----[ จำหน่ายมูลไส้เดือน 100%, น้ำหมักมูลไส้เดือน และชุดทดลองเลี้ยงไส้เดือน ]----

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #249

ล้างผักด้วยน้ำส้มสายชูดีกว่า

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #250

ฮอร์โมนไข่เพื่อสุขภาพที่ดี

ส่วนประกอบ
๑.ไข่ ๑ กก.
๒.น้ำผึ้ง ๑ กก.
๓.ยาคูลท์ ๑ ขวด
๔.แป้งข้าวหมากบดละเอียด ๑ ลูก

วิธี ทำ
๑. ล้าง ไข่ให้สะอาดผึ่งลมให้แห้ง ห้ามใช้ผ้าเช็ด
๒. ตอกไข่ลงโหลแก้วหรือกระติกน้ำแข็งพลาสติกที่จะใช้สำหรับหมัก ซึ่งชั่ง น้ำผึ้ง ใส่ลงไปก่อนแล้ว
๓. นำเปลือกไข่ ไปตำให้ละเอียด แล้วใส่รวมลงไป ใส่ ยาคูลท์ ลงไป บี้ลูกแป้งข้าวหมากให้ละเอียด ใส่ลงไป คนให้เข้ากันใช้
๔. ผ้าขาวบางปิดทับ ก่อนปิดฝา เก็บไว้ในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก
๕. จากนั้น คน เช้า-เย็น ทุกวัน จนครบ ๑ เดือน กรองเอากากออก แบ่งใส่ขวดปิดฝาสนิทเก็บในตู้เย็นช่องแช่ผัก เน้นความสะอาดในทุกขั้นตอน

กรณีทำปริมาณน้อย ไข่ กับ น้ำผึ้ง ลดลงได้ แต่ไข่กับน้ำผึ้ง ต้องเท่ากัน เช่นไข่ ๒ กก.ต้องใช้น้ำผึ้ง ๒ กก.ด้วย ส่วนยาคูลท์ และลูกแป้งข้าวหมากไม่ต้องลด ไม่ควรใช้นมเปรี้ยวอื่นแทนยาคูลท์และลูกแป้งเหล้าแทนลูกแป้งข้าวหมาก

วิธีใช้ รับประทาน ๑ ช้อนชา หลังอาหารเช้า และ ก่อนนอน ผสม ๒-๓ หยด กับ น้ำ ๑ ช้อนชา ใช้ทาภายนอก

ประโยชน์จากการใช้ภายนอก บำรุงผิวให้นุ่มนวลชุ่มชื้น ป้องกันฝ้าแดด ใช้สระผมนวดหนังศีรษะ ป้องกันผมร่วง
รักษาบาดแผล รอยถลอกขีดข่วน ลดความเจ็บปวดและลบรอยแผลเป็นจากไฟไหม้ ลดรอยฟกช้ำดำเขียวจากการกระแทก กำจัดเชื้อโรคน้ำกัดเท้า เท้าเปื่อย ต้านเชื้อโรค และ กำจัดเชื้อราได้มากชนิด รักษาอาการแพ้ผื่นคันจากแมลงมีพิษสัตว์กัดต่อย

ที่มา สวนเกษตรพอเพียง โคราชา

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #251

รากใบเตย สรรพคุณเพียบ

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #252

"ต้นหอม" มีค่ากว่าที่คิด กินแล้วชีวิตดี๊ดี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #253

ผักโปรตีนสูง ไม่แพ้เนื้อสัตว์

โปรตีน นอกจากจะหาได้ง่ายในเนื้อสัตว์, ถั่ว, นม แล้วนั้นยังสามารถพบได้ในผักอีกด้วย ซึ่งผักบางชนิดนั้นก็อุดมไปด้วยโปรตีนที่สูงมาก ทั้งนี้โปรตีนมีประโยชน์กับร่างกายอย่างยิ่งเพราะมีส่วนช่วยในการเจริญเติบ โตแถมยังช่วยรักษาสมดุลของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย ตามมาดูกันดีกว่าว่ามีผักชนิดไหนบ้างที่อุดมไปด้วยโปรตีนที่สูงๆ บ้าง

