เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 06:04:50
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 [37] 38 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293341 ครั้ง)
LoveYou2
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 926


096-0133136 บอย


« ตอบ #720 เมื่อ: วันที่ 16 มิถุนายน 2013, 14:38:18 »

สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ยิงฟันยิ้ม ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ


  
  ในตลาด TFEX เดียวนี้มันมี Single Stock Futures ด้วย ไม่ได้มีแต่ SET50 Index ที่ว่าอย่างเดียวครับ

ในการซื้อ-ขายก็ไม่จำเป็นต้องวางเงินเยอะเท่า ลองเข้าไปศึกษาดูครับ การจะเป็น I นั้น มันต้องรู้จักตัวเอง

รู้จักตลาด รู้จักจังหวะ แต่จะคิดว่าเขียวแล้วค่อยซื้อ อย่างนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่ รวมทั้งการเป็น VI ด้วย บางครั้ง

การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA มันก็เหมาะสำหรับการเริ่มเป็น VI นะครับ ใครบอกครับว่ามีเงินเยอะถึงจะเป็น VI ได้...^^

มันก็เหมือนกับ การลงทุน ที่ ต้องค้นหา สไตล์ของตัวเอง
ไม่ใช่หรือครับ  อาจจะไม่ใช่สำหรับบางคน แต่อาจจะใช่สำหรับอีกคนก็ได้นะครับ
ส่วนผมอย่างที่ท่านว่าแหละครับ รู้จักจังหวะ สำหรับผมสำคัญที่สุด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 16 มิถุนายน 2013, 14:41:50 โดย boutboy000 » IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #721 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 03:17:18 »

สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ยิงฟันยิ้ม ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ

ถ้าอยากศึกษาเรื่อง  TFEX  ลองถามโบรกเกอร์ดูได้ครับ  และถ้าไม่อยากเฝ้าจอ  เดาว่าท่านคงไม่ชอบเก็งกำไร  ถ้าอย่างนั้นคงต้องซื้อหุ้นเน้นปันผลแล้วนะครับ  ส่วนข้อความที่ว่า  หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI    ผมคิดว่าไม่จริงครับ  VI  ไม่ได้แยกประเภทตรงจำนวนเงิน  มันอยู่ที่วิธีการมากกว่า  ถ้ามีเงินเยอะแล้วอยากซื้อๆขายๆทำได้หรือไม่?  คำตอบคือ  "ได้"  ครับ  พวกนี้ก็เรียกว่าเก็งกำไร  ถึงมีเงินน้อยก็  "เกร็ง"  ได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #722 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 10:34:18 »

ช่วงนี้ท่านวายุว่าง ใครสนใจอัญเชิญไปพูดคุย ได้เลยนะครับ 55+
IP : บันทึกการเข้า

LoveYou2
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 926


096-0133136 บอย


« ตอบ #723 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2013, 20:22:14 »

สิ่งที่ผมอยากเข้าไปยุ่งด้วยแต่ยังไม่กล้าก็คือตราสารอนุพันธ์  เพราะโดนส่วนตัวแล้วผมมองว่าของพวกนี้ความเสี่ยงสูงสุด  มันไม่ใช่แค่จะเสียเงินทั้งหมดไป  มันสามารถติดลบไปได้เรื่อยๆ

 จากข้อความของท่าน ว่ายุ

ในเชียงราย ถ้าอยากศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีที่ไหนบ้างครับท่าน
ผมไม่ได้เข้าห้องนี้นานแล้ว
เคยติดตามเมื่อ2-3ปีก่อน เคยไปนั่งกิน ข้าวมันไก่ท่าน วายุ ด้วยนะครับ
ตอนนั้นยัง ทำงานเป็น E อยู่  ตอนนี้ขยับมาเป็น S+I
ส่วนตัว คิดว่าอยากลงทุนแนว VI แต่ด้วยเงินลงทุนอันน้อยนิด เพียง 1แสน
ก็เลยซื้อขายระยะสั้นแทน  เป็นแนวมั่ว แต่วันไหนตลาดลงแรงผมก็ไม่เข้า
วันไหนตลาด ติด+ มีโอกาสน้อยมากที่จะขาดทุน ถ้าไม่โลภ
ผมซื้อขายไม่ทิ้งข้ามวันครับ  เคยทิ้งไว้ข้าม2ครั้ง ตอนปิด +4 พันกว่า เปิดมาอีกวัน -3พัน
โดยที่ไม่ทันได้้เสนอขายเลย  เข็ดเบยครับ
หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI เหมือนกันครับไม่อยากเฝ้าจอครับมันเหนื่อย ยิงฟันยิ้ม ;Dหรือวันไหนตลาดพัง วันนั้นคงได้เป็น VI   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

เคยสอบถาม มาเก็ตติ้ง ว่าถ้าซื้อขาย ฟิวเจอร์ ต้องทำยังไง
เค้าบอกว่า ต้องมี สเตทเมนท์ 5 แสน สัญญา set สัญญาละ 47,500
สนใจมากเลยครับ

ถ้าอยากศึกษาเรื่อง  TFEX  ลองถามโบรกเกอร์ดูได้ครับ  และถ้าไม่อยากเฝ้าจอ  เดาว่าท่านคงไม่ชอบเก็งกำไร  ถ้าอย่างนั้นคงต้องซื้อหุ้นเน้นปันผลแล้วนะครับ  ส่วนข้อความที่ว่า  หากวันไหนผมมีเงินมากพอผมก็จะเป็น VI    ผมคิดว่าไม่จริงครับ  VI  ไม่ได้แยกประเภทตรงจำนวนเงิน  มันอยู่ที่วิธีการมากกว่า  ถ้ามีเงินเยอะแล้วอยากซื้อๆขายๆทำได้หรือไม่?  คำตอบคือ  "ได้"  ครับ  พวกนี้ก็เรียกว่าเก็งกำไร  ถึงมีเงินน้อยก็  "เกร็ง"  ได้

ของผมจะกลายเป็นนั่งตัวเกร็ง ซะมากกว่ามั้งครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #724 เมื่อ: วันที่ 24 มิถุนายน 2013, 23:31:34 »

MONEY GAME
     กระทู้วันนี้สบายๆครับ  อ่านเล่นๆอย่าไปเครียด  ผมแค่จะมาพูดคุยแบบขำๆเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้นในมุมมองของผมว่า  ผมมีความเห็นอย่างไรต่อตลาดเท่านั้นเอง

     ผมว่าทุกคนคงจะเคยเห็นตลาดที่เปิดขายเฉพาะเวลานะครับ  อย่างเช่นไนท์บาซ่าร์  ถนนคนเดิน  หรือตลาดเช้าเย็น  ทีนี้ถ้าเราเป็นคนขายของในนั้น  แบบว่าไปวางขายทีไรก็ขายดี๊ขายดีมีแต่คนมุง  สรุปก็คือขายดี  ขายไม่ได้หยุดจนตลาดวาย  พอตลาดวายเราก็เก็บของกลับบ้านพร้อมกับกำไรที่ทำได้  เพื่อรอเข้าตลาดในวันต่อไป  แต่ถ้าตลาดมันวายแล้ว  และวันนั้นของมันเหลือ  ต่อให้ลดราคาแค่ไหนมันก็ขายไม่ออกแล้วเพราะไม่มีใครมาเดิน  ถึงแม้ว่าเราจะยังดึงดันว่า  สินค้าของเราดี๊ดีที่สุดในสามโลก  มันก็ไม่ได้ทำให้เราขายหมดภายในวันนั้นได้  นอกเสียจากว่าจะมีบางคนที่เห็นโอกาสตรงนี้ว่า  ถ้าอยากได้ของดีราคาถูกต้องตอนตลาดวายเท่านั้น  เหมือนของออนเซลตามห้างนั่นแหละ

