เมื่อแม่โพสพตาย
ชาวนาก็กลายเป็นลูกกำพร้า“เดชา ศิริภัทร"
ในบรรดากว่าร้อยละ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของคนไทยซึ่งเป็นเกษตรกรนั้น ชาวนานับเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด และทรงความสำคัญต่อประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงเกือบ ๓ ทศวรรษแห่งการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชาวนาไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนอาจกล่าวได้ว่าใกล้ถึงจุดวิกฤตอยู่แล้ว โดยเฉพาะชาวนาในเขตเกษตรก้าวหน้าซึ่งมีการชลประทานและส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางและภาคเหนือ เราจะลองพิจารณาดูปัจจัยบางประการซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของชาวนาดังกล่าวตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน
ชาวนา: หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน
เมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรกลุ่มอื่นๆแล้ว จะพบว่าชาวนามีลักษณะพิเศษต่างไปจากเกษตรกรอื่นๆอยู่บางประการ เช่น ในขณะที่ชาวไร่หมายถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชไร่ซึ่งมีอยู่หลายชนิด เช่น ข้าวโพด อ้อย ปอแก้ว หรือมันสำปะหลัง ฯลฯ และชาวสวนหมายถึงเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชสวน ซึ่งก็มีอยู่หลายชนิด เช่น ผักชนิดต่างๆ หรือผลไม้ยืนต้นหลายชนิด เป็นต้น แต่สำหรับชาวนาแล้วหมายถึงเพียงเฉพาะเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวเท่านั้น
สำนวน“หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน”นับว่าเป็นสำนวนที่แสดงให้เห็นลักษณะของชาวนาโดยแท้ เพราะชาวนาจะต้องก้มหน้าลงดินและหันหลังสู้ฟ้าอยู่เสมอ ตั้งแต่เริ่มปักดำต้นข้าวไปจนถึงการเก็บเกี่ยว และเมื่อพิจารณาสำนวนนี้ให้ลึกลงไปอีกก็จะพบว่า ยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชาวนา ข้าว และฟ้าดิน ซึ่งหมายถึงธรรมชาติทั้งมวลนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากวิถีชรวิตของชาวนาในอดีต ซึ่งสอดคล้องกับวิถีการผลิตข้าวและกับฤดูกาลของแต่ละท้องถิ่น
แม่โพสพ: มารดาของชาวนา
เมื่อชาวนาคือผู้เพาะปลูกข้าวเท่านั้น จึงเท่ากับว่าหากไม่มีข้าวก็ไม่มีชาวนา ข้าวจึงเป็นผู้ให้กำเนิดชาวนาอย่างแท้จริง โดยเฉพาะชาวนาไทยซึ่งเพาะปลูกข้าวมานานควบคู่กับประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย
ในหนังสือ เศรษฐกิจหมู่บ้านไทยในอดีตของดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ขึ้นต้นบทแรกด้วยข้อความ“ชนเผ่าไทยทำนาเป็นหลัก เริ่มทำในที่ดอน แต่ต่อมาเคลื่อนย้ายมาทำในที่ลุ่มมากขึ้นเป็นลำดับ” ลักษณะสำคัญของชนเผ่าไทยดังกล่าว แม้ในปัจจุบันก็ยังคงดำรงอยู่ เช่น ไทยอาหมในประเทศอินเดีย ชาวไทยสิบสองปันนาในประเทศจีน ชาวไทยใหญ่ในประเทศพม่า และชาวไทยดำในประเทศเวียดนาม เป็นต้น ต่างยังคงทำนาเป็นหลักด้วยกันทั้งสิ้น
นอกจากนั้น การค้นพบทางโบราณคดียังบ่งชี้ว่า มีการเพาะปลูกข้าวในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ ปี ที่บ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น ซึ่งนับว่าเป็นหลักฐานการเพาะปลูกข้าวอันเก่าแก่ที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็มีหลักฐานใหม่ๆซึ่งแสดงว่าชนชาติไทยกำเนิดขึ้นและอาศัยอยู่ในบริเวณประเทศไทยปัจจุบันตลอดมาตั้งแต่เดิม มิได้อพยพมาจาก“เทือกเขาอัลไต”ดังที่เคยเชื่อกัน
ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่า คนไทยได้อาศัยเพาะปลูกข้าวอยุ่ในบริเวณนี้มานานนับพันปีแล้ว และเมื่อมีการจารึกอัการไทยเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงสุโขทัย ก็มีข้อความตอนหนึ่งว่า “เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” คำกล่าวในจารึกภาษาไทยซึ่งมีอายุ ๗๐๐ ปีแล้วนี้ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความผูกพันของข้าวที่มีต่อคนไทยได้อย่างชัดเจน
จากความใกล้ชิดผูกพันระหว่างข่าวกับคนไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตอันยาวนานนี่เอง ทำให้คนไทยยกย่องและเคารพรักข้าวยิ่งกว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารชนิดใดๆ โดยเห็นจากคำเรียกข้าวอย่างเคารพว่า“แม่โพสพ” และมีพิธีกรรม ประเพณีต่างๆเกี่ยวกับข้าวอยู่มากมาย เช่น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกราขวัญ พิธีทำขวัญข้าวเมื่อข้าวตั้งท้อง พิธีรับข้าวเข้ายุ้งฉางหลังการเก็บเกี่ยว และการทำความเคารพระลึกถึงคุณพระแม่โพสพก่อนรับประทานข้าว เป็นต้น
ดิน น้ำ ข้าว และชาวนา
เกษตรกรไทยในอดีตมีความเคารพนับถือธรรมชาติเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะดินและน้ำซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในโลกใบนี้ รวมทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารให้อุดมสมบูรณ์ ดังจะเห็นได้จากคำเรียกดินและน้ำว่า “แม่ธรณี” และ “แม่คงคา” รวมทั้งวิธีการปฏิบัติต่อดินและน้ำอย่างเคารพยกย่องในฐานะผู้มีพระคุณ
สำหรับชาวนา นอกจาก“แม่ธรณี”และ“แม่คงคา”แล้ว ยังมี “แม่โพสพ”ซึ่งเปรียบเสมือนมารดาของชาวนาโดยตรงอีกด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง “แม่ทั้งสาม”กับชาวนานั้น มีมากกว่าความสัมพันธ์ในระบบการผลิตและการบริโภคเท่านั้น เพราะยังรวมถึงวิถีการดำรงชีวิตทั้งหมดของชาวนาที่ได้รับการปรับให้สอดคล้องกันมานานนับร้อยนับพันปีอีกด้วย
เมื่อความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างถูกต้องสมดุล ก็มีผลให้ทุกสิ่งดำเนินไปเป็นปกติ แต่หากมีส่วนใดเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่ถูกต้องหรือเสียสมดุล ก็จะทำให้ระบบความสัมพันธ์ดังกล่าวพังทลายลง เกิดเป็นปัญหาและอาจร้ายแรงจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ได้ ดังเช่นที่เกิดกับชาวนาในปัจจุบัน
ความสมดุลในระบบการทำนาดั้งเดิม
ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องวิกฤตการณ์ของชาวนาในปัจจุบัน เราจะย้อนกลับไปดูระบบการทำนาดั้งเดิมซึ่งมีความสมดุลเป็นปกติอยู่ได้นับร้อยๆกว่าปีว่าเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น การทำนาในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางซึ่งน้ำท่วมถึง บริเวณจังหวัดอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี เป็นต้น ชาวนาในเขตดังกล่าวจะไถนาเตรียมดินโดยใช้แรงงานควาย แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวพื้นบ้านประมาณเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นต้นฤดูฝน