1. ถั่วพู
ถั่วพู ผักหาง่ายตามท้องตลาดทั่วไป มีประโยชน์มากสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด อาทิ คาร์โบไฮเดรต, แคลเซียม, เส้นใย, ธาตุเหล็ก, วิตามินบี, วิตามินซี ฯลฯ
ประโยชน์ : ช่วยบำรุงร่างกาย, เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย, บำรุงกระดูกและฟัน
ประกอบไปด้วยโปรตีน : เมล็ดถั่วพู โปรตีน 30 กรัม , ฝักถั่วพู โปรตีน 2.1 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

2. ต้นอ่อนทานตะวัน
ต้นอ่อนทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 6, โอเมก้า 3, 6, 9 แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, โฟเลต ฯลฯ ที่สำคัญนั้นยังมีโปรตีนที่สูงมากซึ่งสูงกว่าถั่วเหลืองเลยทีเดียว
ประโยชน์ : ช่วยบำรุงสมอง, ช่วยในการขับถ่าย, บำรุงผิวพรรณ, บำรุงสายตา, ลดระดับคลอเรสเตอรอล, เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย และประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย
ประกอบไปด้วยโปรตีน : 23 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

3. ผักโขม
เป็นผักที่มี โปรตีนสูงไม่แพ้กัน ทั้งนี้ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย ในผักโขมมีวิตามินและแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกายหลากหลายชนิด อาทิ แคลเซียม, ธาตุเหล็ก, แมกนีเซียม, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินเค
ประโยชน์ : ช่วยชะลอความชรา, บำรุงสายตา, บำรุงกระดูกและฟัน, ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ฯลฯ
ประกอบไปด้วยโปรตีน : 5.2 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

4. ถั่วงอก
ถั่วงอกนิยมนำมา ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู อาทิ ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, ขนมจีน, ผัดถั่วงอก ฯลฯ ในถั่วงอกอุดมไปด้วยแคลเซียม, ธาตุเหล็ก, โปรตีน, ใยอาหารและวิตามินต่างๆ
ประโยชน์ : ต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยบำรุงผิวพรรณ, ช่วยบำรุงประสาทและสมอง, ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน
ป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ฯลฯ
ประกอบไปด้วยโปรตีน : 4.2 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

5. ตำลึง
ผักที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงปรี๊ดแถมมีคุณค่าทางสารอาหารหลากหลายชนิด
ประโยชน์ : ช่วยต้านอนุมูลอิสระ, บำรุงผิวพรรณ, ช่วยในการขับถ่าย, ป้องกันมะเร็งและอื่นๆ
ประกอบไปด้วยโปรตีน : 4.1 กรัม ต่อปริมาณ 100 กรัม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #254

6 ผักผลไม้ ช่วยให้หน้าเด็ก

ปัจจุบัน หลายต่อหลายคนยอมเสียเงินแพงๆ ในการทำศัลยกรรม พึ่งพาเทคโนโลยี หรือยอมเสี่ยงตัวเองใช้ครีมที่ไม่มีการรับรองจาก อย. เพียงเพื่ออยากให้ตัวเองมีใบหน้าที่คงความอ่อนเยาว์ แต่เรามีลิสต์ผักผลไม้ที่ทานแล้วช่วยถนอมความเยาว์วัยให้แก่ใบหน้าหรือ กระทั่งผิวพรรณ โดยปราศจากความเสี่ยง

1.มะเขือเทศ
น้ำมะเขือเทศช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื่นสดใสไม่แห้งกร้าน ช่วยกระชับรูขุมขน ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รักษาปัญหาสิว
หรือถ้าอยากล้างหน้าให้สะอาดแบบปราศจากสารเคมี ลองนำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับอโวคาโด ก็สามารถนำมาล้างหน้าแทนการใช้โฟมล้างหน้าได้

2.ผลไม้ที่มีสีเหลือง
เช่น ฟักทอง มันเทศ แครอท ซึ่งจำเป็นมากกับผิวหนังและดวงตา เพราะมีสารที่ช่วยป้องกันผิวหนังจากการถูกทำลายและยังช่วยลดริ้วรอยก่อนวัยได้อีกด้วย