     แล้วของที่เรียกว่าดีมันเป็นแบบไหน?  มันไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน  บางทีมันอาจดีสำหรับเราแต่ไม่ดีสำหรับคนอื่น  บางทีคนอื่นรุมซื้อ  เราก็เลยมองว่ามันน่าจะดี  จริงๆแล้วผมเป็นคนมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องซื้อของตอนตลาดวายบ่อยมาก  โดยเฉพาะห้างต่างๆที่ตอนใกล้จะปิดห้างแล้วแต่อาหารยังขายไม่หมดเนี่ย  ผมก็ชอบไปมุงกับเขาเหมือนกัน  ถ้าเจออาหารถูกใจผมก็จัดมา  แต่มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการซื้อของตอนตลาดวายที่ผมยังจำฝังใจมาจนถึงตอนนี้ได้เลยก็คือ  เมื่อตอนที่ผมอยู่กรุงเทพ  แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้ลอยกระทง  สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำเมื่อเทศกาลลอยกระทงมาถึงก็คือ  ผมจะชอบเล่นพวกของเล่นที่มันดังตู้มต้ามตามประสาเด็กผู้ชาย  ถ้าเหลือเวลานาน...กว่าจะถึงลอยกระทง  ผมก็จะไปซื้อมาเล่นบ้าง  ถ้าใกล้เทศกาลมากๆผมก็จะเล่นเยอะหน่อย  แล้วทีนี้แหล่งที่ผมไปซื้อของเล่นพวกนี้เป็นประจำก็คือภูเขาทองวัดสระเกศ  เนื่องจากแถวนั้นเป็นสถานที่ขายส่งของเล่นพวกนี้  ของที่ผมชอบเล่นมากในตอนนั้นก็คือกระจับ  มันมีลักษณะเป็นกระดาษสีน้ำตาลพันทบไปมาเป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วมีชนวนโผล่ออกมา  สาเหตุที่ผมชอบเล่นตัวนี้ก็คือเสียงมันดังมากที่สุด(ในสมัยนั้น)  ถ้าเหลือเวลาสัก 2-3 เดือนกว่าจะถึงลอยกระทง  เขาจะขายถุงละ 100 (ถุงหนึ่งมีร้อยลูก)  และยิ่งใกล้ลอยกระทงมากขึ้น  ราคาของกระจับก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ  ผมจำได้ว่าเมื่อถึงวันงาน  เขาขายกันถุงละ 150  และที่ราคานั้น  ผมก็ไม่ได้สนใจจะซื้อ  เนื่องจากผมรู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องแพง  ผมก็เลยซื้อตุนไว้ก่อนเป็นเดือนแล้ว  แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดก็คือ  เมื่องานใกล้จะเลิกและผมเตรียมตัวกลับบ้านกับพวกเพื่อนๆ  กระจับที่เขาขายกันตอนหัวค่ำที่ราคา 150  กลับลดลงมาเหลือถุงละ 70 บาท !!!  และที่ราคานั้น  ผมทำใจที่จะเฉยชาต่อมันไม่ได้  ซึ่งในตอนนั้น  มันเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้วว่า  ถึงผมซื้อไปตอนนี้  ผมก็เล่นมันไม่ได้แล้ว  เพราะมันได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เขาอนุโลมให้เล่นได้  แต่สิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวก็คือ  ถ้าซื้อเก็บไว้...กำไรโคตรๆ  ถึงแม้ว่าผมซื้อไปแล้วปีหน้าไม่ได้เล่น  ผมสามารถเอามาขายต่อกินกำไรยังได้เลย  และด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นพ่อค้าเข้าสิง  ผมซื้อหมดเงินที่ผมมี  เพราะผมรู้ว่าข้อเสนอนี้คุ้มสุดๆสำหรับผม  เพื่อนๆที่ไปด้วยกันต่างหาว่าผมบ้า  พวกมันบอกว่าปีหน้าค่อยมาซื้อก็ได้  ซื้อไปแล้วเกิดเก็บไม่ดีความชื้นเข้าจุดไม่ติด  เสียเงินเปล่าๆ  ก็โอเค...กับคำเตือนที่มีเหตุผลของเพื่อน  แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมมีความสามารถเก็บมันได้  และเมื่อเทศกาลลอยกระทงได้เวียนกลับมาอีกครั้ง  พวกเพื่อนๆต่างเข้ามาหาผมแล้วถามซื้อกระจับต่อจากผม  "หนึ่งร้อยบาท"  ผมบอกพวกมัน  พวกมันพากันโวยวายบอกว่าอะไรวะ  เมิงซื้อมาแค่ 70 แต่มาขายกรู 100 เชียว  ไม่หน้าเลือดไปหน่อยเหรอเว้ยเฮ้ย  "ไม่เอาก็ไม่เป็นไร" ผมบอกพวกมันไปแบบไม่แคร์  จริงๆแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่ฉวยโอกาสอะไรแบบนั้นกับเพื่อนๆหรอก  แต่พวกมันก็ต้องเข้าใจผมด้วยว่า  ผมแบกรับความเสี่ยงมา 1 ปีเต็มๆคนเดียวและออกทุนตัวเองไปก่อน  แล้วพวกเพื่อนๆมันจะไม่เห็นใจมาขอซื้อในราคาเท่าทุนได้เชียวหรือ  และในขณะที่ราคากระจับตอนนั้น  มันก็ขายพอๆกับผมเนี่ยแหละ  แถมยังต้องเสียเวลาและค่ารถเมล์ไปซื้ออีก  ถ้าเพื่อนๆไม่เอากับผม...ก็ตามใจ  "เงินทองกินกัน  ความสัมพันธ์เหมือนเดิม" อิอิ  แต่ผมก็ไม่ได้ขายให้เพื่อนหรอกนะ  ผมขายให้เด็กๆแถวบ้าน  เพราะกำไรเยอะกว่า  เนื่องจากแกะแบ่งขายเป็นตัว  ส่วนผมกับเพื่อนๆก็ได้เล่นกระจับฟรีที่ผมแบ่งให้  แถมปีนี้ผมยังมีเงินเที่ยวลอยกระทงอีกต่างหาก

     และก็เหมือนเดิมครับ  ผมเอามาผูกกับเรื่องหุ้นอีกแล้ว  ช่วงนี้หุ้นตกหนักมากครับ  ใครเพิ่งเข้ามาก็ได้เป็นพ่อเลี้ยงทันทีเลย(ซื้อดอย)  ซึ่งเรื่องหุ้นแพงนี้  ผมก็เคยเตือนกันมาระยะหนึ่งแล้ว  สำหรับตัวผมเอง  ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ถือหุ้นจริงๆจังๆสักเท่าไหร่  เน้นซื้อๆขายๆเสียมากกว่า  เพราะโดยส่วนตัวแล้วมองว่า  รอให้มันตกลงไปมากๆจนแรงขายหมดก่อนแล้วค่อยเข้าไปลงทุนอีกทีหนึ่ง  ส่วนสาเหตุที่ผมขายหุ้น  ไม่ใช่ว่าผมกลัวตลาดจนไม่ได้สนใจพื้นฐานกิจการนะครับ  ผมมองว่าพื้นฐานกิจการของบริษัทที่ผมเคยมีมันเปลี่ยนไป จากบริษัทที่ไม่มีหนี้  มีแต่เงินสด  กลับกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้เยอะมาก  และกำไรที่บริษัททำได้ในช่วงนี้  มันก็ไม่ได้ขึ้นเปรี้ยงปร้างอย่างที่ผ่านมา  จริงๆแล้วเขาก็ยังทำได้ดีอยู่  เพียงแต่ว่ามันเกิดจากผลที่ความใหญ่ของตัวกิจการเอง  เมื่อตัวมันใหญ่มาก  การเติบโตเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มันก็น้อยลง(เหมือนเด็กกับผู้ใหญ่นั่นล่ะครับ)  และเมื่อกำไรที่มันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยลง  มันจึงทำให้ราคาหุ้นดูสูงเกินไปเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคต

