียงรายมีห้องพักไม่น่าเกิน 7,000 ห้อง ปัญหาคือหากจะสร้างห้องพักมากก็เสี่ยงต่อการขาดทุน หากสร้างน้อยก็ไม่พอรองรับในฤดูท่องเที่ยว ซึ่งตนเคยสนับสนุนเรื่องกองทุนสร้างโฮมสเตย์ ให้ชาวบ้านสร้างห้องพักที่มีห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวก เรื่องรับนักท่องเที่ยวและขายวิถีชีวิตไปพร้อมๆ กันมาแล้ว นอกจากนี้ ยังเคยส่งเสริมการท่องเที่ยวน้ำพุร้อนที่ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน แต่มีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาลเสียก่อนจึงทำไม่เสร็จ แต่ปัจจุบัน อบต.ป่าตึง ก็สามารถทำได้แล้ว เป็นต้น
       
       ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คาดหวังว่าอย่างช้าในปี 2555 ราวปลายปีนี้จะสามารถเปิดใช้เขตเศรษฐกิจพิเศษได้อย่างแน่นอน


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000041506
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #439 เมื่อ: วันที่ 02 เมษายน 2012, 21:02:10 »

สนข.เร่งศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า รับมือ AEC ผ่านสะพานมิตรภา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   2 เมษายน 2555 19:14 น.   


    


       ASTVผู้จัดการรายวัน - สนข.ผุดศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า (CCA) สะพานมิตรภาพทุกแห่ง ชูบริการแบบ One-Stop Service หวังรับมือเปิด AEC เตรียมชงคมนาคมเสนอ ครม.นำร่องที่ สะพานแห่งที่ 4 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท ชี้ เป็นโครงการเร่งด่วน เหตุชักช้า ต้นทุนก่อสร้างพุ่ง โดยเฉพาะราคาที่ดิน ขณะที่ ปตท.สนลงทุนตั้งสถานีน้ำมันบริการด้วย
       
       นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สนข.ได้มีการสำรวจเส้นทางคมนาคม ซึ่งเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยในส่วนของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 ไทย-ลาว (นครพนม-คำมวน) ซึ่งเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 ควรมีการศึกษาโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่งสินค้า (Command Control Area : CCA) โครงการซึ่งจะเป็นศูนย์รวมและกระจายการขนส่งสินค้าเปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งระหว่างประเทศ โดยมีศูนย์ดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร และพิธีการเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออกครบวงจรในจุดเดียว (One-Stop Service) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่งที่ เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรองรับปริมาณสินค้าจำนวนมากจากประเทศจีน ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
       
       โดยขณะนี้ สนข.ได้นำเสนอโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายการขนส่ง ที่ เชียงของต่อ กระทรวงคมนาคม พิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติในหลักการโดยให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นผู้ดำเนินการวงเงิน 1,522.275 ล้านบาท ดำเนินการ 3 ปี (55-57)
       
       นางสร้อยทิพย์ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องเริ่มวางแผนเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 58 ด้วย ซึ่งเห็นว่าการมีสะพานมิตรภาพเกิดขึ้น ทำให้ราคาที่ดินบริเวณใกล้สะพานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากมีการตัดสินใจเรื่องศูนย์เปลี่ยนถ่ายล่าช้า ก็จะมีต้นทุนในการดำเนินการสูงขึ้น นอกจากนี้ ล่าสุดทางบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้แสดงความสนใจในการเข้ามาลงทุนสถานีบริการเชื้อเพลิงในพื้นที่ใกล้กับศูนย์เปลี่ยนถ่าย ซึ่งก็จะต้องจัดหาที่ดินเพิ่มเช่นกัน ดังนั้น หากมีการดำเนินการที่สะพานอื่น จะต้องวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมของพื้นที่อย่างเป็นระบบด้วย
          
       นายธงไชย วีระสมัย รองผู้อำนวยการสำนักก่อสร้างสะพาน กรมทางหลวง กล่าวว่า ปริมาณรถที่ใช้สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เปิดใช้ในเดือน พ.ย.54 โดยมีรถรวมทุกประเภทจำนวน 2,156 คัน เดือน ธ.ค.54 จำนวน 3,030 คัน เดือน ม.ค. 55 จำนวน 3,319 คัน เดือน ก.พ.55 จำนวน 3,748 คัน และจากสถิติปริมาณจราจร พบว่า การเปิดใช้สะพานแห่งที่ 3 ไม่ส่งผลกระทบ หรือทำให้ปริมาณจราจรที่สะพานแห่งที่ 2 (มุกดาหาร-สะหวันนะเขต) ลดลงแต่อย่างใด เนื่องจากสะพานแห่งที่ 2 จะเชื่อมต่อกับเวียดนามตอนใต้ ไปยังดานัง ส่วนสะพานแห่งที่ 3 จะเชื่อมกับเมืองวินห์ ทางด้านเหนือของเวียดนาม

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000041746
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 [22] 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!