เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 กรกฎาคม 2025, 22:42:11
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  ----[ จำหน่ายมูลไส้เดือน 100%, น้ำหมักมูลไส้เดือน และชุดทดลองเลี้ยงไส้เดือน ]----
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 19 พิมพ์
ผู้เขียน ----[ จำหน่ายมูลไส้เดือน 100%, น้ำหมักมูลไส้เดือน และชุดทดลองเลี้ยงไส้เดือน ]----  (อ่าน 38396 ครั้ง)
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 04 มกราคม 2014, 14:59:20 »


เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 21

สมุนไพร สะระแหน่

สะระแหน่อีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่นิยมนำมาบริโภคกันค่อนข้างมากเนื่องจากมีกลิ่งหอม โดยส่วนใหญ่คนจะนำมาปรุงอาหาร และใช้ในการตกแต่งอาหารให้สวยงาม แต่คุณรู้ไหมค่ะว่า สมุนไพร สะระแหน่ นั้นนอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารแล้วยังมี สะระแหน่ ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย นั้นเรามาดู สรรพคุณของสะระแหน่ กันดีกว่าค่ะ

สะระแหน่ นั้นมีฤทธิ์เย็นและมีรสเผ็ดน้ำมันของมันจะช่วยขจัดลมร้อน และยังสามารถใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน ใช้ผสมยาหรือยาอมเพื่อให้เย็นชุ่มคอได้ดี

1. รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง

2. รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ

3. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียดพอกบริเวณที่โดนกัด

4. ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่หยอดที่รูจมูก

5. รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหูจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี

6. รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด

วิธีใช้ประกอบอาหาร
ใบสะระแหน่ใช้ลดกลิ่นคาวของอาหารจำพวกพร่า ยำ และลาบ ใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มและเหล้า

ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง
1. ใบสะระแหน่สดและยอดอ่อนมีสรรพคุณดีกว่าใบสะระแหน่แห้ง
2. มีรายงานว่าใบสะระแหน่สามารถระงับอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวด
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 07 มกราคม 2014, 14:18:18 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 22

ประโยชน์ สรรพคุณ มะขามป้อม

ประโยชน์ของมะขามป้อมมีหลายอย่างเลยครับ ซึ่งเราได้รวบรวมมาจากหนังสือหมอชาวบ้าน ดังนี้ครับ
มะขามป้อมแก้หวัด

ผลมะขามป้อมมีสรรพ-คุณแก้หวัด แก้ไอได้ดี เป็นที่รู้กันในทุกประเทศที่มีมะขามป้อม จนปัจจุบันมีสิทธิบัตรจดในประเทศสหรัฐอเมริกาของตำรับยาที่มีส่วนผสมของ มะขามป้อมอยู่ระบุสรรพคุณในการแก้หวัด แก้ไข้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากวิตามินซีหรือสาร ในกลุ่มแทนนิน
อาการเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ ปากคอแห้ง ให้ใช้ผลสด ๑๕-๓๐ ผล คั้นเอาน้ำ มาจากผล หรือต้มทั้งผลแล้วดื่ม แทนน้ำเป็นครั้งคราว
มะขามป้อมแก้ไข้จากเปลี่ยนอากาศ

ใช้มะขามป้อมสดตำคั้นน้ำดื่ม จะช่วยลดไข้ได้ ดื่มวันละ ๓-๔ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา น้ำคั้นมะขามป้อมเป็นยาเย็นช่วยลดความ ร้อน และระบายความร้อนออกจากร่างกาย โดยช่วยขับปัสสาวะและระบายท้อง
มะขามป้อมแก้ไอ เจ็บคอ เสมหะติดคอ

ตามตำรายาไทยเชื่อว่าของที่มีรสเปรี้ยวทุกชนิดช่วยละลายเสมหะ และหมอยา พื้นบ้านเชื่อว่ารสเปรี้ยวที่ละลายเสมหะและบำรุงเสียงได้ดีที่สุดคือมะขามป้อม ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าในมะขามป้อมมีสารที่ละลายน้ำได้มีฤทธิ์ละลายเสมหะ และที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีการพัฒนายาแก้ไอมะขามป้อมขึ้นทะเบียนยาเป็นยาแผนโบราณ เป็นที่นิยมของทั้งผู้ใช้ยาและแพทย์ โดยตำรับยาทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ นำมะขามป้อมแห้งมาต้มแล้วแต่งรส
มะขามป้อมที่จะนำมากินแก้ไอ เจ็บคอ ควรเลือกลูกที่แก่จัดจนผิวออกเหลือง เมื่อมีอาการเป็นหวัด ไอ ให้นำมะขามป้อมสดมาเคี้ยวอมกับเกลือทุกครั้งที่มีการไอ
ถ้าไม่ไอแต่ยังมีไข้อยู่ก็ควรอมมะขามป้อมเพื่อให้ชุ่มคอและขับเสมหะ เป็นการป้องกันการไอได้ด้วย
มะขามป้อมละลายเสมหะ แก้การกระหายน้ำ

ใช้ผลแก่จัด มีรสขม อมเปรี้ยว อมฝาด เมื่อกินแล้วจะรู้สึกชุ่มคอ ใช้สำหรับช่วยละลายเสมหะ กระตุ้นให้เกิดน้ำลาย จึงช่วยแก้การกระหายน้ำได้ดี หรือใช้ผลแห้งประมาณ ๖-๑๐ กรัม ถ้าใช้ผลสดประมาณ ๑๐ กรัม ต้มกับน้ำดื่ม หรือคั้นเอาน้ำสำหรับดื่ม
มะขามป้อมขับเสมหะ หรือช่วยระบายของเสีย

ให้ใช้ผลสด ๕-๑๕ ผล ต้มหรือคั้นน้ำมาดื่ม
มะขามป้อมบำรุงเสียง

มะขามป้อมสดสามารถช่วยบำรุงเสียงได้ เพราะเวลาอม มะขามป้อมจะทำให้ชุ่มคอ คอไม่แห้ง เสียงจะสดใส นักร้องสมัยก่อนมักจะเฉือนลูกมะขามป้อมชิ้นหนึ่งมาอมไว้จนร้องเสร็จเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงแห้ง
มะขามป้อมบำรุงผม

ผลแห้งของมะขามป้อมมีสรรพคุณ เป็นสารชะล้างอ่อนๆ คนอินเดียนิยมนำมา ใช้ทำเป็นแชมพูสระผม คนอินเดียเชื่อว่ามะขามป้อมบำรุงผม ช่วยทำให้ผมดกดำและป้องกันผมหงอกก่อนวัย ป้องกันผมร่วง ในอินเดียมีการนำมะขามป้อมมาทำเป็นน้ำมันบำรุงให้ผมดกดำ ป้องกันการหงอกก่อนวัย
นำลูกมะขามป้อมมาฝานเป็นแว่นเล็กๆ ตากให้แห้งในที่ร่ม นำมาทอดในน้ำมันมะพร้าว ทอดจนเนื้อมะขามป้อมไหม้เกรียม แล้วกรองเก็บไว้ทาผมเป็นประจำ ยาน้ำมันนี้ ถ้าได้ เนื้อลูกสมอไทยและดอกชบาแดง ใส่ลงไปทอดด้วย จะทำให้น้ำมันมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น ซึ่งตำรับนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยา- อภัยภูเบศรได้พัฒนามาเป็นน้ำมันหมักผมมะขามป้อม สมอไทย และได้ใส่ดอกอัญชันลงไปแทนดอกชบา ซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก วิธีทำก็ง่ายๆ ตามที่เขียนไว้ในสูตร
น้ำแช่ลูกมะขามป้อมแห้งสามารถบำรุงผมได้ ขั้นตอนก็คือ นำลูกมะขามป้อมแห้ง ๑ กำมือ แช่ในน้ำ ๑ ขัน แช่ไว้ตลอดคืน เมื่อเวลาสระผมเสร็จแล้ว ให้เอาน้ำแช่มะขามป้อมนี้ล้างเป็นน้ำสุดท้ายมีการศึกษาพบว่าสารในมะขามป้อมช่วยกระตุ้นการงอกของผม และมีการจดสิทธิบัตรส่วนผสมที่มีมะขามป้อมที่ใช้กับเส้นผม
มะขามป้อมบำรุงร่างกายให้แข็งแรง

มะขามป้อมมีรสเปรี้ยว ฝาด ขม เช่นเดียวกับสมอไทย จึงสามารถ แก้โรคต่างๆ ได้มากเช่นเดียวกับสมอไทย ตำรายาอินเดียยกย่องมะ ขามป้อมไว้มากว่า เป็นผลไม้บำรุงร่างกายที่ดีมาก ตำราบางเล่มถึงกับกล่าวว่า ถ้าคนอินเดียไม่มองข้ามมะขามป้อม คือเอามะขามป้อมมากินเป็นประจำวันละ ๑ ลูก ทุกวัน เขาเชื่อว่าคนอินเดียจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกว่านี้มากนัก ทั้งนี้เพราะมะขามป้อมบำรุงอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย คือ บำรุงผม สมอง ดวงตา คอ หลอดลม ปอด หัวใจ กระเพาะ ลำไส้ ตับ ไต ตับอ่อน ผิวหนัง แก้น้ำเหลืองเสีย ปรับประจำเดือนให้มาปกติ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง ช่วยลดความดันเลือดสูง ปัจจุบันมีการศึกษาพบประโยชน์มากมายของมะขามป้อมในการลดความดัน ลดน้ำตาลและลดไขมันในเลือด การกินมะขามป้อมช่วยควบคุม โรคเบาหวานทางอายุรเวท พบว่าการ ดื่มน้ำมะขามป้อมคั้นสด ๑ ช้อนโต๊ะ (๑๕ ซีซี) กับน้ำมะระขี้นกคั้นสด ๑ ถ้วย ทุกวันเป็นเวลาสองเดือนสามารถกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้ การกินยาตำรับนี้ต้องมีการควบคุม อาหารอย่างเข้มงวด และยาตำรับนี้ยังลดอาการแทรกซ้อนทางตาจากโรคเบาหวาน
มะขามป้อมรักษาลักปิดลักเปิด

มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก และเป็นวิตามินซีธรรมชาติ ที่มีสรรพคุณดีกว่าวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ทด-ลองให้คนกินยาเม็ดวิตามินซีกับกินมะขามป้อมเปรียบเทียบกันพบว่า วิตามินซีจากมะขามป้อมถูกดูดซึมเร็วกว่าวิตามินซีเม็ด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในมะขามป้อมมีสารอื่นๆ ที่ช่วยพาวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว
มะขามป้อมที่ผ่านการต้ม หรือตากแห้ง ทำให้วิตามินซีลดลง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ถ้าเก็บไว้ไม่เกิน ๑ ปี
มะขามป้อมแก้กระหายน้ำ

