<< เชียงรายเอ็นดูโร่ (CHIANGRAI ENDURO CLUB) #2 >>

[kangaroo_41]

เบน 740 ยุบ ปิดโรงงาน หนีไปแล้วครับ

[kangaroo_41]

เวปนี้เลยครับ ขายถูก สวย ดี ครับ
http://crfthailand.com/forum/index.php?topic=6697.0

[OASIS]

เบน 740 ยุบ ปิดโรงงาน หนีไปแล้วครับ

วีระกรรมท่าจะเยอะ  ฮ่าๆ

[OASIS]

 

[OASIS]

2014 KTM Freeride 350 ลุยทุกที่ สนุกทุกทาง

เมื่อ KTM เจ้าสังเวียนทางฝุ่นปล่อยตัวเด่นๆ ออกมารองรับความต้องการของสาวกทางฝุ่นบังโคลนลอยอีกรุ่น
คราวนี้เป็นรถที่ไม่ได้เน้นเพื่อการแข่งขัน แต่เป็นรถขี่เที่ยวออกกำลังกายในวันหยุด หรือจะออกทริปลุยๆ กันตามป่าเขาหรือจะ
จับมันลงแข่งแบบ Enduro ก็จัดหนักได้ไม่เคยหวั่น
 2014 KTM Freeride 350 เป็นการพัฒนาที่ต่อยอดมากจากความสำเร็จของ KTM EXC-F แต่ปรับให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เหล่านักบิดจอมลุยจะได้ตื่นเต้นเร้าใจกับการขับขี่ท่องเที่ยวบุกป่าลุยเขากันได้เต็มที่
  ต้นกำลังของ Freeride 350 เป็นเครื่อง 4 จังหวะ สูบเดียว 349.7 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก
เท่ากับ 88 x 57.5 มม. อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 12.3:1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วระบบหัวฉีด EFI Keihin ขนาดตัวเรือน 42 มม.
 ระบบส่งกำลังเป็นคลัทช์เปียกหลายแผ่นซ้อนกันโดยใช้ปั๊มไฮดรอลิคแทนสายสลิง ระบบเกียร์ 6 สปีดถูกออกแบบให้เกียร์ 1, 2 และ 3
มีความห่างกันที่ค่อนข้างมากเพื่อให้เหมาะสมกับแรงบิดเพื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าหรือไต่ขึ้นทางชันก็ทำได้สบาย
 ตัวรถออกแบบให้มีขนาดเล็กน้ำหนักเบา ควบคุมง่าย ความสูงของเบาะนั่งไม่มากนักแค่ 895 มม. ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสพื้นได้เต็มเท้า
ทั้งไซส์เล็กและไซส์ใหญ่ขี่ได้สบายเบาะนั่งดูบางแต่ว่าให้ความสบายเมื่อต้องนั่งขับขี่และสามารถปลดล็อคเปิดเบาะออกมาเซอร์วิสได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการเซอร์วิสกรองอากาศ เช็คระบบไฟเช็คหัวฉีด
  ระบบกันสะเทือนที่ติดตัวมาเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับ KTM มาแล้วหลายรุ่นนั่นคือสำนัก WHITE POWER ด้านหน้าเป็นช็อคอับเทเลสโคปิค 43 มม.
ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยว WHITE POWER เช่นกันช็อคอับหลังทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม วงล้อหน้าหลังเป็นล้อยางที่เซ็ทมาให้เพื่อลุยโดยเฉพาะ
กับขนาดล้อหน้า 21 นิ้ว ขนาดกระทะล้อ 1.60 นิ้ว วงล้อหลังเป็นขนาด 18 นิ้ว ขนาดกระทะล้อ 2.15 นิ้ว
ระบบเบรคหน้าใช้ดิสค์เบรคเดี่ยวขนาดจารเบรค 260 มม. คาลิเปอร์เบรก 4 ลูกสูบด้านหลังใช้จานเบรกเดี่ยวขนาด 210 มม.
http://newcar2thai.com/2014-ktm-freeride-350.html

[OASIS]