3.บร็อกโคลี
ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา มีสารที่ช่วยล้างพิษในร่างกายได้ สารตัวนี้จะมีอยู่มากในบร็อกโคลีที่ยังเป็นต้นอ่อนอยู่

4.ผักใบเขียว
มีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเนื่องมาจากความ ชรา ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ อย่างน้อย เราควรได้ทานผักใบเขียวทุกอาทิตย์

5.แอปเปิ้ล
จะช่วยป้องกันการเกิดฝ้า ช่วยลดริ้วรอยและช่วยชะลอความแก่ชราได้ ควรทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกเพราะสารที่เป็นประโยชน์จะมีอยู่มากในเปลือก ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายของเรา

6.บลูเบอร์รี่ และองุ่นม่วง
น้ำองุ่นสดสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าและเส้นผมได้ ในผลไม้สีม่วงมีสารที่ช่วยกระตุ้นสมองและการรับรู้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
ผัก ผลไม้ที่หาได้ง่ายๆ ตามท้องตลาด ก็สามารถช่วยให้คุณสาวๆ มีใบหน้าอ่อนเยาว์ลงได้ นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลงแล้ว การกินผัก ผลไม้ ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอีกด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #255

การใช้สมุนไพรกับการเกษตร

กานพลู
ใช้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืชดังนี้
: หนอนใยผัก หนอนกระทู้ ด้วงถั่วเขียว แมลงในโรงเก็บ

การนำไปใช้ในทางการเกษตร
: ในดอกของกานพลูประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหยและสารออกฤทธิ์อีกหลายชนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชได้

วิธีใช้
วิธีที่ 1
นำดอกกานพลูแห้งประมาณ 2 ขีด บดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำลงไป 1 ปี๊บ แช่ทิ้งไว้ 1 วัน แล้วกรองเอาส่วนของน้ำผักมาใช้ฉีดพ่นแปลงผัก ป้องกันและกำจัดหนอนใยผัก หนอนกระทู้ได้

วิธีที่ 2
นำดอกกานพลูแห้งประมาณ 10 กรัม บดให้ะเอียด แล้วนำมาคลุกเมล็ดถั่วเขียวจำนวน 1 กิโลกรัม สามารถป้องกันการเข้ามาทำลายของด้วงถั่วเขียวได้ ป้องกันแมลงในโรงเก็บ

สารสำคัญ
: น้ำมันหอมระเหยที่กลั่นจากดอกเรียกว่า น้ำมันกานพลู (Clove oil) มีส่วนประกอบสำคัญเป็น Eugenol ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาเฉพาที่ ซึ่งใช้แก้ปวดฟัน พบว่าน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ ทำให้อาการปวดท้องลดลง ขับน้ำดี ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยลดการจุกเสียดและสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้

กระเทียม

ใช้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืชดังนี้
: เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ หนอนกระทู้ผัก หนอนผีเสื้อกระหล่ำ ด้วงปีกแข็ง ด้วงขนสัตว์ ไส้เดือนฝอย โรคราน้ำค้าง โรคราสนิม

การนำไปใช้ทางการเกษตร
: กระเทียมมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าแมลง สารขับไล่แมลง สารยับยั้งการดูดกินอาหารของแมลง มีสารอัลลิซินฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย

วิธีใช้
วิธีที่ 1
ใช้กระเทียม 1 กิโลกรัม โขลกให้ละเอียด แช่ในน้ำมันก๊าดหรือน้ำมันเบนซิน 20 ช้อนโต๊ะ แช่ทิ้งไว้ 1 คืน หลังจากนั้นนำสบู่ละลายน้ำเล็กน้อยเติมลงไป คนให้เข้ากันแล้วกรองเอาแต่น้ำใส ก่อนนำไปใช้ให้เติมน้ำลงไปอีกประมาณ 5 ปี๊บ แล้วจึงนำไปฉีดพ่น

