เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 21:05:58
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  {{ เรื่องของข้าว การทำนาและเกษตรผสมผสาน }}
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 [28] 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 ... 95 พิมพ์
ผู้เขียน {{ เรื่องของข้าว การทำนาและเกษตรผสมผสาน }}  (อ่าน 407122 ครั้ง)
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #540 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 13:44:21 »

นาข้าวอินทรีย์ทุ่งลอ ตำบลหงส์หิน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา

ปัจจุบัน นาข้าวอินทรีย์ทุ่งลอ มีเนื้อที่เกือบ 6,000 ไร่ มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมโครงการถึง 268 ครอบครัว แบ่งได้เป็น  4 กลุ่ม คือ กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านศรีจอมแจ้ง ข้าวอินทรีย์บ้านเกี๋ยง 1 ข้าวอินทรีย์บ้านเกี๋ยง 2 และกลุ่มข้าวอินทรีย์ 2000 พวกเขาร่วมกันผลิตข้าวอินทรีย์ป้อนเข้าสู่ตลาดได้เกือบ 3,000 ตัน ต่อปี สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ถึงปีละ 40 ล้านบาท

 เกษตรกรพอใจนาข้าวอินทรีย์   

 สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น         

“กาจ ปัญญาหล้า” ประธานกลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านศรีจอมแจ้ง 78 หมู่ที่ 1 ตำบลหงส์หิน อำเภอจุน จังหวัดพะเยา โทร. (089) 561-6316 คุณกาจ เป็นตัวแทนเกษตรกรกลุ่มแรกที่บุกเบิกปลูกข้าวอินทรีย์ ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกปลูกข้าวอินทรีย์ ประมาณ 10 ไร่ จนถึงวันนี้ได้ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 60 ไร่ เพราะพึงพอใจกับผลตอบแทนที่ได้รับ

IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #541 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 21:50:56 »

เย็นนี้ไปนาไปตัดหญ้ากำลังกายนิดหน่อยและแวะสำรวจแปลงนาครับ  พบดักแด้ของแมลงจำนวนมากครับ บางจุดก็พบหลายสิบตัวครับ  ทายสิครับว่าตัวนี้คือตัวอะไร............. ฮืม  ฮืม


* IMG_0326.JPG (29.97 KB, 480x640 - ดู 581 ครั้ง.)

* IMG_0334.JPG (40.07 KB, 480x640 - ดู 518 ครั้ง.)

* IMG_0359.JPG (37.31 KB, 480x640 - ดู 536 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #542 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:04:10 »

คำตอบครับ...คือแมลงปอครับ ซึ่งที่เห็นเป็นการลอกคราบของตัวโม่ง ซึ่งเป็นตัวอ่อนของแมลงปอนั่นเอง ซึ่งจัดเป็นตัวห้ำในแปลงนา เป็นแมลงที่มีประโยชน์ครับ แมลงปอสามารถมองเห็นภาพได้กว้างถึง 360 องศา ถือเป็นแมลงที่มีประสาทการมองเห็นได้ดีที่สุด

แมลงปอ มีขากรรไกรล่างที่แข็งแรง แหลมคม มีขนาดใหญ่ จับแมลงต่าง ๆ เช่น ยุง, แมลงวัน, ตัวต่อ, ผีเสื้อ แม้กระทั่งแมลงปอด้วยกัน กินเป็นอาหารด้วยเล็บเท้า สามารถบินได้เร็วถึง 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้วยแรงส่งของลม และกระพือปีกประมาณ 500 ครั้ง/1 วินาที และสามารถบินสูงได้นับเป็นร้อยเมตร

แมลงปอ เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยมีอายุสั้น โดยมีอายุขัยโดยเฉลี่ยเพียง 7-8 สัปดาห์เท่านั้น