MOTO GUZZI Griso 1200 8V SE สุดหล่อสายแข็ง

    ถ้าจะให้จัดความหล่อของรถค่ายนี้มันน่าจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ “ชายงาม” เพราะทุกส่วนสัดนักออกแบบได้ใส่ใจ
และคิดทบทวนแล้วว่ามันจะต้องมีประโยชน์มากกว่าความสวยงาม สมรรถนะความแรงก็ไม่ต้องพูดถึง MOTO GUZZI อาจจะเป็น
รถที่ไม่คุ้นหูนักสำหรับนักขี่หน้าใหม่ๆ แต่ลองสืบประวัติดูดีๆ รถของค่ายนี้มีอายุเกือบๆ 100 ปี
     MOTO GUZZI ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ. 1921 ในยุคนั้นรถของค่ายนี้ยังไม่มีรูปทรงและเครื่องยนต์แบบที่เราเห็นกันอย่างในทุกวันนี้
ขุมพลังยังเป็นเครื่องยนต์แบบนอนยัน ผสานกับรถทรงผู้ชาย 93 ปีแห่งการล้มลุกคลุกคลานและเปลี่ยนมือเจ้าของจนมาถึงทุกวันนี้
รูปทรงและเครื่องยนต์ได้ถูกเปลี่ยนเป็นอย่างที่เราเห็นๆ กันราวช่วงปี 1967 เป็นต้นมา โดยใช้เครื่องยนต์ V-twin แนวขวาง
ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีค่ายไหนทำออกมาได้ดีเท่ากับ MOTO GUZZI
     Griso1200 โดดเด่นด้วยชุดท่อไอเสียและเครื่องยนต์ ไฟหน้าเป็นทรงกลมทั่วๆ ไป แต่เรือนไมล์นั้นรายงานผลไม่ต่างอะไรกับหน้าปัดของเครื่องบิน
แฮนด์บังคับทรง T Bar ยึดกับแผงคอด้านบนด้วยตุ๊กตาแฮนด์ ถังน้ำมันเชื้อเพลิงเน้นระดับที่เกือบจะเท่ากับเบาะนั่ง เพื่อลดระยะความห่างจากแฮนด์ถึงเบาะ
นอกจากนั้นยังไม่ส่งเสริมความเครียดเวลาขับขี่ได้อีกด้วย มีปีกคลุมเครื่องยนต์ทั้งสองด้านทั้งขวาซ้ายเพื่อรีดมวลอากาศให้พัดไประบายความร้อนในจุดที่ต้องการ
ตรงปลายสุดของปีใกล้ๆ กับคนขี่จะงุ้มลงเพื่อกดไม่ให้ลมตีเข้าใส่ขาของคนขี่ เบาะนั่งมาแนวยาวใบเดียว ฟองน้ำเนื้อหนาหุ้มด้วยหนังคุณภาพดี
ถ้าเป็นพิซซ่าก็น่าจะเป็นขอบชีสเต็มๆ ชุดไฟท้ายแบบเรียบๆ เป็นหลอด LED ชุดบังโคลนหลังนอกจากจะเป็นที่ติดป้ายทะเบียนแล้วยังป้องกันการดีดได้อีกด้วย
      วงล้อทั้งหน้าและหลังเป็นวงล้อซี่ลวด ขนาดล้อหน้า 3.5 × 17 นิ้ว ล้อหลัง 5.5 × 17 นิ้ว ขนาดยางหน้า 120/70 ZR 17 นิ้ว ยางหลัง 180/55 ZR 17 นิ้ว
ลายดอกยางเป็นลักษณะสปอร์ตทัวริ่ง ช็อคอับหน้าเทเลสโคปิคชนิดหัวกลับ ขนาด 43 มม. ผิวแกนเคลือบด้วยฮาร์ดโครเมี่ยม ชุดปรับตั้งมาแบบเต็มที่
ให้ระยะการทำงาน 120 มม. ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยว การปรับตั้งก็มาแบบจัดเต็ม ระยะยุบตัว 110 มม. ชุดจานเบรกหน้ามาแบบยกคู่ชนิดกึ่งให้ตัวได้ขนาด 320 มม.
คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ BREMBO เรเดียลเมาท์ สั่งงานด้วยระบบไฮดรอลิค จานหลังเป็นแบบตายตัว ขนาด 282 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ ของ BREMBO
      MOTO GUZZI Griso 1200 8V SE  ขุมกำลัง 4 จังหวะ 2 ลูกสูบ V-twin (ลักษณะของเครื่องยนต์จะเป็นสูบ V ขวางหน้าขา)
ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาดความจุสุทธิ 1,151 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ × ระยะชัก เท่ากับ 95 × 81.2 มม. กำลังอัดเครื่องยนต์ 110 : 1
จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ เรือนลิ้นเร่งขนาด 50 มม. 2 ชุด )แยกตามห้องเผาไหม้) สตาร์ทไฟฟ้า เกียร์ธรรมดา 6 สปีด
ระบบคลัทช์แบบเปียกสั่งงานด้วยไฮดรอลิค ขับเคลื่อนด้วยเพลา รีดแรงม้าออกมาได้ 110 ตัว ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 6,400 รอบ/นาที
ระยะห่างฐานล้อ 1,554 มม. ความสูงของเบาะนั่ง 800 มม. มิติตัวรถมีความกว้าง/ยาว/สูง เท่ากับ 830/2,260/1,070 มม. ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 185 มม.
น้ำหนักรวม 222 กิโลกรัม ความจุถังเชื้อเพลิง 16.7 ลิตร
http://newcar2thai.com/reviews-moto-guzzi-griso-1200-8v-se.html

