เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 10:15:19
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293332 ครั้ง)
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #60 เมื่อ: วันที่ 16 ตุลาคม 2010, 20:25:03 »

คิดจะลงทุนในหุ้น อย่าไปเดาแนวโน้มเศษฐกิจให้เสียเวลาเลยนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดแหละ มันไม่ต่างอะไรกับโยนเหรียญหัวก้อย ศึกษาข้อมูลเป็นตัวๆเหมือนเราทำธุรกิจเองเลยเอาธุรกิจที่คนต้องกินต้องใช้และแบรนด์มั่นคง ก่อนอื่นแนะนำอ่านสองเล่มนี้ก่อน แล้วจะเข้าใจครับ


* ตีแตก.jpg (11.74 KB, 207x299 - ดู 804 ครั้ง.)

* intell.jpg (37.82 KB, 313x475 - ดู 788 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #61 เมื่อ: วันที่ 17 ตุลาคม 2010, 12:40:43 »

ถ้าโบรกเกอร์เป็นสมาชิกเวบ settrade.com จะลิ้งไปใช้ กราฟของ efinanceได้ฟรีครับ ดูตั้งแต่รายนาที จนถึงกราฟแท่งเทียนรายปีเลย ตอนนี้ผมใช้ efin smart portal version 3.2.6 ผ่านโบรค กิมเอง indicatorใหม่ๆมีให้ใช้เยอะดี แต่ที่ถนัดๆก็มีindicator ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่เลือกใช้... แบบจ่ายเป็นแพคเกจนี่ก็ยังไม่เคยใช้ครับ
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #62 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2010, 16:11:23 »

มึน!!!!!
     ผมไม่ดูกราฟหรอกนะครับ  ที่พวกท่านบอกมานั้น  ผมไม่รู้จักเลย...เหอ เหอ  ผมไม่ชอบเทคนิค  เพราะศัพท์ทางเทคนิคมันน่าปวดหัว  และหลายครั้งผมพบว่า  "มันไม่เป็นความจริง"  ก็อย่างที่บัฟเฟตบอกนั่นแหละครับ  เค้าไม่สนใจเรื่องตลาด  เค้าสนใจแต่ตัวธุรกิจ  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดคือ  "ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า"
     ส่วนวันนี้  ผมเอาเรื่องประเทืองปัญญามาฝากครับ  สำหรับท่านผู้อ่านทั่วๆไป
"สองอาชีพ"
     ในโลกทุกวันนี้  เราควรมีสองอาชีพได้แล้ว  อาชีพหนึ่งสำหรับเรา  และอีกอาชีพสำหรับเงินของเรา  หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ  หาที่ๆเหมาะสมให้เงินเราอยู่  ถ้าเราทำงานหนัก  โดยปล่อยให้เงินของเราอยู่นิ่งๆ  เราจะเหนื่อย  และเงินของเราจะถูกขโมยมูลค่าไปโดยเงินเฟ้ออีกด้วยถ้ามันไม่มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น  แต่ถ้าเราใช้เงินของเราทำงานให้หนัก  อนาคตเราจะสบายครับ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การที่เราจะหาที่อยู่ให้เงินของเราได้นั้น  มันก็ไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน  มันแล้วแต่ว่า  คนๆนั้นรู้เรื่องการลงทุนมากชนิดแค่ไหน  หรือมีความเข้าใจในการลงทุนชนิดนั้นลึกซึ้งดีหรือไม่  ลงทุนอะไรก็ลงได้ครับ  แต่อยากให้มีเหตุผลก่อนลงทุนว่า  "ทำไม"   คุณจึงลงทุนชนิดนั้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  "ความรู้"   สำคัญที่สุดครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
AIT
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,914



« ตอบ #63 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2010, 22:20:51 »

มึน!!!!!
     ผมไม่ดูกราฟหรอกนะครับ  ที่พวกท่านบอกมานั้น  ผมไม่รู้จักเลย...เหอ เหอ  ผมไม่ชอบเทคนิค  เพราะศัพท์ทางเทคนิคมันน่าปวดหัว  และหลายครั้งผมพบว่า  "มันไม่เป็นความจริง"  ก็อย่างที่บัฟเฟตบอกนั่นแหละครับ  เค้าไม่สนใจเรื่องตลาด  เค้าสนใจแต่ตัวธุรกิจ  เหตุผลเดียวที่เขาจะไปตลาดคือ  "ไปดูว่ามีใครกำลังทำอะไรโง่ๆอยู่หรือเปล่า"
     ส่วนวันนี้  ผมเอาเรื่องประเทืองปัญญามาฝากครับ  สำหรับท่านผู้อ่านทั่วๆไป
"สองอาชีพ"
     ในโลกทุกวันนี้  เราควรมีสองอาชีพได้แล้ว  อาชีพหนึ่งสำหรับเรา  และอีกอาชีพสำหรับเงินของเรา  หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ  หาที่ๆเหมาะสมให้เงินเราอยู่  ถ้าเราทำงานหนัก  โดยปล่อยให้เงินของเราอยู่นิ่งๆ  เราจะเหนื่อย  และเงินของเราจะถูกขโมยมูลค่าไปโดยเงินเฟ้ออีกด้วยถ้ามันไม่มีจำนวนที่เพิ่มขึ้น  แต่ถ้าเราใช้เงินของเราทำงานให้หนัก  อนาคตเราจะสบายครับ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การที่เราจะหาที่อยู่ให้เงินของเราได้นั้น  มันก็ไม่เหมือนกันสำหรับทุกคน  มันแล้วแต่ว่า  คนๆนั้นรู้เรื่องการลงทุนมากชนิดแค่ไหน  หรือมีความเข้าใจในการลงทุนชนิดนั้นลึกซึ้งดีหรือไม่  ลงทุนอะไรก็ลงได้ครับ  แต่อยากให้มีเหตุผลก่อนลงทุนว่า  "ทำไม"   คุณจึงลงทุนชนิดนั้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  "ความรู้"   สำคัญที่สุดครับ

เห็นด้วยครับกับท่านวายุ ณ ปัจจุบัน คนเราต้องมี 2 อาชีพจริง ๆ ครับ ผมคิดแบบนี้มา 17 ปี แล้วตั้งแต่เริ่มทำงาน เพียงแต่เมื่อก่อน 2 อาชีพต้องใช้แรงทั้งคู่ มา ณ จุดนี้เริ่มคิดแบบท่านวายุแล้วครับ
IP : บันทึกการเข้า
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #64 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 00:49:18 »

ดูขำๆถ้ายังไม่ได้เป็นจ้าวมือ




* 0.jpg (26.37 KB, 700x525 - ดู 728 ครั้ง.)

