29. ระยะน้ำนม รวงข้าวเริ่มโค้งลง ถ้าลำต้นสูงมากหรือความสมบูรณ์ต่ำ เมื่อถูกลมพัดมักจะล้มหรือหัก อาการล้มหรือหักของต้นทำให้น้ำเลี้ยงจากรากลำเลียงไปสู่รวงไม่ได้จึงทำให้ได้เมล็ดข้าวคุณภาพต่ำแนวทางแก้ไข คือ ช่วงตั้งท้องต้องบำรุงด้วย 0-42-56 ย่างน้อย 2 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วันจะช่วยลำต้นไม่สูงแต่อวบอ้วนดี
ให้ฮอร์โมนสมส่วน หรือน้ำคั้นเมล็ดข้าวน้ำนม หรือรกสัตว์หมักข้ามปี ซึ่งมีโซโตคินนินจะช่วยบำรุงเมล็ดข้าวให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ให้ ฮอร์โมนน้ำดำ และ แคลเซียม โบรอน โดยแบ่งเฉลี่ยให้ 1-2 รอบ ตลอดอายุตั้งแต่ระยะกล้าถึงเก็บเกี่ยว จะช่วยเสริมสร้างให้ได้เปอร์เซ็นต์แป้งสูงขึ้น
30. นาข้าวที่ได้ 100 ถัง จะมีฟางประมาณ 1,200 กก. ......ปริมาณฟาง 1 ตัน จะให้
สารอาหารพืชประกอบด้วย ไนโตรเจน 6.0 กก. ฟอสฟอรัส 1.4 กก. โปแตสเซียม 17.0
กก. แคลเซียม 1.2 กก. แม็กเนเซียม 1.3 กก. ซิลิก้า 50.0 กก.
ถ้าได้ไถกลบเศษซากต้นถั่วเหลือง (เมล็ดพันธุ์ 12 กก./ไร่)ลงไปอีกก็จะได้ ไนโตรเจน 45 กก.
เมื่อรวมฟางกับต้นถั่วเหลืองแล้วจะทำให้ได้ปุ๋ยสำหรับต้นข้าวมากมาย
ดินที่สภาพโครงสร้างดีตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดินระบุว่า เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปแต่ละครั้ง ต้นพืชได้นำไปใช้จริงเพียง 4 ส่วน แล้วเหลือตกค้างอยู่ในดิน 6 ส่วนเสมอ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเคมี 1-2 รุ่นแล้วเว้น 1 รุ่น ก็จะยังคงมีปุ๋ยเคมีเหลือตกค้างจากการใส่แต่ละรุ่นที่ผ่านมาบำรุงต้นข้าวรุ่นปัจจุบันได้อย่างเพียงพอ
มาตรการบำรุงดินโดยปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ สารปรับปรุงบำรุงดิน และจุลินทรีย์ อย่างสม่ำเสมอ-ต่อเนื่อง-รุ่นต่อรุ่น-หลายๆรุ่น-หลายๆปี จะทำให้เกิดการ สะสมอยู่ในเนื้อดิน ซึ่งจะส่งผลให้สภาพโครงสร้างของดิน ดีขึ้น ดีขึ้นและดีขึ้น ตามลำดับ
31. ไม่ควรปลูกข้าวอย่างเดียวแบบต่อเนื่อง รุ่นต่อรุ่น หลายๆรุ่น หลายๆปี แต่ควรเว้นรุ่นทำนา 2-3รุ่นแล้วปลูกพืชตระกูลถั่ว 1 รุ่น นอกจากจะได้เศษซากพืชตระกูลถั่วไถกลบปรับปรุงบำรุงดินแล้วยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของแมลง และเชื้อโรคได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