     อย่างไรเสีย  ช่วงนี้ก็ถนอมเงินกันไว้นะครับ(อย่าคันไม้คันมือเข้าไปซื้อหุ้น)  เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม  เมื่อตลาดเป็นขาลง  ถูกแล้วยังมีถูกกว่า  บางคนอาจจะบอกว่า  ถ้ามันลงก็ซื้อเพิ่ม  เป็นการถัวเฉลี่ยให้ต้นทุนถูกลงไง  แต่ถ้าสมมติว่า  หุ้นมันราคา  10  บาท  และเราถัวทุกครั้งที่ราคามันตกลงมา  1  บาทเป็นจำนวนหุ้นเท่ากันทุกครั้ง  เมื่อมันตกลงมาถึง  5  บาท  ต้นทุนที่เราถัวมาเรื่อยๆจะมีราคา  7.5  บาท  แต่ถ้าเรารอให้มันกลับเป็นขาขึ้นชัวร์ๆแลัวเราเข้าโป้งเดียว  ถึงแม้ว่าเราต้องดูให้มั่นใจก่อนว่ามันจะขึ้นจริงๆแล้ว  ราคา  6  บาทก็ยังถูกกว่าคนที่ถัวมาตลอดทางอยู่ดี  และยิ่งถ้าถัวมากๆจนเงินหมดก่อนที่มันจะตกลงมาที่ราคาต่ำสุด  คุณจะเสียโอกาสสำหรับการทำกำไรเยอะๆเป็นอย่างมาก  เพราะถ้าสมมติว่าเงินคุณถัวหุ้นไปจนหมดตอนที่หุ้นมันราคา  8  บาท  ถ้ามันตกลงมาอีกคุณจะเศร้า  เพราะต้นทุนคุณจะสูงถึง  9  บาทเชียวนะ  และถ้าตัวที่เราเล็งไว้มันไม่ถูก  เราก็ไปหาซื้อหุ้นตัวอื่นที่มันถูกกว่าแทน  ช่วงนี้สิ่งที่เราควรทำก็คือ  หาข้อมูลของหุ้นตัวที่เราสนใจไว้มากๆ  เพราะเมื่อตลาดกลับเป็นขาขึ้นอีกครั้ง  เราก็จะรวยไปด้วยกันครับ  และเมื่อถึงตอนนั้น  ถึงแม้ว่าตลาดมันจะไม่ได้ขึ้นอย่างใจเรา  เราก็ไม่ต้องไปสนใจมันมาก  เพราะถ้าหุ้นที่เราซื้อไว้นั้นมันจ่ายปันผลเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงเมื่อเทียบกับเงินค่าซื้อหุ้นของเรา  มันก็คุ้มแล้วที่จะลงทุน  เหมือนอย่างที่ผมยอมซื้อกระจับโดยวางแผนในอนาคตไว้นั่นแหละ  นักลงทุนที่ฉลาด  "จะกำไรตอนซื้อ  มิใช่ตอนขาย"  เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็รอให้ตลาดวายก่อนแล้วค่อยเข้าไปซื้อ  แล้วคุณจะได้ของดีราคาถูกที่คุณหมายตาไว้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #725 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 02:26:04 »

ศิลป์
     เมื่อหลายวันก่อนผมได้ดูรายการหนึ่งซึ่งเขาได้ไปสัมภาษณ์คุณถวัลย์ ดัชนี  เกี่ยวกับเรื่องศิลปะ  ซึ่งเมื่อผมดูแล้วก็ได้ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะมากขึ้นทีเดียวครับ

     ยอมรับเลยว่าเมื่อก่อนนี้  ผมเป็นคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องศิลปะเลยก็ว่าได้  เวลาที่มีงานแสดงศิลปะเช่นภาพวาดหรืองานปั้น  ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นงานแล้วก็งั้นๆ  ไม่เข้าใจว่าเขาดูอะไร...และเข้าใจกันได้อย่างไร  และให้ราคาศิลปะชิ้นต่างๆด้วยมาตรฐานใด  แต่พอคุณถวัลย์อธิบายว่า  การดูศิลปะนั้นไม่ต้องการความเข้าใจ  เพราะศิลปะนั้นไม่มีเหตุผล  คุณต้องใช้สมองเพียงซีกเดียวเพื่อชมงานศิลปะ  เนื่องจากศิลปะเป็นด้านของอารมณ์  เพราะฉะนั้นเมื่อเราดูงานศิลปะ  เราจะต้องใช้ความรู้สึกในการชมและซึมซับว่า  เรามีความรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เราเห็น

     และตามความเข้าใจของตัวผมเองแล้วผมมองว่า  การที่เราดูภาพวาดใดก็ตามแล้วเราไม่มีความรู้สึกต่อภาพนั้น  ภาพวาดชิ้นนั้นก็คงไม่มีความหมายต่อเรา  แต่ถ้าเรามีความรู้สึกต่อภาพวาดใด  ภาพวาดนั้นก็คงมีความหมายต่อเรา  และเมื่อมีคนต้องการซื้อภาพแห่งความรู้สึกนั้นพร้อมๆกัน  มันก็เลยต้องมาประมูลแข่งกัน  ซึ่งราคาของงานแต่ละชิ้น  มันก็จะออกมาตอนนี้แหละว่ามีคนกระเป๋าหนักมาทุ่มเงินให้กับงานนั้นมากน้อยแค่ไหน  แต่สำหรับคนรวยบางคน  เขาอาจจะไม่ได้มีจิตวิญญานในงานศิลปะที่เขาเหล่านั้นได้ประมูลไปเลย  สิ่งที่เป็นแรงผลักดันในการต้องการครอบครองศิลปะเหล่านั้นก็คือ  "การค้ากำไร"  เพราะถ้าเขาเห็นว่าสิ่งใดมีความต้องการสูง  สิ่งนั้นก็จะแพง  เมื่อเขาได้ศิลปะชิ้นนั้นมาครอบครองแล้ว  เขาเชื่อว่าอีกไม่นานมันก็จะมีราคาสูงขึ้นไปอีกตามความต้องการของผู้ที่อยากครอบครองมัน  เรื่องนี้ทำให้ผมสงสัยมากว่า  ถ้าการชมงานศิลปะ  ชมแค่เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพียงเท่านั้น  แล้วทุกๆคนจะต้องการของแท้ไปทำไม  ถ้าของที่ก๊อปปี้ออกมา  มีลักษณะเหมือนกับของแท้ทุกประการ  หรือมันจะเกี่ยวกับความรู้สึกอีกที่ว่า  เขาได้ชมของปลอมแล้วมันไม่มีจิตวิญญาณของศิลปินสิงอยู่ในนั้น  สงสัยผมคงจะเป็นพวกอับปัญญาที่ยังเข้าไม่ถึงอารมณ์ศิลปินกระมัง  มีรุ่นพี่คนหนึ่งของผมได้กล่าวไว้ว่า  "ผู้หญิงสวยหรือไม่สวย  เวลาปิดไฟแล้วก็คล้ายๆกันหมด"  ถ้ามันเป็นอย่างที่รุ่นพี่พูดจริง  แล้วเราจะหาแฟนสวยๆไปทำไมกัน  หรือความหมายที่รุ่นพี่บอกนั้นหมายถึง  ถ้าดูรูปกายก็คล้ายกันไปหมด  แต่สิ่งที่แตกต่างคือความดีหรือตัวตนของเขา  ถ้าความหมายเป็นเช่นนั้นจริง  มันก็คงจะเข้าแนวคำสอนที่ว่า  "ความสวยไม่คงที่  ความดีสิคงทน"  แต่ผมมีคำถามนิดเดียวว่า  ใครอยากได้แฟนไม่สวยยกมือขึ้น...(เงียบ)