ตัวอ่อนแมลงปอ ที่เรียกว่า "ตัวโม่ง" อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไป ลักษณะแตกต่างจากแมลงปอตัวเต็มวัย เพราะแมลงปอตัวเมียวางไข่ในน้ำ หรือตามพืชน้ำ ตั้งแต่ 500-หลายพันฟอง ตามแต่ละชนิด ตัวอ่อนแมลงปอจะลอกคราบประมาณ 10-15 ครั้ง จึงเป็นตัวเต็มวัย กินตัวอ่อนของแมลงน้ำและลูกอ๊อดเป็นอาหาร บางครั้งก็กินพวกเดียวกันเอง รวมทั้งปลาขนาดเล็ก ด้วยขากรรไกรขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาพุ่งจับเหยื่อได้ด้วยเวลาเพียง 20 มิลลิวินาที เมื่อจับเหยื่อได้แล้วจะจีบฉีกเป็นชิ้น ๆ และกินทั้งเป็น ตัวอ่อนแมลงปอหายใจด้วยอวัยวะที่คล้ายกับปอดที่อยู่บริเวณหาง ตัวอ่อนแมลงปอเคลื่อนใหวโดยการใช้ขาพายน้ำและการพ้นน้ำออกจากก้นเหมือนไอพ่นเพื่อให้เองตัวพุ่งไปข้างหน้า ตัวอ่อนแมลงปอใช้ชีวิตนานอยู่ในน้ำนานไม่เท่ากัน แตกต่างกันตามแต่ชนิด บางชนิดใช้เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่บางชนิดใช้เวลานานหลายปี จากนั้นจะไต่ตามต้นพืชจากน้ำมาลอกคราบและผึ่งปีกเพื่อจะกลายเป็นตัวเต็มวัย ด้วยแรงดันในร่างกาย ซึ่งระยะเวลาในการลอกคราบใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อก่อนจะบิน แมลงปอจะสั่นตัวเพื่อสูบฉีดเลือดเข้าสู่ปีก เพื่อเตรียมพร้อมที่จะบินเป็นครั้งแรกในชีวิต ขณะที่เปลือกลำตัวเก่าก็จะถูกทิ้งไว้กับต้นพืช แมลงปอมักผึ่งปีกในเวลากลางคืน รุ่งขึ้นเมื่อปีกแห้งก็สามารถบินได้

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า  หากการทำนาของเราเมื่อเรามีการกำจัดหอยเชอรี่ด้วยยาฆ่าแมลงก็จะเป็นอันตรายต่อตัวโม่งไปด้วย รวมทั้งตัวห้ำอื่น ๆ   แม้แต่การฉีดพ่นยาฆ่าแมลงก็จะเป็นการทำลายระบบนิเวศน์ในนาข้าวด้วยเช่นกันอยากให้ธรรมชาติควบคุมกันเอง หรืออยากเหนื่อยพ่นยาฆ่าแมลงล่ะครับ


* IMG_0350.JPG (50.95 KB, 700x525 - ดู 527 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #543 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:11:52 »

ช่วงนี้ไม่ได้เอาน้ำเข้านาแล้วครับ ปล่อยให้น้ำลดระดับลงเพื่อเตรียมพร้อมในการแตกกอ หากน้ำในนามีมากการแตกกอก็น้อยครับ ข้าวโตมากขึ้นมากไม่ต้องกลัวเรื่องหญ้าเกิดใหม่เพราะใบข้าวจะไปบังแสงทำให้หญ้าเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่หญ้าก็จะต้นเล็กครับเสร็จหอยเชอรี่กินเรียบครับ แต่พอดินแห้งหอยเชอรี่ก็อยู่ไม่ได้เช่นกันครับ ต้องปิดฝาก็ต้องมุดฝังตัวในดินต่อครับ


* IMG_0330.JPG (61.15 KB, 700x525 - ดู 543 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #544 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:16:29 »

ปล่อยให้น้ำลดระดับบ้าง รากข้าวก็จะได้สัมผัสอากาศมากขึ้น และหากปล่อยให้ดินแห้ง รากข้าวก็จะยาวขึ้นเพื่อหาน้ำใต้ดิน


* IMG_0316.JPG (57.36 KB, 700x525 - ดู 581 ครั้ง.)

* IMG_0329.JPG (69.39 KB, 700x525 - ดู 548 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #545 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:24:52 »

ช่วงนี้ทำสัญญาสงบศึกกับหอยเชอรี่ไว้ก่อนครับ เพราะต้นข้าวโตแล้วหอยเชอรี่จะไม่กิน จะใช้ต้นข้าวเพียงเพื่อวางไข่เท่านั้น เมื่อหอยเชอรี่ไม่สามารถกินต้นข้าวได้ หอยเชอรี่ก็จะหันมากินหญ้าแทนโดยเฉพาะหญ้าที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งก็เป็นการช่วยกำจัดวัชพืชในนาได้อีกทาง หอยเชอรี่กินเก่งหรือไม่คงไม่ต้องบอกครับรู้ ๆ กันอยู่ครับ  ผมสังเกตุในแปลงนาหอยเชอรี่หลาย ๆ ตัวกำลังกินหญ้าอยู่ครับ


* IMG_0353.JPG (38.56 KB, 700x525 - ดู 520 ครั้ง.)