* 1.jpg (35.02 KB, 700x525 - ดู 724 ครั้ง.)

* 2.jpg (48.94 KB, 700x525 - ดู 705 ครั้ง.)

* 3.jpg (38.6 KB, 700x525 - ดู 705 ครั้ง.)

* 4.jpg (42.55 KB, 700x525 - ดู 707 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #65 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 00:58:46 »

the scam 20009


* 5.jpg (68.17 KB, 700x525 - ดู 703 ครั้ง.)

* 6.jpg (33.26 KB, 700x525 - ดู 692 ครั้ง.)

* 7.jpg (34.75 KB, 700x525 - ดู 695 ครั้ง.)

* 9.jpg (30.99 KB, 700x525 - ดู 688 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #66 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2010, 01:06:29 »

และแล้วความหมายของตลาดหุ้นของผู้กุมชะตากรรม.....



* 10.jpg (27.05 KB, 700x525 - ดู 699 ครั้ง.)

* 11.jpg (29.45 KB, 700x525 - ดู 690 ครั้ง.)

* I8237066-25.jpg (30.65 KB, 700x525 - ดู 700 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
เสือไฟ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,171


บำบัดทุกข์ บำรุงสุข


« ตอบ #67 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 02:42:41 »

เป็นนิทานที่ให้ข้อคิดดีครับ เลยเอามาฝาก

นักลงทุนชาวอเมริกัน..กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือ
ณ ชายฝั่งหมู่บ้านเม็กซิกัน..แห่งหนึ่ง

ขณะที่มีเรือประมงลำหนึ่ง..เข้ามาจอด
แล้วเขาก็ได้เห็น..ปลาโอครีบเหลืองกองโตๆ.. วางอยู่บนเรือลำนั้น

ชาวอเมริกัน..เอ่ยชมชาวประมงท้องถิ่นว่า..จับปลาได้เก่ง

ก่อนจะถามว่า..

“คุณใช้เวลาในการจับปลาพวกนี้นานไหม?”

ชาวประมงตอบว่า..

“ครู่เดียวเท่านั้นล่ะครับ”

“อ้าว ถ้าอย่างนั้น.. ทำไมไม่อยู่นานอีกหน่อย.. เพื่อจะได้ปลามามากกว่านี้ล่ะ?”

คนถูกถามตอบเรียบๆ

“นี่ก็พอเลี้ยงครอบครัวในวันนี้แล้วครับ”

“แล้วคุณเอาเวลาที่เหลือไปทำอะไรล่ะ”
นักลงทุนถาม

“ผมก็ยุ่งทั้งวันแหละครับ ..นอนตื่นสายๆ.. จับปลาวันละนิดละหน่อย ..เล่นกับลูกๆ ..นอนพักกลางวันกับมาเรีย ..ภรรยาของผม ..เดินเล่นในหมู่บ้าน.. จิบไวน์และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูงในตอนเย็น”

คนอเมริกันจึงพูดอย่างกระหยิ่มว่า..

“ผมจบเอ็มบีเอจากฮาร์วาร์ดมา ..ผมให้คำแนะนำคุณได้นะ.. อันดับแรกก็คือ.. คุณน่าจะจับปลาให้เยอะกว่านี้ ..เพื่อจะได้ซื้อเรือลำโตๆ ...ผลจากการที่มีเรือลำโตๆ... ก็จะทำให้คุณมีเงินมากพอ...ที่จะซื้อเรือเพิ่มขึ้น

จากนั้น..คุณก็นำปลาที่หาได้ ..ไปขายให้โรงงานเสียเอง.. ซึ่งคุณก็จะควบคุมได้ทั้งหมด ..นับตั้งแต่กระบวนการผลิต.. ผลผลิต ..ตลอดจน..การจัดจำหน่าย..

ถึงตอนนั้น.. คุณก็สามารถย้ายจากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แห่งนี้ ..ไปอยู่ที่เมืองเม็กซิโกซิตี้..จากนั้นก็ขยับขยาย ..ย้ายไปแอลเอ.. แล้วไปยังนิวยอร์ก ..ที่ซึ่งคุณสามารถขยายกิจการให้เจริญรุ่งเรืองได้ยิ่งขึ้น”

เมื่อฟังมาถึงตอนนี้.. ชาวประมงก็ถามว่า..

“แล้วทั้งหมดนี้..ต้องใช้เวลาสักกี่ปี”

“15-20 ปี”

“จากนั้นล่ะ?”

คนอเมริกันหัวเราะร่วน..และบอกว่า ..
“ที่นี้..ก็จะถึงช่วงที่สำคัญที่สุดในชีวิตล่ะ... เมื่อมีโอกาสเหมาะ คุณก็ทำหนังสือชี้ชวนขายหุ้น... เพื่อขายหุ้นทั้งหมดแก่สาธารณะ...แล้วคุณก็จะกลายมาเป็นมหาเศรษฐี... อาจทำเงินได้เป็นล้านๆ เหรียญเลยก็ได้นะ”

“เป็นล้านๆ..แล้วยังไงล่ะ?”

คนอเมริกัน..แจกแจงต่ออย่างเพลิดเพลิน
“จากนั้น..คุณก็ค่อยเกษียณตัวเอง ..ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ...นอนตื่นสายๆ ...ตกปลาวันละเล็กๆ น้อยๆ.. เล่นกับลูก ๆ ...นอนพักกลางวันกับภรรยาที่บ้าน... ตอนเย็นก็เดินเล่นในหมู่บ้าน ..จิบไวน์ ..และเล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูง....”
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #68 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2010, 19:48:43 »