มะขามป้อมสดๆ เมื่อรู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำจัด ถ้าดื่มน้ำมากกะทันหันจะทำ ให้จุกเสียดไม่สบายได้ ถ้าได้อมมะขามป้อมก่อน อาการกระหายน้ำและคอแห้งอย่างแรงจะรู้สึกดีขึ้นทันที ไม่ทำให้ ดื่มน้ำมากไป เหมาะแก่การเดินทางไกล วิ่งมาราธอนเวลาอมก็ใช้ฟันกัดลูกมะขามป้อมให้พอมีน้ำซึมออก มา แล้วดูดลงคอไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด
มะขามป้อมแก้ท้องผูก

คนที่ท้องผูกประจำ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถ้าได้กินมะขามป้อมแล้วอาการท้องผูกจะหายไป เนื่องจากมะขามป้อมมีรสฝาด จะทำให้กินยากไปสักหน่อย ควรปรุงรสให้อร่อย ด้วยการนำมะขามป้อมมาผ่าแคะเม็ดออก (กินแต่เนื้อ) ประมาณ ๑๐ ลูก ใส่พริก เกลือ น้ำตาล ตำพอแหลก กินต่างผลไม้ แต่ควรกินก่อนนอนหรือตอนตื่นนอนใหม่ๆ ในขณะที่ท้องว่าง วิธีลดความฝาดของมะขามป้อม ก็คือแช่น้ำเกลือ มีขั้นตอนดังนี้ คือ ล้างมะขามป้อมให้สะอาด ลวกด้วยน้ำร้อน และนำไปแช่ในน้ำเกลือที่เค็มจัด แช่ไว้สัก ๒ วัน รสฝาดก็จะลดลง ยิ่งแช่นานรสฝาดก็ยิ่งหมดไป
มะขามป้อมแก้ไข้ทับระดู

นำมะขามป้อมแห้งจำนวนเท่ากับอายุของผู้ป่วย ลูกสมอไทยแห้งจำนวนเท่า กับอายุของผู้ป่วย ใบมะกาแห้ง ๑ กำมือ เกลือนิดหน่อย ใส่น้ำท่วมยา ต้มให้เดือดนาน ๑๕ นาที ในวันแรกที่กินให้กินเว้นระยะห่างทุก ๔-๖ ชั่วโมง ครั้งละ ๑ แก้ว วัน ต่อมาให้กินวันละ ๒ ครั้งครั้งละ ๑ แก้ว เช้า-เย็น กิน ๓ วันหาย หลังจากกินยาไปแล้ว ๑๒ ชั่วโมงอาการจะดีขึ้น คืออาการปวดหัวเมื่อยตัว ปวดท้อง ทุเลาลง
มะขามป้อมแก้คันจากเชื้อรา

ใช้รากมะขามป้อมสับเป็นชิ้นเล็กๆ พอประมาณ ต้มให้เดือดนาน ๑๕ นาที นำมาทาบริเวณที่มีเชื้อรา วันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น หลังจากทาแล้วประ-มาณ ๒-๓ ชั่วโมงอาการคันจะค่อยๆ ลดลง และจะค่อยๆ หายไปภายใน ๑ สัปดาห์
มะขามป้อม

มะขามป้อม
มะขามป้อมรักษาน้ำกัดเท้า-ฮังกล้า

น้ำกัดเท้า หรือที่ชาวอีสานเรียกกันว่า “ฮังกล้า” เกิดจากการถอน ต้นกล้าแล้วเอารากกล้าฟาดตีกับข้อเท้าให้ดินโคลนหลุดออกจากรากกล้า ต่อมาเท้าเกิดโรคตุ่มคันขึ้น จะมีอาการคันมาก ยิ่งเกาก็ยิ่งแตกทั่วรอบข้อเท้า ภาคอีสานเป็นกันมาก บางคนก็เรียกว่า “เกลียดน้ำ” ให้ใช้เปลือก ต้นมะขามป้อมตำให้ละเอียด ผสมน้ำพอเปียกชะโลมให้ทั่ว รักษาได้

ถ้าเกามากจนหนังถลอก น้ำเหลืองไหล ปวดแสบปวดร้อน คือโรคเป็นหนักแล้ว ให้เอาลูกมะขามป้อมแก่ๆ สดๆ มาใส่ในโพรงเหล็กผาลไถนา ใส่น้ำให้เต็มโพรงเหล็กผาลนั้น ตั้งไฟจนมะข้ามป้อมเละ และมีสีดำเหนียว เมื่อเอามาทาแล้วยาจะแห้งเข้าจนดำหมดทั้งหลังเท้าที่แตกเป็นน้ำเหลืองไหล แผลนั้นจะค่อยๆ หายไปจนเป็นปกติ นอกจากนี้แล้วก่อนลงนาหรือหลังจากขึ้นมาจากนา ชาวนาสมัยก่อนนิยมนำเปลือกต้นมะขามป้อมมาแช่เท้าเพื่อฆ่าเชื้อโรคและความฝาดของเปลือกมะขามป้อมยังช่วยตะกอนโปรตีนทำให้ผิวหนังของเท้าและข้อเท้าหนาขึ้น ทนทานต่อการเกิดน้ำกัดเท้ามากยิ่งขึ้น
มะขามป้อมรักษาบิด

ถ่ายเป็นบิด ใช้เปลือกต้นมะขามป้อม ต้มใส่ข้าวเปลือกเจ้าดื่มต่างน้ำ ตำราอินเดียบอกว่า ลูกมะขามป้อมใช้แก้ท้องเสียและบิดได้ดี ด้วย การนำมะขามป้อมสด ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๓-๔ แก้ว ต้มให้เดือดนาน ๑๐-๒๐ นาที ดื่มครั้งละ ๑ แก้ว ทุกครั้งที่ถ่าย หรือดื่มทุก ๒-๔ ชั่วโมง ใบมะขามป้อมมีสรรพคุณแก้บิดและท้องเสียได้เช่นกัน นำใบตำให้ละเอียด ดื่มครั้งละ ๑ ช้อนชา ทุก ๒-๔ ชั่วโมง ถ้าจะให้ดื่มง่ายควรผสมน้ำผึ้งเพื่อให้มีรสชาติกลมกล่อม
มะขามป้อมรักษาธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย

นำลูกมะขามป้อมแห้ง ๓-๕ ลูก แช่ในน้ำ ๑ แก้ว ตลอดคืน ตื่นเช้าดื่มทั้งน้ำและกินเนื้อทุกวันจนกว่าอาการจะหาย มะขามป้อมยังแก้กระเพาะอาหารอักเสบและโรคกระเพาะอาหาร มีกรดมากเกินไปได้ด้วย ถ้าจะใช้แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ให้กินผงลูกมะขามป้อมวันละ ๔ ครั้ง ครั้งละ ๑-๒ ช้อนชา ก่อนอาหารและก่อนนอน
หลอดลมอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบ ใช้รากแห้ง ๑๕-๓๐ กรัมต้มกับน้ำ ดื่มแทนน้ำอย่างน้อยวันละ ๓-๔ ครั้ง
มะขามป้อมแก้น้ำเหลืองเสีย

คนที่มีน้ำเหลืองเสีย คือคน ที่เป็นแผลแล้วหายช้า แผลมีน้ำเหลืองไหลมาก หรือผิวหนังถูกอะไร นิดหน่อยก็คันแล้ว หรืออยู่ดีๆ คันทั่วตัว
ในคนที่มีน้ำเหลืองเสียควรกิน มะข้ามป้อม ๑ ลูก หลังอาหารเป็นประจำทุกวัน
มะขามป้อมแก้ผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นคัน

ใช้ใบสด ปริมาณพอเหมาะ ต้มกับน้ำปริมาณหนึ่งเท่าตัว ใช้อาบหรือ ชะล้างส่วนที่เป็น ให้ทำบ่อยๆ อย่างต่อเนื่องก็จะช่วยให้ผิวหนังดีขึ้น
มะขามป้อมขับพยาธิ

ใช้น้ำคั้นลูกมะขามป้อม ๑ ช้อนชา ผสมกับน้ำกะทิมะพร้าว ๑ ถ้วย ดื่มวันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น ติดต่อกัน ๑ สัปดาห์ ขับพยาธิตัวตืด และพยาธิปากขอ
มะขามป้อมรักษาหิด ผื่นคัน

นำเมล็ดในลูกมะขามป้อม มาเผาจนเป็นถ่าน บดให้ละเอียด ผสมด้วยน้ำมันพืช พอให้ยาเหลว ข้น ทาวันละ ๒-๓ ครั้ง น้ำมันนี้ใช้ทาดับพิษน้ำร้อนลวก และใช้รักษาแผลได้ด้วย
มะขามป้อมแก้ปวดฟัน

แก้ปวดฟัน ใช้ปมกิ่งก้านต้มกับน้ำ ใช้อมและบ้วนปาก บ่อยๆ จะบรรเทาอาการปวดฟัน
มะขามป้อมแปรรูป

ปัจจุบันในต่างประเทศมีผลิตภัณฑ์มะขามป้อมมากมายจำหน่ายในรูปของชา อาหารสุขภาพ เครื่องสำอาง ซึ่งเป็นตำรับบำรุงสุขภาพ ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และต่อสู้กับการหลุดร่วงของเส้นผม ลบรอยจุดด่างดำ ซึ่งในประเทศไทยโรง-พยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้ริเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมะขามป้อม โดยพัฒนาเป็นยาแก้ไอ น้ำมันหมักผมมะขามป้อมสมอไทยเพื่อบำรุงผม น้ำมะขามป้อมเพื่อบำรุงสุขภาพและอยู่ระหว่างการทำเป็นครีมลบรอยด่างดำบนใบหน้า ซึ่งตำรับต่างๆ สามารถทำได้ง่ายๆ
สูตรน้ำหมักผลไม้เพื่อสุขภาพ (ป้าเช็ง)

น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
ผลไม้ 3 กิโลกรัม
น้ำบริสุทธิ์ไม่มีคลอรีน 5 ลิตร
สูตร 1: 3: 5 (น้ำตาลทรายแดง : ผลไม้ : น้ำบริสุทธิ์)
(ผลไม้ ได้แก่ มะขามป้อม ลูกยอ บอระเพ็ด สมอ ลิ้นจี่ ลำใย) หรือผลไม้อื่นๆ ที่มีตามฤดูกาล
วิธีหมัก

ทำความสะอาดผลไม้ ถัง ฝาถังให้สะอาด
ใส่น้ำ และน้ำตาลทรายแดงตามส่วนข้างต้น ละลายเข้าด้วยกัน ใส่ผลไม้ตามส่วน ปิดฝาถังหลวม ๆ
ทุกเย็นหมั่นกดผลไม้ให้จมเพื่อป้องกันส่วนบนเน่า และทำความสะอาดฝาภายในถังและขอบภายในถังให้สะอาด
เมื่อเกิดฝ้าขาวนิ่งแล้วจึงปิดฝาสนิท ทิ้งไว้ ซึ่งส่วนนี้จะกลายเป็นวุ้นในโอกาสต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดตามที่ช่อง SuperChengTV ทีวีลดโลกร้อน ตามทีวีเคเบิลและดาวเทียมทั่วไปครับ