32. นาหว่านที่หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูกร่วมกับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว ต้นข้าวจะงอกและโตพร้อมๆกับต้นถั่วเขียว เลี้ยงต้นกล้าข้าวให้นานที่สุดเท่าๆกับได้ต้นถั่วสูงสุด จากนั้น จึงปล่อยน้ำเข้าท่วมนา จะทำให้ต้นถั่วตายแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย (ไนโตรเจน/จุลินทรีย์)สำหรับต้นข้าว
33. นาดำหลังจากปักดำแล้วใส่แหนแดงหรือแหนเขียว อัตรา 2-3 ปุ้งกี๋/ไร่ หรือกระทงนา ปล่อย
ไว้ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แหนจะแพร่ขยายพันธุ์จนเต็มกระทง ระดับน้ำที่เคยมีเมื่อตอนดำนาก็จะลดลงจนถึงผิวหน้าดินพร้อมๆกับแหนลงไปอยู่ที่ผิวดินด้วยแล้วเน่าสลายกลายเป็นปุ๋ย(ไนโตรเจน) พืชสดสำหรับต้นข้าว
34. ดินที่อุดมสมบูรณ์ดี (ตามหลักวิชาการ) เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงไปจะช่วยให้ต้นเจริญเติบโตทางใบ (บ้าใบ/เฝือใบ) ดีมาก แต่ผลผลิตกลับลดลง.......แปลงนาข้าวที่มีอินทรีย์วัตถุ และสารปรับ
ปรุงบำรุงดินมากจะให้ผลผลิตดีมากไม่เฝือใบ ทั้งๆที่ใส่ปุ๋ยเคมีน้อยกว่า ต้นข้าวงามใบ (บ้าใบ)แก้ไขโดยการให้ “โมลิบดินั่ม + แคลเซียม โบรอน” 1 ครั้ง
35. สภาพดินเหนียว ดินทราย ดินดำ ดินร่วน ฯลฯ ในดินแต่ละประเภทต่างก็มีสารอาหารพืชและปริมาณแตกต่างกัน สารอาหารพืชเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามกลไกทางธรรมชาติหรือ เกิดจากกระบวนการสารพัดจุลินทรีย์ย่อยสลายสารพัดอินทรีย์วัตถุ
วันนี้ สารอาหารธรรมชาติในดินหมดไป หรือเหลือน้อยมากจนไม่พอพียงต่อความต้องการของพืชเพื่อการพัฒนาเจริญเติบโต สาเหตุหลักเกิดจากการปลูกพืชแบบซ้ำรุ่น ต่อเนื่อง รุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งพืชคือผู้นำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ สาเหตุรองลงมา คือ เกิดจากมนุษย์ทำลายวงจรการเกิดใหม่ของสารอาหารตามธรรมชาติ และทำลายผู้ผลิตสารอาหาร (จุลินทรีย์)นั่นเอง ดังนั้นจากคำกล่าวที่ว่า ดินมีสารอาหารพืช ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นพูดว่าดินเคยมีสารอาหารจึงจะถูกต้องตามข้อเท็จจริง
แนวทางแก้ไข คือ จัดการให้มีวัตถุดิบที่ก่อให้เกิดสารอาหารพืช และ ส่งเสริมผู้ผลิตสารอาหารพืช ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สุด แล้วดินจะกลับคืนมาเป็นดินดี เหมือนป่าเปิดใหม่อีกครั้ง และจะเป็นดินดีตลอดไปอย่างยั่งยืนตราบเท่าที่ได้จัดการและส่งเสริมอย่างถูกวิธีสม่ำเสมอ
36. การดัดแปลงคันนาให้กว้าง 3-4 ม. แล้วปลูกพืชสวนครัว เช่น พริก มะเขือ ข่า ตะไคร้ ฯลฯ
บนคันนานั้น ผลผลิตที่ได้เมื่อเทียบกับจำนวนเนื้อที่แล้วจะได้มากกว่าข้าว