     เมื่อเราหันมามองการลงทุนในตลาดหุ้นกันบ้าง  คุณคิดว่าการลงทุนมันเป็นศาสตร์หรือศิลป์?  สำหรับมุมมองส่วนตัวของผมแล้วผมมองว่า  การลงทุนมันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยองค์ประกอบของทั้งสองอย่าง  เราต้องการความมีเหตุผลเพื่อประเมินองค์ประกอบของธุรกิจเช่น  คู่แข่ง  การตลาด  ต้นทุน  การทำกำไร  ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท  อนาคตของกิจการ  การประเมินราคาหุ้นของบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน  ฯลฯ  และเราต้องการความมั่นคงหนักแน่นทางด้านอารมณ์เพื่อรับมือกับความผันผวน  ความโลภ  ความกลัว  ฯลฯ  และถ้าเราสามารถเอาความโลภและความกลัวของผู้อื่นมาทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้จะถือว่าเก่งที่ืสุด  ซึ่งผมก็หวังจะไปให้ถึงจุดนั้น

     แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  การลงทุนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ  มันก็ไม่ได้มีแค่วิธีการเดียว  สิ่งที่ผมนำเสนอนี้  มันก็เป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่มีคนอื่นใช้และประสบความสำเร็จ  ขอให้โชคดีในการลงทุนและหาแนวทางของตัวเองให้พบนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
เด็กเลี้ยงผัก
ทำทันที
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 187


« ตอบ #726 เมื่อ: วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 15:57:23 »

สวัสดีครับ

ได้ฤกษ์เปิดตัวสักทีหลังจากที่ได้นั่งอ่าน พยายามทำความเข้าใจกับคำว่าหุ้น วิธีซื้อขาย แนวทางการซื้อขาย
ตลอดจนเกร็ดความรู้ต่างๆมากมายในกระทู้นี้ เป็นเวลา 3 วัน ติดต่อกัน ตั้งแต่หน้าที่ 1 จนถึงหน้าสุดท้าย
โดยไม่เคยข้ามแม้แต่ประโยคเดียว ( ไม่ได้โม้นะเนี่ย.. ตกใจ ) ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีดีจากทุกท่าน

อยากถามความเห็นหน่อยครับว่าช่วงนี้มีตัวใหนน่าลงทุนมั่งครับ เห็นบอร์ดนิ่งมาก อันที่จริงยังไม่ได้เปิดบัญชีครับ แถว ๆ ห้าแยกนี่ มีที่ใหนมั่งครับที่นิยมกัน อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมั่งน่ะครับ

 8)สุดท้ายอยากบอกว่ามีใครสนเป็นป๋าดันใหมครับ  อิอิ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #727 เมื่อ: วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 17:07:19 »

ตอบท่าน  NEI
     สำหรับหุ้นที่น่าลงทุน  มันแล้วแต่ว่าท่านสไตล์ไหนครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
เด็กเลี้ยงผัก
ทำทันที
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 187


« ตอบ #728 เมื่อ: วันที่ 20 กรกฎาคม 2013, 18:22:11 »

แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #729 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2013, 13:39:36 »

แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  ตกใจ

จริงๆจะออกมาเอาดีทางหุ้นเลย มันก็ได้อยู่ครับ และก็มีหลายคนทำ

แต่ส่วนน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ จังๆ

เพราะคนที่ออกมาลงทุนในหุ้นโดยไม่ทำอย่างอื่นเลย

ผมว่ามีไม่ถึง 10% ของคนที่ลงทุนในหุ้นครับ

ตามสูตรที่ว่า 20% ของตลาดเท่านั้นที่จะกำไร และอีก 80% ขาดทุน

แต่การท่เราทำงานไปด้วย ลงทุนไปด้วย ในช่วงที่มีกำลังหาเงินอยู่

ผมว่าเป็นแนวทางที่ดีและนิยมกันมากที่สุดนะครับ

ตลาดทุน ตลาดเงิน มันเกิดวิกฤตเกือบทุกๆปี และถ้าเราปรับตัวไม่ทัน

มันก็อาจจะลำบากในสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้ครับ

การที่เราทำงานและก็เอาเงินมาเติมหุ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดๆหนึ่ง

ที่ผลตอบแทนทั้งปันผลและส่วนต่างราคาสูงขึ้น

และทำให้เราสามารถใช้จ่ายเงินเหล่านั้นไปกับชีวิตประจำวันได้

ก็ค่อยมาคิดกันอีกที่ก็ได้ว่าจะออกมาหรือทำต่อไปเรื่อยๆ แบบเดิม

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

เด็กเลี้ยงผัก
ทำทันที
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 187


« ตอบ #730 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2013, 18:14:10 »

ขอบคุณครับ สำหรับข้อคิดดีดี ยิ้มเท่ห์
+ 10
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #731 เมื่อ: วันที่ 25 กรกฎาคม 2013, 09:16:15 »

แบบว่าตอนนี้เวลาว่างเยอะมากครับ เพิ่งลาออกจากงานประจำ  จะเป็นไปได้ใหมว่าจะเอาดีทางนี้
ไปเลยครับ ทั้งหุ้นระยะสั้น กลาง ยาว ขอความคิดเห็นผู้รู้ทั้งหลายครับ  ตกใจ

ไปเจอบทความจากเว็บพันทิพ เลยเอามาฝากครับ

หุ้นนี้ ลงทุนมาตั้งแต่จบปริญญาตรีใหม่ ๆ มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่หวือหวา สิ้นปีมีปันผล
ให้เกือบทุกปี (ยกเว้นปีที่เศรษฐกิจแย่จริง ๆ เท่านั้นที่ไม่มี) ราคามีแต่ขึ้น เท่าที่จำได้ไม่มีลงเลย
จะมากจะน้อยก็แล้วแต่เศรษฐกิจหรือผลประกอบการของบริษัท อย่างไรก็ตาม หุ้นนี้ต้องลงทุน
ลงแรงเหนื่อยหน่อย เรียกว่าใช้เวลาประมาณ 8  ชั่วโมงต่อวัน แต่ก็รับรองได้ว่าไม่ผิดหวัง
ทุกเดือนมีกำไรให้เห็นแน่ ๆ Downside มีต่ำมาก แต่มันค่อย ๆ ขึ้นนะครับ

สนใจกันไหมครับ หุ้นนี้มีชื่อว่า "เงินเดือน" ครับ ยิ้ม

ใครคิดลาออกจากงานประจำมาเล่นหุ้นอย่างเดียว ก็เหมือนจะขายหุ้นห่านทองคำนี้ทิ้งนะครับ
หาซื้อกันไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ คิดให้ดี ๆ ครับ ยิ้ม ตอนนี้หุ้นใน Port ผม มีแต่ตัวนี้แหละครับ
ที่เขียวขจี ยิ้ม