* IMG_0354.JPG (44.59 KB, 700x525 - ดู 516 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #546 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:34:59 »

ใบข้าวในนาตอนนี้ครับ ขนาดพึ่งเริ่มแตกกอ หากแตกกอเสร็จใบข้าวจะหนาแน่นมากกว่านี้นั่นคือส่งสัญญาณว่าเราจะต้องดูแลเอาใจใส่มากขึ้นเพราะเมื่อใบข้าวหนาแน่นก็มีโอกาสเกิดโรค และแมลงมากขึ้น การไปนาจึงต้องหมั่นสำรวจและป้องกันแก้ไข โชคดีที่นาปรังฝนไม่ตกบ่อย แต่หากเป็นนาปีแล้วการปล่อยให้ต้นข้าวขึ้นหนาแน่นจะควบคุมโรคได้ยากครับ


* IMG_0332.JPG (80.41 KB, 700x525 - ดู 519 ครั้ง.)

* IMG_0347.JPG (53.03 KB, 700x525 - ดู 523 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #547 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2013, 22:51:55 »

สังเกตุใบข้าวแต่ละจากภาพไหมครับ จะมีน้ำเกาะนั่นคือกระบวนการคายน้ำของต้นข้าวครับ การคายน้ำ เป็นการแพร่ของน้ำออกจากใบของต้นข้าวโดยผ่านทางปากใบ โดยทั่วไปปากใบปิดเวลากลางคืนและเปิดในเวลากลางวัน การคายน้ำมีความสำคัญในด้านการควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำในต้นข้าว ทำให้น้ำเคลื่อนที่จากด้านล่างขึ้นไปด้านบนมากขึ้นเรื่อยๆ ควบคุมการดูดซึมธาตุอาหารของต้นข้าว เพราะธาตุอาหารที่ต้นข้าวนำไปใช้ได้ต้องอยู่ในรูปที่ละลายน้ำ ทำให้อุณหภูมิของใบลดลง โดยลดความร้อนที่เกิดจากแสงแดดที่ใบ ในกรณีที่ในอากาศอิ่มตัวด้วยน้ำ มีความชื้นสูง การคายน้ำเกิดขึ้นได้น้อย แต่การดูดน้ำของรากยังเป็นปกติ ต้นข้าวหรือพืชทั่วไปจะเสียน้ำในรูปของหยดน้ำเรียกว่ากัตเตชัน (guttation) ซึ่งพืชแต่ละชนิดรวมถึงต้นข้าวไม่สามารถคายน้ำในสภาพที่แดดจัดเพราะอาจเสียน้ำมากเกินไปและเหี่ยวก่อนที่รากจะลำเลียงน้ำได้ทันเราจึงมักเห็นภาพหยดน้ำแบบนี้ในช่วงเช้าหรือเย็น ๆ  จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องพ่นฮอร์โมนหรือให้ปุ๋ยทางใบในช่วงนี้นั่นเอง


* IMG_0333.JPG (65.27 KB, 700x525 - ดู 554 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
~ lทวดาไร้ปีก ~
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 609



« ตอบ #548 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 00:32:36 »

เมื่อวานสมาชิกเชียงรายโฟกัส คุณ ~ lทวดาไร้ปีก ~ ได้ไปเยี่ยมชมนาของคุณ ลุงทองคำ อินพรม  ที่แม่สายมาครับ เผื่อใครจะไปดูงานบ้างก็น่าจะได้ความรู้ดี ๆ ครับ แถมได้แหนแดงกลับบ้านด้วย


มายืนยันว่าได้ความรู้แน่นอนครับ นั่งคุยกันแบบกันเองกับบรรยากาศที่ลืมไม่ลง แหนแดงตอนนี้ลงนาเรียบร้อยแล้วครับ
IP : บันทึกการเข้า


Thanks: ฝากรูป [url=http
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #549 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 14:54:12 »

เกษตรอินทรีย์ วิถีคนรุ่นใหม่ ตอน ฉันจะเป็นชาวนา งานวันเกษตรแห่งชาติ ๒๕๕๔ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี




IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #550 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 16:31:50 »

วันศุกร์แล้วครับ เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุดจะได้มีเวลาเป็นชาวนาวันหยุดแล้วครับ  ยิ้มกว้างๆ ที่ทำงานผมที่ทำอยู่ค่อนข้างสบาย  เงินเดือนค่าตอบแทนก็พอสมควร ชอบที่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์ต่างจากบริษัทหลาย ๆที่ในเชียงรายที่ต้องทำงานวันเสาร์ด้วย ใครขยันก็สามารถมาทำโอทีเสาร์อาทิตย์ได้  ผมเลือกทำเกษตรที่บ้านดีกว่ามีกิจกรรมสนุก ๆ ที่ต้องทำหลายอย่าง  สำหรับวันเสาร์อาทิตย์นี้ต้องบริหารเวลาพอสมควรเพราะต้องทำทั้ง

- ตัดหญ้าคันนา
- ใส่ปุ๋ยในนา
- ทำเล้าเลี้ยงไก่ไข่ให้แม่

อีกหน่อยก็จะปรับปรุงที่นาให้มีความผสมผสานมากขึ้นคล้ายกับเกษตรทฤษฎีใหม่  ตอนนี้ก็ลองปลูกมะนาวที่บ้านไปด้วยแม้จะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องมะนาวเลยก็กำลังศึกษาอยู่ตอนนี้กำลังออกลูกแล้วครับอีกหน่อยหากทำได้ดีอาจขยายพื้นที่ไปปลูกตามคันนาด้วยครับ โดยอาจขยายคันนาให้กว้างซัก 2 ม.กว่า ๆ และปลูกในวงบ่อซีเมนต์เผื่อจะมีรายได้เสริมไปด้วยครับ ในส่วนพื้นที่นาที่ลดลงไปหากเราทำได้ดีผลผลิตก็เพิ่มขึ้นได้ หรืออาจมีเครื่องสีเองขายเป็นข้าวสารแทน หรือทำข้าวพันธุ์ขายก็ได้เพื่อให้มีรายได้จากข้าวเท่าเดิม ผมค่อนข้างโชคดีที่มีญาติรับราชการเป็นหัวหน้ากลุ่มพัฒนาธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว จึงสามารถไปขอความรู้และปรึกษาได้ง่ายครับแกเคยบอกให้ผมทำนาดำตั้งแต่ตอนเริ่มทำนาแล้วแต่ผมยังทำนาหว่านอยู่ตอนนี้รู้แล้วครับว่าทำไมแกถึงบอกอย่างนั้น


* IMG_0283.JPG (47.08 KB, 700x525 - ดู 496 ครั้ง.)

* IMG_0284.JPG (45.76 KB, 700x525 - ดู 523 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
chate
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,023


« ตอบ #551 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 19:23:47 »

แวะมาอ่านหน้าที่ผ่านมาห้ามเข้าอันตราย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #552 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 20:27:59 »

มาดูฝรั่งทำนาทำเกษตรในไทยบ้างครับ คุณมาร์ติน วิลเลอร์ พูดถึงสังคมคนอังกฤษกับคนไทยบ้างทำให้เรารู้สึกโชคดีมากที่เกิดเป็นคนไทยครับ



ประวัติ
ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University
ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน

*** ผมเป็นชาวอังกฤษ
เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร พ่อจบปริญญาเอก เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐ กว่าคน แม่จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน ผมจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็กๆ ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็กๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง เป็นพวกหอคอยงาช้าง ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อยๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

*** ปฏิวัติค่านิยมเก่า
ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่ อยากมีบ้านเล็กๆ อยากมี ครอบครัวเล็กๆ ที่มีความสุข ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่ายๆ เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้ แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ

แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง มี่กี่คัน คุณมีบ้านใหญ่ ขนาดไหน ลูกของคุณเรียนที่ไหน เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่ที่รู้แน่ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริงๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต ๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้ ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

*** พ่อแม่และผม
ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมคิดว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิดๆ หน่อยๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมาคือประเทศไทย

*** ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้ ๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริงๆแล้ว ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู เอาเสื้อผ้าดีๆ เนคไทดีๆให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทย ก็แปลกดีเหมือนกัน เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉยๆ ผมก็ละอายใจ ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาทแบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็น เอาเงินให้ผมเฉยๆ ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ

*** เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข
ผมมีอุดมการณ์เล็กๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ

๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒.จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
๓.จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเองคือ ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไปเที่ยว ไปกินเหล้า ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

*** หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวัง
ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วย จะไปนั่งกินเหล้าเฉยๆ ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ๆ ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมือง ไปอยู่บ้านนอก แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดขอนแก่น ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยาย เห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้ เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะ แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่ กลางเมืองใหญ่ๆ จะเป็นคนจนที่สุด ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวย ถึงขั้นจริงๆ เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า
เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยมคือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็กๆ คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว ทำให้มีคนจนเยอะ ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้ ปัญหาของคนยากจนคือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

*** แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต
ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบาก ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้ แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก ๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้ เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่ ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย

บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่า ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้ ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรีๆ ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า ๑.สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี ๒.ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้ มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

*** นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่

ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า

๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริงๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ๆ ด้วย เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปีตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อนๆ ไม่เอาๆ อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว

*** วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์
ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ ๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ ๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด คืองานเกษตรซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยาก ให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เพราะว่าสะอาด จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลัง ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็กๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้ คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี ไม่มียาเสพติด ไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่ ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้น มันก็ดีนะ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ลูกผมเรียน หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขามีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)

แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่า เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้น ฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็นคน มีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมากๆ เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจ ถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่

*** วิเคราะห์เจาะลึกอีสานบ้านเฮา
ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง สอนภาษาอังกฤษ เขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอาๆๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เขายังไม่บอกผมเลย ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษ เพื่ออะไร

สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ ที่ไม่เป็น ประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า เอาไว้รับจ้างเฉยๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูงๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ ๑.ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย ๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย ๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้ ๔. ไปอยู่ในเมือง ๕. ไปรับจ้างเขา ๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย ที่จะช่วยให้เขา ได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

*** จุดอ่อนจุดแข็งของคนไทย
ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนา ระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มากๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใครๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่ คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ เหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริงๆ แล้วศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติโดย ไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

*** อยากบอกอะไรคนไทย
คุณโชคดีมากๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #553 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 20:45:29 »

มาดูชาวญี่ปุ่นบ้างครับ "ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ" : วิพากษ์ชาวนาไทยในมุมมองเกษตรกรญี่ปุ่น

๑   "ถ้าคุณอยากเห็นอนาคตการเกษตรของไทยในอีก 20 ปี ก็ให้มองการเกษตรญี่ปุ่น"



๒   "ชาวนาต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นสูญพันธุ์กันหมด"



๓    "เชื่อเถอะว่า เด็กที่เรียนเกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทย ไม่มีทางที่จะกลับมาทำการเกษตรของตนเอง พวกเขาต้องการทำการเกษตรกับบริษัท"



๔    "จนถึงเดี๋ยวนี้ มีการควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้วกว่า 70%เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทใหญ่ยึดพันธุ์ข้าวไปหมดแล้ว"



๕   "ในความคิดของผม ผมเชื่อว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย"




๖    "ข้าวแพง...คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มนายหน้า พ่อค้านายทุน...มันกลายเป็นเพียงเกม ส่วนชาวนาต้องรับกรรม"

"ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ" คือเกษตรกรชาวญี่ปุ่นที่ทำการเกษตรในเมืองไทยมากกว่า 25 ปี เป็นประธานมูลนิธิศูนย์อบรมเกษตรกรรมและอาชีพ มีพื้นที่ทำการเกษตรกว่า150 ไร่ ตั้งอยู่อยู่ระหว่างทางบ้านสักลอ - พวงพะยอม ต.หงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา ซึ่งในช่วง 25 ปีที่ ดร.มิซาบุโร ทานิกุจิ ได้ทำฟาร์มระบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างชาวนาไทยและญี่ปุ่น และนี่คือมุมมองของเขา ที่ทำให้คนไทยมองเห็นองศาความคิดที่แตกต่าง ระหว่างไทยและญี่ปุ่นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น


มิซาบุโร ทานิกุจิ
ประธานมูลนิธิศูนย์อบรมเกษตรกรรม จ.พะเยา

ผู้ก่อตั้งฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21
ฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21 คืออะไร