วิธีที่ 2
ใช้กระเทียม 0.5 กิโลกรัม มาบดให้ะเอียดแช่ลงในน้ำมันก๊าดเล็กน้อย แช่ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วเอาสารละลายมผสมกับสบู่ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ก่อนนำไปใช้ ให้เติมน้ำลงไปอีก 2.5 ปี๊บ แล้วจึงนำไปฉีดพ่น ใช้ป้องกันเพลี้ยอ่อน หนอนกระทู้ผัก และโรคราน้ำค้างได้

วิธีที่3
ใช้กระเทียมแกะกลีบตากแดดให้แห้งแล้วนำไปโขลกให้เป็นผงใช้โรยบนพืชผักที่มีปัญหาโดยโรยตอนที่พืชผักไม่เปียก

วิธีที่ 4
บดกระเทียม 10 หัวใหญ่ และพริกห้งบด 4 ช้อนชา ให้ละเอียดแล้วนำไปใส่ในน้ำร้อน 8 ลิตร เติมน้ำสบู่ลงไปเล็กน้อยเพื่อให้จับเกาะใบพืชได้ดียิ่งขึ้น คนให้เข้ากันแล้วกรองน้ำที่ได้ไใช้ ซึ่งสูตรนี้ใช้ได้ผลดีกับหนอนผีเสื้อไม้ผล

สารสำคัญ
: มีน้ำมันระเหย 0.06-0.1% ชื่อ(อัลซิล) allicin (oliallyldisulphide oxide) เป็นน้ำมันไม่มีสี เป็นสารประกอบพวกกำมะถัน สารอัลซิล ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อราแบคทีเรีย นอกจากนี้กระเทียมยังมีฤทธิ์ขับลม ลดน้ำตาลในเลือดและลดไขมันในหลอดเลือด (choles-terol) อีกด้วย

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #256

กินกล้วยหนึ่งลูกก่อนกินข้าว มันเป็นอะไรที่คุณคาดไม่ถึง

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุชัดเจนว่า การรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว กล้วยนอกเหนือจากช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายเรา และยังสามารถช่วยให้เราเอาชนะหรือรักษาโรคหลายอย่างได้ และช่วยทำให้เรามีสภาพร่างกายที่ดี
ดังนั้นเราควรเพิ่มกล้วยเข้าไปอยู่ในเมนูอาหารประจำวันของเรา ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ การกินกล้วยจะสามารถช่วยอาการพวกนี้ให้เบาลงได้
1. อาการซึมเศร้า: กล้วยจะช่วยรักษาโรคซึมเศร้าภาวะความเครียดเพราะกล้วยมีโปรตีนชิดหนึ่งซึ่งช่วยในการผลิตฮอร์โมนแห่งความสุขจึงมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น
2. โรคโลหิตจาง: เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงซึ่งจะช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือดเพื่อรักษาภาวะโลหิตจางหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง
3. ความดันโลหิตสูง: กล้วยมีส่วนที่ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดฝอยแตกได้
4. ช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของคุณ: ในอังกฤษมีเด็กนักเรียน 200 คน อยากจะเพิ่มพลังให้แก่สมองเพื่อช่วยการสอบ ในระหว่างภาคเรียน พวกเขาได้กินกล้วยที่เหมาะสมทุกวันในอาหารเช้า อาหารกลางวันและอาหารเย็น การวิจัยแสดงให้เห็นว่ากล้วยมีโพแทสเซียมอย่างสูง จะสามารถช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของนักเรียนและเพิ่มความตั้งใจในการเรียน มีประโยชน์มากต่อการเรียนหนังสือ
5. ท้องผูก: ช่วยรักษาอาการท้องผูกเพราะกล้วยมีเส้นใยและกากอาหารซึ่งจะช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างปกติ
6. อาการหงุดหงิดยามเช้า: หลังอาหารเช้าก่อนอาหารกลางวันกินกล้วยจะสามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
7. อาการคันที่เกิดจากยุงกัด: ด้วยการลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัดอาการคันจะลดลงไปได้ระดับหนึ่ง
8. ความเครียด: กล้วยมีวิตามินบีอย่างสูง จะสามารถช่วยบรรเทาระบบประสาทได้
9. ผู้ที่เป็นแผลในลำไส้เรื้อรังหรือกระเพาะอักเสบ: การรับประทานกล้วยบ่อยๆถือเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลางมีความนิ่มและเส้นใยสูงทำให้ไม่เกิดการละคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
10. ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ: ในประเทศต่าง ๆ และวัฒนธรรมต่างๆต่างก็ยกย่องว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่"ควบคุมอุณหภูมิ" ได้ สามารถนำมาใช้เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายได้
11. ความกดดัน: กล้วยมีโพแทสเซียมอย่างสูง จะสามารถช่วยปรับอัตราการเต้นของหัวใจและช่วยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง เมื่อเราอยู่ภายใต้ความกดดันการเผาผลาญอาหารก็จะเร็วขึ้น ปริมาณของโพแทสเซียมก็จะลดลง เรากินกล้วยในตอนนี้ ก็จะช่วยเสริมโพแทสเซียมที่มาจากกล้วยให้กับร่างกายได้
12.โรคหลอดเลือดสมอง: กินกล้วยบ่อย จะสามารถช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ถึง 40 %