ตอบคุณ beell  และ  anurakshop
     การที่คุณบอกว่า  การลงทุนนั้นมันเสี่ยง  แล้วผมอยากถามว่า  มันเสี่ยงอย่างไร  อธิบายหน่อยได้ไหมครับ  เพราะผมไม่อยากให้ใครต่อใครบอกขึ้นมาลอยๆแบบไม่มีเหตุผล  แต่อย่ามาบอกว่า“เค้าว่า”นะครับ  เพราะมันเป็นคำพูดที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง  คุณต้องมีเหตุผลรองรับการกระทำให้ได้ว่า  ที่คุณพูด  คุณคิด  คุณทำนั้น  มันมีเหตุผลอะไร  แล้วถ้าเทียบกับการเล่นหวยแล้ว  อะไรมันเสี่ยงกว่ากัน  เอาง่ายๆ  ถ้าคุณเล่นหวยเลขท้าย 2 ตัว  คุณมีโอกาสแค่ 1 ใน 100 เท่านั้นที่จะสำเร็จ  หรือถ้าคุณพนันบอล  มันแบ่งออกมาได้เป็น 3 กรณีคือ  ได้  เสีย  และเท่าทุน  ซึ่งถ้าเสียแล้ว  เงินก็หมดไปอยู่ดี  หรือจะเล่นปั่นแปะ  ถ้าเล่นแบบสองเหรียญ  มันก็สามารถออกได้เป็น 3 แบบคือ  หัวกับหัว  หัวกับก้อย  และก้อยกับก้อย  ซึ่งถ้าคุณทายผิด  ก็เสียเงินอยู่ดี  แต่ถ้าคุณคิดจะเล่นหุ้น  มันแบ่งออกมาได้เป็น 3 กรณีคือ  ขึ้น  ลง  และ  ไม่ขึ้นไม่ลง  สองในสามกรณีนี้ไม่เสียหาย  คือขึ้นและเท่าทุน  แต่ถ้ามันลงแล้วคุณติดอยู่ตรงนั้น  คุณก็ยังเก็บหุ้นไว้รอมันขึ้นมาใหม่ได้  แต่ถ้าคุณขี้เกียจรอ  ก็ยอมขายขาดทุน  เพื่อนำเงินมาเล่นต่อ  แต่ถ้าเป็นการพนันอย่างอื่นแล้ว  มันไม่มีรางวัลปลอบใจนะครับ  ถ้าไม่ถูกแล้วก็อดเลย  เงินสูญสลายหายไปในอากาศ  แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ไปเล่นหุ้นแบบนี้หรอกนะ  เพราะถ้าเล่นแบบนี้  มันเป็นการพนัน  ผมแนะนำให้ลงทุนในกิจการผ่านตลาดหุ้น  เพราะตลาดหุ้น  มันเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนเท่านั้น  สิ่งที่ผมทำคือ  ทำกำไรจากบริษัท  ไม่ใช่ทำกำไรจากตลาดหุ้น  เราต้องทำความเข้าใจด้วยว่า  “หุ้น”คือส่วนหนึ่งของกิจการ
     ส่วนที่คุณบอกว่ามันสำเร็จยากนั้น  ผมอยากเปรียบเทียบง่ายๆกับการไปเรียนนะครับ  คุณรู้สึกไหมว่า  กว่าที่เราจะจบมหาลัยได้  มันทั้งเหนื่อยยากและขี้เกียจเรียนขนาดไหน  แต่ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในการเรียน  เราก็ต้องอดทนและพยายามเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด  เพื่อเราจะได้ไปสอบให้ได้คะแนนสูงๆ  ได้เกรดดีๆ  และเมื่อคุณได้ทำมันสำเร็จ  สิ่งที่คุณจะได้ตอบแทนจากการเรียนก็คือ  ใบปริญญานั่นเอง
     ในการเรียนนั้น  คะแนนคือตัวชี้วัดว่า  คุณสนใจเรียนขนาดไหน  แต่ถ้าเป็นการลงทุน  ถ้าคุณสนใจใฝ่รู้และทำมันได้ดี  สิ่งที่จะตอบแทนคุณก็คือความมั่งคั่ง  ส่วนที่คุณบอกว่า  มันสำเร็จได้ยาก  อันนี้มันก็เหมือนการเรียนคือ  คุณคิดว่าการเรียนให้จบเป็นสิ่งที่ยากไหม  ถ้าคุณเป็นคนที่รักษาคำพูดเพียงพอ  แล้วคุณตอบว่าคงเรียนไม่จบหรอก  นี่มันก็หมายถึงว่า  การที่คุณพูดว่าคุณเรียนไม่จบแล้วทำตามนั้น  มันเป็นการง่ายกว่าที่คุณจะพูดว่าเรียนจบ  แล้วคุณต้องอดทนเรียนให้จบให้ได้  การลงทุนก็เช่นกัน  ถ้าคุณบอกว่า  คุณคงไม่ประสบความสำเร็จหรอก  นั่นก็หมายความว่า  คุณเป็นคนที่ขี้เกียจ  คุณก็เลยใช้คำพูดง่ายๆ  เพื่อจะได้ทำตัวง่ายๆตามไปด้วย  เหมือนกับที่คุณพูดว่าเรียนไม่จบนั่นแหละ  คุณขี้เกียจศึกษาและไม่มีความอดทนในการที่จะทำให้มันสำเร็จ  สิ่งสำคัญก็คือ  ถ้าคุณอยากสำเร็จ  คุณควรพูดกับตัวเองว่า “จะทำอย่างไร”  แทนที่จะพูดว่า  “ทำไม่ได้”
     และที่คุณบอกว่ามีข้อมูลมากมายให้ดูนั้น  มันก็เทียบกับการเรียนได้อีก  เวลาที่คุณไปรับหนังสือเรียน  แล้วคุณคิดว่า  เพื่อนๆจะได้หนังสือแบบเดียวกับคุณไหม  แน่นอน...มันเหมือนกัน  แต่ทำไมเมื่อตอนเราสอบ  เราถึงได้คะแนนไม่เท่ากันล่ะ  นั่นเป็นเพราะความสนใจใฝ่รู้ในข้อมูลนั้นต่างกัน  แม้เราจะอ่านหนังสือเล่มเดียวกันก็ตาม  เพราะฉะนั้นแล้ว  ถ้าเราเอาใจใส่ในข้อมูลที่ได้รับมา  และทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้  และสามารถแปลความหมายในข้อมูลนั้นให้เป็นความเข้าใจ  เราก็จะได้คะแนนที่ดี  เมื่อเปรียบกับการลงทุนหุ้นแล้ว  เมื่อเราได้รับข้อมูลมา  สิ่งที่เราต้องทำคือ  ทำความเข้าใจกับข้อมูลนั้น  และแปลงข้อมูลนั้นมาเป็นการปฏิบัติ  เพื่อที่เราจะได้มีความมั่งคั่งที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
จริงๆแล้วหัวข้อกระทู้ที่ผมได้มาเปิดไว้  ต้องการเปิดไว้เพื่อให้กำลังใจคนที่ล้มเหลว  แต่พร้อมที่จะลุกขึ้นมาฝ่าฟันกับมันอีกครั้ง  หรือเพื่อคนที่ต้องการเริ่มต้น  แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน  ซึ่งการที่สอบถามเข้ามา  คำถามพวกนั้นจะได้รับคำตอบที่ดี  โดยมีเพื่อนนักลงทุนที่อาจจะแสดงตัวหรือไม่ก็ตาม  เข้ามาตอบให้  แต่เท่าที่ผมเห็น  มีแต่คน“คิดลบ”เข้ามาแสดงความเห็นส่วนตัว   โดยที่บางที  เขายังไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่า  หุ้นคืออะไร  หรือบางที  อาจจะยังไม่เคยลงทุนด้วยตนเองเลย  เหมือนกับคนที่ยืนอยู่กับที่  แล้วตะโกนบอกพวกที่กำลังหัดจักรยานว่า  มันอันตราย  โดยที่ตัวเองยังไม่เคยลองขี่มันด้วยซ้ำ  ซึ่งคนพูด  ได้แต่เคยเห็นคนที่ขี่ล้มแล้วมีบาดแผลน่ากลัว  แต่ถ้าคุณเคยเห็นคนที่เขาขี่จักรยานได้แล้ว  คุณเคยลองถามเขาบ้างหรือเปล่าว่า  การขี่จักรยานเป็นแล้ว  มันมีความรู้สึกอย่างไร 
     แต่ผมก็ชอบนะ  ที่ได้เห็นคำโต้แย้งเหล่านี้  เพราะมันทำให้ผมได้เค้นความสามารถและมันสมองมาตอบพวกคุณได้  ซึ่งมันก็มีผล  ทำให้ผมฉลาดขึ้นด้วย  ถ้าคุณเข้ามาแนะนำคนอื่นว่าไม่ควรลงทุนเพราะมันเสี่ยง  ผมอยากบอกคุณว่า  การลงทุนทุกอย่างก็มีความเสี่ยงทั้งนั้น  เช่น  คุณลงทุนแต่งงานกับผู้ชายสักคน  แล้วคุณคิดว่า  ผู้ชายคนนั้นจะเป็นสามีที่ดีหรือเปล่า  และคุณจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตได้หรือไม่  อันนี้เสี่ยงไหม  หรืออีกกรณี   คุณคิดว่า  ถ้าคุณลงทุนเปิดร้านขายอะไรสักอย่างหนึ่ง  อาจจะเป็นก๋วยเตี๋ยว  ข้าวแกง  หรือร้านเสื้อผ้า  คุณคิดว่ามันจะเจ๊งหรือไม่   แล้วคุณบอกได้ไหมว่า  ที่คุณแนะนำไม่ให้คนอื่นเขาลงทุนน่ะ  คุณจะให้เขาเอาเงินไปทำงานแทนเขาได้อย่างไร
     ส่วนมาก...คนที่คิดลบ  มักจะเป็นลูกจ้าง  และไม่ชอบความเสี่ยง  แต่ผมอยากแนะนำคุณว่า  ถ้าคุณเป็นลูกจ้างเขาไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่งที่คุณทำงานไม่ไหวแล้ว  คุณจะทำอย่างไรกับชีวิต  คุณจะรอความช่วยเหลือจากลูกหลานรึ? หรือคุณจะมีชีวิตอยู่จากเบี้ยยังชีพคนชรา  หรือจะกินบุญเก่าจากเงินเก็บ  แล้วถ้าเงินหมดก่อนคุณตายล่ะ....โอ้พระเจ้าจอร์จ  ผมไม่อยากคิดเลย  และเพราะการเป็นลูกจ้างนั้น  ไม่สามารถยกตำแหน่งของคุณที่อยู่ในองค์กรนั้นๆให้กับลูกหลานได้  หรือจะเซ้งตำแหน่งก็ไม่ได้  แต่ถ้าคุณมีกิจการส่วนตัว  หรือมีการลงทุนในทรัพย์สิน คุณสามารถยกให้ลูกหลานได้  หรือคุณสามารถขายทรัพย์สินเหล่านั้นก็ได้  หรือคุณไม่ต้องขายทรัพย์สินพวกนั้นก็ได้แต่คุณต้องรู้ว่า  จะหาประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้นได้อย่างไร  ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า  เงินปันผลหรือแม้แต่กำไร   และถ้าคุณอยากสำเร็จในการลงทุน  คุณก็ต้องขยันศึกษาหาความรู้ใส่ตัวให้เยอะๆ  คุณจะได้มีความมั่งคั่งเพิ่มพูนทวีคูณ  ถ้าคุณได้รับรู้เรื่องราวของคนที่สำเร็จการศึกษาแล้วได้ใบปริญญา  แล้วคุณไม่อยากรู้เหรอว่า  คนที่เขาลงทุนแล้วสำเร็จ  ชีวิตมันเป็นอย่างไร
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #69 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2010, 19:53:23 »