37. การเลี้ยงปลาในนาข้าวโดยการทำร่องน้ำรอบแปลงนาเพื่อให้ปลาอยู่นั้น ร่องน้ำกว้าง 2.5-3
ม. ลึกจากพื้นระดับในแปลงนา 80 ซม.- 1 ม. มีน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงปลา
ในร่องได้ตลอดอายุของปลา หรือบางครั้งให้น้ำล้นจากร่องน้ำเข้าสู่แปลงนาหล่อเลี้ยงต้นข้าวได้ด้วย
การเลี้ยงปลาในนาข้าวสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น ดัดแปลงปรับปรุงพื้นที่ลุ่มที่มีอยู่เดิมในแปลงนาให้กักเก็บน้ำได้ตลอดฤดูกาลหรืออายุปลา ทำร่องล้อมรอบแปลงนาหรือ ขุดเป็นบ่อขึ้นมาใหม่ที่บริเวณลาดต่ำในแปลงนา ข้อควรคิดต่อการเลี้ยงปลาในนาข้าวที่จำเป็นต้องวางแผนแก้ปัญหาล่วงหน้าก่อนลงมือเลี้ยง ได้แก่ อายุปลาตั้งแต่เริ่มปล่อยลงน้ำถึงจับนาน 6 เดือน-1 ปี ซึ่งระยะเวลาขนาดนี้ปลูกข้าวได้ 2-3 รุ่น ระหว่างที่ต้นข้าวกำลังเจริญเติบโตนั้นสามารถปล่อยน้ำจากแหล่งที่อยู่ของปลาเข้าไปในแปลงนา จนกระทั่ง น้ำท่วมต้นข้าวเพื่อให้ปลาจับกินแมลงได้ และก่อนเกี่ยวข้าวต้องงดน้ำให้ข้าว ช่วงนี้ปลาจะกลับเข้าไปอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่เตรียมไว้ให้อย่างเดิม
38. ตั้งเป้าหมายทำนาข้าวเพื่อขายเป็นพันธุ์ข้าวปลูก หรือเพื่อสีเป็นข้าวกล้องอินทรีย์ โอท็อป จะได้ราคาดีกว่าปลูกข้าวแล้วขายเป็นข้าวเปลือกแก่โรงสี
39. ข้าวนาดำ ให้ผลผลิตเหนือกว่านาหว่าน ทั้งคุณภาพ ปริมาณและต้นทุน
40. ข้าวนาดำ ต้นกล้าที่ถอนขึ้นมาจากแปลงตกกล้า มัดรวมแล้วนำไปตั้งไว้ใน น้ำ 100 ล.+
มูลค้างคาว 250 กรัม นาน 12 ชม. จึงนำไปปักดำ เมื่อต้นข้าวโตขึ้นจะแตกกอดีกว่ากล้าที่ไม่ได้
แช่ในน้ำมูลค้างคาว
41. นาปี หมายถึง นาข้าวที่ทำหรือหว่าน/ดำในช่วงฤดูฝนโดยรอแต่น้ำฝนในฤดูกาลเท่านั้น เช่น นาข้าวที่หว่านวันแม่ (ก.ค.-ส.ค.) เกี่ยววันพ่อ (พ.ย.-ธ.ค.) มักมีปัญหาข้าวเปลือกล้น
ตลาด เนื่องจากชาวนาส่วนใหญ่หว่าน/ดำพร้อมกันทั้งประเทศ
42. นาปรัง (ปรัง.เป็นภาษาเขมร แปลว่า แล้ง.) หมายถึง นาข้าวที่ทำหรือหว่าน/ดำในช่วง
หน้าแล้ง หรือทำนารุ่น 2 ต่อจากนาปี โดยหว่าน/ดำในเดือน พ.ย.-ธ.ค.แล้วเก็บเกี่ยวช่วงเดือน
ก.พ.-มี.ค.ซึ่งต้นข้าวจะต้องเจริญเติบโตตลอดหน้าแล้ง บางปีบางแหล่งได้น้ำจากชลประทาน แต่บางปีบางแหล่งที่น้ำจากชลประทานมีน้อยไม่สามารถปล่อยออกมาช่วยเหลือได้ บางปีบางแหล่งรอน้ำฝนอย่างเดียว นาประเภทนี้มักมีปัญหาขาดแคลนน้ำเสมอ บ่อยครั้งที่ชาวนาบางแหล่งบางที่ต้องยอมเสี่ยงทำนาปรัง เพราะผลผลิตราคาดี เนื่องจากมีคน ทำนาน้อย...