F.C.21 หรือ ฟาร์มแห่งศตวรรษที่ 21 คือต้นแบบแหล่งผลิตอาหารเพื่อชาวโลกในอนาคต เพราะทุกวันนี้อาหารมีไม่พอสำหรับชาวโลก และอีกประการหนึ่งคือ มันเป็นการทำประโยชน์ หากเราอยู่ประเทศญี่ปุ่นผมกลายเป็นคนแก่ที่ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเราอยู่เมืองไทยผมสามารถทำประโยชน์ได้มากกว่า

โดยเมื่อ 25 ปีก่อน ผมทำฟาร์มที่จังหวัดเชียงราย ตอนนั้นฝึกแต่ชาวเขา ซึ่งหลังจากทำการเกษตรมาหลายปี เราก็อยากขยาย อยากทำงานให้มากกว่าเดิม ก็เลยหาสถานที่ใหม่ ดังนั้นอีก 8 ปีต่อมาผมจึงย้ายสถานที่มาอยู่ระหว่างทางทาง บ้านสักลอ - พวงพะยอม ต.หงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา ตอนนี้นับเวลารวมกันได้ 25 ปีแล้ว ตอนที่ย้ายมาที่นี่กันดารมาก ที่ดินยังเป็นลูกรังอยู่เลย แต่เป้าหมายของเราคือ การทำการเกษตร ปลูกข้าว ทำสวน ทำปุ๋ยหมัก ฯลฯ 

เกษตรกรญี่ปุ่นกับไทยต่างกันเพียงใด

ความต่างข้อแรก เป็นเรื่องความรู้ เมื่อ 25 ปีก่อน คนญี่ปุ่นสามารถอ่านออกเขียนได้กันแทบทุกคน พวกเขาสามารถศึกษาเรื่องเทคนิค ด้านการเกษตรได้มาก แต่สำหรับคนไทย ตอนนั้นเกษตรกรที่อ่านหนังสือไม่ออกยังมีอยู่ และถึงมีพวกเขาก็ไม่ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเกษตร

จุดสำคัญยังมีอีกอย่างคือ ชาวญี่ปุ่น มีการเปรียบเทียบความรู้ระหว่างกัน อย่างน้อยหนึ่งวันหรือสองวันก็มีการไปเยี่ยมพื้นที่การเกษตรระหว่างกัน ส่วนคนไทยพอมีงานพอมีการพบปะกัน ก็คุยกันเรื่องอื่น ไม่มีการคุยเรื่องการเกษตร แต่คนไทยก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน

ถ้ามองในด้านเทคโนโลยีเราจะเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่เมืองไทย เราจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เริ่มจากควาย เป็นรถไถ เป็นแทร็กเตอร์ มีเครื่องเกี่ยว เครื่องดูดข้าว และจะมีเครื่องมืออื่นอีกมากมายในอนาคต แต่ยังเทียบกับญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะเรามีเครื่องมือที่พร้อมกว่า เกษตรกรญี่ปุ่นสามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยทำงานได้ โดยเฉลี่ยคนญี่ปุ่น 1 คน สามารถทำนาได้ 50 ไร่

สำหรับคนไทยยังใช้มือทำ ถ้าคุณอยากเห็นอนาคตการเกษตรของไทยในอีก 20 ปี ก็ให้มองการเกษตรญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ทุกคนก็เจอปัญหาเหมือนกัน เพราะราคาน้ำมันแพง ชาวนาญี่ปุ่น ชาวนาไทย ตอนนี้เดือดร้อนเรื่องต้นทุนการผลิตเหมือนกัน

มีความเห็นอย่างไร เรื่องลูกหลานชาวนาไม่ยอมทำนา
อันนี้มันเป็นปัญหาของสำคัญทั่วโลก ประเทศไทยไม่แตกต่างจากญี่ปุ่น เรื่องคนหนุ่มเลือกอย่างอื่น ตอนนี้อายุเฉลี่ยของชาวนาญี่ปุ่นอยู่ที่ 61 ปี ตอนนี้คนไทยก็คงอยู่ประมาณ 45 ปี มันสะท้อนให้เห็นเลยว่า ชาวนาต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นสูญพันธุ์กันหมด เชื่อเถอะว่า เด็กที่เรียนเกี่ยวกับการเกษตรในประเทศไทย ไม่มีทางที่จะกลับมาทำการเกษตรของตนเอง พวกเขาต้องการทำการเกษตรกับบริษัท แต่เดี๋ยวนี้นักศึกษาหลายคนของญี่ปุ่นหลายคน มีความสนใจในการทำการเกษตรมากกว่าเดิม มีหลายคนบอกว่าเมื่อทำงานจบแล้วจะกลับมาทำเกษตรกรรมแล้วมองการรวมตัวของเกษตรกรไทยในตอนนี้อย่างไรบ้าง