.เราจะเห็นได้ว่าสรรพคุณหรือคุณประโยชน์ของมะขามป้อมนั้นมีมากมายเหลือเกิน ดังนั้นสมุนไพรไทยก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนไทยในการรักษาโรคต่างๆนะครับ ทั้งปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างเหมือนยาทั่วๆไป เพราะทุกอย่างมาจากธรรมชาตินั่นเอง
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2014, 16:00:48 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 23

สีผสมอาหารในกุ้งแห้ง

หน้าร้อนแบบนี้ หลายๆ ครอบครัวคงพากันไปพักผ่อนที่ริมทะเล ทานอาหารทะเล ขากลับคงจะลืมไม่ได้ที่จะซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับมาด้วย เช่น ปลาหมึกตากแห้ง กุ้งแห้ง ปลาแห้ง

กุ้งแห้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำกุ้งไปต้มในน้ำเกลือให้สุก แล้วนำไปตากแห้ง จะได้กุ้งแห้งที่มีสีออกส้มๆ น่าทาน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ส้มตำ ยำ น้ำปลาหวาน แกงจืด หรือนำมาทานเล่นก็ได้ ก็อร่อยไปอีกแบบ

คุณแม่บ้านพอเห็นกุ้งแห้งสีแดง ตัวอวบๆ ดูน่าทาน คงจะรีบซื้อกลับไปไว้ที่บ้านทันที แต่หารู้ไม่ว่าสีแดงๆ ดูน่าทานนั้น อาจเป็นกุ้งแห้งใส่สี นิยมใส่สีผสมอาหารสังเคราะห์ที่ให้สีแดง ที่มีชื่อว่า "ปองโซ 4 อาร์ หรือคาร์โมอีซีน" หากบริโภคในปริมาณที่มาก หรือบ่อยครั้งจะเกิดอันตรายต่อผู้บริโภค

เพราะในสีผสมอาหารมีส่วนผสมของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว สารหนู โครเมียม สังกะสี แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย หากได้รับเข้าสู่ร่างกายบ่อยๆ มันจะสะสมอยู่ในร่างกายทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เช่น จะเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และขัดขวางการดูดซึมอาหาร ทำให้ท้องเดิน อ่อนเพลีย อาจมีอาการของตับและไตอักเสบ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง

ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 281 (พ.ศ.2547) เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร กำหนดว่า เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงแต่ง รมควัน หรือทำให้แห้ง เช่น ปลาแห้ง กุ้งแห้ง หอยแห้ง ฯลฯ ห้ามใส่สีทุกชนิด

ด้านสถาบันอาหารได้สุ่มเก็บตัวอย่างกุ้งแห้ง จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ย่านการค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อนำมาวิเคราะห์หาปริมาณสีผสมอาหารสังเคราะห์ที่ให้สีแดงผลปรากฏว่าพบ 1 ตัวอย่าง ที่ใส่สีผสมอาหารสังเคราะห์ ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลย

ทางที่ดีควรเลือกซื้อกุ้งแห้งที่มีสีตามธรรมชาติ ไม่มีสีฉูดฉาดจนเกินไป เพื่อความปลอดภัย

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/33965
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2014, 21:22:37 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 24

เคล็ดลับดูแลส้นเท้าแตก

- เท้าแตกเกิดจากการใส่รองเท้าเปิดส้นนานๆ ด้วย เช่น รองเท้าแตะคีบ รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าสาน ดังนั้นหันมาใส่รองเท้าหุ้มส้นโดยเลือกรองเท้าที่บุพื้นภายในที่นุ่มสวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าลำลองใส่ในบ้านบ้างค่ะ
- แช่เท้าในน้ำสบู่ 10-15 ให้ผิวที่แห้ง แตก หยาบกร้านนิ่มลง แล้วใช้หินขัดถูส้นเท้าสัปดาห์ละครั้ง
- หลังอาบน้ำใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนผิวชุ่มชื้น
- รักษาส้นเท้าแตก ด้วยสูตรธรรมชาติมากมายหลายสูตร เช่น
1. ทาด้วยน้ำมะนาวผสมดินสอพองหรือยางมะละกอหรือถูด้วยสารส้มกับน้ำชุบสำลี หรือทายางต้นรักหรือถูด้วยเปลือกกล้วยหอมก็ได้
2. แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า หรือบดสตรอเบอร์รี่เติมน้ำมันมะกอกกับเกลือนวดส้นเท้า หรือผ่าส้มเป็นแว่น 2 ผล น้ำมันพืช 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย นำน้ำมันพืชผสมกับเกลือจุ่มส้มลงไปแล้วนำมาขัดส้นเท้า
3. ต้มนมเติมน้ำมะนาวกับกลีเซอรีนพอเย็นใช้ทาส้นเท้าก่อนนอนใส่ถุงเท้าฝ้ายทับเพื่อลดอาการแตกจะบดกล้วยหอมสุกหรือหัวหอมใหญ่ให้ละเอียดก็ได้แล้วทาส้นเท้าแตกใช้ผ้าพันทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออกค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 13 มกราคม 2014, 22:50:24 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 25

สมุนไพรรักษาประสาทอ่อนเพลีย

เครื่องเทศที่มีกันอยู่ทุกครัวเรือน “พริกไทย” พริกไทยเม็ดเล็ก ๆ นี่แหละค่ะที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์มากมาย ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต เส้นใย โปรตีน (11.3%) แป้ง (50%) แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอาซิน วิตามินซี และมีน้ำมันหอมระเหยที่มีสีเหลืองราว 1-2% เช่น โมโนเทอร์ปีน (monoterperne) และเซสควเทอร์ปีน (sesquiterpene) ไฟนีน (pinene) โอลีโอเรซิน (Oleoresin) 12-14% ประกอบด้วยสารที่ทำให้มีกลิ่นฉุนเย็นเป็นอัลคาลอยด์ คือ ไพเพอรีน (piperine) สารที่ให้รสเผ็ด คือ คาวิซีน (chavicine)ประมาณ 1% และสารพวกฟีนอลิกส์ (Phenolics)
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับพริกไทยกันสักหน่อย (ถึงจะกินทุกวันแต่ก็ยังไม่ค่อยรู้จัก) พริกไทยมีรสชาติเผ็ดร้อน กลิ่นหอมฉุน เป็นตัวชูรส ช่วยเจริญอาหาร จึงจัดเป็นเครื่องเทศยอดนิยมของชนเกือบทุกชาติ เพราะเต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย จนได้ชื่อว่าเป็น ”ราชาแห่งเครื่องเทศ” (King of Spices) ที่ผู้คนใช้กันมานับพัน ๆ ปี เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย เพราะมีแหล่งกำเนิดอยู่แถวชายฝั่งมะละบาร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ผลิตและส่งออกพริกไทยรายใหญ่ของโลก

พริกไทยมี 3 ชนิด คือ พริกไทยดำ (Black Pepper) พริกไทยขาวหรือเรียกว่า พริกไทยล่อน (White Pepper) และพริกไทยอ่อนหรือพริกไทยสด (Green Pepper) ทั้ง 3 ชนิดนี้ก็มาจากต้นเดียวกันค่ะ พริกไทยดำมาจากผลพริกไทยที่โตเต็มที่มีสีเขียวเข้มจัด นำมาตากแดดให้แห้งจนเป็นสีดำ ส่วนพริกไทยขาวนั้น มาจากผลสุกที่แก่จัดจนเป็นสีแดงมาแช่น้ำ นำมาลอกเปลือกออก แล้วตากแดดให้แห้ง ก็จะได้ผลสีขาว ส่วนพริกไทยอ่อนก็คือผลของพริกไทยที่ยังโตไม่เต็มที่นั่นเอง

คราวนี้มาดูกันว่าความมหัศจรรย์ทางยาของราชาเครื่องเทศ มีมากน้อยแค่ไหนในตำรายาไทย กล่าวว่า

รากพริกไทย มีรสร้อน แก้ปวดท้อง แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร

เถาพริกไทย รสร้อน แก้ท้องร่วงอย่างรุนแรง แก้เสมหะในทรวงอก

ใบพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ลม แก้จุกเสียด แน่น ปวดมวนท้อง

ดอกพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ตาแดง

เมล็ดพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ลม อัมพฤกษ์ บำรุงสายตา แก้ท้องอืดท้องเฟ้อแก้เสมหะ แก้ตกขาว

ส่วนทางแพทย์แผนปัจจุบันพบว่า พริกไทยกระตุ้นการไหลของน้ำลายและน้ำย่อย ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาหารถูกย่อยง่าย
ส่วนทางแพทย์แผนปัจจุบันพบว่า พริกไทยกระตุ้นการไหลของน้ำลายและน้ำย่อย ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาหารถูกย่อยง่าย
เมื่อนำพริกไทยมากลั่นด้วยไอน้ำจะได้น้ำมันหอมระเหย เรียกว่า ’น้ำมันพริกไทย’ โดยพริกไทยดำจะมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยสูงกว่าและมีกลิ่นฉุนกว่าพริกไทยขาว ในทางเภสัชกรรม พบว่าพริกไทยมีน้ำมันหอมระเหยประมาณ 1-3% โอลีโอเรซิน (Oleoresin) 12-14% ซึ่งประกอบด้วยสารสำคัญที่ทำให้มีกลิ่นฉุนและรสร้อนคือ ไพเพอรีน (PiPerine) ซึ่งมีการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า พริกไทยช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยจับสารก่อมะเร็งในอาหาร และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด และอาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ที่คนโบราณใช้พริกไทยผง เป็นสารถนอมอาหารไม่ให้บูดเน่า
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ไพเพอรีนสามารถใช้แก้ลมบ้าหมู (Antiepileptic)ได้ และเมื่อเตรียมอนุพันธ์ของไพเพอรีน คือ Antiepilepsinine พบว่า สามารถแก้อาการชักได้ผลดีกว่า และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ารวมทั้งน้ำมันหอมระเหยในพริกไทยนี้ยังช่วยแก้หวัดได้ โดยได้ถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของน้ำมันที่ใช้สูดดมอีกด้วย และการดมน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากพริกไทยนี้ ยังสามารถลดความอยากสูบบุหรี่ และอาการหงุดหงิดได้เป็นอย่างดี

ที่มา http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=877&sub_id=11&ref_main_id=3
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 15 มกราคม 2014, 15:46:34 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 26


ทาน"เกาลัด" จะบำรุงกระเพาะอาหารของเรา และนอกจากเกาลัดบำรุงกระเพาะแล้ว เกาลัดยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่มีสรรคุณมากมาย ชาวจีนจะเรียกเกาลัดว่า "เลียกก้วย" ชาวจีนนิยมปลูกเกาลัดและทานเกาลัด เพราะชาวจีนเชื่อว่าเกาลัดเป็น "ราชาแห่งเมล็ดพันธุ์พืช"