ชาวนาบางรายลงทุนแก้ปัญหานาปรังขาดแคลนน้ำโดยเจาะบ่อบาดาลในแปลงนาโดยตรง ต้องการใช้น้ำเมื่อใดก็สูบขึ้นมาใช้เมื่อนั้น
เมื่อไม่มีน้ำบนหน้าดินหล่อเลี้ยงแปลงนาก็ให้อาศัยแหล่งน้ำใต้ดิน โดยใส่อินทรีย์วัตถุประเภทเศษซากพืชลงไปในดินลึกมากๆ ติดต่อกันหลายๆรุ่น อินทรีย์วัตถุประเภท เศษซากพืชจะช่วยกักเก็บและอุ้มน้ำไว้ในเนื้อดินลึกอยู่ได้นานนับเดือนถึงหลายๆ เดือน
เตรียมอินทรีย์วัตถุประเภทเศษซากพืชไว้ใต้ดิน แนะนำให้เลือกพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วเขียว-เหลือง-แดง-ดำ หรือถั่วปรับปรุงดินของกรมพัฒนาที่ดิน ฯลฯ เนื่องจากเป็นพืชโตเร็ว พันธุ์เบา อายุ 80 วัน.พันธุ์หนัก อายุ 130 วัน (พันธุ์หนักให้ผลผลิตมากกว่าพันธุ์เบา) ต้องการน้ำน้อยมาก ไม่ยุ่งยากในการปลูกและบำรุง เศษซากเปื่อยสลายตัวเร็ว (ภายใน 7-15 วัน).....กรณีถั่วเหลืองนั้นดีมากเพราะมีระบบรากลึกถึง 1-1.20 ม. แผ่ออกทางข้าง 30-50 ซม. ซึ่งรากที่หยั่งลึกลงไปในเนื้อดินนี้ จะช่วยนำร่องให้น้ำจากผิวดินซึมลึกลงไปได้ง่าย...เนื้อที่ 1 ไร่ ปลูกถั่วเหลืองเพื่อเอาผลผลิตให้ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 10-13 กก./ไร่ ซึ่งจะได้ไนโตรเจนมากถึง 45 กก./1 รุ่น แต่ถ้าต้องการเอาเศษซากต้นไถกลบลงดินจำนวนมากๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ 20-25 กก./ไร่ไปเลย ทั้งนี้ที่รากพืชตระกูลถั่วทุกชนิดนอกจากจะมีปมไนโตรเจนแล้ว ยังมีจุลินทรีย์กลุ่มคีโตเมียม.ไรโซเบียม. ไมโครไรซ่า. แอ็คติโนมัยซิส. และอื่นๆ อีกมาก ซึ่งล้วนมีประโยชน์ต่อดิน จุลินทรีย์ประจำถิ่น และพืชข้างเคียงทั้งสิ้น
ต้นข้าวระยะกล้า ผิวดินมีน้ำหล่อ ใส่แหนแดง 2 ปุ้งกี๋ /ไร่ ทิ้งไว้จนกว่าน้ำแห้งลงถึงผิวหน้าดินแหนแดงจะขยายพันธุ์จนเต็มพื้นที่ 1 ไร่ เมื่อน้ำแห้งแหนแดงจะยังคงติดอยู่ที่ผิวหน้าดินแล้วรอเวลาเน่าสลายกลายเป็นไนโตรเจน (อินทรีย์) บำรุงต้นข้าวได้เป็นอย่างดี
43. นาหว่านสำรวย หมายถึง แปลงนาในที่ดอน ไม่มีน้ำหล่อหน้าดิน (หน้าดินแห้งไม่เปรอะเปื้อนเท้า) ทำนาโดยหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้วไถดินกลบ เมื่อฝนตกลงมาเมล็ดพันธุ์ก็จะงอกแล้วเจริญเติบโตตามธรรมชาติภายใต้ปริมาณน้ำฝน ถ้าฝนตกซ้ำก็ดีแต่ถ้าไม่มีฝนตกอีกเลยก็เสียหาย ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติแท้ๆ
44. นาหว่านน้ำตม หมายถึง แปลงนาในที่ลุ่มมีน้ำหล่อหน้าดินตลอดเวลา บางแปลงสามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ บางแปลงควบคุมไม่ได้ ในเมื่อธรรมชาติของต้นข้าวชอบน้ำพอแฉะหน้าดิน แต่นาหว่านน้ำตมมีน้ำมากจนขังค้างโคนต้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องควบคุมปริมาณน้ำให้ได้ด้วยการ สูบเข้า-สูบออก เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของต้นข้าวซึ่งจะส่งผลให้ได้ผลผลิตสูงสุด