ส่วนเรื่องของคุณเสือไฟ
     ผมสรุปโดยความเห็นส่วนตัวของผมนะว่า  ถึงแม้ว่าในที่สุด  บั้นปลายชีวิตจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม  แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปคือความมั่งคั่ง  แทนที่เราจะออกไปหาปลาทุกๆวัน  เพราะถ้าไม่ไปหาก็ไม่มีกิน  กลายเป็นว่า  เราอยากจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากทำ  เพราะเรามีเงินมากพอโดยที่ไม่ต้องออกไปหาปลาแล้ว  ชีวิตเรามันก็ต้องการแค่นี้  แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้  มันก็ต้องพยายามพอควร  เอาใจช่วยสำหรับนักลงทุนทุกท่านนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Freedom
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 608


ห้องสมุดบิดคิด


« ตอบ #70 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 13:18:57 »

การลงทุนไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกค่ะ

เห็นด้วยครับ แค่ทำตัวให้หลุดออกจากกรอบความคิด"เดิมๆ" เหมือนที่เห็นได้ทั่วไป ( อาทิความคิดเรื่อง การใช้แรงแลกเงินไปตลอดชีวิต ) ก็นับว่าเป็นเรื่อง "ยาก" สุดๆแล้วล่ะครับ  ยิ้มเท่ห์  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ถ้ามันได้ง่ายขนาดนั้นคนทำงานคงลาออกไปทำกันหมดแล้วค่ะ