น้ำจะเอ่อท่วมแปลงนาในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจท่วมสูงถึง ๒-๕ เมตร พันธุ์ข้าวพื้นเมืองจะยืดตัวสูงพ้นน้ำได้เรื่อยๆ จนกระทั่งระดับน้ำเริ่มลดลงและแห้งในเดือนมกราคมเป็นต้นไป ชาวนาก็เริ่มจะเก็บเกี่ยวข้าวซึ่งสุกเต็มที่ในบริเวณที่ดอนซึ่งน้ำแห้งก่อน ไปจนถึงบริเวณที่ลุ่มซึ่งน้ำแห้งหลังสุด การที่ข้าวสุกไม่พร้อมกันก็เนื่องจากชาวนาเลือกใช้พันธุ์ข้าวที่อายุสั้น เก็บเกี่ยวได้ก่อนในที่ดอน และเลือกใช้พันธุ์ข้าวอายุยาวเก็บเกี่ยวได้ทีหลังในบริเวณที่ลุ่ม พันธุ์ข้าวอายุสั้นเรียกว่า “ข้าวเบา” และพันธุ์อายุยาวเรียกว่า “ข้าวหนัก” การเลือกใช้พันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับพื้นที่ นอกจากจะลดความเสียหายและเพื่อสะดวกในการเก็บเกี่ยวแล้ว ยังเป็นการกระจายแรงงานให้ใช้ได้เต็มที่ โดยไม่ต้องหาแรงงานเพิ่มเติมอีกด้วย
จะเห็นว่าในระบบนี้ ชาวนาต้องมีพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับท้องถิ่นและรู้จักสภาพพื้นที่และระดับน้ำ ระยะเวลาของแต่ละฤดูกาลอย่างละเอียด ซึ่งทั้งพันธุ์ข้าวและความรู้ต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมาหลายชั่วคน กล่าวเฉพาะพันธุ์ข้าวพื้นบ้านก็ถูกคัดเลือกเก็บรักษาไว้ในแต่ละท้องถิ่น รวมแล้วนับพันหมื่นสายพันธุ์ โดยชาวนาในแต่ละท้องถิ่นต่างก็คัดเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพท้องถิ่นของตน เช่น ชาวนาในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางที่น้ำท่วมถึงก็จะคัดพันธุ์ข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวที่ขึ้นน้ำได้ แข่งขันกับวัชพืชได้ดีเพราะใช้วิธีหว่านไม่มีมาตรการควบคุมวัชพืชเหมือนนาดำ ต้านทานต่อโรคและแมลงในท้องถิ่น เนื่องจากไม่มีการใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชใดๆ ไม่ต้องการปุ๋ยมากเพราะไม่ใส่ปุ๋ยเคมีทุกชนิด ต้นข้าวได้รับปุ๋ยจากจากดินตะกอนซึ่งน้ำพัดพามาทับถมทุกปี ดินตะกอนเหล่านี้ก็คือดินซึ่งน้ำพัดพามาจากแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ในภาคเหนือนั่นเอง
เมื่อทุกอย่างมีความสมดุล ชาวนาก็ดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติสุข แม้จะไม่ร่ำรวย เพราะได้ผลผลิตไม่มากนัก แต่ชาวนาในอดีตก็พึ่งตนเองในชุมชนได้สูง มีปัจจัยที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตครบถ้วน นอกจากนั้นยังมีเวลาและทรัพยากรเหลือพอสำหรับการสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวนาไทยในแต่ละท้องถิ่นขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลง: ผลิตข้าวเพื่อส่งออก
อาจกล่าวได้ว่าจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงของชาวนา โดยเฉพาะที่ราบลุ่มภาคกลาง เกิดขึ้นเนื่องจากการเปิดประเทศภายหลัง “สนธิสัญญาเบาริ่ง”ในปี ๒๓๙๘ นับเป็นการเปิดศักราชการผลิตข้าวเพื่อการส่งออกขายต่างประเทศอย่างจริงจังตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีการหักล้างถางพงในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางเพื่อเพิ่มพื้นที่การทำนา ช่วงต่อมาได้ขยายตัวไปถึงภาคเหนือด้วย หลังจากการคมนาคมทางรถไฟทำได้สะดวก มีการขุดคลองแยกจากแม่น้ำเพื่อนำน้ำไปใช้ทำนาเพื่อขึ้น เช่น การขุดคลองรังสิต เป็นต้น ซึ่งต่อมาได้ตั้งเป็นกรมชลประทานขึ้น รับผิดชาอบในการสร้างเขื่อนและคูคลองเพื่อนำน้ำมาใช้ในการเกษตรโดยเฉพาะซึ่งส่วนใหญ่ก็นำมาใช้ทำนานั้นเอง