นอกจากนี้เปลือกด้านในของกล้วยยังช่วยทำความสะอาดรองเท้าหนังได้ เอาเปลือกด้านในของกล้วยมาขัดรองเท้าก่อน แล้วเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าที่แห้ง รองเท้าหนังของคุณก็จะสะอาดได้ทันที

Credit : liekr

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #257

ประโยชน์ของมะระ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #258

แตงกวามีดีกว่าที่คุณคิด

โดย ASTVผู้จัดการออนไล

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #259

ผักที่ไม่ควรกินสดๆ

[eakarapol]

เอาแต่ใส้เดือนเท่าไรครับ

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เอาแต่ใส้เดือนเท่าไรครับ

เอาแต่ใส้เดือนราคา 1,500 บาทค่ะ

ถ้าคุณลูกค้าสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 084-5456163 (ออย) หรือ ฝากข้อความทาง pm ได้นะค่ะ (ไม่ซื้อก็สอบถามได้ค่ะ)

ออย
ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #260

ดื่มนมเพื่อสุขภาพค่ะ

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #261

ผักสวนครัวพืชสมุนไพร

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #262

แสงแดด

แสงแดดมีวิตามินดี ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคหัวใจ โรคความดันสูง โรคเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญของร่างกาย กระตุ้นหลอดเลือดบริเวณผิวหนังขยายตัว ช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น ทำให้สมองดี ความจำดี สมองประมวลผลได้รวดเร็ว ช่วยให่ร่างกายตื่นตัว กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดรฟินทำให้อารมณ์แจ่มใส รักษาโรคหอบหืดและภูมิแพ้ หรือโรคติดเชื้ออย่างวัณโรคและโรคเรื้อนได้ มีส่วนป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ได้แก่มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำใส้ และมะเร็งปากมดลูก วิตามินดีมีส่วนช่วยลดไขมันหน้าท้องได้ ซึ่งก็เท่ากับแสงแดดมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักไปด้วย ทำให้รู้สึกสดชื่น หายจากโรคซึมเศร้าได้ ช่วยให้เซลล์ผิวหนังแข็งแรงและหนาขึ้นหากเราได้รับแสงแดดอ่อนๆ อย่างสม่ำเสมอ

*การตากแดดจัดๆมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน

ที่มา: สวยด้วยคุณภาพ - http://magicpertty.blogspot.com/2010/07/blog-post_21.

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #263

แอปเปิ้ลวันละลูก… เริ่ดจริง ไม่ได้โม้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #264