ป.ล. กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาจะก้าวล่วงการตัดสินใจของทุกท่านนะครับ เป็นการเปรียบเปรยตาม
ความเห็นผมเท่านั้นครับ ถ้าท่านตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาลงทุน ผมก็เชื่อว่าท่านก็ได้
ประเมินทางเลือกแล้วและก็คงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับท่านครับ

เพิ่มเติมอีกนิด กันความเข้าใจผิดนะครับ กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาบอกว่าการทำงานประจำดีกว่า
การเล่นหุ้นนะครับ คิดว่าคงแล้วแต่ความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคลครับ แต่แค่อยากแค่
เปรียบเทียบงานประจำเป็นคล้าย ๆ กับหุ้นห่านทองคำที่มีความมั่นคงสูงเท่านั้นเอง
(แต่ก็มีข้อจำกัดด้านเวลาและอิสรภาพพอสมควร)


http://pantip.com/topic/30759894
IP : บันทึกการเข้า

tarhai
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 141


« ตอบ #732 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2013, 15:20:10 »

เชียงราย
ใครลงทุนตามแนว VI บ้างครับ
อยากทราบแนวคิดครับ
ผมอ่านหนังสือด้านนี้มาบ้าง
แต่ยังปรับใช้การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าควรใช้อะไรมาพิจารณา
ทำไมหุ้นบางตัวขาดทุนมาตลอด กลับขึ้นเอาขึ้นเอา
บางตัวกำไรสม่ำเสมอ
มีเงินสดเหลือเยอะในกิจการ(เทียบกับหนี้สิน)
ไม่เห็นมันขยับเลย
ไม่รู้จะใช้หลักการเลือกหุ้นอย่างไรดีครับ
IP : บันทึกการเข้า
Nichcha
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3


« ตอบ #733 เมื่อ: วันที่ 03 สิงหาคม 2013, 13:22:51 »

ขอบคุณที่ให้ความรู้นะคะ ทฤษฎีกับปฏิบัติมันต่างกันจริงๆ. ตอนนี้ติดดอยไปแล้ว เฮ้อ....เมื่อไหร่จะชำนาญการอย่างท่านๆ บ้างน้อ....

 ร้องไห้
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #734 เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2013, 14:45:48 »

ตอบคุณ  tarhai
     ที่คุณสงสัยว่าหุ้นบางตัวผลการดำเนินงานขาดทุน  แต่ราคาหุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอา  ตรงนี้โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันมี  2  สาเหตุครับ

1.นักลงทุนหรือตลาดกำลังคาดหวังว่าอนาคตของมันจะดีขึ้น  ไม่ว่ามันจะดีขึ้นด้วยปัจจัยใดก็ตาม  ซึ่งผมจะยกตัวอย่างสักเล็กน้อยเพื่ออธิบายเรื่องตลกที่เกี่ยวกับราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นของบริษัทที่กำลังขาดทุนอยู่นะครับ

     สมมุติว่ามีสองบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างเดียวกัน  ยกตัวอย่างธุรกิจน้ำมันก็แล้วกัน  มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรอย่างเช่น  ปตท.  ที่สามารถค้าขายน้ำมัน  1  ลิตรในราคา  40  บาทแล้วมีกำไรลิตรละ  10  บาท  กับบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งที่ค้าน้ำมันแบบซื้อมาขายไปได้กำไรลิตรละ  2  บาท  ทีนี้ความบิดเบี้ยวของการได้กำไรมันเกิดขึ้นมาตอนที่ราคาน้ำมันมันดันเป็นขาขึ้น  สมมุติว่าเกิดสงครามหรือเหตุการณ์อะไรก็ช่างบนโลกนี้ที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นลิตรละ  50  บาท  นั่นจะทำให้  ปตท.  ได้กำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นมาอีก  10  บาทต่อลิตร  และเมื่อนำไปรวมกับกำไรที่ทำได้ปกติอีกลิตรละ  10  บาท  ก็จะทำให้ผลการดำเนินงานของ  ปตท.  เพิ่มขึ้น  1  เท่าตัว  แต่นั่นยังไม่น่าตื่นเต้นเท่ากับอีกบริษัทหนึ่งที่จะได้กำไรจากสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาอีก  10  บาทเหมือนกัน  เมื่อนำมาคำนวณกับผลการดำเนินงานปกติที่ทำได้แค่  2  บาท  นั่นจะทำให้บริษัทนี้มีผลกำไร  12  บาท  ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง  5  เท่าตัว  ดังนั้น  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  เมื่อถึงเวลาที่ราคาสินค้าของบริษัทที่กำลังขาดทุนเหล่านี้เป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นของบริษัทพวกนี้ก็เลยพุ่งได้ดีกว่าหุ้นของบริษัทที่ดี  แต่ข้อควรระวังก็คือ  ถ้าราคาสินค้าพวกนี้เป็นขาลงเช่น  ราคาน้ำมันเหลือลิตรละ  35  บาท  บริษัทที่ด้อยกว่าพวกนี้ก็จะเจ็บหนักเพราะขาดทุน  ในขณะที่  ปตท.  ยังสามารถทำกำไรได้อยู่  และสิ่งที่ผมกล่าวถึงนี้ยังรวมไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นอีก  ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก  สินค้าเกษตร  เนื้อสัตว์  ปิโตรเคมี  ฯลฯ

2.ปั่น  ถ้าหุ้นเน่าเหล่านั้นราคาพุ่งขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ  ไม่มีปัจจัยหรือข่าวดีมากระทบ  นั่นก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า  หุ้นนั้นกำลังโดนปั่น  ถ้าคุณดูแค่ราคาแต่ไม่ได้มองพื้นฐานหรือเหตุผลทางธุรกิจของหุ้นตัวนั้นแล้วคุณตามเข้าไป  ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับที่คุณได้เป็นเม่าเต็มตัวแล้ว  ซึ่งความเป็นไปได้ของคนที่เล่นในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เน้นสายเทคนิคเคิลเพียวๆหรือเป็นคนที่โลภทะลุพิกัด  เพราะคนที่เป็นสายเทคนิคเคิลเพียวๆนั้น  จะไม่ดูพื้นฐานเลย  และคนส่วนใหญ่ในตลาดที่ชอบตามแห่เวลาหุ้นโดนปั่น  ก็จะออกแนวมวยวัด  เพราะพื้นฐานก็ไม่เป็น  เทคนิคก็ไม่แน่น  อย่างนี้มันก็เลยแน่นอก

     ส่วนเรื่องที่คุณสงสัยว่าหุ้นบางตัวกำไรสม่ำเสมอ  ไม่เห็นมันขยับเลย  คำตอบของผมมันก็อยู่ในคำถามของคุณนั่นแหละ  เพราะการที่หุ้นตัวหนึ่งทำกำไรได้สม่ำเสมอไม่ขึ้นไม่ลง  ราคาหุ้นมันก็จะอยู่กับที่เหมือนกับกำไรที่ทำได้  ถ้าคุณอยากได้หุ้นที่ราคาวิ่งขึ้น  คุณก็ต้องหาหุ้นที่จะทำกำไรเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต  ซึ่งการประเมินตรงนี้ต้องใช้ความรู้ที่ไม่ใช่ตัวเลขเข้ามาช่วยเช่นความรู้ในเชิงธุรกิจ  แนวโน้มของอุตสาหกรรมที่กำลังจะรุ่ง  และจินตนาการที่จะวาดภาพกิจการที่จะเป็นในอนาคต  ขนาดไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่า  จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