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ ๒๕ ปีที่ผ่านมา เมื่อการทำนาได้รับการพัฒนาโดยเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ ทั้งจากสถาบันระหว่างประเทศ เช่น สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์และจากหน่วยงานภายในประเทศไทยของเราเอง เช่น กรมการข้าว เป็นต้น
แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นเกิดจากตัวชาวนาเองซึ่งเปลี่ยนทัศนคติและจุดมุ่งหมายจากการผลิตข้าวเพื่อบริโภคเองเป็นหลัก (เมื่อเหลือบริโภคจึงแลกเปลี่ยนหรือขายเพื่อให้ได้ปัจจัยการดำรงชีวิตที่จำเป็นอย่างครบถ้วน) กลายมาเป็นการมุ่งผลิตเพื่อขายเป็นหลัก ดังนั้นข้าวจึงกลายเป็นสินค้าชนิดหนึ่งไม่แตกต่างไปจากสินค้าชนิดอื่นๆซึ่งผลิตออกมาเพื่อขาย ชาวนาจึงไม่มีความสัมพันธ์กับข้าวในฐานะลูกของ “แม่โพสพ” ดังเช่นในอดีตอีกต่อไป ทั้งนี้รวมถึงความสัมพันธ์กับ “แม่ธรณี”และ “แม่คงคา”ซึ่งเคยมีความสมดุลก็สูญสลายไปด้วยเช่นเดียวกัน
จากเมล็ดข้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตร
ระบบการเกษตรก็เช่นเดียวกับระบบอื่นๆทั่วไปนั่นเอง กล่าวคือ ประกอบด้วยส่วนต่างๆซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นแฟ้น เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปก็จะมีผลกระทบไปยังส่วนอื่นๆ ทำให้ระบบทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะพบได้ในระบบเกษตรกรรมปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากระบบเกษตรกรรมในอดีตมากมาย การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือมาประมาณ ๕๐ ปี และเกิดขึ้นในทวีปอื่นๆรวมทั้งเอเชียเมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า “การปฏิวัติเขียว” นั่นเอง
การปฏิวัติเขียวเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์พื้นบ้านดั้งเดิมให้กลายเป็นพืชหรือสัตว์พันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง โดยการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมโดยเฉพาะพืชหรือสัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด มันฝรั่ง หมู ไก่ และวัว เป็นต้น
สำหรับการเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าว เริ่มโดยการตั้งสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ(International Rice Research Institute-IRRI) ขึ้นที่ประเทศฟิลิปปินส์ในปี ๒๕๐๓ ซึ่งอีก ๓ ปีต่อมาก็ผลิต “ข้าวมหัศจรรย์”เผยแพร่ออกมาได้ นั่นคือข้าวพันธุ์ไออาร์ ๘ (IR8) หลังจากนั้นก็ผลิตข้าวไออาร์หมายเลขต่างๆออกมาอีกหลายสิบชนิดจนกระทั่งปัจจุบัน