องุ่นมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #265

6 ผักสวนครัว ป้องกันไข้หวัด

ปวดหัว ตัวร้อน น้ำมูกไหล เป็นไข้ ไม่สบายตัวเลย ใครมีอาการเหล่านี้บ้างยกมือขึ้น…
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงค่อนข้าง บ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก ทำให้หลายคนมีอาการดังกล่าวขึ้นมาได้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์นั้นก็สามารถช่วยได้ซึ่งผักสวนครัวที่มีอยู่ ในบ้านเราก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีไม่น้อยเพราะสามารถนำมาประกอบอาหารได้ หลากหลายเมนูแถมยังป้องกัน รักษาและบรรเทาไข้หวัดได้อีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นควรพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายร่วมด้วยจะได้มีสุขภาพ ที่แข็งแรงห่างไกลโรคกันนะ
1. หอมแดง
หอมแดงเป็นพืชผัก สวนครัวที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด อีกทั้งยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ซึ่งหอมแดงมีสรรพคุณที่ช่วยแก้อาการไข้หวัด คัดจมูกและลดน้ำมูกได้ ทั้งนี้การใช้หอมแดงรักษาไข้หวัดมีหลายวิธีอาจจะนำมาประกอบอาหารหรือนำมาทุบ เล็กน้อยแล้วใส่ในถ้วยมาวางไว้ใกล้ๆ เวลานอนก็จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
2. กระเทียม
กระเทียมอุดมไป ด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ซึ่งกระเทียมมีสรรพคุณป้องกันและรักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งยังบรรเทาอาการไอและน้ำมูกไหลได้อีกด้วย ซึ่งเคยมีผลวิจัยออกมาว่าคนที่รับประทานกระเทียมเป็นประจำจะเป็นหวัดได้น้อย กว่าคนที่ไม่รับประทานกระเทียมเลย หรือหากเป็นหวัดคนที่รับประทานกระเทียมก็จะหายจากไข้หวัดได้เร็วกว่า นอกจากนี้แล้วนั้นกระเทียมยังมีคุณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ป้องกันมะเร็ง, ลดคลอเลสเตอรอล, แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ฯลฯ
3. กระเพรา
เชื่อว่าหลายคนคง เคยรับประทานผักชนิดนี้ซึ่งกระเพราจัดเป็นยาอายุวัฒนะแถมยังแก้อาการไข้หวัด แก้อาการไอและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย
4. โหระพา
โหระพาอุดมไปด้วย วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมาย อาทิ วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, ธาตุเหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส ฯลฯ ซึ่งโหระพามีสรรพคุณรักษาไข้หวัดได้เช่นเดียวกัน
5. ต้นหอม
ผักที่มีเบต้าแคโร ทีนสูงมากมีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย บรรเทาไข้หวัดและคัดจมูก นอกจากนี้แล้วนั้นยังควบคุมความดันโลหิตสูง ป้องกันหลอดเลือดหัวใจอุดตันและลดคลอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย
6. พริก
สมุนไพรรสชาติจัด จ้านที่มีคุณประโยชน์มากมาย มีสรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะเนื่องมาจากไข้หวัด ทั้งนี้ยังสามารถช่วยขับเสมหะ ลดน้ำมูกและบรรเทาอาการไอได้อีกด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

[ฟาร์มไส้เดือนงามดี สาขาเชียงราย]