[OASIS]

2014 HONDA CRF450R ม้าไม่ต้องแน่นแต่…เน้น

อย่าได้ประมาทรถสูบเดียวที่มีขนาดจุ 450 ซีซี. และยิ่งเป็นรถสูตรทางฝุ่นด้วยแล้ว อัตราเร่งจาก 0 – 100
มันสามารถทะยานผ่านไปได้ในพริบตาไม่ต่างจากอะไรกับรถสปอร์ตทางเรียบ เพียงแต่รถสูตรทางฝุ่นนั้นไม่ได้เน้นแรงม้าชนิดแน่นคอก
แต่จะเน้นม้าที่ปราดเปรียวและมีความคล่องตัวสูงๆ ซึ่งหากจะเปรียบเป็นการแข่งม้า รถทางฝุ่นก็จะเป็นการแข่งที่ต้องขี่ข้ามเครื่องกีดขวาง
ส่วนรถสปอร์ตก็เน้นความเร็วในลู่บนทางราบนั่นเอง

แรงแรกพบกับ CRF 450 R
     ไม่ต้อง “งง” ครับ ทีมงานไม่ได้จั่วหัวผิดหรือผู้อ่านก็ไม่ได้อ่านผิดด้วย เพราะ “แรงแรกพบกับ HONDA CRF450R ”
คือความรู้สึกแรกที่ได้เห็น ขืนเขียนว่า “รักแรกพบ” ทีมงานคิดว่ามันจะดูเชยไปนะครับ เพราะคำนี้ได้ยินมาตั้งแต่พ่อจีบกับแม่ในยุคกางเกงขาบานมาเมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น
Honda CRF 450 R คันนี้เป็นรถแข่งโดยสันดาน ไม่มีไฟหน้าหรือไฟท้าย ไม่ต้องมองใครจากกระจกข้าง สนใจเพียงอย่างเดียวคือ “ความแรง”
    แต่ในการออกแบบรถสูตรทางฝุ่นไม่ว่าจะเป็นค่ายไหนความแรงมักจะไม่หนีกันมากนัก แถมพื้นฐานเครื่องยนต์ก็ยังใกล้เคียงกันอีกด้วย
เพราะฉะนั้นรถทางฝุ่นจะดีหรือไม่เขาวัดกันที่ระบบกันสะเทือน รองลงมาก็เป็นน้ำหนักตัวที่ต้องเบา และรองของรองที่สุดก็คือความแข็งแกร่ง
มันเกือบจะไม่เคยมีภาพหลุดมาให้เห็นเลยว่ารถสูตรทางฝุ่นที่กำลังแข่งๆ กันอยู่นั้นเกิดหักหรือกระโดดลงมาจากเนินแล้ว
“รถแยกร่าง” แม้ในทุกวันนี้จะมีการพัฒนาโลหะไปไกลถึงไททาเนี่ยมอัลลอย แต่รถวิบากหรือรถทางฝุ่นก็ยังไม่เห็นความจำเป็น
 ณ จุดนั้นที่ต้องโหมเงินทุนหล่อแบบสร้างรถไททาเนี่ยมอัลลอยขึ้นมาแข่ง ด้วยเหตุนี้เอง “อะลูมินั่มอัลลอย” จึงเป็นทางออกและคำตอบที่น่าสนใจมากที่สุด
แต่อะลูมินั่มอัลลอยก็มีอยู่หลายเกรด ตั้งแต่ของถูกๆ ที่ใช้ทำไม้แขวนเสื้อไปจนถึงชิ้นส่วนอากาศยาน HONDA CRF450R ใช้โครงสร้างและสวิงอาร์มที่ผลิตขึ้นจากอะลูมินั่มอัลลอย นอกจากนั้นเรายังไม่เห็นการใช้โลหะอย่างเหล็กเลยแม้แต่แผงคอล่างที่ต้องการความแข็งแกร่งสูงๆ

 มิติตัวรถ HONDA CRF450R มีความสูงจากพื้นถึงเบาะ 952.5 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,491 มม. ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 330 มม.
ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดความจุ 7.4 ลิตรเน้นความเบาด้วยวัสดุพลาสติควงล้อหน้าและหลังเป็นแบบซี่ลวด
ใช้ยางหน้าดอกลายหนามขนาด 80/100 21 นิ้ว ยางหลัง 120/80 19 นิ้ว มีน้ำหนักตัวรถรวมๆ แล้วแบบพร้อมขี่คือ 110 กิโลกรัมเท่านั้น!!!