รัฐบาลไทยความจริงมีการส่งเสริมด้านการเกษตรกรรมมาก รัฐสนับสนุนมาก แต่กลุ่มเกษตรกรไม่ไขว่คว้ามันเป็นเพียงการรวมตัวเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น ไม่มีความเหนียวแน่นเลย อย่างช่วงที่ผ่านมา ที่ศูนย์มีการอบรมเรื่องสารเคมี โดย ธกส. หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นคนออกค่าใช้จ่าย แต่ปรากฎว่า หลังการอบรม ไม่มีใครใช้ประโยชน์จากการอบรมเลย ยังหาคนทำปุ๋ยหมักไม่มีเลย นี่ทำให้เห็นความหละหลวมของการรวมกลุ่มของเกษตรชาวไทย

ยิ่งถ้าพูดถึงเรื่องพันธุ์ข้าว มันกลายเป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้วเรื่องกลุ่มทุน ไม่ต้องมองที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ แต่ไปมองที่โลกตะวันตก มองอเมริกา ผมนั่งอ่านนิตยสารของญี่ปุ่นฉบับหนึ่งชื่อว่า World Watch เขาบอกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จนถึงเดี๋ยวนี้ มีการควบคุมเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้วกว่า 70% เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทใหญ่ยึดพันธุ์ข้าวไปหมดแล้ว 

อย่าง GMOs หรือการตัดต่อพันธุกรรมพืช ถ้าหากว่ามันต้องใช้ ใช้แล้วไม่มีผลกระทบมันก็ต้องลองดู แต่ในความคิดของผม ผมเชื่อว่าเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย แม้จะได้ข้าวน้อยกว่า แต่ประโยชน์ของข้าว ของคนที่รับประทานข้าวมีมากกว่า

ส่วนตัวผม ราคาข้าวไม่มีผลกระทบกับมูลนิธิหรอก เพราะมูลนิธิส่งผลผลิตที่ได้ขายให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย 22 ตันต่อปี ส่วนปี 51 เรารับยอดเพิ่มขึ้นเป็น 30 ตัน โดยมีการประกันราคาข้าวให้กับเกษตรกรที่ทำนาระบบอินทรีย์ราคากิโลกรัมละ 13 บาท เรื่องราคาข้าวไม่มีผลกระทบกับเราเลย

ส่วนราคาข้าวแพงปัจจุบันนั้น ถามว่าเกษตรกรได้ขายตามราคานั้นจริงหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ ชาวนาขายข้าวไปตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน ธันวาคม เมือปี 2550 แล้ว

ตอนนี้ราคาข้าวมันก็เหมือนกับตลาดหุ้น มีการปั่นราคา เป็นเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มพ่อค้าคนกลางรายใหญ่ ยิ่งได้รับประมูลข้าวมาก ก็ยิ่งได้มาก มันกลายเป็นเพียงเกม ส่วนชาวนาต้องรับกรรม


* misaburo_taniguchi.jpg (107.66 KB, 550x366 - ดู 498 ครั้ง.)

* misaburo-taniguchiPhayao-2.jpg (34.93 KB, 333x500 - ดู 536 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
adrenaline85
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,677


« ตอบ #554 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 20:48:03 »

เป็นกำลังใจหื้อครับ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #555 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 21:52:04 »

ไปนาเย็นนี้ครับแมลงปอบินว่อนเต็มทุ่งนาเลยหลายพันตัว ดูตามใบข้าวก็เกาะอยู่เต็มครับยามรักษาการของเรา   ที่ไหนแมลงปอเยอะ หนอนผีเสื้อก็จะพบน้อยครับ ทำให้หมดปัญหาเรื่องการระบาดของหนอนต่าง ๆ เช่นหนอนกอ หนอนกระทู้ หนอนห่อใบข้าวต่าง ๆครับ