การทำอย่างนั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการกระโดดออกจากเรือ ทั้งๆที่ไม่ได้ใส่เสื้อชูชีพแถมยัง "ว่ายน้ำ" ไม่เป็นหรอกครับ ยิ้ม

ขนาดตลาดของไทย มีข้อมูลครบด้าน ยังร่วงลงมาได้เลย

ขนาดดวงอาทิตย์ที่ว่าแน่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่ง ยังมีขึ้นมีลงทุกวัน .... ดังนั้นทุกอย่างในโลกก็คงไม่ต่างกัน  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ... ส่วนตลาดหุ้นช่วงนี้ SET ขึ้นมาแตะที่ระดับ 1,000 จุด +/- เรียบร้อยแล้วครับ  ยิงฟันยิ้ม

( ใครที่ทำความรู้จักกับหุ้น ตั้งกะตอนที่หุ้นร่วงลงมาวิ่งเล่นอยู่ที่ระดับ 5-600 จุดบ้างเอ่ย...  เจ๋ง ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม )

ควรใช้วิจารณญาณ อย่าไปหลงคำชวนเชื่อให้มากค่ะ ทำงานพอมีพอกินก็ได้แล้ว

(อย่าโลภ)

เห็นด้วยว่าอย่าโลภ .... ไงตั้งใจทำงานต่อไปนะครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

มะหินฝน
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 58



« ตอบ #71 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 23:28:01 »

จะลงทุนก็ต้องมีทุนก่อน มีทุนเท่าไหร่ แล้วจะลงทุนได้เท่าไหร่และลงทุนกับใครไม่ใช่จะตอบได้ง่ายๆ หรือคิดเอาง่ายๆ ถ้าจะลงทุนในบริษัท คุณต้องรู้จักผู้บริหารและวิธีการทำงานหาเงินของเค้า ถ้ามีห้องให้เช่าแล้วไม่มีคนเช่า ก็ขาดทุน มีสินค้าแล้วขายไม่ได้ มันก็ขาดทุน แล้วถ้าคุณทุนน้อยกว่าเขาคุณก็หมดสิทธิไม่มีเสียง บริษัทมีเงินได้มากกลับกลายเป็นค่าใช้จ่ายของผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทมีรายได้น้อยกิจการตก เค้าขอเพิ่มทุน คุณก็ต้องหาให้เขา ม่ายงั้นสัดส่วนของคุณก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่คุณเป็นก็เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเล็กๆ ที่ไปช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองทั้งหมด เอาเงินไปให้เค้าใช้เปล่าๆ  ปล่อยเงินไปทำงาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนั่งจิบไวน์ได้ทั้งวันหรอกครับ ดูนายทุนยุโรป อเมริกาซิครับวันนี้คนของเขาเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองรวยจากการซื้อขายหุ้น ราคามันขึ้นก็นึกว่าได้กำไร เอาไปใช้กันล่วงหน้าอย่างสนุก ซื้อสิบขายยี่สิบก็เอาเงินไปใช้ แต่มูลค่าหุ้นจริงมันมีราคาเท่าไหร่ ซักวันนึงเมื่อตลาดไม่ต้องการ มันจะกลับมาทวงหนี้อันนี้เหมือนกรรมตามทันนะครับ เห็นด้วยกับคุณBellจัง


IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #72 เมื่อ: วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 16:03:29 »

น้ำท่วมกับการลงทุน
     น้ำท่วมปีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องในประเทศไทยอย่างมาก  และในจำนวนผู้เสียหายทั้งหลาย  ก็ยังมีนักลงทุนรวมอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วย  ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภาคเกษตร  เช่น  ชาวนาชาวไร่  หรือการประมง  เช่น  เลี้ยงปลาในกระชัง  ในความเสียหายทั้งหมดนี้  ส่วนหนึ่งนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาจากภัยธรรมชาติ  และอีกส่วนหนึ่งนั้นก็มาจากตัวการลงทุนนั่นเอง!  หลายคนอาจจะงงว่า  เป็นไปได้ยังไง  แต่ลองคิดดูนะครับ  ถ้าสมมติว่า  เรารู้ว่าน้ำกำลังจะท่วมนาข้าว  แต่เราก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายนาแห่งนั้นไปไว้ในที่ๆปลอดภัยได้  เพราะฉะนั้น  นาข้าวเหล่านั้นก็เลยเสียหาย  มันก็เลยเป็นที่มาของตัวการลงทุนนั่นเอง  แต่น้ำท่วมคราวนี้  ไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นเลย  บางทีอาจเป็นเพราะว่า  น้ำที่กำลังท่วมอยู่นี้  ยังไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทที่อยู่ในตลาดมากนัก  แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่า  ตลาดหุ้นจะไม่มีภัยธรรมชาติแบบนี้  ตลาดหุ้นก็มีภัยธรรมชาติเหมือนกันครับ  แต่ว่าเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้น  ธรรมชาติของตลาดหุ้นก็คือวัฎจักร  ตลาดนั้นมีขึ้นมีลง  ถ้าเราเป็นนักลงทุนตัวจริงแล้วล่ะก็  เราจะต้องรู้ว่า“ดอกไม้จะบานเมื่อไหร่  และจะบานนานแค่ไหน”  เพราะฉะนั้น  การลงทุนในหุ้นเราต้องรู้ว่า  เราควรจะเข้าไปซื้อหุ้นเมื่อไหร่  และจะขายหุ้นเมื่อไหร่  เพราะเมื่อเวลาลมฝนมา  หุ้นเราก็ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปกับเขาด้วย  ซึ่งนั่นเป็นการทำตัวโอนอ่อนไปตามธรรมชาติของตลาดหุ้น  และเราไม่ควรฝืนแนวโน้มของตลาด  ถึงแม้ว่าบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่จะดีมากแค่ไหนก็ตาม  แต่เราก็ควรขายออกไปก่อน  พอพายุสงบแล้ว  เราค่อยกลับมาเก็บของกันใหม่  เปรียบได้กับเราไปถามขายแอร์ตอนหน้าหนาว  ถึงแม้ว่าแอร์ของเราจะมีประสิทธิภาพสุดยอดกว่าแอร์ยี่ห้อใดๆในท้องตลาด  แต่เมื่อไปขายตอนที่เขาไม่ต้องการ  มันก็เหมือนกับเป็นการฝืนแนวโน้มของตลาดไป
     ข้อดีของหุ้นก็คือ  มีสภาพคล่องสูง  เมื่อเวลาพายุพัดกระหน่ำตลาดหุ้น  และเราไม่แน่ใจในพายุลูกนั้น  เราก็สามารถขายหุ้นแล้วออกมารอดูสถานการณ์ต่างๆให้แน่ใจก่อน  เมื่อแน่ใจว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว  เราก็กลับไปซื้อหุ้นคืนมาได้  เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในภาคเกษตรและประมงแล้ว  ผมเห็นว่าหุ้นสามารถเคลื่อนย้ายการลงทุนได้ดีกว่า  ซึ่งบางที  มันอาจจะหลบไม่ได้ 100 %  แต่มันก็ยังไม่เสียหายไปทั้งหมด  และยังเหลือทุน “ส่วนใหญ่” ไว้ให้เราเอาไปลงทุนต่อ  ไม่ได้สูญเสียไปทั้งหมดเหมือนกับที่คนโดนน้ำท่วมเขาโดนกัน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #73 เมื่อ: วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 16:05:40 »