45. นาไร่ หรือ ข้าวไร่ หมายถึง นาในที่ดอนหรือบนไหล่เขาที่มีน้ำน้อยหรือไม่มีน้ำหล่อหน้าดิน
(เหมือนาสำรวย) นิยมทำโดย ไถ-พรวน ดินก่อนแล้วใช้วิธีปลูกแบบ หยอดเมล็ดพันธุ์ จากนั้น
ปล่อยให้ต้นข้าวเจริญเติบโตเองโดยอาศัยน้ำฝนและน้ำค้าง
46. นาลุ่ม หรือ นาเมือง หรือ นาข้าวขึ้นน้ำ หมายถึง แปลงนาในพื้นที่ลุ่มก้นกระทะ (ลักษณะทางภูมิศาสตร์)มีน้ำมาก บางแหล่งลึกถึง 3 ม. ซึ่งต้นข้าวก็สามารถเจริญเติบโตให้ผลผลิตได้ นิยมใช้ข้าวพันธุ์โตเร็ว ต้นสูง สามารถทนต่อสภาพน้ำท่วมมิดต้นระยะสั้นๆได้ แล้วเร่งโตจนยอดโผล่พ้นน้ำได้ทันการเก็บเกี่ยวบางปีระดับน้ำมากถึงกับพายเรือเกี่ยวข้าวด้วยมือ เมล็ดข้าวที่ได้มักมีความชื้นสูงมาก
47. นาสวน หมายถึง นาข้าวแบบปักดำด้วยมือที่ระดับน้ำลึกไม่เกิน 80 ซม.- 1 ม. ในฤดูน้ำ
มากแต่ไม่มากเท่านาเมืองหรือนาข้าวขึ้นน้ำ
48. นาขั้นบันได หมายถึง นาบนไหล่เขาที่ดัดแปลงกระทงนาเป็นเหมือนขั้นบันได้เพื่อกักเก็บน้ำ เนื้อดินนาแบบนี้อุ้มน้ำได้ดีระดับหนึ่งแต่ก็อยู่ได้ไม่นานนัก เนื่องจากความลาดเอียงของไหล่เขาที่น้ำต้องไหลหรือซึมจากที่สูงไปหาที่ต่ำเสมอ
49. นาร่องน้ำ หมายถึง นาข้าวริมร่องน้ำในสวนยกร่องน้ำหล่อ มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน นิยมปลูกข้าวเพื่อเอาผลผลิตไว้เลี้ยงสัตว์
50. นอกจาก ข้าวจ้าว-ข้าวเหนียว ที่คนไทยนิยมกินเป็นอาหารหลักแล้ว สภาพภูมิอากาศทางภาคเหนือของประเทศไทยยังสามารถปลูกข้าวมอลท์. ข้าวบาเลย์. สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเบียร์ได้ซึ่งวันนี้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศหรือแม้แต่ข้าวจาปอนนิก้า. สำหรับตลาดญี่ปุ่นก็สามารถปลูกได้เช่นกัน คงจะเป็นการดีไม่ใช่น้อยที่ชาวนาเขตภาคเหนือส่วนหนึ่งจะหันมาปลูก ข้าวมอลท์. ข้าวบาเล่ย์. หรือข้าวจาปอนนิก้า. ซึ่งนอกจากมีตลาดรองรับแน่นอนแล้ว ยังเป็นการลดปริมาณข้าวจ้าว-ข้าวเหนียวที่ต่างก็แย่งตลาดกันเองอยู่ขณะนี้อีกด้วย
51. การติดตั้งสปริงเกอร์แบบหัวหมุน น้ำที่ฉีดพ่นเป็น เม็ดน้ำ+ ละอองน้ำ ในนาข้าวสามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์สปริงเกอร์แบบ ถอด-ประกอบได้ กล่าวคือ ประกอบชุดสปริงเกอร์ก่อนหว่าน/ดำ (ด้วยมือ)หรือหว่าน/ดำ (ด้วยเครื่องจักร)แล้วจึงประกอบสปริงเกอร์ และก่อนเกี่ยวข้าวก็ให้ถอดสปริงเกอร์ออกเพื่อให้รถเกี่ยวเข้าทำงานได้