สรรพคุณเกาลัด
1.บำรุงกระเพาะอาหาร ม้าม และไต
2.ช่วยลดอาการไอ คออักเสบ ละลายเสมหะ
3.แก้ท้องเดิน อาเจียน คลื่นไส้
4.บำรุงเลือดลม
5.บำรุงกล้ามเนื้อ แก้ร่างกายอ่อนแอ

วิธีการนำไปใช้
1.การนำเกาลัดมาต้มกับน้ำตาล ต้มจนเปื่อยและเอามายีให้ละเอียดแล้วนำไปกดกับแม่พิมพ์ เอาไว้ทานเล่นเหมาะสำหรับบำรุงร่างกายที่อ่อนแอ
2.เช้าๆ ทานโจ๊กตับหมูกับเกาลัดแห้งประมาณ 7 เม็ดต่อวัน จะช่วยลดอาการคออักเสบได้
3.นำเกาลัดมาต้มจืดกับพุทราจีนและเนื้อหมู ทานแล้วจะช่วยลดอาการไอ

การทานเกาลัดเป็นประจำจะช่วยบำรุง ไม่ว่าจะทานเล่น หรือทำเป็นกับข้าวก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2014, 16:51:21 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 27

ฟักทอง.....คุณประโยชน์มากจริงๆ

ฟักทอง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Decne.
วงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อท้องถิ่น น้ำเต้า (ภาคใต้) มะพร้าว มะพักแก้ว (ภาคเหนือ) มะน้ำแก้ว (เลย) หมักอื้อ (เลย - ปราจีนบุรี) หมากอึ (ภาคอีสาน ) หมากฟักเหลือง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) เหลืองเคล่า หมักคี้ล่า

ลักษณะทั่วไป

เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีลำต้นเป็น เถาเลื้อยไปตามพื้นดินและต้องการหลักยึด ตามลำเถาจะมีมือเอาไว้เกาะ เถามีขนาดยาว ใหญ่ และมีขนสากๆ ปกคลุมอยู่ มีสีเขียว ใบของฝักทองเป็นแผ่นใหญ่สีเขียว แยกออกเป็น 5 หยักและมีขนสากมือ ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งใบ ออกดอกเดี่ยวตามง่ามใบ และที่ส่วนยอดของเถา ลักษณะของดอกเป็นรูปกระดิ่งสีเหลือง ในดอกตัวเมียเมื่อบานเต็มที่แล้ว จะมองเห็นผลเล็กๆ ติดอยู่ใต้ดอก ผลมีขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นพูกลมจะมี ทั้งทรงแบน และทรงสูง เปลือกของผลจะแข็ง มีทั้งสีเขียวหรือสีน้ำตาลแดงแล้วแต่ชนิด เนื้อในผลสีเหลืองรับประทานได้ เมื่อทานเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย

การขยายพันธุ์ เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง เจริญงอกงามดีในดินที่ร่วนซุย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด เคล็ดลับที่จะทำให้ฟักทองออกผลดก ต้องหมั่นเด็ดยอดไปทำอาหารบ่อย ๆ

คุณค่าทางอาหารและยา

ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่ใช้เป็นยา เมล็ด ราก ขั้ว น้ำมันจากเมล็ด เยื่อกลางผล ยาง

เมล็ด รสมัน ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย แก้พิษปวดบวม
ราก รสเย็น ต้มน้ำดื่ม บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น ดับพิษสัตว์กัดต่อย
ขั้ว รสเย็น ฝนกับมะนาวผสมใยฝ้ายเผาไฟ รับประทานแก้พิษกิ้งกือกัด
น้ำมันจากเมล็ด รสหวานมัน รับประทานบำรุงประสาท
เยื่อผลกลาง รสหวานเย็น พอก แก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ
ยาง แก้พิษผื่นคัน เริมและงูสวัด
ฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุฟอสฟอรัส ซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์ ให้ความสนใจสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ที่มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้
กินทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป
เมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง สามารถป้องกันการเกิดนิ่ว และใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืดได้ทันที่ นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย นอกจากนี้ยังมีโปรตีน และวิตามิน บี และ ซี อีกด้วย
ข้อควรระวัง คนที่กระเพราะร้อน (คือมีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาจพบแผลในช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น) ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาร้อน แม้คนปรกติเอง ถ้ากินครั้งเดียวมาก ๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้

ประโยชน์ด้านอาหาร

มีกากใยมากพอสมควร
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก
ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำ
ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล
เนื้อในของผลฝักทองจะมีสาร carotenes อยู่ ซึ่งสารนี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ไม่ว่า จะอยู่ในรูปของคาวหรือของหวาน เป็นอาหาร เสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี และบำรุงสายตาดีอีกด้วย
เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร เนื่องจากขาดธาตุฟอสฟอรัสและที่สำคัญเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย มีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวด

ที่มาข้อมูล http://ittm.dtam.moph.go.th/ , www.thaihealth.or.th ,www.samunpai.com
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 20 มกราคม 2014, 11:35:29 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 28

กระบือเจ็ดตัว (กลุ่มยาขับประจำเดือน)

กระบือเจ็ดตัว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Excoecaria cochinchinensis Lour. var.cochinchinensis

วงศ์ : EUPHORBIACEAE

ชื่ออื่น : กำลังกระบือ, ลิ้นกระบือ (ภาคกลาง) ใบท้องแดง (จันทบุรี)

ส่วนที่ใช้ : ใบ ยางจากต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 1.5 ม. มียางขาว ใบเดี่ยว มีทั้งเรียงตรงข้ามและเรียงสลับ รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่กลับ กว้าง 1.5-4 ซม. ยาว 4-12 ซม. ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจักฟันเลื่อย แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีม่วงแดงหรือม่วงน้ำตาล เส้นแขนงใบข้างละ 7-12 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1.5 ซม. ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้น ออกตามง่ามใบ ข้างใบ หรือปลายยอด ยาว 1-2 ซม. ช่อดอกเพศผู้มีดอกเล็กๆ จำนวนมาก โคนก้านดอกมีใบประดับเล็กๆ ก้านดอกสั้น กลีบเลี้ยง 3 กลีบ เล็กมาก เกสรเพศผู้เล็กมาก มี 3 อัน ช่อดอกเพศเมียสั้นกว่าช่อดอกเพศผู้และมีดอกเล็กๆ 3-6 ดอก ก้านดอกยาว 2-5 มม. โคนก้านดอกมีใบประดับเล็กๆ และมีต่อมเล็กๆ สีเหลือง กลีบเลี้ยงเล็ก มี 3 กลีบ รูปไข่ รังไข่เล็ก สีเขียวอมชมพู มี 3 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียมี 3 อัน ผลเล็ก ค่อนข้างกลม มี 3 พู

สรรพคุณ :
ใบ - ขับน้ำคาวปลาหลังคลอด เป็นยาขับเลือดเน่าสำหรับสตรีในเรือนไฟ
ยางจากต้น - เป็นพิษ ใช้เบื่อปลา

วิธีใช้ : นำใบมาตำกับสุรา คั้นเอาน้ำรับประทาน
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 21 มกราคม 2014, 19:45:26 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 29

สรรพคุณของหน่อไม้

1.ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยย่อยอาหาร เป็นสรรพคุณที่เห็นผลมาก เพราะหน่อไม้เป็นอาหารที่ให้เส้นใยสูงจึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เมื่อหน่อไม้ผ่านการย่อยร่างกายจะดูดซึมสารอหารเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนกากอาหารที่เหลือหรือสารพิษต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือโลหะหนักจะไปรวมกันที่ลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีกากใยอาหารมากๆ กากใยอาหารเหล่านี้จะช่วยดูดน้ำและเพิ่มปริมาณ ทำให้กากอาหารมีน้ำหนักมากจะเคลื่อนออกสู่โลกภายนอกได้เร็ว กากใยอาหารจึงช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
2.แก้กระหาย ขับปัสสาวะ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกำลังแก้อาการร้อนต่างๆ ได้ดี เพราะมีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับเห็ด
3.ขับพิษใต้ผิวหนัง ขับผื่นหัดรวมถึงผื่นชนิดอื่นๆ เพียงดื่มน้ำแกงที่ได้จากการต้มหน่อไม้ร่วมกับปลาตะเพียน
4.แก้โรคบิดเรื้อรังได้

นอกจากหน่อไม้สดจะมีคุณค่าทางอาหารสูงแล้ว ตัวหน่อไม้ดองเองแม้จะไม่มีคุณค่าทางอาหาร แต่ยังมีคุณค่าแฝงอยู่อีกคือ จะมีแบคทีเรียในหน่อไม้ดองที่ชื่อ คลอสทริเดีย เป็นแบคทีเรียที่ปนอยู่ในดิน เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะไร้ออกซิเจน เช่น ในอาหารจำพวกของหมักดองทั้งหลายและรวมทั้งอาหารกระป๋องที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำลายแบคทีเรียอย่างถูกวิธี แบคทีเรียชนิดนี้มีพิษแต่มันก็มีประโยชน์ ซึ่งสำนักงานอาหารและยา หรือ FDA ของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้นำแบคทีเรียนี้ไปผ่านกระบวนการแยกเอาสารพิษออกแล้วทำให้เจือจาง เพื่อนำไปใช้ในการบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ โดยตั้งชื่อใหม่ว่า โบท็อก (Botox) (ซึ่งโบท็อกก็คือสารหน้าเด้งที่พวกดาราทั้งหลายไปฉีดเพื่อลดรอยเหี่ยวและย่นนั้นล่ะค่า)

ข้อควรระวังในการรับประทานหน่อไม้
หน่อไม้มีคุณค่าทางอาหารสูงในตัวของมันเอง ส่วนหน่อไม้ดองก็มีคุณค่าแฝง แต่สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคบางชนิดแล้ว แพทย์เองก็ไม่แนะนำให้ทานเหมือนกัน ผู้ป่วยเป็นโรคเกาต์ ไม่ควรรับประทาน เพราะในหน่อไม้มีสารพิวรินสูง ซึ่งสารตัวนี้อาจจะทำให้กรดยูริกที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเกาต์สูงขึ้น ซึ่งกรดยูริกเป็นสารที่เกิดจากการเผาผลาญของพิวรีน มีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ และพืชผักอ่อนโดยเฉพาะหน่อไม้ ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม โดยปกติกรดยูริกจะถูกขับออกทางปัสสาวะของคนเรา หากร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไปหรือไตขับยูริกได้น้อยลง เนื่องจากไตเสื่อมลง กรดยูริกก็จะตกผลึกตามข้อ ผนังหลอดเลือด ไต และอวัยวะต่างๆทำให้เกิดอาการปวดข้อและโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ เช่น ข้อพิการ นิ่วในไต กระดูกพรุน เป็นต้น