High risk-High return
     เชื่อว่านักลงทุนหลายท่านคงเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ  เสี่ยงสูง-ผลตอบแทนสูง  แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมว่าไม่จริง  เรื่องเสี่ยงสูง-ผลตอบแทนสูงนั้น  ผมว่าเป็นเรื่องของการพนันมากกว่า  เหมือนเช่นการแทงหวย  ถ้าอยากได้เยอะ  ก็ต้องแทงเยอะๆ  หรือพนันบอล  ถ้าอยากได้มากๆ  ต้องแทงหนักๆ
     ถ้าเป็นการลงทุนแล้ว  เหตุการณ์มันจะออกมากลับกันเป็น  เสี่ยงน้อย-ได้มาก  เสี่ยงมาก-ได้น้อย  ผมจะอธิบายให้เข้าใจนะครับ  สมมติว่าถ้าเรายืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 1  ถ้าเรากระโดดลงมาคุณคิดว่า  เราจะเจ็บไหม  แน่นอน...มันจะไปเจ็บได้อย่างไร  ก็ในเมื่อมันสูงกว่าพื้นไปแค่นิดเดียวเอง  แล้วถ้าเรากระโดดลงมาจากบันไดขั้นที่ 10 ล่ะ.....
     ที่ผมสื่อเรื่องบันไดนั้น  ความหมายก็คือ  เวลาคุณซื้อหุ้นที่ราคาต่ำๆ  คุณคิดว่ามันเป็นความเสี่ยงมากหรือไม่  เพราะถ้ามันจะตกลงไปอีก  มันก็คงตกอีกได้ไม่เท่าไหร่...ถูกต้องไหมครับ  แต่โอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นสูงมีมากกว่า  เพราะฉะนั้นแล้ว  อย่างนี้เรียกว่า  เสี่ยงน้อย-ได้มาก  แต่ถ้าเป็นกรณีกลับกัน  หุ้นราคาขึ้นไปสูงมากแล้ว  จนเรารู้สึกว่า  ถ้ามันจะขึ้น  มันคงขึ้นได้อีกไม่เท่าไหร่  แต่ถ้ามันตกล่ะ...คงยาว  อย่างนี้เรียกว่า  เสี่ยงมาก-ได้น้อย
     ในเรื่องของการลงทุน  จังหวะและราคาเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งทีเดียว  สมมติว่ามีคนเดือดร้อนเงิน  และเขาเอาบ้านมาขายให้คุณในราคา 8 แสนบาท  แต่คุณรู้ว่า  บ้านสภาพนี้  ที่ดินขนาดนี้  และทำเลตรงนี้  เขาซื้อขายกันอยู่แถวๆ 1 ล้านบาท  ถ้าสมมติว่าคุณมีเงิน  คุณจะซื้อไหมครับ  ใช่...คุณต้องตอบว่าซื้อแน่นอน  เพราะฉะนั้นแล้ว  “กำไรตอนซื้อ”  ไม่ใช่ตอนขายนะครับ  หุ้นก็เหมือนกัน  ให้คุณคิดไว้ก่อนเลยว่า  ราคาที่คุณกำลังจะซื้อนี้  กำไรตอนซื้อหรือเปล่า  เพราะถ้าคุณไม่สนใจราคาตอนซื้อแล้ว  คุณได้แต่ฝันว่าคุณจะ“ซื้อถูก”แล้วไป“ขายแพง”ตะบัน  แล้วถ้าเกิดมันไม่มีคนฉลาดน้อยกว่าคุณมารับซื้อต่อ  แล้วคุณจะทำอย่างไรครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #74 เมื่อ: วันที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 15:40:12 »

ตอบคุณมะหินฝน
     เท่าที่อ่านข้อความของคุณ  พอจะประเมินได้ว่า  คุณก็มีความรู้เรื่องหุ้นพอสมควร  แต่ผมมีคำถามอยากถามคุณหน่อยนะครับ  และคุณก็ควรจะตอบผมด้วยสักหน่อยว่า  คุณเคยซื้อหุ้นไหม  คุณซื้อตัวไหน  และทำไมคุณถึงซื้อหุ้นตัวนั้น  เมื่อคุณตอบคำถามผมเสร็จแล้ว  ผมก็จะเข้ามาตอบคำถามของผมบ้างเหมือนกัน  ตกลงเรามีนัดกันนะครับ  แต่ถ้าคุณไม่ตอบก็ไม่เป็นไร  บางทีคุณอาจจะกลัวคำตอบของตัวเองก็ได้.....
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,369

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #75 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 09:09:07 »

เข้ามาอ่านในกระทู้นี้บ่อย มีหลายๆคนที่เป็นนักสู้ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ยิงฟันยิ้ม
สอบถามผู้รู้ทั้งหลายครับ เท่าที่ผมติดตาม ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามลำดับ
และก็ยังไม่มีท่าทีจะลดลง หน่ำซ้ำผมว่าอาจจะแข็งขึ้นๆเรื่อยๆ เนื่องจากอากาศหนาว ยิงฟันยิ้ม
ผู้รู้ คิดว่าอนาคตเราจะลงทุนหรือมีวิธีตั้งรับอย่างไร กับสถาณการณ์ต่อไปหลังจากนี้
ผมคิดว่า เหตุการณ์ที่ค่าเงินผันผ่วนแปลกๆนี้ (หรือว่าผมคิดไปเอง)ย่อมส่งผลเสียไปมากกว่าผลดี
ขอบคุณที่ผู้รู้มาตอบกระทู้นะครับ ขอบคุณครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
บ่าวเริงปอย
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #76 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 12:54:27 »

