อยู่กับยาย สุขสบายดีทุกอย่าง แม้ว่าจะนอนดึก ตื่นเช้า เเม้ว่าต้องช่วยน้าทำงานทุกอย่าง เพราะ เงินจากค่าเล่าเรียน ก็ได้ท่านๆนี้แหละเป็นผู้ให้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ชอบเอามากๆก็คือการเข้าส้วม ถ้าอาบน้ำยังไม่เป็นไร จะยืนชิดประตูมากที่สุด แล้วก้จ้วงน้ำราดๆตัว ให้ไวไว ไม่อยากเป็นเป้าสายตาให้ไก่ ที่มันยืนมองทำตาปริบๆ(เลยติดนิสัยไม่อ้อยอิ่งเวลาอาบน้ำ)
ปวดเบาก็ยังไม่มีปัญหาเพราะนั่งที่ไหนก็ได้ แต่ปวดอึนี่สิ แสนทรมาณ เพราะส้วมใกล้กรงไก่ ต้องนั่งเอนๆ เบี่ยงๆ กลัวมันจิก บางทีไม่นั่งคร่อมส้วมหรอก หันหลังให้มัน
(หวา เอาความลับส่วนตั๊ว ส่วนตัว มาแฉนะนี่

) และพยายามเข้าตอนดึกๆ เพราะไก่มันหลับ
มีอยู่เช้านึงจำได้ ตีสาม เกิดปวดท้องอย่างหนัก จนสุดกลั้น กลัวไก่ก็กลัว เอาวะเป็นไงเป็นกัน นั่งเบี่ยงๆ แต่ก็มองมันตลอด
ทันใดนั้น........
เพราะท่ามกลางความเงียบสงัด (ยกเว้นเสียงต๋อม ต๋อม

) การระแวง ระวัง
อยู่ๆไก่ในกรง ก็ตีปีกผับ ผับ พร้อมใจกัน ร้องกะต๊าก กะต๊าก
พึ่งซึ้งกับคำว่า ขึ้หดตดหายก็อีคราวนี้เอง
ตกตลึงกับการตื่นตระหนกของไก่
ทันใดนั้น..........
ก็เห็นงูตัวเล็ก ๆเลื้อยจากท่อระบายน้ำ มันคงหนีอะไรมาซักอย่าง ตรงเข้ากรงไก่
ไก่ก็ตีปีก กะต๊าก กะต๊าก วิ่งในกรง มีเสียงโครมๆ
แล้วงูก็ตกใจ หนีจากกรงไก่ เลื้อยอย่างรวดเร็ว ตรงมาหาคนที่ตกตลึงกับเรื่องที่ไม่คาดคิด
และก็เข้าใจความหมายของคำว่าขนหัวลุกตั้งชัน เพราะมีความรู้สึกว่า ผมทุกเส้นมันชี้โด่เด่
จากท่านั่งโหย่งๆ ก็กระโดด เหยง เหยง พร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจ
รีบเปิดประตูวิ่งออกมา ตัวสั่นเทา ร้องไห้สะอีกสะอื้น
น้าได้ยินเสียงหวีดร้อง ก็วิ่งลงมา ถามว่าเป็นอะไร
สะอื้นฮัก ฮัก บอกว่า งะ งะ งะ งู กะ กะ กะ ไก่ หนู หนู จะ อึ
น้าก็มาปลอบ บอกว่า ไม่เป็นไร มันไม่อยู่แล้ว งู กะหนู มันหนีไปแล้ว
ตอนหลังๆ น้าเล่าให้ฟังอย่างขำขำว่า ยังจำภาพที่หลานคนนี้ รัองไห้สะอื้น ฮักๆ
กางเกงก็ไม่ใส่ ขาก็เลอะ ต้องจับมาล้างเนื้อล้างตัวใหม่
และในไม่ช้า น้าก็เปลี่ยนจากขายข้าวมันไก่มาขายข้าวแกง ไม่ต้องมาเชือดไก่อีก
รื้อกรงไก่ออกจากห้องน้ำ แต่ยังไม่สามารถลบความทรงจำในวัยเด็กช่วงนั้นได้