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับหน่อไม้
คนไทยเรามักจะคิดว่าหน่อไม้มีแต่โทษเป็นของแสลง ถ้าไม่กินจะดีกว่า กินหน่อไม้แล้วปวดข้อ จริงๆ แล้วตัวหน่อไม้เองนั้นไม่ได้ทำให้ข้อเสื่อมหรือปวดข้อ แต่จะมีผลกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์เท่านั้น ดังนั้นคนที่มีอาการปวดข้อจากสาเหตุอื่นๆ จึงกินหน่อไม้ได้ปกติ คนเป็นเบาหวานห้ามกิน การกินหน่อไม้นั้นไม่ได้มีผลกับระดับน้ำตาลในกระแสเลือด เพราะฉะนั้นแม้เป็นเบาหวานก็รับประทานได้ ผู้ป่วยเป็นโรคตับห้ามรับประมาน ซึ่งโรคตับในที่นี้มีได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากไวรัสบีและอาการตับแข็ง แต่แพทย์ยืนยันว่าการรับประทานหน่อไม้ไม่มีผลต่อโรคดังกล่าว เมื่อมีอาการตกขาวหรือระดูขาวให้งดกินหน่อไม้ จริงแล้วหน่อไม้หน่อไม้สดไม่มีผลกับอาการ แต่หากผู้ที่มีอาการตกขาวก็ยังสามารถรับประทานหน่อไม้สดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรจะกินอย่างพอดี ของทุกอย่างมี 2 ด้าน หน่อไม้ก็เหมือนกัน
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2014, 21:59:58 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 30

มะขามแขก

มะขามแขก
สมุนไพรแก้ท้องผูก

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
มะขามแขกมี 2 พันธุ์ คือ ชนิดปลายใบแหลม และชนิดปลายใบมน ประเทศไทยได้ทดลองนำมาปลูกทั้งสองพันธุ์แต่ที่ให้ผลดีคือ ชนิดปลายใบมน(C. angus¬tifolia Vahl) มะขามแขกเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1 เมตร ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 5 – 8 คู่ ใบย่อย ขอบใบเรียบ ฐานใบเฉียงเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบและปลายกิ่ง สีเหลือง ผลเป็นฝักแบนคล้ายฝักถั่วลันเตา ผิวเรียบ เมื่อแก่จัดมีสีนํ้าตาลดำ

การปลูก
ปลูกด้วยเมล็ด มะขามแขกเป็นพืชทนแล้ง เจริญได้ดี
ในดินทุกชนิด เป็นพืชที่มีอายุเพียง 1 – 3 ปี
วิธีปลูก ใช้หยอดเมล็ดลงในหลุม หรือเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้าก่อนแล้วจึงย้ายไปปลูกในหลุมก็ได้ ในระยะแรกควรสนใจเรื่องความชุ่มชื้นให้สมํ่าเสมอ ประมาณ 3-5 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก จากนั้นลดปริมาณนํ้าลง มะขามแขกไม่ชอบนํ้าท่วมหรือฝนมากไป ควรปลูกตอนปลายฤดูฝน
ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบแห้ง และฝักแห้ง
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา
เริ่มเก็บใบได้ในช่วงอายุ 2-3 เดือน หรือก่อนออกดอก การเก็บครั้งต่อไปควรเก็บห่างจากครั้งแรกประมาณ 1 เดือน เก็บใบครั้งสุดท้ายพร้อมเก็บฝักที่โตเต็มที่ แต่เมล็ดยังไม่แข็ง แล้วนำใบและฝักมาตากให้แห้งทันที

สารสำคัญ
ในใบและฝักมะขามแขก มีสารจำพวกแอนทราควิโนน
หลายชนิด ที่สำคัญคือ เซนโนไซด์เอ และบี (Senno- sides A and B), อีโมดิน (emodin) และเรอิน (rhein) เป็นต้น แอนทราควิโนนดังกล่าวจะออกฤทธิ์กระตุ้นให้มีการบีบตัวของลำไล้ใหญ่ทำให้เกิด การอยากถ่าย

ประโยชน์ในการรักษา
ฝักและใบมะขามแขกใช้เป็นยาระบาย รักษาอาการท้องผูกที่ได้ผลดี
วิธีใช้ ใช้ใบแห้ง 1-2 หยิบมือ (หนัก 3-10 กรัม) หรือใช้ฝัก
4- 5 ฝัก หักเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว นานประมาณ 5 นาที เติมเกลือน้อยเพื่อกลบรสเฝื่อน รับประทานครั้งเดียว อาจใส่ขิงแก่ 1-2 แว่น กระวาน หรืออบเชย ลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยแต่งรสและช่วยบรรเทาอาการไซ้ท้อง การใช้ฝักมะขามแขกจะดีกว่าใบ เพราะจะมีอาการไซ้ท้องและปวดมวนน้อยกว่า การเก็บมะขามแขกไว้นานๆ หรือการใช้ความร้อนมากเกินไปในการต้มจะทำให้สารสำคัญถูกทำลายไปบ้าง มะขามแขกเหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการท้องผูกประจำ แต่ควรใช้เป็นครั้งคราว
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์จากใบและฝักมะขามแขกจำหน่ายทั้งในรูปยาชงมะขามแขก และยาเม็ด มีทั้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม และที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ข้อควรระวัง การรับประทานมะขามแขกติดต่อกันนาน อาจทำให้ขาดธาตุโปแตสเซียมได้ จึงควรรับประทานโปแตสเซียมร่วมไปด้วย นอกจากนั้นการใช้มะขามแขกนานๆ ติดต่อกันอาจทำให้ระบบประสาทที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ถูกทำลายได้ หากไม่ใช้จะไม่ถ่าย ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ

ที่มา : http://www.thaikasetsart.com/มะขามแขก/
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 28 มกราคม 2014, 08:56:23 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 31

ตะไคร้

ตะไคร้ เป็น สมุนไพรไทยมีคุณสรรพเป็นทั้งยารักษา เครื่องปรุงอาหาร และสมุนไพรสำหรับใช้ไล่ยุงตะไคร้ตะไคร้เป็นพืชผักสวนครัวและนับว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลาบด้านมาก มีการนำตะไคร้ไปเป็นเครื่องปรุงเมนูอาหารเพื่อสุขภาพใช้ในเมนูลดความอ้วนและแก้โรคต่างๆอาทิเช่น โรคหอบหืด อหิวาตกโรค แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ และช่วยให้เจริญอาหารมีประโยชน์ครบคันแล้วแต่ว่าเราจะใช้ทำเมนูไหนแต่ถ้าใครมีปัญหาเกี่ยวกับระบบท้องไส้ละก็ลองนำตะไคร้ไปต้มแล้วเติมน้ำผึ้งผสมเล็กน้อยแล้วนำมาดื่มก็สามารถช่วยได้ แต่ส่วนใหญ่ในบ้านเรานั้นนิยมนำตะไคร้มาปรุงเป็นอาหารซะมากกว่าตั้งแต่ ต้มยำ แกงต่างๆเมนูยำทั้งหลายต่างเกี่ยวกับการใช้ตะไคร้ทั้งนั้น
ตะไคร้ เป็นพืชในเขตร้อนขอบทวีปเอเชีย แต่ส่วนใหญ่จะมีที่ประเทศไทยเสียเยอะมากกว่าเพราะอยู่ในเมืองไทยนั้นมีปลูกไว้ทุกบ้าน

ลักษณะของตะไคร้นั้น เป็นพืชล้มลุกจะขึ้นเป็นพุ่มใหญ่ๆสูงประมาณ 1 เมตรมีลำต้นเป็นทรงกระบอบใบเป็นยาวประมาณ1.5เมตรใบยาวปลายแหลมเวลาไปเก็บมาทำอาหารนั้นใบของตะไคร้นั้นเวลาเราโดนมันจะคันเพราะมันมีขนทำให้เราละคลายผิวได้

แต่สำหรับดิฉันแล้วนิยมนำมาเป็นเครื่องปรุงที่ใช้อบเป็นสมุนไพรเพราะตะไคร้นั้นเวลาที่เรานำมาต้มแล้วมันจะมีกลิ่นหอมละเหยออกมาช่วยทำให้เราหายใจสะดวกแล้วขับของเสียออกมาทางเหงื่อสำหรับคนที่เป็นโรคหอบหืดนั้นถ้าคุณมีเวลาอบสมุนไพรตะไคร้ละก็ลองทำวิธีนี้ดูนะค่ะมันสามารถช่วยให้คุณหายใจได้ดีขึ้น
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 29 มกราคม 2014, 22:00:06 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 32

“Moss Ball”

วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับ Marimo หรืออีกชื่อคือ “Moss Ball” หลายคนอาจคิดว่ามีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น แต่จริงๆแล้ว marimo ยังมีในประเทศอื่นด้วย เช่น ไอส์แลนด์,สกอตแลนด์ เป็นต้น ถึงชื่อจะเป็นมอส แต่ marimo กลับเป็นพืชน้ำจืดจำพวกสาหร่ายสีเขียวที่เกิดจากการเกาะตัวรวมกันเป็นก้อนกลมๆ จากการไหลเวียนของกระแสน้ำในทะเลสาบตามธรรมชาติ และด้วยความน่ารักจึงมีคนนำมันขึ้นมาจากทะเลสาบในญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากจนรัฐบาลญี่ปุ่นสั่งห้ามนำขึ้นมาอีกแล้ว (เพราะฉนั้น marimo ในปัจจุบันที่ขายกันจึงเป็นที่เค้าเพาะ แม้จะบอกว่าตรงจากญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะมาจากทะเลสาบอากะ ฮอกไกโด) สำหรับการเลี้ยงมาริโมะนั้นลุงรีย์ว่าเลี้ยงง่ายหากเราเลี้ยงแบบเข้าใจลักษณะทางกายภาพของ marimo
- marimo เป็นพืชตระกูลสาหร่าย มีที่อยู่ตามธรรมชาติคือทะเลสาบ marimo จึงชอบน้ำเย็นที่อุณภูมิ 25 องศาลงไปแต่ไม่เย็นขนาดแช่แข็ง แต่ถ้าแช่แข็งเค้าก็ไม่ตาย แต่แค่ไม่โตเหมือนโดนจำศีลเพราะทะเลสาบก็มีวันแข็งเหมือนกัน และอุณภูมิน้ำไม่ควรเกิน 30 องศา
- อยู่ในทะเลสาบในความลึกตั้งแต่ 1-2 เมตร นั่นจึงเป็นสาเหตุให้
marimo ชอบแสงแดดน้อย แดดเพียง 30 % แดดส่องผ่านม่านอะไรแบบนั้น
- marimo กลมได้เพราะกระแสน้ำที่พัดเค้ากลิ้งไปมาบนหิน (เหมือนหินเป็นตัวช่วยกลึงนั่นเอง) หากต้องการให้ marimo คงรูปกลมน่ารักน้ำที่เลี้ยงต้องมีกระแสหมุนเวียนไม่หยุดนิ่ง เพื่อคงให้เป็นก้อนกลม ทั้งนี้เราอาจช่วยได้ด้วยการเอา marimo มากลิ้งปั้นคลึงให้กลม แต่อย่าทำแรง และบ่อยเพราะจะทำให้ marimo ช้ำและตายได้
- ว่ากันว่า marimo สามารถโตได้ใหญ่สุด 20-30 ซ.ม ส่วนขนาดของ marimo ก็จะใหญ่ขึ้นเพียงปีละ 0.5-1 ซ.ม ต่อปีเท่านั้น
- เวลา marimo ได้รับแสง จะลอยขึ้นผิวน้ำ เป็นเรื่องปกติเพราะเนื้อข้างในของ marimo คายออกซิเจนออกมา นั่นก็คือการสังเคราะห์แสงนั่นเอง
- marimo สามารถโตในอุณภูมิห้องได้ ในช่วงอากาศร้อนควรเปลี่ยนน้ำให้ marimo อาทิตย์ละครั้งหรืออาทิตย์เว้นอาทิตย์ หากเป็นช่วงหน้าหนาว สามารถเปลี่ยนน้ำเดือนละครั้งได้
- หากขน marimo เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาล นั่นเกิดจากความผิดสมดุลเกลือแร่ และสมดุลแบคทีเรีย แก้โดยเอามือถูส่วนที่เปลี่ยนสีออกเบาๆ แล้วเปลี่ยนน้ำที่ใส่ลงไปใหม่ให้เป็นน้ำที่ค่อนข้างเย็นและเติมเกลือทะเลลงไป 5% เพื่อช่วยปรับสมดุล แต่ถ้าเริ่มเป็นสีน้ำตาลทั้งก้อนเมื่อไรมีแนวโน้มที่จะรอดน้อยมาก นอกจากนี้น้ำเค็มยังช่วยให้ marimo มีขนหนาขึ้นอีกด้วย
- หากต้องการให้ marimo โตเร็วขึ้น ให้นำไปเลี้ยงในน้ำโซดา เพราะในโซดา มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ ซึ่งเป็นหนึ่งสิ่งสำคัญที่พืชทุกชนิดใช้ในการสังเคราะห์แสง ในการเจริญเติบโต แต่หากจะเลี้ยงในน้ำโซดา ต้องระวังไม่ใส่สัตว์น้ำใดๆลงไปด้วยเพราะโซดามีคาร์บอนไดออกไซด์สูง ไม่เหมาะต่อสัตว์น้ำ
- การเลี้ยง marimo ไว้กับปลาหรือกุ้ง เพราะสัตว์เหล่านั้นอาจตอด marimo ทำให้ขนหลุดลุ่ยไม่เป็นก้อน

credit by http://www.instructables.com/id/how-to-take-care-of-marimo-balls/ และ http://en.wikipedia.org/wiki/Marimo
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 31 มกราคม 2014, 17:22:20 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 33

ของไหว้เจ้าตรุษจีน

วันตรุษจีน ปีใหม่จีน ประวัติวันตรุษจีน ประเพณีนิยมใน วันตรุษจีน ประเพณีนิยมของชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนทั่วโลก ถือว่าวันตรุษจีน เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน Chinese New Year ในปี 2557 นี้ตรงกับวันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

อาหารไหว้เจ้า ของไหว้ตรุษจีน
ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆ มีความหมายที่เป็นมงคลในตัวของมัน

ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์ ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวาน ที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจาก ชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลง มาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจาก แป้งข้าวเจ้าผสมกะทิ มาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะ เป็นมงคลเหมือนเจดีย์

ความหมายของไหว้ตรุษจีน ความหมายของ ของไหว้วันตรุษจีน
ความหมายของอาหารไหว้ ซาแซ-โหงวแซ

ไก่หมายถึง ความสง่างาม ขุนนาง ยศ และ ความขยันขันแข็ง ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

เป็ดหมายถึง สิ่งที่บริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

ปลาหมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

หมูหมายถึง ความอุดมสมบรูณ์ มีกินมีใช้

ปลาหมึกหมายถึง เหลือกินเหลือใช้(เหมือนปลา)

ตับเพื่อให้ก้าวหน้าในงานเพราะคนจีนแต้จิ๋วเรียกตับว่า “กัว”

ปลาหมึกแห้งเพื่อให้มีหมึก หรือความรู้ เป็นการอวยพรให้เป็นบัณฑิต หรือผู้มความรู้

ซาลาเปาเพื่อ “เปาไช้” แปลว่า “ห่อโชค”

ความหมายของ ผลไม้ไหว้

กล้วยหมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

แอปเปิ้ลหมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

สาลี่หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ )

ส้มสีทองหมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

องุ่นหมายถึง ความเพิ่มพูน

ความหมายของขนมไหว้

ขนมเข่งหมายถึง ความหวานชื่น ชีวิตมีความราบรื่น รูปลักษณ์มีความหมายของชะลอมที่เก็บของ เมื่อรวมกันกับความหวานชื่น จึงหมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

ขนมถ้วยฟูหมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู

สาลี่(ขนม)หมายถึง ความเพิ่มพูน เฟื่องฟู (เหมือนขนมถ้วยฟู)
ขนมไข่หมายถึง เพื่อให้เจริญเติบโต

ขนมเทียนหมายถึง เพื่อให้สว่างรุ่งเรือง ขนมเทียน ปกติ ขนมเทียนไม่ใช่ขนมของชาวจีนดั้งเดิม แต่เป็นขนมที่ถูกปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดิน
โดยดัดแปลงจากขนมท้องถิ่น(ของไทย) จากขนมใส่ไส้ เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน
ความหมายของขนมเทียนจึงใช้ความหมายเดียวกับขนมเข่ง คือความหวานชื่น ราบรื่น ส่วนรูปลักษณ์ที่เป็นสามเหลี่ยมกรวยแหลม มีลักษณะมงคลในทางศาสนา คือ เจดีย์

จันอับ (จั๋งอั๊บ)หมายถึง “ ปิ่นโต” ( “จั๊ง” หมายถึงชั้น, “อั๊บ” หมายถึงกล่อง) ความหมายรวมของ “จั๋งอั๊บ” คือ จึงหมายถึง ความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป

ความหมายของมงคลอื่นๆ
เม็ดบัว - มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
เกาลัด -มีความหมายถึง เงิน
ถั่วตัด -หมายถึง แท่งเงิน
สาหร่ายดำ - คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง - คำของมันออกเสียงคล้าย เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
หน่อไม้ - คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข
เต้าหู้ - ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่ง เป็นสีแห่งโชคร้าย สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์

อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว

ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่ ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 04 กุมภาพันธ์ 2014, 09:39:09 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 34

ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ

ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ หมายถึง สารธรรมชาติที่ได้จากกระบวนการหมักบ่ม วัตถุดิบจากธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งพืช และสัตว์จนสลายตัวสมบูรณ์เป็นฮิวมัส วิตามิน ฮอร์โมน และสารธรรมชาติต่าง ๆ (ดินป่า) ซึ่งเป็นทั้งอาหารของดิน (สิ่งมีชีวิตในดิน) ตัวเร่งการทำงาน (catalize) ของสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในดิน และอาศัยอยู่ปลายรากของพืช (แบคทีเรีย แอคติโนมัยซิส และเชื้อรา ฯลฯ) ที่สามารถสร้างธาตุอาหารกว่า 93 ชนิดให้แก่พืช

เทคนิคการทำปุ๋ยอินทรีย์

สูตรหญ้าผสมขี้ไก่ ส่วนประกอบ หญ้าสด 50 กิโลกรัม ขี้ไก่ 5 กิโลกรัม (ควรเลือกไก่ที่ไม่กินยาปฏิชีวนะ เพราะจะทำให้มีกลิ่นเหม็นเน่า และเป็นอันตรายต่อจุลินทรีย์ในดิน และที่ปลายรากพืช)
วิธีทำ 1.นำหญ้าสด 10 กิโลกรัม ใส่ลงในถังหมักพลาสติกขนาด 200 ลิตร ย่ำให้แน่น (จะสูงประมาณ 20 ซม. 2.โรยขี้ไก่หมาด ๆ 1 กิโลกรัม ทับลงบนหญ้า 3.ทำซ้ำเช่นเดิมอีก 4 ชั้น 4.ปิดฝาเก็บไว้ในที่ร่ม 5.บ่มไว้ประมาณ 45 วัน ขึ้นไป จะได้ปุ๋ยน้ำเข้มข้น คุณภาพดี วิธีใช้ 1. ผสมน้ำ 1:200-500 รดราดดิน 2. ผสมน้ำ 1:300-1,000 ฉีดพ่นลำต้นและใบ

สูตรเศษอาหาร (ปุ๋ยคน) ส่วนประกอบ 1.เศษอาหารในครัวเรือนทุกชนิดรวมทั้งน้ำแกง น้ำพริก เปลือกผลไม้ เปลือกหอย เปลือกกุ้ง ก้างปลา หัวปลา น้ำยาล้างจาน เป็นต้น จำนวน 3 กิโลกรัม 2.น้ำตาลแดง หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม 3.น้ำสะอาด 1-10 ลิตร (แล้วแต่เศษอาหารมีน้ำมากหรือไม่) 4.หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น 1 ลิตร วิธีทำ 1.นำเศษอาหาร 3 กก. ใส่ลงในถังพลาสติก 2.ผสมน้ำกับน้ำตาลให้เข้ากัน เป็นเนื้อเดียวกัน 3.เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้นในน้ำ และน้ำตาล 4.เททับลงในถังที่ใส่เศษอาหารให้ทั่ว ๆ 5.ปิดฝาให้สนิท (ไม่ให้แสงและอากาศเข้าได้) 6.บ่มทิ้งไว้ประมาณ 90 วัน จะได้ปุ๋ยน้ำคุณภาพดี กลิ่นหอม รสเปรี้ยว (pH ประมาณ 3 ) หมายเหตุ : ปริมาณส่วนผสมต่าง ๆ ปรับได้ตามส่วน วิธีใช้ 1.ผสมน้ำ 1:100-400 รดราดโคน 2.ผสมน้ำ 1: 200-1,000 ฉีดพ่นลำต้น และใบ