ช่วงล่างของจอมลุย
    ชุดช่วงล่างของรถวิบากจะถือว่าเป็น “พระเอก” ก็ไม่น่าจะแปลกหรือผิดอะไร เพราะความแรงนั้นค่ายไหนก็ทำได้เหมือนๆ กัน
แต่การที่จะควบคุมความแรงจากเครื่องยนต์นั้นจำเป็นต้องพึ่งระบบช่วงล่างดีๆ HONDA CRF 450 R ใช้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบเทเลสโคปิคหัวกลับ ขนาด 48 มม.
เป็นผลงานของ KYB รุ่น PSF ™ (PSF ย่อมาจากคำว่า Pneumatic Spring Fork)

ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยวพ่วงด้วยกระปุกซับแท้งค์บรรจุแก๊ส เป็นผลผลิตของ KYB อีกเช่นกัน ให้ระยะการยุบตัวที่ 317.5 มม.
ทั้งด้านหน้าและหลังจะสามารถปรับค่าต่างๆ ได้แบบเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นความกระด้างแข็งหรือ สปีดจังหวะเวลาคืนตัว
ช่วงล่างชุดนี้ไม่ได้เน้นความนุ่มนวลแต่จะเน้นการสับจังหวะคืนที่ไม่ช้าแบบรถสปอร์ตทางเรียบและจะต้องไม่ถีบเวลาคืนตัวอีกด้วย
จานเบรคของ HONDA CRF 450 R ด้านหน้าเป็นจานเดี่ยวชนิดตายตัว มาในขนาด 240 มม. คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ สั่งงานด้วยระบบไฮดรอลิค ชุดจานเบรคหลังก็เป็นจานเดียวตายตัวอีกเช่นกัน แต่สำหรับเรื่องของขนาด “บอกได้เลยว่า” เท่าๆ กันกับด้านหน้าคือ 240 มม. คาลิเปอร์ 1 ลูกสูบ สั่งงานด้วยปั๊มกระทุ้งจากพักเท้าด้านขวา

กล้ามไม่โตแต่แรง “ล้น”
 ถ้าจะเปรียบเครื่องยนต์ที่ประจำการอยู่บน HONDA CRF450R เป็นนักกีฬา…มันก็น่าจะเป็นนักวิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง ไม่จำเป็นต้องเน้นมัดกล้ามโตๆ
เพียงแต่จะใช้กล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นสูง รถวิบาก หรือรถสูตรทางฝุ่น ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยนต์อะไรที่ใหญ่โต แต่จะเน้นเรื่องแรงบิดสูงๆ กับอัตราเร่งต้นดีๆ
     HONDA CRF450R ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 4 จังหวะ 1 ลูกสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดความจุของเครื่องยนต์ (สุทธิ) 449 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะชัก เท่ากับ 96 x 62.1 มม.
  ควบคุมการกดเพื่อปิด/เปิดวาล์วทั้ง 4 ตัวด้วยระบบที่เรียกว่า “Unicam” วาล์วไอดีทำจากไททาเนี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 มม.ทำจากโลหะระบบเกียร์เป็นแบบธรรมดา 5 สปีด
ชุดคลัทช์แบบเปียก ขับเคลื่อนด้วยโซ่และสเตอร์ สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยคันสตาร์ทเท้า แต่จะมีปุ่มดับเครื่องยนต์ติดไว้บนแฮนด์ในกรณีที่ต้องการดับเครื่อง

ความน่าสนใจของเครื่องยนต์รถสูตรทางฝุ่นก็คือระบบการระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำอะลูมิเนียมใบเล็กๆ ถามว่าทำไมมันถึงได้จัดการกับความร้อนได้เบ็ดเสร็จขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะครีบรีดมวลลมและชุดขับระบบน้ำให้วนมีขนาดที่ใหญ่ก็เป็นได้ การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงใช้ระบบหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ PGM – FI (Programmed Fuel Injection) ชุดเรือนลิ้นเร่งมีขนาด 46 มม.