เปรียบเทียบ.....แปลงผักสวนครัวซึ่งอายุปลูกเพียง 40-45 วัน เนื้อที่ 40-200 ไร่ ติดตั้ง
สปริงเกอร์แล้วต้อง ถอด-ประกอบ ทุก 40-45 วัน สำหรับการปลูกแต่ละรุ่นยังสามารถทำได้ ใน
ขณะที่ข้าวซึ่งอายุปลูกนานถึง 120 วัน จึงไม่น่าจะมีปัญหา หากจะติดสปริงเกอร์แบบ ถอด-
ประกอบ ได้เหมือนสปริงเกอร์ในแปลงผักสวนครัวบ้าง
สปริงเกอร์ (ใช้ปั๊มไฟฟ้า 3 แรงม้า)สามารถให้ น้ำ. สารอาหาร (ธาตุหลัก-ธาตุรองธาตุเสริม-
ฮอร์โมน). สารสกัดสมุนไพร. และอื่นๆ ได้ทุกเมื่อ ณ เวลาที่ต้องการ ด้วยแรงงานเพียง 1-2
คน ภายในเวลาเพียง 3-5 นาที/เนื้อที่ 2 ไร่ (1 โซน)นอกจากนี้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ของเนื้องานยังเหนือกว่าการฉีดพ่นด้วยเครื่องฉีดพ่นทุกประเภทอีกด้วย
หมายเหตุ :
- ภายใต้สภาวะที่แรงงานหายากในปัจจุบัน การติดตั้งสปริงเกอร์แบบ “ถอด-ประกอบ” ได้ด้วยแรงงานในครัวเรือน (2-3 คน)ก็สามารถติดตั้งได้เรียบร้อยพร้อมใช้งานภายในเวลา 2-3 วัน ต่อแปลงเนื้อที่ 10-20 ไร่
- เกษตรกรออสเตรเลีย ติดตั้งสปริงเกอร์แบบโอเวอร์เฮด หรือท็อปกัน แบบถาวร ด้วยการออกแบบติดตั้งไม่ให้กีดขวางการเข้าทำงานของเครื่องจักรกล สปริงเกอร์นั้นอยู่ได้นานนับ 10 ปี โดยไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากเครื่องจักรกลทุกประเภท
52. การผสม น้ำ + สารอาหาร สำหรับให้ทางใบ ให้ได้ประสิทธิภาพของสารอาหารเต็ม 100
เปอร์เซ็นต์นั้น จะต้องปรับค่ากรด-ด่างของน้ำที่ใช้ผสมให้ได้ค่ากรด-ด่าง 6.0-6.5 หรือทำให้น้ำ
เป็นกรดอ่อนๆเสียก่อนจึงใส่สารอาหาร
จากหลักการทางเคมีเบื้องต้นที่ว่า กรด + ด่าง = เกลือ + น้ำ โดยสารอาหารพืชมีสถานะเป็นกรด น้ำที่ใช้ผสมเป็นด่าง เมื่อ กรดกับด่าง ผสมกันจึงมีสถานะเป็นกลาง หรือเสื่อมสภาพนั่นเอง แต่ถ้าได้ปรับสภาพน้ำให้เป็นกรดอ่อนเสียก่อน เมื่อผสมกับสารอาหารจึงเป็น กรดกับกรด ผสมกัน หรือสารอาหารยังคงสถานะเป็นกรดอยู่เหมือนเดิมนั่นเอง
53. ทำนาเอา “โล่” หมายถึง ทำนาได้ข้าว 150 ถัง/ไร่ แต่ลงทุน 5,500 ความที่ได้ผลผลิตสูง
มากจึงได้รับโล่รางวัล ทำนาแบบนี้ไม่สนใจต้นทุน สนใจแต่ชื่อเสียงเท่านั้น (การประกวดนาข้าวกรรมการจะตัดสินแต่ปริมาณผลผลิตข้าวที่ได้ ไม่ได้พิจารณาต้นทุน)
54. ผลจากการทำนาข้าวที่ทำให้เกิดแก๊ส ซึ่งส่งผลต่อสภาวะโลกร้อน ได้แก่ แก๊สจากปุ๋ยเคมีและจากการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือฟอสซิล แต่เมื่อเทียบกับปริมาณแก๊สที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว แก๊สจากนาข้าวน้อยกว่ามาก
55. ข้าวเปลือก 1 ตัน ความชื้น 1 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงมีน้ำปนอยู่ในข้างเปลือก 15 กก.