เรียนคุณ BabyGun ในความคิดของผม ถูกผิดไม่รู้ แต่ที่รู้คือ มันไม่ได้แข็งเฉพาะสกุลเงินบาท มันแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาคเอเชีย แต่มันไปอ่อนฝรั่งยุโรป กับอเมริกัน ดังนั้นอะไรที่มันแพงๆทางฝั่งโน้น ยิ่งบาทแข็งเราจะซื้อมันได้ในราคาถูกลงเรื่อยๆ ทั้งสินค้าและบริการ เป็นโอกาสที่ดีที่จะนำเข้าของดีราคาถูก หรือ ไปท่องเที่ยวเมืองฝรั่งสักครั้ง กลับกันผู้ประกอบการส่งออกสินค้า ตอนนี้มีแต่ทรงกับทรุด ได้อย่างเสียอย่าง....
IP : บันทึกการเข้า

อ้ายตึงมัก อ้ายตึงหุม...
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #77 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 15:42:44 »

ตอบคุณ เบบี้
     ก่อนอื่นเราต้องไปดูที่รากของปัญหาก่อนนะครับว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร  การที่เงินสกุลอื่นแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์นั้น  เป็นเพราะว่าทางสหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาแล้วอัดฉีดเข้าไปในระบบ  เมื่อใดก็ตามที่ของมีมาก  ของสิ่งนั้นก็จะด้อยค่าลง  เพราะฉะนั้น  การที่เงินบาทแข็งขึ้นก็เนื่องจากว่า เราไม่ได้พิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมา  เพราะฉะนั้นแล้ว  เงินบาทมันยังมีปริมาณคงที่อยู่  มันจึงทำให้  ต้องใช้เงินดอลจำนวนมากขึ้น  เพื่อมาแลกกับเงินบาทในจำนวนเท่าเดิมครับ  และตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า  รัฐบาลสหรัฐจะอัดฉีดเงินเข้ามาอีกรอบ  ซึ่งมันก็คงจะมีผลทำให้  ประเทศที่ไม่ได้ผลิตเงินเพิ่มเช่นไทย  เงินจะแข็งค่ากว่าที่เป็นอยู่ครับ
     ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหานี้  เราคงต้องคิดเอาเองแล้วล่ะครับว่า  จะแก้ปัญหาอย่างไร  เพราะเมื่อเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น  ย่อมทำให้บางคนได้ประโยชน์  และบางคนเสียประโยชน์  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าน้ำมันขึ้นราคา  คนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกที่มีบ่อน้ำมันเป็นของตัวเอง  แต่คนที่เสียประโยชน์ก็คือพวกที่บริโภคน้ำมันเช่น  สายการบินต่างๆ  บริษัทเดินเรือ  บริษัทขนส่งต่างๆ
     แต่ถ้าคุณเบบี้อยากได้เปรียบล่ะก็  ผมขอแนะนำให้หอบเงินไปเที่ยวสหรัฐเลยดีกว่าครับ  เพราะเงินบาทเรากำลังแข็ง  ใช้เงินน้อยลง  แต่ซื้อของได้เท่าเดิม 555 ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #78 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 16:16:22 »