“แจ่ม” ทุกชิ้น “จี๊ด” ทุกมุม
     ปิดท้ายด้วยเรื่องของเรือนร่าง HONDA CRF450R จริงๆ แล้วสูตรอย่านี้เขาก็เน้นเรื่องอากาศพลศาสตร์เช่นกัน แต่ไม่ได้เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วที่ต้องลื่นไหลแบบรถทางเรียบ
แต่สำหรับรถสูตรทางฝุ่นจะใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการกดเพื่อทำให้รถอยู่บนพื้นมากที่สุดเวลาขับขี่ จุดไหนที่มองแล้วจะเป็นจุดที่ปล่อยให้อากาศเข้าไปช่วยระบายความร้อนได้
ก็จัดกระบวนทิศทางลมเสียใหม่เพื่อประโยชน์สูงสุด บอดี้พาร์ทรวมทั้งหมดจะมีอยู่ 16 ชิ้น
ชุดการ์ดแกนช็อคอับหน้าด้านซ้ายจะพ่วงตำแหน่งชุดครอบจานเบรคหน้าไปในตัวบังโคลนหน้าและหลังป้องกันทุกสรรพสิ่งที่ล้อจะตะกุยขึ้นมา
ปีกหม้อน้ำขวากับซ้ายนอกจากจะช่วยป้องกันหม้อน้ำแล้วยังคลุมเฟรมและจุดยึดเครื่องยนต์ได้อีกด้วย ครีบรีดมวลอากาศ แค่ชื่อก็น่าจะรู้แล้วว่าทำหน้าที่อะไร
แต่มันรีดอากาศเข้ารังผึ้งนะครับ อย่างอื่นไม่อยู่ในหน้าที่
     แป้นเบอร์ด้านหน้านอกจากจะติดเบอร์เพื่อระบุความเป็นตัวตนแล้วมันยังเป็นเหมือนแผงกั้นชุดสายไฟด้านหน้า ถังน้ำมันเชื้อเพลิงมาด้วยขนาดความจุ 7.4 ลิตร
เบาะนั่ง (ที่จริงๆ แล้วไม่ค่อยได้ใช้) ทับอยู่ด้านบน แป้นเบอร์ด้านข้างก็ทำงานแบบแป้นเบอร์ด้านหน้าแต่อยู่คนละที่
ชุดครอบใต้เบาะแม้จะเป็นชิ้นน้อยๆ แต่ก็สำคัญมากๆ เพราะนี่คือตัวป้องกันชุดระบบไฟฟ้าอย่างพวกรีเลย์ต่างๆ
ชุดครอบเบรคหลังและตัวดันโซ่ก่อนเข้าสเตอร์หลัง ทำหน้าที่ตามชื่อทุกอย่าง

เบา แข็งแกร่ง อัตราเร่งดี ขับขี่ได้คล่องตัว ช่วงล่างเทพ คือคุณสมบัติแบบ Must Have ของรถสูตรทางฝุ่น สูบเดียว
ม้าไม่ต้องแน่นคอกแต่เน้นให้มาทุกครั้งที่เรียกใช้ จบป่ะ…?
http://newcar2thai.com/2014-honda-crf450r.html

[phatthanawat]

 

[OASIS]

2014 KAWASAKI KLR650 จะเที่ยว จะลุย ไปกันเลย!!!

ปัจจุบันรถบิ๊กไบค์ขนาดกลางพิกัด 650 ซีซี. กำลังเป็นที่นิยมจากทั่วโลก หลายๆ ค่ายส่งออกมาสู้กันในท้องตลาด
ที่มีทั้ง Sport และ Naked ค่ายยักษ์เขียว KAWASAKI เป็นค่ายแรกๆ ที่ส่งรถคลาสนี้ออกมาเมื่อหลายปีก่อน รวมถึงรถประเภท Dual Purpose

รถสไตล์ Dual ที่ควบ 2 บุคลิก  2 อารมณ์ ขี่เที่ยวก็ได้ จะลุยก็ไปกัน พร้อมจัดหนักทุกเวลา สาวกของรถประเภทนี้ย่อมจะรู้กันดี
KAWASAKI ทำรถประเภทนี้มานานมากแล้วแต่กลับไม่ค่อยได้เน้นด้านการตลาด ส่วนใหญ่จะเน้นรถสปอร์ตหรือทัวริ่งมากกว่า
แต่ตอนนี้มอเตอร์ไซค์ลุยๆ มันหวนกลับคืนวงการมาอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะยี่ห้อไหนรุ่นไหน ก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี
     2014 KAWASAKI KLR 650 มาพร้อมรูปลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนชัดเจน พร้อมลุย พร้อมเที่ยว พร้อมรับทุกการขับขี่
บังโคลนหน้าลอยถูกจับมาอยู่ใต้ไฟหน้าที่มีชุดแฟริ่งข้างหุ้มเครื่องยนต์เอาไว้ เซ็ทช่วงล่างมาให้ไปได้ทุกสภาพทาง
ช็อคอับหน้าแบบเทเลสโคปิคขนาด 41 มม. ระยะยุบถึง 7.9 นิ้ว ใส่ยางหุ้มแกนช็อคอับมาให้เลย
ช็อคอับหลังเป็นระบบ Uni-Trak ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ลิขสิทธิ์เฉพาะ KAWASAI ปรับตั้งให้แข็งหรือนุ่มนวลได้ตามต้องการ