     สำหรับเรื่องสุดท้ายที่คุณสงสัยเกี่ยวกับเงินสดเยอะเมื่อเทียบกับหนี้สิน  ตรงนี้มันเป็นแค่ความอุ่นใจของผู้ถือหุ้นว่าบริษัทจะไม่เจ๊งแค่นั้นเอง  ถ้าสมมุติว่ามีคนอยู่สองคน  คนหนึ่งมีเงินฝากธนาคารเยอะ(ฝากไว้เพื่อกินดอก)  แต่ตัวเองไม่ได้ทำงานทำการหรือไม่ได้เอาเงินไปลงทุนทำอะไรให้มันงอกเงยขึ้น  คนๆนั้นก็ถือว่ามีชีวิตที่ดีระดับหนึ่ง  แต่สภาพความเป็นอยู่ก็จะไม่ขึ้นไม่ลง  ส่วนอีกคนหนึ่ง  ถึงแม้ว่าชีวิตในตอนนี้เขายังสู้คนแรกไม่ได้  ซ้ำยังมีหนี้สินอีกพอประมาณ  แต่เขาเป็นคนขยันทำงาน  และเมื่อได้เงินมาเขาก็นำมันไปใช้หนี้จนหมด  และเมื่อหมดหนี้เขาก็เอาเงินที่ทำได้ไปลงทุนให้มันออกดอกออกผลอีก  เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่สองนี้กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  อีกไม่นานชีวิตของเขาก็จะดีกว่าคนแรกแน่นอน  นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า  ทำไมบริษัทที่มีความสามารถในการหารายได้เพิ่มในอนาคต  ราคาหุ้นจึงวิ่งมากกว่าบริษัทที่มีเงินมากแต่ไม่มีความสามารถหารายได้เพิ่มในอนาคตครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #735 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2013, 00:13:11 »

     วันนี้เอาหนังเกี่ยวกับหุ้นมาฝากกันครับ  ถ้าใครมีเวลานั่งดูหนังสักหนึ่งชั่วโมงก็ดูเล่นๆอย่าไปคิดอะไรมากนะครับ  เพราะในหนังมีจุดบกพร่องอยู่หลายอย่าง  แต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นแค่หนัง  เราก็ดูเพื่อความบันเทิงก็พอ

     เนื้อเรื่องในหนังโดยย่อๆก่อนที่จะมาถึงตอนนี้ก็คือ  ฝ่ายฝรั่ง  ต้องการที่จะล้มระบบการเงินโลก  แล้วต้องการจะสร้างโลกการเงินใหม่ขึ้นมา  ฝ่ายคนจีน  ก็ต้องการล้มฝรั่ง  มันก็เลยต้องมาดวลหุ้นกัน  แล้วมันก็มีการทำให้เห็นถึงกลยุทธ์ของรายใหญ่ในการสู้กัน  และที่เราจะได้เห็นอีกอย่างในหนังเรื่องนี้ก็คือ  การซื้อขายหุ้นแบบสมัยเก่าโดยใช้กระดาน  และมีการสู้กันระหว่างเครื่องคิดเลขกับลูกคิด  และที่ผมชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ  เขามาถ่ายทำในประเทศไทยด้วย  ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้เต็มเรื่อง  ก็จะเห็นว่า  มีฉากที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยประมาณเกือบครึ่งเรื่องเลยทีเดียว  แต่คุณไม่ต้องดูหนังจนหมดก็ได้  ดูแค่การดวลหุ้นในตอนท้ายเรื่องที่ผมเอามาแนะนำก็พอแล้ว  หนังเรื่องนี้ให้เข้าไปในยูทูปแล้วพิมพ์ว่า  "เกมเจ้าพ่อตลาดหุ้น172"  ดูตั้งแต่ตอนที่  172  ลงมาเลยนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #736 เมื่อ: วันที่ 30 สิงหาคม 2013, 21:00:32 »

กฏการเงินที่บิดเบี้ยว
     บทความนี้ผมจะมาออกความเห็นเกี่ยวกับความกะล่อนของสังคมการเงินในทุกวันนี้ว่ามันปลิ้นปล้อนหลอกลวงขนาดไหนกันนะครับ

น้ำมัน
     มีสมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้(ก่อนซับไพร์ม)  เกิดการตื่นตัวขนานใหญ่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมันจะหมดโลก  ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันมากว่า  เมื่อวันนั้นมาถึง  โลกของเราจะเป็นเช่นไร  เมื่อเกิดความกังวล  จึงทำให้ราคาน้ำมันช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก  เกิดความเดือดร้อนกันไปทั่วโลก  จนหลายที่หลายประเทศต้องออกมาประท้วงกันวุ่นวาย  แต่จริงๆแล้ว  ได้มีการพูดถึงเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้ในวารสารของต่างประเทศมานานแล้ว  ในวารสารนั้นบอกไว้ว่า  ปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบและมีการใช้กันจะพีคสุดในปี(ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าเป็นปีไหน)  และหลังจากนั้น  ปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบใหม่ก็จะค่อยๆลดลง  ซึ่งเมื่อปริมาณน้ำมันที่เราขุดพบใหม่ลดลง  ในขณะที่ความต้องการยังมิได้ลดลงตาม  นั่นก็หมายความว่า  ต้องเกิดการแย่งชิงน้ำมันจนทำให้ราคาพุ่งขึ้นสูงกว่าในปัจจุบัน  แต่ที่น่าแปลกก็คือ  ในช่วงที่วารสารนั้นออกบทความพวกนี้  ราคาน้ำมันในตอนนั้นก็ยังมิได้เคลื่อนไหวไปตามบทความนั้นแต่อย่างใด  แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง  ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าขาใหญ่ได้เข้ามาอ่านพบและเห็นว่ามันเป็นสตอรี่(เรื่องราว)หรือเปล่า  จึงได้มีการตื่นตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น  และเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น  ก็ได้มีขบวนการขุดคุ้ยหาเหตุไปใส่ผล  หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า  ขาใหญ่ระดับโลกได้กระพือข่าวเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้ออกมาประกอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน  มันจึงทำให้หลายฝ่ายพุ่งเป้าการลงทุนไปที่น้ำมันทันที  แต่จริงๆแล้วตามความเห็นส่วนตัว  ผมคิดว่าเรื่องน้ำมันจะหมดโลกนี้  เป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญหรือแอ็กชั่นกับมันมากเกินไป  สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่สนใจน้ำมันในตอนนั้นก็น่าจะมาจาก  หวังว่า  เมื่อเราเข้าไปลงทุนแล้ว  ราคาน้ำมันมันจะเพิ่มขึ้นไปอีก  เรื่องน้ำมันจะหมดโลก  น่าจะเป็นเรื่องราวที่เอาไว้ล่อพวกละโมภเสียมากกว่า  และหลังจากที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปจนทำให้แขกรวยกันจนพุงปลิ้นได้ไม่นาน  การพังทลายของตลาดน้ำมันก็ตามมา  ซึ่งราคาสูงสุดของน้ำมันในตอนนั้นคือ  147  เหรียญ  ก่อนที่จะตกลงมาต่ำสุดที่  40  กว่าเหรียญ  ลองนึกดูสิว่า  ถ้าน้ำมันจะหมดโลกจริง  ทำไมราคาน้ำมันถึงได้รูดขนาดนั้น  ไม่มีใครต้องการน้ำมันอีกแล้วหรือ  ผู้ที่เข้าไปลงทุนในน้ำมันต่างก็เทกระจาดขาย  ทำเสมือนประหนึ่งว่า  โลกในขณะนั้นไม่ต้องการน้ำมันอีกต่อไปแล้ว  และในทุกวันนี้  วันที่เราผลาญน้ำมันให้หมดไปทุกนาที  ซึ่งถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือ  น้ำมันที่เหลืออยู่บนโลกของเราในขณะนี้  มีน้อยกว่าในช่วงที่คนพากันบ้าเข้าไปเก็งกำไรราคาน้ำมันในช่วงนั้นเสียอีก  แต่ทำไมราคาน้ำมันจึงยังไม่กลับไปอยู่ที่จุดสูงสุดที่ได้เคยทำไว้  งานนี้ก็เลยเข้าใจเอาเองว่า  สังคมการเงินมันปลิ้นปล้อนเช่นนี้แล