56. "ข้าวเมาตอซัง" คือ ต้นข้าวตั้งแต่ระยะกล้า - แตกกอ มีอาการต้นเหลือง ใบเหลือง เกิด
จากก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (ก๊าซไข่เน่า) ซึ่งก๊าซนี้เกิดจากการไถกลบฟางแล้วฟางหรือซากวัชพืชที่ย่อยสลายยังไม่เรียบร้อย ..... การตรวจสอบ คือ หลังจากปล่อยน้ำเข้านาพร้อมกับใส่จุลินทรีย์ลงไปส่วนหนึ่งเพื่อการหมักฟาง 7-10 วันแล้ว ให้เดินย่ำลงไปในแปลงนา จะมีฟองอากาศเกิดขึ้น ให้สังเกตุกลิ่นที่ออกมาจากฟอง ถ้ามีกลิ่นหอมหรือไม่มีกลิ่นเหม็น หรือหยิบเนื้อดินขึ้นมาดมจะมีกลิ่นหอม แบบนี้แสดงว่า กระบวนการย่อยสลายเรียบร้อยแล้ว ให้ลงมือทำนาต่อได้เลย .... แต่ถ้าฟองนั้นมีกลิ่นเหม็น หรือหยิบดินขึ้นมาดมแล้วมีกลิ่นเหม็น นั่นคือ กลิ่นของก๊าซไข่เน่า ขืนปลูกข้าวลงไป ต้นข้าวที่โตขึ้นมาจะเป็นโรคเมาตอซัง เทคนิคการแก้ไขเรื่องก๊าซไข่เน่าทำโดยปล่อยน้ำออกจากแปลงให้หมด เหลือน้ำติดผิวดินแค่ระดับรอยตีนวัวตีนควาย แล้วฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วยลงไปให้ทั่วแปลง ทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อให้เวลาจุลินทรีย์มีประโยชน์กำจัดก๊าซไข่เน่า จากนั้นให้เดินย่ำลงไปในแปลงตรวจสอบกลิ่นดินซ้ำอีกครั้ง ถ้ายังคงมีกลิ่นเหม็นเหมือนเดิมอยู่ ให้ฉีดพ่นซ้ำจุลินทรีย์หน่อกล้วย แล้วทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ให้ตรวจสอบซ้ำอีก ทำซ้ำอย่างนี้หลายๆรอบจนกว่าจะหมดกลิ่น.....แต่ถ้าหลังจากใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วยครั้งแรก ครบกำหนดแล้วตรวจสอบ ไม่มีกลิ่นก๊าซไข่เน่า ก็ให้ปล่อยน้ำเข้าแล้วลงมือทำเทือกได้เลย
วิธีป้องกันการเกิดไข่เน่าวิธีหนึ่ง คือ ก่อนไถกลบฟาง ให้เอาฟางออกตรึ่งหนึ่ง หรือเอาออก 3 ใน 4ส่วนของฟางที่มีทั้งหมด ทั้งนี้ การมีปริมาณฟางมากๆ ต้องใช้เวลาในการย่อยสลายนานมากกว่าการมีฟางน้อยๆ ดังนั้น ชาวนาจะต้องพิจารณา เอาฟางออกหรือเอาฟางไว้ทั้งหมด ด้วยความเหมาะสม
57. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นข้าวที่ "ใบ" .....ลักษณะใบใหญ่ หนา เขียวเข้ม ตอนเช้า
7-9 โมง ใบธงไม่มีอาการโค้งงอลง ใช้ท้องแขนกดลงที่ปลายใบ (ให้ปลายใบแทงท้องแขน) จะ
รู้สึกเจ็บที่ท้องแขน
58. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นข้าวที่ "ราก" ..... ถอนต้นข้าวทั้งต้นขึ้นมาดูราก ถ้ามี
รากขาวมากกว่ารากดำ มีจำนวนมาก ขนาดความยาวเท่าครึ่งหนึ่งของลำต้น แสดงว่าระบบรากดี ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีรากดำมากกว่ารากขาว จำนวนรากน้อย รากสั้น แสดงว่าต้นไม่สมบูรณ์กรณีนี้ควรเปรียบเทียบระหว่างต้นที่โตสมบูรณ์ กับต้นที่มีลักษณะแคระแกร็น ก็จะเห็นความแตกต่างชัดเจน
59. ต้นข้าวต้องการสารอาหาร (ปุ๋ย) 14 ตัว ประกอบด้วย ธาตุหลัก 3 ตัว ธาตุรอง 3 ตัว และ
ธาตุเสริม 9 ตัว.....การใส่ปุ๋ยยูเรียทำให้ต้นข้าวได้รับปุ๋ยเพียงไนโตรเจนเพียงตัวเดียว กับใส่
16-20-0 ก็จะได้ไนโตรเจน.กับฟอสฟอรัส.เท่านั้น....ชาวนาที่ใส่ยูเรีย 1 กส.(50 กก.)