     ขุมกำลังของ KAWASAKI KLR650 ที่ทำให้มันไม่ใช่แค่รถอ๊อฟโรดลุยๆ ทั่วไป เป็นเครื่องยนต์สูบเดียว 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 651 ซีซี.
ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 100 x 83 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 9.8 : 1 ควบคุมการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ CVK 40 ของ KEIHIN
เพื่อให้ง่ายต่อการเซอร์วิสชุดเกียร์ 5 สปีดพอสำหรับการขับขี่บนพื้นราบ และเหลือๆ สำหรับการขับขี่แบบลุย เครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการติดตั้งบาล้านเซอร์
ลดแรงสั่นสะเทือน ให้เครื่องนต์ทำงานได้อย่างนุ่มนวลภายในห้องเผาไหม้แก้ไขปรับปรุงให้สามารถระบายความร้อนได้รวดเร็ว
ลูกสูบ แหวนลูกสูบใช้วัสดุที่ทนทานต่องานหนักๆ
     รูปทรงอาจจะไม่เด่นล้ำนำสมัยแต่สำหรับขาลุยตัวจริง มันคือสุดยอดรถที่พร้อมรับทุกสถานการณ์ ทั้งพละกำลังเครื่องยนต์ระบบช่วงล่าง
ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลแค่ไหน หรือจะต้องบากบั่นฟันฝ่าอุปสรรคขนาดไหน KLR650 คันนี้รับใช้ได้เสมอ
http://newcar2thai.com/2014-kawasaki-klr650.html

[OASIS]

 

[yellowbird]

2014 KTM Freeride 350 ลุยทุกที่ สนุกทุกทาง

เมื่อ KTM เจ้าสังเวียนทางฝุ่นปล่อยตัวเด่นๆ ออกมารองรับความต้องการของสาวกทางฝุ่นบังโคลนลอยอีกรุ่น
คราวนี้เป็นรถที่ไม่ได้เน้นเพื่อการแข่งขัน แต่เป็นรถขี่เที่ยวออกกำลังกายในวันหยุด หรือจะออกทริปลุยๆ กันตามป่าเขาหรือจะ
จับมันลงแข่งแบบ Enduro ก็จัดหนักได้ไม่เคยหวั่น
 2014 KTM Freeride 350 เป็นการพัฒนาที่ต่อยอดมากจากความสำเร็จของ KTM EXC-F แต่ปรับให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
เหล่านักบิดจอมลุยจะได้ตื่นเต้นเร้าใจกับการขับขี่ท่องเที่ยวบุกป่าลุยเขากันได้เต็มที่
  ต้นกำลังของ Freeride 350 เป็นเครื่อง 4 จังหวะ สูบเดียว 349.7 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก
เท่ากับ 88 x 57.5 มม. อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 12.3:1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วระบบหัวฉีด EFI Keihin ขนาดตัวเรือน 42 มม.
 ระบบส่งกำลังเป็นคลัทช์เปียกหลายแผ่นซ้อนกันโดยใช้ปั๊มไฮดรอลิคแทนสายสลิง ระบบเกียร์ 6 สปีดถูกออกแบบให้เกียร์ 1, 2 และ 3
มีความห่างกันที่ค่อนข้างมากเพื่อให้เหมาะสมกับแรงบิดเพื่อเวลาที่ต้องเข้าป่าหรือไต่ขึ้นทางชันก็ทำได้สบาย
 ตัวรถออกแบบให้มีขนาดเล็กน้ำหนักเบา ควบคุมง่าย ความสูงของเบาะนั่งไม่มากนักแค่ 895 มม. ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสพื้นได้เต็มเท้า
ทั้งไซส์เล็กและไซส์ใหญ่ขี่ได้สบายเบาะนั่งดูบางแต่ว่าให้ความสบายเมื่อต้องนั่งขับขี่และสามารถปลดล็อคเปิดเบาะออกมาเซอร์วิสได้อย่างง่ายดาย
สำหรับการเซอร์วิสกรองอากาศ เช็คระบบไฟเช็คหัวฉีด
  ระบบกันสะเทือนที่ติดตัวมาเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับ KTM มาแล้วหลายรุ่นนั่นคือสำนัก WHITE POWER ด้านหน้าเป็นช็อคอับเทเลสโคปิค 43 มม.
ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยว WHITE POWER เช่นกันช็อคอับหลังทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม วงล้อหน้าหลังเป็นล้อยางที่เซ็ทมาให้เพื่อลุยโดยเฉพาะ
กับขนาดล้อหน้า 21 นิ้ว ขนาดกระทะล้อ 1.60 นิ้ว วงล้อหลังเป็นขนาด 18 นิ้ว ขนาดกระทะล้อ 2.15 นิ้ว
ระบบเบรคหน้าใช้ดิสค์เบรคเดี่ยวขนาดจารเบรค 260 มม. คาลิเปอร์เบรก 4 ลูกสูบด้านหลังใช้จานเบรกเดี่ยวขนาด 210 มม.
http://newcar2thai.com/2014-ktm-freeride-350.html

[OASIS]

 

[OASIS]

Kawasaki Ninja H2 เปิดราคาในอเมริกาแล้ว

หลังจากทาง Kawasaki สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ Ninja H2 ให้แฟนๆทั้งไทยและเทศได้ติดตามข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการประกาศราคามอเตอร์ไซค์ Ninja H2 กันเป็นทีเรียบร้อยแล้วบนหน้าเว็บไซท์ของอเมริกา