เกร็ดความรู้วันละนิด ชีวิตแจ่มใส #266

ขมิ้นชัน-มะรุม

ดร.เพชรินทร์ ศรีวัฒนกุล อดีตรองผู้อำนวยการด้านวิจัย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า คนอ้วนหรือคนที่มีไขมันสูงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสูง คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ เนื่องจากเซลล์ไขมันซึ่งปกติจะสร้างโมเลกุลที่ชื่อว่าไซโตไคน์ที่ดีและเลว โดยไซโตไคน์ที่ดีมีชื่อว่า “อะดิโปเนกติน (Adiponectin)” หากมีอะดิโปเนกตินสูงจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง แต่สำหรับคนอ้วนที่มีเซลล์ไขมันมากๆ เมื่อมีมากไปเซลล์ไขมันก็จะหยุดผลิตอะดิโปเนกติน เหมือนกรณีโรคเบาหวานที่เมื่อกินหวานมากเกินไป ตับอ่อนก็จะหยุดผลิตอินซูลิน ด้วยเหตุทำให้ไซโตไคน์ที่ดีน้อยลง ส่วนตัวที่เลวสูงขึ้น จึงนำมาสู่การเกิดโรคมะเร็ง
ดร.เพชรินทร์ กล่าวว่า รศ.นพ.คาซูฮิสะ มาเอดะ ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโอซากา ซึ่งเป็นผู้ค้นพบอะดิโปเนกตินนั้นได้ทำการวิจัย เพื่อค้นหาว่ามีสมุนไพรตัวใดที่ช่วยให้เซลล์ไขมันกลับมาผลิตอะดิโปเนกตินเพิ่มขึ้น จึงได้เก็บสเต็มเซลล์ที่มาจากเซลล์ไขมันจากผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดที่ รพ.มหาวิทยาลัยโอซากา ประมาณ 60 - 70 คน ในกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินหรือมีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน และเลือกสมุนไพรมากกว่า 3,000 ชนิดจากทั่วโลก ทั้งไทย จีน แอฟริกา เป็นต้น มาทดสอบว่าสารสกัดจากสมุนไพรตัวใดที่ช่วยให้เซลล์ไขมันสามารถผลิตอะดิโปเนกตินได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการทดลองพบว่า สารสกัดเคอร์คูมินในขมิ้นชัน สารสกัดจากมะรุม มีการตอบสนองดีช่วยให้เซลล์ไขมันผลิตอะดิโปเนกตินเพิ่มขึ้นได้
“ต้องอธิบายก่อนว่าไม่ใช่สารสกัดเคอร์คูมินของขมิ้นชัน หรือสารสกัดจากมะรุมจะกระตุ้นเซลล์ไขมันให้ผลิตอะดิโปเนกตินได้ทุกคน เพราะแต่ละคนมีความจำเพาะต่างกัน เหมือนสำนวนที่ว่าลางเนื้อชอบลางยา หมายความว่า คนนี้อาจจะตอบสนองดีต่อขมิ้นชัน แต่อีกคนไม่ได้ผล เป็นต้น หากต้องการรู้ว่าเซลล์ไขมันตนเองตอบสนองต่อสารใดของสมุนไพรตัวใดในการที่จะผลิตอะดิโปเนกตินเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นก็ต้องนำเซลล์ไขมันไปทดสอบเสียก่อน ไม่ใช่ว่าจะไปซื้อขมิ้นชัน หรือมะรุมมากินทันทีเลย เพราะอย่าลืมว่าสมุนไพรหนึ่งๆ นั้นมีสารสกัดหลายอย่าง และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้บอกว่ามีสารสกัดใดบ้าง มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม เทคนิคการแพทย์แบบผสมผสานนี้ยังไม่ได้นำเข้ามาสู่ประเทศไทย” ดร.เพชรินทร์ กล่าว
ด้าน ดร.ผ่องพรรณ ศิริพงษ์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ หัวหน้างานวิจัยสมุนไพร กลุ่มงานวิจัย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า สถาบันมะเร็งฯ ได้มีส่วนร่วมในการทำวิจัยของ รศ.นพ.คาซูฮิสะ ด้วย โดยทำสารสกัดจากสมุนไพรส่งไปยังญี่ปุ่น แต่ในการจัดส่งไม่ได้บอกว่าเป็นสารสกัดอะไรจากสมุนไพรตัวใด เพราะจัดทำเป็นรหัสส่งไป ซึ่งเมื่อวิจัยแล้วจึงค่อยมาถอดรหัสภายหลังว่าตัวที่ได้ผลมาจากสารสกัดใด ซึ่งทางสถาบันฯเรามีข้อมูลอยู่ ซึ่งก็เพิ่งค้นพบว่าสารสกัดเคอร์คูมินจากขมิ้นชันสามารถช่วยเพิ่มอะดิโปเนกตินได้ดี ทั้งนี้ เราเตรียมที่จะเสนอผลวิจัยนี้ต่อผู้บริหารทั้งสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้เห็นความสำคัญของการแพทย์ผสมผสานนี้ เพราะถือว่านำมาช่วยคัดกรองป้องกันโรคมะเร็งได้ ในการหาค่าอะดิโปเนกติน แต่จะต้องทำค่ามาตรฐานกลางสำหรับคนไทยก่อน เนื่องจากอาหารการกินต่างจากคนญี่ปุ่น ค่ามาตรฐานนี้จะไม่เท่ากัน ทั้งนี้ หากประเทศไทยนำเทคนิคนี้มาดำเนินการ ก็อาจมีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโอซากา ทำให้ประเทศไทยมีส่วนในเรื่องของลิขสิทธิ์ด้วย