* IMG_0381.JPG (70.8 KB, 700x525 - ดู 549 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 22:40:08 โดย ubuntuthaith » IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #556 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 21:58:50 »

ถ่ายรูปหยดน้ำที่เกิดจากการคายน้ำของต้นข้าวครับ พยายามปรับโหมด Macho แล้วหากจะชัดกว่านี้ต้องเอาขาตั้งกล้องไปครับ กล้องราคาพันกว่า ใช้งานมา 3 ปีกว่าจนไฟล์รูปมันนับวนมารอบกว่าแล้วครับประมาณหมื่นกว่ารูปกล้องนี้ไปเที่ยวมาหลายประเทศแล้วคุ้มครับ  ยิ้มกว้างๆ  ยิ้มกว้างๆ


* IMG_0385.JPG (50.23 KB, 700x525 - ดู 494 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #557 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 22:30:14 »

แปลงนาข้าวที่ติดกันครับทำนาหว่านเหมือนกันแกใส่ปุ๋ยค่อนข้างมากนา 24 ไร่เห็นแกใส่ปุ๋ยอยู่ 3 วันกว่าแสดงว่าต้องใส่มาก ๆเลยใช้เวลานาน  ผม 22 ไร่ใส่ไม่ถึงครึ่งวัน ใส่ปุ๋ยมากส่งผลให้ต้นเขียวเข้มในทางวิชาการว่าดีแต่เมื่อใส่มากจนเกินไปนอกจากเปลืองต้นทุนแล้วยังส่งผลให้ใบยาวง้มทำให้ใบต้นข้าวแต่ละต้นบังกันทำให้การสังเคราะห์แสงไม่ดีแถมร่มเงายังเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงศัตรูข้าว เชื้อราก็เกิดได้ง่ายอีกด้วยเพราะอากาศถ่ายเทได้ยาก  กลับมาดูที่แปลงนาแปลงนี้ต่อครับ แยกออกไหมครับว่าต้นไหนข้าว ต้นไหนหญ้า การใส่ปุ๋ยมาก ๆ ยังส่งผลดีกับวัชพืชในนาด้วยช่วยให้วัชพืชโตไว งามด้วย การมีวัชพืชในนามาก ๆ นอกจากแย่งปุ๋ยแล้ววัชพืชบางชนิดยังบังแสงกับต้นข้าวอีกด้วย ข้าวก็สังเคราะห์แสงได้ไม่เต็มที่อีกเช่นกันส่งผลให้ได้ผลผลิตน้อยกว่าเดิม แม้วัชพืชส่วนใหญ่จะมีอายุน้อยกว่าต้นข้าวแต่ก็นานพอจนถึงช่วงข้าวเริ่มตั้งท้องครับ


* IMG_0388.JPG (68.68 KB, 700x525 - ดู 484 ครั้ง.)

* IMG_0389.JPG (64.07 KB, 700x525 - ดู 480 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
pui22
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 268



« ตอบ #558 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 22:43:01 »

สอบถ่ามหน่อยครับผมทำนาดำ8ไร่ซื้อขี้หมูแห้งมาแล้ว40กระสอบ ละ20กก ควรใส่ไร่ละกี่กระสอบดีครับตอนนี้ข้าวอายุปลูกได้13วันแล้วครับควรใส่กี่ครั้งๆละกี่กระสอบต่อไร่ครับ (ชาวนาวันหยุดเหมือนกันครับ ผมว่าจะทำแบบลดต้นทุนนะครับ ชาวนามือใหม่) ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #559 เมื่อ: วันที่ 01 มีนาคม 2013, 22:48:24 »

ถึงต้นข้าวผมใบข้าวจะสีจางกว่าเพราะใส่ปุ๋ยน้อยกว่า แต่ใบตั้งขึ้นพร้อมรับแสงได้เต็มที่ แมลงตัวห้ำ ตัวเบียนก็ชอบครับ ดูจากแมลงปอเวลาเกาะจะหาอาหารกินได้ง่ายเพราะบินได้ง่ายในการขึ้นลง แมลงศัตรูข้าวไม่ชอบเท่าไหร่เพราะแดดส่องถึงไม่เหมาะในการดำรงชีพแถมมีศัตรูมากมันก็ไม่ค่อยอยู่ครับ


* IMG_0332.JPG (80.41 KB, 700x525 - ดู 476 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 [28] 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 ... 95 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!