โดยราคายืนยันออกมาแล้วสำหรับมอเตอร์ไซค์ Ninja Supercharged คือ $25,000 USD หรือราว 750,000 บาท
สำหรับรุ่นทางเรียบ H2 ส่วนรุ่นเฉพาะสนามแข่งหรือ H2R นั้นราคาจะเป็น $50,000 USD หรือราวๆ 1.5 ล้านบาท

สำหรับราคาในฝั่งยุโรปอย่างอังกฤษนั้น คาดว่าจะมีการเปิดเผยในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ ในงาน Motorcycle Live Show ที่เมืองเบอร์มิงแฮม

อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการกระจายสินค้า และการตั้งราคา การทำโปรโมชั่นต่างๆนั้นอาจจะเปลี่ยนไปในแต่ละตลาด
จึงเป็นไปได้ว่าในยุโรปนั้นราคาจะแพงกว่าในอเมริกา และราคาในไทยก็คงต้องบวกภาษีและค่าดำเนินการต่างๆเข้าไป
ก็คาดว่าคงได้ตัวเลขกันในอีกไม่นานนี้ แฟนๆ ชาวไทยก็คงต้องรอดูกันต่อไปละครับ

ที่มา visordown.com

- See more at: http://mocyclover.com/kawasaki-ninja-h2-%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%
b2%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%
b8%81%e0%b8%b2%e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b9%89.html#sthash.tMXgOQjR.dpuf

[tai xr]

เอามาฝากโกแซวครับ ตามนี้ การติดตั้ง

[OASIS]

เอามาฝากโกแซวครับ ตามนี้ การติดตั้ง

[OASIS]

Adventure BMW G650GS Sertao ไซส์เล็กจากค่ายบีเอ็มดับเบิ้ลยู

     เอาใจนักบิดที่ชื่นชอบการผจญภัยด้วยการนำรถสไตล์ Adventure ไซส์เล็กค่ายใบพัดมาให้ชมกัน
แม้ว่าตัวจะเล็กแต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นไม่เล็กตามตัว คุณภาพที่คับแก้วเป็นเอกลักษณ์ของ BMW
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรถสไตล์ลุยจากค่ายนี้จึงได้รับการตอบรับอย่างดี
     ด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นของ BMW จนเป็นที่ยอมรับจากบรรดานักบิดทั่วทุกมุมโลกก็คือเรื่องของการตอบสนองต่อผู้ขับขี่
ทั้งเรื่องเครื่องยนต์ระบบกันสะเทือน ทุกๆ โมเดลได้รับความสนใจจากนักขี่ทั่วโลก
     2013 BMW G650GS Sertao ตัวลุยไซส์เล็กที่มีสมรรถนะเด่นติดตัวมามากมายแน่นอนว่าหน้าตาของมันต้องมาในแนวลุยเหมือนพี่น้องร่วมค่าย ตระกูล GS
ที่ไล่มาตั้งแต่พี่ใหญ่ R 1200 GS น้องรอง F 800 GS จนถึงน้องเล็กคันนี้ G 650 GS บังโคลนลอยกับช่วงล่างที่เซ็ทมาเพื่อการลุยโดยเฉพาะ
ช็อคอับเทเลสโคปิคขนาด 41 มม. มีช่วงยุบ 210 มม. ปรับตั้งค่าได้ตามความชอบจะเอาหนืดขนาดไหนย่อมได้ ด้านหลังใช้ช็อคอับเดี่ยวปรับตั้งได้ละเอียดเช่นกัน
พร้อมรองรับทุกการขับขี่ทุกสถานการณ์
     ระบบเบรคก็มีของดีติดตัวมาไม่น้อยหน้าไปกว่ารุ่นพี่ๆ ด้วยดิสค์เบรคหน้าแบบจานเดี่ยวขนาด 300 มม. คาลิเปอร์เบรค 2 ลูกสูบ
เบรคหลังเป็นจานเดี่ยวขนาด 240 มม. คาลิเปอร์เบรค 1 ลูกสูบ พร้อมด้วยระบบเบรค ABS มั่นใจได้ทั้งกับระบบกันสะเทือนและระบบเบรค
      เครื่องยนต์ 4 จังหวะสูบเดียว DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุ 652 ซีซี. ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 100 x 83 มม.
จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ที่ใช้หัวฉีด 2 หัว ผลิตกำลังให้ใช้งานได้ 50 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที
     BMW G 650 GS Sertao คือรถที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ครอบคลุม จะขี่เที่ยวเรื่อยๆ ก็ชิวได้ใจ หรือจะไปลุยแบบครอสคันทรี่ที่ต้องแบบน้ำหนักกับรถสไตล์ Adventure ตัวใหญ่ๆ
ซึ่งมันก็ทำได้ไม่น้อยหน้า แถมจะไปในทางฝุ่นได้เร็วกว่าซะอีก ด้วยขนาดตัวรถที่มีขนาดเล็กแถมยังน้ำหนักเบา คุมง่าย ทำให้มีแต้มต่ออย่างมากสำหรับในทางฝุ่น สนุกและไม่เหนื่อยเร็วด้วย
http://newcar2thai.com/bmw-g650gs-sertao.html

[phatthanawat]

 

[OASIS]

ทำความรู้จักกับ โช๊คหัวกลับ Up side down คืออะไร?