ทอง
     นี่ก็ดราม่าอีกเรื่องหนึ่ง  ถ้าเรายึดถือเอาตามทฤษฎีแบบของฝรั่ง  ทฤษฎีของมันบอกว่า  เมื่ิอปริมาณเงินดอลล่าร์เพิ่มมากขึ้น  ราคาทองคำต้องขึ้น!!!  นี่เป็นทฤษฎีพื้นฐานที่ว่ากันถึงเรื่องของเงินเฟ้อ  แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เฟดประกาศพิมพ์เงิน(QE)เป็นรอบที่สาม  ราคาทองคำพุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ไม่นาน  หลังจากนั้นราคาก็ร่วงไม่เป็นท่ามาจนถึงทุกวันนี้  ตอนนั้นราคาทองคำในประเทศไทยวิ่งขึ้นไปถึงเกือบสามหมื่นต่อน้ำหนักทอง  1  บาท  และมีการคาดการณ์กันต่อไปว่าจะทะลุสามหมื่น  แต่แล้วก็อย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้  ราคาทองยังไม่สามารถกลับไปยังจุดสูงสุดเดิมได้  และยิ่งในช่วงนี้  เป็นช่วงที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการลดหรือเลิก  QE  3  แต่ราคาทองคำกลับพุ่งสวนขึ้นมา  ถ้าทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อคือเรื่องที่ถูกต้อง  แล้วเราจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับราคาทองคำที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่าอย่างไร  ซึ่งก่อนหน้าที่จะมี  QE 3  นี้  มี  QE  มาแล้วสองรอบ  ช่วงนั้นทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  แต่สำหรับวันนี้  มันไม่ใช่อีกต่อไป

หุ้น
     เป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับผมอีกแล้ว  ที่ใครต่อใครต่างก็คิดว่าการลงทุนในหุ้นต้องรอให้มีความชัดเจนเสียก่อนแล้วจึงค่อยลงทุน  ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า  "เมื่อเราต้องการจะลงทุน  ไม่มีอะไรที่ชัดเจนหรอก  เพราะเมื่อใดก็ตามที่มันมีความชัดเจน  เมื่อนั้น...มันก็สายไปเสียแล้วสำหรับการลงทุนที่ดี"

     ถ้าใครที่อายุมากหน่อยและรู้จักวิกฤตต้มยำกุ้งในปี  2540  ก็จะรู้ว่า  ช่วงนั้นราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไร  ช่วงนั้นมีแต่คนหวาดผวากลัวไปสารพัด  คนมีเงินก็ไม่กล้าลงทุน  เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร  ทั้งๆที่หุ้นบริษัทดีๆราคาถูกมีเต็มตลาด  และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับคนที่กล้าลงทุนในช่วงนั้น  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน  ราคาหุ้นก็ฟื้นขึ้น  ทำให้บรรดาคนที่ยอมขายขาดทุนในหุ้นต้องเสียเงิน  และทำให้คนที่กล้าลงทุนร่ำรวย  และเมื่อเร็วๆนี้  วิกฤตซับไพรม์ก็เป็นอีกหนึ่งรอบที่ทำให้คนที่ยอมขายขาดทุนเสียเงิน  และทำให้คนที่กล้าลงทุนร่ำรวย  ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทันได้ลงทุนในรอบนี้พอดี  ถ้าเราสังเกตุดีๆก็จะเห็นว่า  ราคาของหุ้นนั้น  ไม่ได้แปรผันไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น  แต่ราคาของหุ้น  มักจะเกิดก่อนเหตุการณ์ต่างๆเสมอ  ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี  อย่างเช่นช่วงก่อนซับไพรม์  ภาคเศรษฐกิจจริงยังไม่มีปัญหา  แต่ราคาหุ้นตกลงไปรอก่อนแล้ว  และอีกครั้งหนึ่ง  ในขณะที่ชาวโลกกำลังเลิ่กลั่กกับข่าวร้ายรายวัน  หุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง  และในช่วงที่ประเทศไทยกำลังมีปัญหาการเมืองกันอยู่  ถึงขนาดว่ามีการปิดสนามบินกัน  หุ้นกลับพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง...อเมซิ่งมาก

     เรื่องตลกที่เกี่ยวกับหุ้นอีกอย่างที่ผมได้พบเห็นก็คือ  เมื่อมีข่าวหรือการรายงานตัวเลขต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจออกมา  บางครั้งมันออกมาดีขึ้น  แต่หุ้นกลับตกลงมาหน้าตาเฉย  โดยนักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า  มันดีน้อยกว่าที่คาด  และในทางกลับกัน  เวลาที่รายงานตัวเลขออกมาแย่ลง  หุ้นกลับพุ่งขึ้น  โดยนักวิเคราะห์(เหมือนเดิม)ให้เหตุผลว่า  มันแย่น้อยกว่าที่คาด

     มีเรื่องเพี้ยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่อยู่ในตลาดหุ้นมา  และผมก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตผมจะได้เห็นมันอีกหรือไม่  เรื่องมีอยู่ว่า  มีอยู่ช่วงหนึ่งในสมัยรัฐบาลไหนผมก็จำไม่ได้  ช่วงนั้นรัฐบาลต้องการสร้างอะไรสักอย่างนี่แหละ  แล้วทีนี้ในตลาดหุ้นบ้านเรามันก็มีผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อยู่สามเจ้าคือ  ck  itd  และ  stec  แล้วทีนี้มันก็เป็นธรรมดาของการเก็งกำไรกันไปก่อนว่าเจ้าไหนจะยื่นซองชนะ  ซึ่งเรื่องธรรมดาของการเก็งแบบนี้ก็คือ  มันจะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  ซึ่งถ้าใครเก็งถูก  คนนั้นก็ได้ตังค์  ถ้าใครเก็งผิด  ก็ต้องหนีให้ทัน  และแล้ววันเปิดซองก็มาถึง  ปรากฏว่าคนที่ชนะประมูลได้แก่(ผมจำไม่ได้)  เมื่อประกาศผลเท่านั้นแหละ  หุ้นของทั้งสามบริษัทพร้อมใจกันร่วงลงหมดโดยไม่สนใจว่าใครแพ้ใครชนะ  สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในตลาดเป็นอย่างมาก  คนที่เก็งผิดก็ว่าไปอย่าง  แต่คนที่เก็งถูกนี่สิ  ทำอะไรไม่ถูกเลย  เพราะคิดว่าในเมื่อเก็งถูกหุ้นก็ไม่น่าจะตก  มิหนำซ้ำหุ้นน่าจะขึ้นต่อ  แต่พอปิดตลาด  หุ้นทั้งสามตัวต่างก็พร้อมใจกันร่วงลงมา  และนักวิเคราะห์(อีกแล้ว)ออกมาให้เหตุผลว่า  เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทที่ชนะประมูล  ได้ขึ้นมาสูงแล้ว  ทำให้มีการขายทำกำไรออกมา  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  มันหมดประเด็นที่จะเล่นแล้ว  เฮ้อ...เอากะพ่อสิ  นี่จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ผมมองว่า  สังคมการเงินมันปลิ้นปล้อนเช่นนี้เอง