สูตรพืชผัก ส่วนประกอบ 1.เศษพืชผักผลไม้ทุกชนิด 3 กิโลกรัม 2.น้ำตาลแดง หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม 3.น้ำสะอาด 10 ลิตร 4.หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น 1 ลิตร
วิธีทำ 1.สับ และนำเศษผักผลไม้ ใส่ลงในถังพลาสติก 2.ผสมน้ำกับน้ำตาลให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน 3.เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น ผสมลงในน้ำ และน้ำตาล 4.เททับลงบนเศษผักผลไม้ในถังให้ทั่ว 5.ใช้ไม้ไผ่ขัดกดให้เศษผักจมน้ำ 6.ปิดฝาให้สนิท ไม่ให้แสงและอากาศเข้า 7.บ่มทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ 90 วัน เป็นอย่างน้อย ก็จะได้ปุ๋ยน้ำคุณภาพดี กลิ่นหอม และรสเปรี้ยว (pH 3.3) เหมาะสำหรับรดพืชผักทุกชนิด หมายเหตุ : ถ้าต้องการรดผักชนิดไหน ให้ใช้ผักชนิดนั้นหมักเป็นหลัก ร่วมกับพืชผักหรือวัชพืชที่ชอบกับผักชนิดนั้น วิธีใช้ 1.ผสมน้ำ 1:100 รดราดดิน 2.ผสมน้ำ 1:200-400 ฉีดพ่นใบ และลำต้น

สูตรหอยเชอรี่ หรือสูตรปลา ส่วนประกอบ 1.หอยเชอรี่ หรือปลาสด 3 กิโลกรัม 2.น้ำตาลทรายแดง หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม 3.น้ำสะอาด 10 ลิตร 4.หัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้น 1 ลิตร วิธีทำ 1.นำหอยเชอรี่ หรือปลามาสับ ทุบ หรือ บด ให้พอแหลก 2.ผสมน้ำ น้ำตาล และหัวเชื้อจุลินทรีย์เข้มข้นให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันแล้วเททับลงบนหอยเชอรี่ หรือปลาในถัง 3.ใช้ไม้ไผ่ขัดกดให้หอยเชอรี่ หรือปลาจมลงในน้ำ 4.ปิดฝาให้สนิทไม่ให้แสง และอากาศเข้า บ่มทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ 90 วันเป็นอย่างน้อย หมายเหตุ : ไม่ควรใช้สูตรหอยเชอรี่ หรือสูตรปลากับพืชเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้ต้นไม้แคระแกรน ควรใช้ร่วมกับสูตรพืชผักหรือสูตรสมุนไพรด้วย

ข้อมูลจาก hnnradio-wisanu.blogspot.com
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2014, 20:26:28 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 35

เชื้อราไตรโคเดอร์มา "ราดีสีเขียว"

เชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราชั้นสูงที่ดำรงชีวิตอยู่ในดิน อาศัยเศษซากพืช ซากสัตว์และอินทรียวัตถุเป็นแหล่งอาหาร เจริญได้รวดเร็วบนอาหารเลี้ยงเชื้อราหลายชนิด สร้างเส้นใยสีขาวและผลิตส่วนขยายพันธุ์ที่ เรียกว่า “โคนิเดีย” หรือ “สปอร์” จำนวนมากรวมเป็นกลุ่มหนาแน่นจนเห็นเป็นสีเขียว เชื้อราไตรโคเดอร์มาเป็นศัตรู (ปฏิปักษ์) ต่อเชื้อราสาเหตุโรคพืชหลายชนิดโดยวิธีการเบียดเบียน หรือเป็นปรสิต และแข่งขันหรือแย่งใช้อาหารที่เชื้อโรคต้องการ นอกจากนี้เชื้อราไตรโคเดอร์มายังสามารถผลิตปฏิชีวนสาร และสารพิษ ตลอดจนน้ำย่อยหรือเอนไซม์สำหรับช่วยละลายผนังเส้นใยของเชื้อโรคพืช คุณสมบัติพิเศษของเชื้อราไตรโคเดอร์มาคือ สามารถช่วยละลายแร่ธาตุให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช จึงช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชและชักนำให้ต้นพืชมีความต้านทานต่อเชื้อโรคพืชทั้งเชื้อราและแบคทีเรียสาเหตุโรค
โดยเฉพาะสายพันธุ์ CB-Pin-01 มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมโรคของพืชเศรษฐกิจต่างๆทั้งพืชไร่ ไม้ผล พืชผัก และไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิดได้ในสภาพแปลงเกษตรกร ทั้งโรคที่เกิดบนส่วนของพืชที่อยู่ใต้ดิน เช่น โรคเมล็ดเน่า โรคเน่าระดับดิน (โรคกล้ายุบ) รากเน่า หัวหรือแง่งเน่า และโคนเน่า เป็นต้น โรคที่เกิดบนส่วนของพืชที่อยู่เหนือดินไม่ว่าจะเป็นส่วนของ กิ่ง ผล ใบ หรือดอก เช่น โรคลำต้นไหม้ของหน่อไม้ฝรั่ง โรคแคงเกอร์ของมะนาว โรคราดำของมะเขือเทศ โรคใบปื้นเหลืองและโรคดอกสนิมของกล้วยไม้ โรคแอนแทรคโนสของมะม่วงและพริกทั้งก่อนและหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต นอกจากนี้ยังสามารถใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครากเน่าของพืชผักสลัดและผักกินใบต่างๆที่ปลูกในสารละลายธาตุอาหาร (ระบบไฮโดรโพนิกส์) และจากผลการวิจัยล่าสุดพบว่าการแช่เมล็ดข้าวเปลือกก่อนใช้หว่านลงในนาข้าว ช่วยลดการเกิดโรคเมล็ดด่าง เมล็ดลีบ ของข้าวที่เกิดจากการเข้าทำลายของเชื้อราหลายชนิด ตลอดจนช่วยเพิ่มความสมบูรณ์และน้ำหนักเมล็ด และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้ด้วย
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 08 กุมภาพันธ์ 2014, 11:02:13 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 36

ไคโตซาน คืออะไร?

ไคโตซาน เป็นไบโอโพลิเมอร์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญในรูปของ D – glucosamine พบได้ในธรรมชาติ โดยเป็นองค์ประกอบอยู่ในเปลือกนอกของสัตว์พวก กุ้ง ปู แมลง และเชื้อรา เป็นสารธรรมชาติที่มีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัว คือ ที่เป็นวัสดุชีวภาพ ( Biometerials ) ย่อยสลายตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยในการนำมาใช้กับมนุษย์ ไม่เกิดผลเสียและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เกิดการแพ้ ไม่ไวไฟและไม่เป็นพิษ ( non – phytotoxic ) ต่อพืช นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเพิ่มปริมาณของสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์

ไคโตซาน เป็นสารอาหารเข้มข้นชนิดน้ำ เป็นสารไบโอโพลีเมอร์ชีวภาพ ที่สกัดมาจากธรรมชาติ 100% ไร้สารเคมี เป็นสารปรับสภาพดินและน้ำ ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช เพิ่มผลผลิตพืชทุกชนิด ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยง และสัตว์ทุกชนิด ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ หรือผู้บริโภค ไม่เป็นพิษตกค้าง และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับ นาข้าว พืชไร่ พืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น กล้วยไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ ฯลฯ และสัตว์ทุกชนิด

ไคโตซานมีประโยชน์ต่อพืชอย่างไร
1. เป็นสารปรับสภาพดินและน้ำ
2. ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์
3. เป็นตัวช่วยให้พืชกินอาหาร กินปุ๋ยได้ดี ช่วยเร่งรากเร่งใบ เร่งลำต้น เร่งดอก เร่งผล ทำให้พืชและสัตว์โตเร็ว และแข็งแรง
4. สร้างความต้านทานโรคและแมลงศัตรูพืชได้ดี
5. ใช้เคลือบเมล็ดพันธ์
6. ใช้ในการยืดอายุและรักษาคุณภาพผลผลิต
7. ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์
8. ทำให้ผลผลิตสูงขึ้น มีคุณภาพดี ปลอดสารพิษ

ไคโตซานมีประโยชน์ต่อสัตว์อย่างไร
1. คลุกเคล้าอาหารสัตว์น้ำ ทำให้อาหารละลายช้า (มากกว่า 12 ชั่วโมง)
2. ตรึงสารพิษและหยุดยั้งฤทธิ์ของเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอาหารสัตว์เลี้ยง
3. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของสัตว์น้ำและสัตว์บก
4. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต้านทานโรค สัตว์กินแล้วแข็งแรงไม่ป่วยง่าย ลดการใช้วัคซีนและสารเคมี
5. สัตว์กินไคโตซานจะโตเร็ว เนื้อแน่น ผิวสวย สะอาด เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค
6. ช่วยบำบัดน้ำเสีย ช่วยให้น้ำใสสะอาด สัตว์น้ำมีสุขภาพแข็งแรง ผิวสะอาด ไม่มีกลิ่นโคลนตม
7. ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์ และลดอาการท้องเสียของสัตว์ทุกชนิด เช่น ไก่ เป็ด หมู วัว ควาย ฯลฯ
8. กรณีน้ำในบ่อเน่าเสีย ไคโตซาน 1 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อพื้นที่ 1 ไร่

การใช้ประโยชน์จากไคติน-ไคโตซาน
การประยุกต์ใช้ไคตินและไคโตซานค่อนข้างจะหลากหลาย อันเนื่องมาจากสมบัติจำเพาะที่โดดเด่น อาทิ
มีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มีความเป็นประจุบวก สามารถขึ้นรูปเป็นแผ่นฟิล์มและ
เม็ดบีด ดังนั้นไคตินและไคโตซานจึงถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมต่างๆ ดังนี้:
1. ด้านการเกษตร: ใช้เคลือบเมล็ดพันธุ์พืช และเป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชเพราะสามารถต่อต้านเชื่อราที่เกิดกับเมล็ดพันธุ์ และป้องกันแมลงได้
2. ด้านการแพทย์และเภสัชกรรม: ใช้เป็นวัสดุตกแต่งแผล และควบคุมการปลดปล่อยของยา ต่อต้านแบคทีเรีย และเชื้อรา รวมทั้งยังนำมาใช้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลอกได้เป็นอย่างดี
3. ด้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: ใช้เป็นสารเติมแต่งในแป้งทาหน้า แชมพู สบู่ และครีมทาผิว
4. ด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและกระดาษ: ใช้รักษาความสดใสของสีผ้า ระบายเหงื่อ ยับยั้งการเจริญเติบโตของ
เชื้อจุลินทรีย์และเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกระดาษ
5. ด้านการแยกทางชีวภาพ: ทำเป็นแผ่นเมมเบรน เพื่อใช้ในการกรองแยกด้วยเทคนิคต่างๆ
6. ด้านการบำบัดน้ำเสีย: ใช้เป็นสารช่วยในการตกตะกอน
7. ไม่มีพิษ และย่อยสลายได้ง่าย
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #56 เมื่อ: วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2014, 14:28:08 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 37