โช๊คหัวกลับ อัพไซด์ดาวน์(Up side down) หรือเรียกย่อๆว่า USD คือโช๊คที่มีห้องแก๊สอยู่ด้านบน
แกนโช๊คเป็นตัวเคลื่อนที่ขึ้น-ลงตามภาระที่กระทำตามแนวแกน ส่วนกระบอกจะยึดกับส่วนของตัวรถ ไม่ได้เคลื่อนที่
ซึ่งตรงข้ามกับการทำงานของโช๊คแบบธรรมดาที่ห้องแก๊สอยู่ด้านล่าง กระบอกจะเคลื่อนที่ขึ้น-ลงตามแรงที่กระทำ
ปัจจุบันการออกแบบรถวิบากหรือรถ BigBike ระดับน้ำหนักตัว 200 กก.ขึ้นไป น้อยนักที่จะพบว่าใช้โช๊คหน้าแบบธรรมดาที่มีกระบอกน้ำมันอยู่ด้านล่าง

ข้อดี ข้อเสียของโช๊คอัพแบบ Up side down
      ข้อดี
            1. มีน้ำหนักใต้สปริงน้อยกว่า(Unsprung weight) ทำให้การควบคุมรถทำได้ดี
            2. ระบบรองรับน้ำหนักดีกว่าโช๊คอัพแบบ teleskopik
            3. เสถียรภาพและประสิทธิภาพดีกว่าโช๊คแบบ teleskopik
ข้อเสีย
            1. มีราคาแพงกว่าโช๊คอัพแบบ teleskopik
            2. แกนโช๊คอยู่ต่ำ ทำให้มีโอกาสโดนหินหรืออะไรก็ตามทำให้เป็นรอยหรือเกิดความเสียหายกับแกนได้
จึงต้องมีการ์ดปิดแกน


ข้อดี ข้อเสียของโช๊คอัพแบบ teleskopik(ธรรมดา)
       ข้อดี
            1. ราคาถูก
            2. แกนโช๊คมีขนาดเล็ก
            3. ซ่อมง่ายเพราะกลไกไม่ซับซ้อน

       ข้อเสีย

            1. น้ำหนักใต้สปริงมาก คือ ตัวกระบอกโช๊ค น้ำมัน กลไกวาล์ว ซีล สปริง ทำให้การควบคุมรถและประสิทธิภาพของ
                ระบบรองรับน้ำหนักไม่ดีเท่าโช๊ค Up side down

ประวัติความเป็นมา
             กันสะเทือนหน้าในยุคแรกๆ เป็นระบบง่ายๆ ใช้ตะเกียบหน้าที่เป็นเหล็กท่อนตรงๆ แล้วมาทำจุดยึดแล้วก็อาศัยคอยล์สปริง(สปริงขด)
มาเป็นตัวซับแรงสั่นสะเทือน ตามธรรมชาติของสปริงแล้ว เมื่อมีแรงมากระทำให้มันเกิดการยุบตัวแล้ว เมื่อแรงกระทำนั้น
หายไป มันก็จะดีดตัวเองกลับคืนมาในสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว และไม่เร็วอย่างเดียว
ยังมีการดีดกลับไปกลับมาต่อเนื่องอีกระยะนึงด้วย ทำให้ เกิดอาการดีดสับของระบบกันสะเทือน ส่งผลถึงการทรงตัวที่แย่ได้
 ต่อมามีการพัฒนาโดยการนำเอาของเหลว พวกน้ำมันที่มีความหนืดมาเป็นตัวหน่วงแรงดีดกลับของสปริงที่ว่านี้
ก็คือ น้ำมันช็อคนั่นเอง ทำให้ช็อคทำงานได้ราบเรียบขึ้น(ทำให้เกิดความหนืดขึ้น ทำให้แรงที่สปริงเด้งตัวกลับ เบาบางลง)
ตั้งชื่อว่า "เทเลสโคปิค" ซึ่งหลักการทำงานคร่าวๆ ของช็อคอัพจะมีอยู่ 2 จังหวะ คือ

http://www.motocross.in.th/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%
A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A-
%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B9%8A%E0%B8%84%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7/

[OASIS]

 

[OASIS]