ในประเทศไทยก็มีวิธีการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวเช่นกัน จนได้พันธุ์ข้าว กข. (ย่อมาจาก “กรมการข้าว”) หมายถึงเลขต่างๆตั้งแต่กข.๑ จนถึง กข.๒๕ เป็นอย่างน้อย ซึ่งเมื่อได้พันธุ์ข้าวใหม่ๆที่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ข้าวพันธุ์พื้นบ้านแล้วก็เผยแพร่ออกสู่ชาวนาไทยโดยผ่านโครงการแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวของกรมส่งเสริมการเกษตร หลักการใหญ่ๆของโครงการนี้คือ พยายามเพิ่มพูนพื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์ใหม่ออกไปให้ได้มากที่สุด และลดพื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้านดั้งเดิมลงให้เหลือน้อยที่สุด(หรือหมดไปเลย) โดยชักชวนให้ชาวนานำพันธุ์ข้าวพื้นบ้านมาแลกเปลี่ยนเป็นพันธุ์ข้าวชนิดใหม่ไปปลูกแทน ซึ่งชาวนาส่วยใหญ่ให้ความร่วมมือด้วยดี เพราะต้องการได้ผลผลิตสูงขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงพันธุ์ข้าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเพราะผลผลิตมิได้เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนพันธุ์ข้าวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเพิ่มปัจจัยการผลิตอื่นๆที่จำเป็นอย่างครบถ้วนทั้งระบบ เช่น การใส่ปุ๋ย การใช้สารฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช การเตรียมดิน และชลประทานที่พอเพียง เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ชาวนาก็เปลี่ยนจากการพึ่งตนเองได้สูง มาเป็นการพึ่งภายนอกมากขึ้นทุกที ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ราคาข้าวตกต่ำลง สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวณเสื่อมโทรมลง วิถีชีวิตของชาวนาเปลี่ยนไป จนกระทั่งมีหนี้สินพอกพูนยิ่งขึ้นทุกที ถึงจุดที่เกือบจะเรียกได้ว่า “วิกฤตการณ์” ในปัจจุบัน
แม่โพสพตายแล้ว: ชาวนาคือลูกกำพร้าที่ต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้
เมื่อมองสภาพชาวนาไทยปัจจุบัน โดยเฉพาะชาวนาในเขตเกษตรก้าวหน้าซึ่งมีการชลประทาน จะเห็นว่ากำลังอยู่ในวิกฤตการณ์ ทั้งจากราคาข้าว ต้นทุนการผลิตการพึ่งพาภายนอก ทั้งการผลิต การตลาด และการบริโภค ฯลฯ การอยู่รอดของชาวนาจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและจริงจัง ทั้งระบบการผลิต และการดำเนินชีวิตของชาวนาเองเป็นอันดับแรก หรืออาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงสังคมทั้งหมดเลยก็ได้ เมื่อมองในระยะยาว
ในอดีต ชาวนาเคยมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขร่วมกับ “แม่โพสพ” “แม่ธรณี” และ “แม่คงคา” แต่ปัจจุบันชาวนามีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะ “แม่โพสพ”ตายจากไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อชาวนาเห็นว่าข้าวเป็นเพียง “สินค้า” เช่นเดียวกันกับ “แม่ธรณี” และ “แม่คงคา” ก็ตายจากไปด้วยสารพิษนานาชนิดที่ชาวนาใส่ลงไปอย่างไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา บัดนี้ชาวนาจึงกลายเป็นลูกกำพร้าที่ขาดพ่อแม่และไม่มีญาติมิตรเหลืออยู่เลย จะมีก็แต่ผู้คอยจ้องหาผลประโยชน์ด้วยการเอาเปรียบอยู่รอบข้าง
ชาวนาในฐานะลูกกำพร้าจึงต้องหาทางพึ่งตนเองให้ได้ ด้วยการตัดสินใจเลือกเดินทางที่ถูกต้อง และอดทนต่อสู้กับความยากลำบากต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุดโดยไม่ย่อท้อหรือหวังการช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น ถือเสียว่า เมื่อก่อกรรมใดย่อมได้ผลกรรมนั้นตอบแทน
ทั้งนี้เพราะชาวนานั่นเองที่เป็นผู้ทำให้ “แม่โพสพ” ต้องตายจากไป ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาก็ตาม
ปาจารยสาร ปี ๑๔ ฉบับที่ ๒ มีนาคม-เมษายน ๒๕๓๐