ตอบคุณมะหินฝน
     ในช่วงที่กำลังรอคำตอบจากคุณ  ผมก็จะขอตอบข้อความของคุณไปพลางๆก่อนแล้วกันนะครับ
     1.จะลงทุนก็ต้องมีทุนก่อน มีทุนเท่าไหร่ แล้วจะลงทุนได้เท่าไหร่และลงทุนกับใครไม่ใช่จะตอบได้ง่ายๆ หรือคิดเอาง่ายๆ ถ้าจะลงทุนในบริษัท คุณต้องรู้จักผู้บริหารและวิธีการทำงานหาเงินของเค้า.....อันนี้ถูกต้องครับ  เวลามีใครมายืมเงินเรา  เราก็ยังต้องรู้จักเขาเลยว่าเป็นใครมาจากไหน  และมีปัญญาใช้หนี้เราหรือไม่  เพราะฉะนั้น  เวลาเราจะลงทุนกับใคร  เราก็ควรรู้จักคนที่เราเอาเงินไปให้เขาก่อนครับ
     2.ถ้ามีห้องให้เช่าแล้วไม่มีคนเช่า ก็ขาดทุน มีสินค้าแล้วขายไม่ได้ มันก็ขาดทุน.....เรื่องห้องเช่านั้น  ถ้าคุณไม่มีภาระหนี้สินแล้ว  คุณจะขาดทุนได้อย่างไรครับ  ถ้าไม่มีคนเช่า  มันก็แค่ไม่มีรายได้เท่านั้น  แต่ถ้าคุณกำลังกู้และผ่อนชำระอยู่  คุณก็ควรจะมีแหล่งรายได้อื่นไว้สำรองด้วยในกรณีที่ไม่มีผู้เช่า  ส่วนเรื่องขายสินค้าแล้วขายไม่ได้นั้น  ผมเห็นด้วย  ผมก็เลยถามว่า  ถ้าไปค้าขายเองแล้ว  เราจะรู้ได้ไงว่าไม่เจ๊ง  ที่ผมชอบหุ้นก็เพราะว่า  ผมรู้แน่นอนว่าสินค้าของบริษัทที่ผมกำลังจะไปลงทุนนั้นขายได้แน่นอน  บางท่านอาจจะถามว่า  "ดูจากไหน"   เราก็ดูตามท้องตลาดทั่วไปสิครับ  คุณคิดว่าโค้กขายได้ไหม  รถกระบะวีโก้ขายได้ไหม  โทรศัพท์ I-Phone และ BB ขายได้ไหม  และอื่นๆอีกมากมาย  เมื่อคุณเห็นบริษัทพวกนี้ขายของได้  แล้วคุณไม่คิดว่าเขาจะมีกำไรเหรอครับ  และถ้าเราอยากรู้ว่าเขาทำกำไรได้มากแค่ไหน คุณก็ไปดูที่งบการเงินเขาสิ
     3.บริษัทมีรายได้น้อยกิจการตก เค้าขอเพิ่มทุน คุณก็ต้องหาให้เขา ม่ายงั้นสัดส่วนของคุณก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่คุณเป็นก็เพียงแค่ผู้ถือหุ้นเล็กๆ ที่ไปช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองทั้งหมด เอาเงินไปให้เค้าใช้เปล่าๆ  ปล่อยเงินไปทำงาน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะนั่งจิบไวน์ได้ทั้งวันหรอกครับ .....อันนี้ผมอยากถามคุณหน่อยว่า  บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ขอเพิ่มทุนทุกบริษัทหรือเปล่าครับ  ทำไมคุณไม่พูดถึงบริษัทที่เขาได้เงินทุนไปแล้วทำได้ดีมีกำไรจนสามารถนำกำไรนั้นมาแบ่งปันผู้ถึอหุ้นบ้างล่ะครับ  ตามความเห็นของผมแล้ว  บริษัทที่ขอเพิ่มทุน  เป็นบริษัทที่ "ใช้ไม่ได้"  เพราะการที่เขาได้เงินทุนไปแล้ว  และไปทำให้ขาดทุน  ซ้ำยังมีหน้ามาขอเงินเพิ่มเพื่อไปลงทุนต่อ  ถ้าผมมีหุ้นประเภทนี้  ผมจะขายหุ้นทิ้งโดยเร็ว  ผมจะไม่ยอมให้เงินกับคนประเภทนี้อีกแล้ว  และก่อนที่เขาจะเพิ่มทุน บริษัทก็ต้องมีการออกข่าวหรือประกาศให้ทราบโดยทั่วกันทั้งทางเนตและ นสพ.  เมื่อเรารู้ว่าเขาจะขอเงินเราเพิ่ม  แล้วเรื่องอะไรจะไปยอมจ่ายเพื่อรักษาสถานะผู้ถือหุ้นอีก  ขายหุ้นแล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทที่มีกำไรไม่ดีกว่าเหรอ  หรือว่าคุณเคยให้เงินเพิ่มทุนเขาไป  แล้วก็มานั่งตีอกชกหัวตัวเอง  ผมว่าคุณน่ะคิดลบนะครับ  เปรียบเหมือนกับคุณโดนผู้หญิงเลวๆคนหนึ่งทำให้ช้ำใจ  แล้วคุณก็มาคิดแค้นว่า  ผู้หญิงเลวเหมือนกันหมด  มันไม่ใช่นะครับ  ผู้หญิงดีๆก็ยังมีอยู่  เพียงแต่คุณยังไม่เจอเท่านั้นเอง  เพราะฉะนั้น  หุ้นดีๆก็มีอยู่อีกมาก  มันไม่ได้เลวไปหมดทุกตัวหรอกนะครับ
     4.ดูนายทุนยุโรป อเมริกาซิครับวันนี้คนของเขาเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองรวยจากการซื้อขายหุ้น ราคามันขึ้นก็นึกว่าได้กำไร เอาไปใช้กันล่วงหน้าอย่างสนุก ซื้อสิบขายยี่สิบก็เอาเงินไปใช้ แต่มูลค่าหุ้นจริงมันมีราคาเท่าไหร่.....จริงๆแล้วหัวข้อนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับหุ้นเลย  มันเกี่ยวกับความสุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อของคนต่างหาก  เพราะถ้าผมบอกว่า  ผมได้เงินเดือนหนึ่งหมื่น  แต่ผมใช้เดือนละสองหมื่น  มันเหมือนกับกรณีที่คุณยกตัวอย่างไหมครับ  การใช้เงินเกินตัว  มันไม่ได้เกี่ยวกับหุ้น  ไม่ว่าเราจะมีรายได้จากไหน  ถ้าเราใช้เงินเกินตัว  มันก็ล่มจมทุกคนแหละครับ
     เอาล่ะ  ผมจะรอคำตอบจากคุณนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
มะหินฝน
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 58



« ตอบ #79 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 17:48:00 »

ได้เสนอความคิดในส่วนของผมไปแล้วในเรื่องการลงทุนว่าไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนทั่วไปอย่างผมและอีกหลายๆคน  เงินส่วนเกินที่ผมใช้ทุนเล็กน้อยในตลาดก็มีอยู่ตัวเดียวคือบริษัทปั่นไฟ จากที่ซื้อ หก เจ็ดสิบบาท ก็พอได้ปันผลประมาณ10เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ไม่ได้ทำให้ร่ำรวยจากการซื้อขายหุ้นอะไร ถ้าขายตอนนี้ได้กำไร ก็ไม่สามารถซื้อคืนมาในราคาถูกๆเพื่อทำกำไรได้อีกเป็นกอบเป็นกำเลี้ยงดูลูกเมีย นั่นเป็นความคิดสำหรับการมีหุ้นในตลาดของผมที่ไม่ซื้อความเสี่ยง ผมดูอะไรในบริษัท ผมดูทรัพย์สิน หนี้สิน มูลค่าหุ้น ต่อไปก็ดูผลการทำงาน สัดส่วนผลตอบแทน ROA ROE ROI การบริหารจัดการ และผู้บริหาร ดู PER ว่าราคามันสะท้อนความจริง เกินจริงมากน้อยแค่ไหน ผู้ที่ลงทุนในหุ้นถ้าเขาสามารถหาข้อมูลได้ง่ายๆ หาประโยชน์จากข้อมูลนั้นได้ง่ายๆ โลกก็มีแต่คนรวยได้แต่กำไรอย่างคุณวายุ ไม่มีต้มยำกุ้ง และแฮมเบอร์เกอร์อย่างทุกวันนี้

ส่วนการลงทุนร่วมหุ้นอย่างอื่นเช่นบ้านเช่า หอพักนั้น ถ้ามีรายได้มาเลี้ยงไม่พอกับ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าดูแลรักษา ซ่อมแซม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจ้าง ภาษีโรงเรือน ที่ดิน เงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกกับดอกเบี้ยธนาคารตามวงเงินที่อาจต้องกู้มา มันก็กลายเป็นเรื่องได้ แล้วถ้าเราเข้าหุ้นไปมันเป็นยังไง ลงทุนเพิ่ม หรือขายทิ้ง?

ถ้าผมไม่ลงทุนในหุ้นกับใครเรื่อยเปื่อย ผมอาจจะไม่ร่ำรวยตัวเงิน แต่ผมจะจนหรือโง่ไปกว่านี้มั้ย ผมว่าไม่นะ

 
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!