ใส่ 16-20-0 อีก 1 กส. (50 กก.) ใส่ 2 สูตรรวม 100 กก. ต้นข้าวก็ยังได้ปุ๋ยเพียง 2
ตัวเท่านั้น
60. ลักษณะ เด่น/ด้อย ทางพันธุกรรม เกิดจากการนำพันธุ์ข้าว 2 สายพันธุ์มาผสมกันให้เป็นข้าว
สายพันธุ์ใหม่ตามต้องการ ระหว่าง 2 สายพันธุ์ที่นำมาผสมกันนี้ แต่ละสายพันธุ์ย่อมมีทั้ง "ลักษณะด้อย และ ลักษณะเด่น" ทางสายพันธุ์ ซึ่งลักษณะใดลักษณะหนึ่งของสายพันธุ์หนึ่งอาจไปปรากฏในสายพันธุ์ที่ถูกผสมขึ้นมาใหม่ได้ การแก้ปัญหาลักษณะด้อยประจำสายพันธุ์สามารถทำได้โดยการ "เน้น" สารอาหารเพื่อบำรุงส่วนนั้นโดยตรงให้มากขึ้น เช่น สายพันธุ์ที่เปอร์เซ็นต์เป็นเมล็ดลีบสูง แก้ไขด้วยการให้ธาตุสังกะสี สายพันธุ์ที่มีอัตราการแตกกอน้อย แก้ไขด้วยการธาตุอาหาร P และ K สูงในช่วงแตกกอ เป็นต้น การเน้นสารอาหารเพื่อให้พืชได้รับมากเป็นกรณีพิเศษ ควรให้ทางรากโดยใส่ไว้ในเนื้อดินตั้งแต่ตอนทำเทือก หลังจากนั้นจึงให้เสริมทางใบเป็นระยะ สม่ำเสมอ
สาเหตุอื่นที่ทำให้ข้าวเป็นเมล็ดลีบ เช่น ข้าวระยะออกดอก ระยะตากเกสร ระยะน้ำนม ถ้าสภาพอากาศอุณหภูมิผิดปกติ (หนาว-ร้อน กว่าปกติ)การพัฒนาของต้นจะชงัก แก้ไขด้วยการให้ธาตุสังกะสี โดยให้แบบล่วงหน้าและระหว่างอุณหภูมิผิดปกติ
61. การให้แคลซียม โบรอน ทางใบแก่ต้นข้าวก่อนเกี่ยว 7-10 วัน จะทำให้ระแง้คอรวงเหนียว
เครื่องเกี่ยวสลัดเมล็ดข้าวไม่หลุด
62. การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภท "ยาฆ่า-ยาคุม" หญ้า/วัชพืช ทุกชนิดในนาข้าว จะส่งผลให้
ต้นข้าวชงักการเริญเติบโต 7-15 วัน แล้วแต่ความเข้มข้นของสาร แนวทางแก้ไข คือ หลังจากฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชไปแล้ว 3 วัน (วัชพืชเริ่มใบเหี่ยว) ให้ฉีดพ่นสารอาหาร แม็กเนเซียม +
สังกะสี + น้ำตาลทางด่วน ที่ต้นข้าว ฉีดพ่น 2 รอบ ห่างกันรอบละ 3 วัน ต้นข้าวจะไม่ชงักการเจริญเติบโตแล้วโตต่อตามปกติ
ขอบคุณข้อมูล
http://www.kasetloongkim.com/