การสลายพิษกากน้ำตาล

ปัญหาของกากน้ำตาล เกิดจากการนำไปหมักกับพืชผักผลไม้ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ อาจจะเป็น 7 วัน 15 วัน แล้วนำไปใช้ ก็จะทำให้เกิดปัญหา กับดิน
หรือเกษตรกรบางท่านผสมกากน้ำตาลกับน้ำหมักชีวภาพแล้วฉีดพ่น หรือรดพืชผักผลไม้เลย ก็จะทำให้เกิดปัญหาแก่ดินอีกเช่นกัน
หากต้องการใช้กากน้ำตาล ควรหมักเป็นเวลา 3-6 เดือนเพื่อสลายปูนขาว และ น้ำมันดินที่ติดมากับกากน้ำตาล ซึ่งเป็นตัวทำให้ดินแข็งกระด้าง เกิดการอุดตันของชั้นดิน และชั้นน้ำใต้ดิน ทำให้เกิดเชื้อราดำที่ราก ของพืช เกิดรากเน่ากากน้ำตาลจะสลายได้เร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่ความเปรี้ยวของการหมัก

การขยายเอนไซม์ที่หมักจากกากน้ำตาล
เอนไซม์ 1 ส่วน + กากน้ำตาล 1 ส่วน + น้ำมะพร้าว 1 ส่วน + เปลือกสับปะรด 1 ส่วน

สังเกตดูว่ามีกลิ่นเปรี้ยว หรือความหนืดของกากน้ำตาหายไป จึงนำมาใช้ได้ การที่เราใส่น้ำมะพร้าวลงไป เพราะเป็นน้ำตาลกลูโคส และฟรุกโตส เป็น อาหารของยีสต์ส่วนเปลือกสับปะรด จะมีจุลินทรีย์ที่ตาสับปะรดจำนวนมากกว่าผลไม้อื่น เมื่อนำมาใช้ในการหมักจะทำให้เกิดน้ำส้มสายชูได้เร็ว จึงช่วยใน การสลายกากน้ำตาลได้เร็วยิ่งขึ้น

ที่มา: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=704982
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2014, 20:33:15 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 38

กากน้ำตาลไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ

ในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพเรามักจดจำแต่กากน้ำตาลซึ่งในบางพื้นที่หายาก ที่สำคัญมักมีการปลอมปนโดยทำให้เจือจางเพื่อเพิ่มปริมาณในการขาย

กากน้ำตาลกิโลละ 8-12บาท ในการทำปุ๋ยหมักชีวภาพใช้ประมาณ 20 กก. เป็นเงิน 160-240 บาท น้ำตาลทรายแดงกิโลกรัมละ 35 บาท แต่น้ำตาลทรายแดง1 กก.สามารถทดแทนน้ำกากน้ำตาลได้4 กก.(ราคากาน้ำตาล4กก. 48 บาท น้ำตาลทรายแดง 35บาท บวกลบแล้ว น้ำตาลทรายแดงถูกกว่าครับ)

เวลาเราทำปุ๋ยหมักชีวภาพ จะต้องมีกลิ่นหอมคล้ายแอลกอฮอล์ ถ้าเหม็นจะมีสาเหตุมาจากจุลินทรีย์ไม่พอ ต้องเติมน้ำตาลทรายแดงหรือกากน้าตาล(ถ้ามี)ลงไปเพื่อเป็นอาหารจุลินทรีย์ จะทำให้มีกลิ่นหอม
การหมักควรหาถุงตาข่ายใส่วัสดุที่เราหมักเพื่อสะดวกเวลาเอากากออกจากถังหมัก

อยากเร่งอะไรเอาสิ่งนั้นหมัก เช่น จะเร่งยอดให้เอายอดผักทั้งหลายเช่นยอดผักบุ้ง ตำลึง บวบ มาหมัก อยากเร่งดอก ให้เอาส่วนของดอกมาหมัก เร่งผล เอาผลไม้สุกมาหมัก บางคนเข้าใจว่าผลไม้เน่าก็ใช้ได้ ยำ้ยำ้ต้องผลสุกไม่เน่า เร่งรากก็ใช้หัวใชเท้า แครอทมาหมัก สูตรรวมก็ใช้ทุกส่วนมาหมัก เวลาเก็บยอดผักมาหมักต้องเก็บช่วงเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นมาหมักเพราะเป็นช่วงที่มีฮอร์โมนที่เร่งการเจริญเติบโตของยอดอยู่มาก หลายท่านถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่ายอดผักจะเจริญได้ดีในช่วงกลางคืน

อย่ากังวลว่าไม่มีสารพด.ในการหมัก เปลือกและตาสับประรด หน่อกล้วยอ่อน(เหง้า) ใช้แทนได้ ดินจาวปลวก ก็สุดยอด ถ้าหาไม่ได้จริงๆดินและใบไม้ผุที่อยู่ตามโคนต้นไม้(สังเกตว่ามีเส้นใยขาวๆ)ก็สุดยอดครับ

เตรียมน้ำสะอาดกับกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดงเป็นสต็อกไว้ในถังได้ ผักอะไรมาสามารถหมักได้ทันที
เวลาใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ห้ามปนกับยากำจัดเชื้อราเด็ดขาด เพราะจะฆ่าจุลินทรีย์ ต้องฉีดพ่นในช่วงเย็นจะดีที่สุด
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2014, 18:45:08 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 39

ฝักจามจุรีก็ใช้แทนกากน้ำตาลได้

จามจุรี เป็นพันธุ์ไม้ที่รู้จักกันทั่วไป อาจพบเห็นได้ตามริมถนน วัด หรือสถานที่ราชการต่างๆ เข้าใจว่ามิสเตอร์ เอช เสลด (Mr. H. Slade.) อธิบดีกรมป่าไม้คนแรกได้นำพันธุ์จากประเทศพม่ามาปลูกเป็น ครั้งแรกที่ทำการป่าไม้เขตเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2443 ต่อมาจึงได้นำไปปลูกตามถนน กรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ใบและฝักมีคุณประโยชน์มาก สำหรับ วัว ควาย ซึ่งมักจะชอบกินใบเขียวและใบอ่อน ฝักจะมีเนื้อที่มีสีน้ำตาลกล่าวว่าถ้าเลี้ยงแม่วัวที่รีดนม อาจทำให้นมมีคุณภาพดีขึ้น ฝักแก่ราวเดือนมีนาคม สามารถเก็บรักษาไว้เลี้ยงวัวควายได้ในกรณีหาหญ้าฟางได้ยากหรือมีราคาแพง ส่วนผสมของฝักมีคูณค่าดีเท่ากับหญ้าแห้งในการใช้เลี้ยงสัตว์ เนื้อในของฝักแก่ที่มีสีน้ำตาลยังสามารถใช้หมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ บริสุทธิ์ ปรากฏว่าฝัก 100 กิโลกรัม จะได้แอลกอฮอล์ราว 11.5 ลิตร จะเห็นได้ว่าฝักจามจุรีมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำตาลอยู่เยอะมากเราจึงสามารถนำมาแทนกากน้ำตาลได้เป็นอย่างดี

การทำน้ำหมัก
-วัสดุหมัก 3 ส่วน(พืชสมุนไพร)
-ฝักจามจุรี 3 ส่วน
-น้ำเปล่า 5 ส่วน
-จุลินทรีย์ 1 ส่วน
-หมัก 30 วัน

น้ำชีวภาพจากฝักจามจูรีมีธาตุไนโตรเจนสูงครับช่วยให้ต้นไม้โตไว สร้างใบ สร้างลำต้น นอกจากฝักจามจุรี แล้ว น้ำมะพร้าวก็สามารถมาแทนกากน้ำตาลได้ดีเช่นกัน
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย) Tel.084-545-6163
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 705


จำหน่ายมูลไส้เดือนแท้ 100% (เชียงราย)


« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2014, 16:57:25 »

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส # 40

กากกาแฟ

กากกาแฟ จะมีค่า OM (Organic material 70% และ Total Nitrogen 1.96)

ไนโตเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของดีเอ็นเอ, อาร์เอ็นเอ และโปรตีน ซึ่งพืชจะต้องใช้ในการเจริญเติบโต กากกาแฟยังมีโพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส และสารอย่างอื่นอีกเล็กน้อยที่ช่วยเพิ่มพัฒนาการของพืช มีรายงานจากชาวสวนจำนวนมากว่าดอกกุหลาบเจริญเติบโตได้ดี มีดอกใหญ่ และให้สีสันสวยงาม เมื่อใช้กากกาแฟเป็นปุ๋ย

การทำจุลินทรีย์แห้งด้วยกากกาแฟ
สูตรที่ 1 ให้ผสม รำ 1 ส่วน มูลสัตว์ 1 ส่วน แกลบดิบ 1 ส่วน กากกาแฟหรือเปลือกกาแฟจะดีกว่า 4 ส่วน
ผสมด้วยจุลินทรีย์น้ำพอชื้น ๆ หมักไว้ 6-7 วัน ให้แห้ง นำไปใช้ได้
การหมักกากกาแฟ เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งที่จะเพิ่มประโยชน์ และปริมาณ N ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้
สูตรที่ 2 หมักกับฟางข้าว 1:2 ส่วนโดยปริมาตร กลับกองบ่อยๆน่ะค่ะ

วิธีใช้แบบไม่หมัก
1.ใช้โรยรอบๆต้น แล้วรดน้ำตาม กากกาแฟจะค่อยๆ ปลดปล่อยปุ๋ยไนโตรเจนให้กับต้นไม้
2.อาจใช้ผสมในกองปุ๋ยหมักจะเป็นการเพิ่มธาตุ ไนโตรเจนแก่กองปุ๋ยนั้น
3.อาจใช้ผสมน้ำทำปุ๋ยน้ำเจือ จางไว้รดต้นไม้ โดยใช้ กากกาแฟที่เปียกประมาณ ๑ กระป๋องนม ผสมน้ำ ๕ ลิตร รดตามต้นไม้ที่ชอบความเป็นกรด อย่างกุหลาบหรือไฮเดรนเยียนี้จะชอบมากๆ เลยค่ะ
4.กากกาแฟที่ได้มาเราจะนำมา วางตากแดดบนหนังสือพิมพ์ให้น้ำระเหยแห้งไปหมด จากนั้นก็นำมาใช้ผสมดินปลูกในกระถาง หรือผสมดินในแปลงปลูกผักโดยตรง ในอัตราส่วน กากกาแฟ 1 : ดินในสวน 3 ส่วน จะช่วยให้เนื้อดินร่วนซุยเก็บความชื้นไว้ได้ดี ระบายน้ำดี ที่สำคัญไส้เดือนชอบมากๆ
5.ใช้กากกาแฟกับเปลือกไข่โรยเป็นแนวรอบต้นไม้ไล่แมลงศัตรูพืช" จำพวกหอยทาก ได้ดี
ควรเก็บกากกาแฟที่ตากแห้งแล้ว อย่าเก็บไว้แบบเปียกๆ เพราะขึ้นราง่ายมาก
IP : บันทึกการเข้า

ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย
จัดจำหน่าย มูลไส้เดือนแท้ 100%

("คนเลี้ยงดิน ดินเลี้ยงพืช พืชเลี้ยงคน")

โทรศัพท์ : 084-545-6163
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 19 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!