      และบทสรุปในส่วนสุดท้ายนี้  ถ้าคุณอ่านมาทั้งหมดแล้วก็คงจะรู้สึกว่า  การลงทุนทุกอย่างมันมีความเสี่ยงเหมือนกันหมด  ถ้าไม่อยากเสียเงินก็อย่าเข้าไปยุ่งกับมันจะดีกว่า  ถ้าจะให้ผมพูดตามตรง  ในฐานะรายย่อยอย่างเราๆท่านๆ  คงไม่เหมาะที่จะเข้าไปเล่นน้ำมัน  เพราะเงินน้อยไม่พอเล่น  และสิ่งที่เราเล่นกันอยู่ทุกวันนี้  มันเป็นแค่สัญญาหรือสิ่งที่อ้างอิงกับราคาน้ำมันเพียงเท่านั้น  มันยังมิใช่น้ำมันจริงๆ  ถ้าคุณซื้อขายน้ำมันจริงๆได้  เมื่อน้ำมันราคาตกและคุณไม่อยากขายขาดทุน  คุณสามารถเอาน้ำมันพวกนั้นมาใช้เติมรถที่บ้านได้

     ส่วนทองคำ  ผมอยากรู้จริงๆว่า  ประโยชน์จากทองคำมีอะไรบ้าง?  ใช้เป็นเครื่องประดับ...ก็พอได้  หรือเอาไว้ป้องกันเงินเฟ้อ  หึ หึ  ถ้าคุณได้อ่านเรื่องที่ผมเอามาลง  คุณยังจะกล้าฟันธงไหมว่าในอนาคตมันยังเป็นเครื่องมือป้องกันความด้อยค่าของเงินต้นคุณ  เผลอๆมันอาจจะด้อยค่าด้วยตัวเองก็เป็นได้ใครจะไปรู้

     สำหรับหุ้น  ผมยังมองว่ามันเป็นการลงทุนที่เข้าท่าที่สุด  ถ้าเราจะพูดถึงการเล่นกับส่วนต่างของราคาเพียงอย่างเดียว  เล่นอะไรมันก็เสี่ยงพอๆกัน  แต่ถ้าเรามองสองชั้น  ถ้าเราลงทุนในหุ้นแล้วติดลบขึ้นมา  เราสามารถถือกินปันผลเพื่อรอให้ราคากลับขึ้นมาได้  หรือถ้ามันเป็นหุ้นของธุรกิจที่ดีมาก  สามารถจ่ายปันผลให้เราได้เรื่อยๆ  เราก็สามารถถือหุ้นนั้นไว้ได้นานตราบเท่าที่เราต้องการ  และเมื่อเราต้องการเงินก้อน  เราก็ยังขายหุ้นนั้นออกไปได้อีก  ซึ่งบางครั้ง  ราคาหุ้นที่เราได้ขายออกไป  อาจจะมีราคาสูงกว่าราคาที่เราได้ซื้อไว้  ซึ่งผลตอบแทนแบบนี้หาไม่ได้ในน้ำมันและทองคำ  และคุณยังสามารถร่ำรวยจากการลงทุนในหุ้นที่ถูกตัวได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน  ถ้าคุณลงทุนในน้ำมันและหวังว่าคนที่ใช้รถทั้งโลกต้องมาแย่งกันซื้อน้ำมันเพื่อเอาไปเติมรถของตัวเอง  ตรงนี้คุณควรสังเกตุความเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะครับ  เพราะรถในทุกวันนี้  มีความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงหลากหลายมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นแก๊สหรือไฟฟ้า  บางทีในอนาคต  รถยนต์อาจจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็เป็นได้

     ส่วนสำคัญอีกประการหนึ่งเวลาที่เราเลือกจะลงทุนก็คือ  "ข้อมูล"  การลงทุนในหุ้นใช้ข้อมูลแคบกว่าและประเมินได้ง่ายกว่า  ถ้าคุณลงทุนในน้ำมัน  คุณต้องรู้เรื่องของทั้งโลกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น  ผมคิดว่ามันคงไม่ง่ายที่จะประเมิน  และทองคำก็คงเช่นเดียวกัน  ที่ต้องใช้ข้อมูลของทั้งโลกมาประกอบการตัดสินใจลงทุน  หรือบางทีอาจจะแคบกว่านั้น  ถ้าจะทำตามทฤษฎีเป๊ะๆก็คงต้องดูดอลล่าร์เป็นหลัก  แต่ถ้าคุณหวังจะได้กำไร  1  เท่าตัวจากวันนี้  คุณคงต้องลุ้นให้สหรัฐพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นอีก  1  เท่าตัว  ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในทางปฏิบัติ  เพราะแค่ทุกวันนี้  เฟดก็พยายามจะหยุดพิมพ์เงินจนทำให้โลกทุกวันนี้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว  แต่ถ้ามองย้อนกลับขึ้นไปดูบทความเกี่ยวกับทองที่ผมเอามาลง  มันก็ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับการเล่นกับราคา  แล้วหุ้นล่ะ...  หุ้นมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของบริษัท  หุ้นมันเป็นได้ทุกสิ่งบนโลกใบนี้  เพราะหุ้นก็คือส่วนหนึ่งของกิจการ  และกิจการบนโลกนี้มันก็มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ  คุณก็แค่มองให้ออกว่าแนวโน้มธุรกิจไหนที่กำลังจะเป็นคลื่นลูกต่อไปแค่นั้นเอง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
jamskung10
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,327


ⓙⓐⓜⓢⓚⓤⓝⓖ


« ตอบ #737 เมื่อ: วันที่ 05 กันยายน 2013, 16:13:24 »

รบกวนสอบถามนิดหน่อยนะครับ

คือตอนนี้เป็นนักศึกษาปี 3 มีเงินเก็บประมาณ 10,000-20,000
มีความคิดเริ่มสนใจอยากจะเล่นหุ้น แต่ไม่มีความรู้สักน้อยเลย
อยากจะถามว่า เงินทุนประมาณนี้ สามารถเล่นได้หรือป่าวครับ
แล้วควรเริ่มยังไงครับ

ขอบคุณมากครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #738 เมื่อ: วันที่ 05 กันยายน 2013, 23:17:47 »

     ผมสังเกตุเห็นว่าช่วงนี้มีน้องๆถามเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเข้ามาประปราย  พี่จะไม่อ้อมค้อมหรือเกรงใจก็แล้วกันนะครับ  เพราะน้องเจาะจงเข้ามาถามที่กระทู้พี่โดยตรง  และพี่อยากให้น้องตอบคำถามของพี่ด้วย

1.มีเงินเก็บอยู่สองหมื่น  มีเท่านี้ก็เล่นได้ครับ  ลองเข้าไปหาโบรกเกอร์ดู  ส่วนคำถามของพี่คือ  เงินก้อนนี้น้องต้องใช้ในระยะเวลาใกล้ๆนี้ไหม  และถ้าน้องเสียเงินให้กับหุ้นไปทั้งหมด  น้องจะมีความรู้สึกอย่างไรบ้างเช่นเสียใจ  เสียดาย  หรือไม่เป็นไรเดี๋ยวเก็บเอาใหม่

2.ขอข้ามไปตอนสุดท้ายก่อน  น้องถามว่าควรเริ่มยังไง  พี่ขอถามกลับว่า  ถ้าน้องขี่จักรยานไม่เป็น  แต่น้องอยากขี่เป็น  น้องจะทำอย่างไรครับ

3.ไม่มีความรู้สักน้อยเลย  พี่แนะนำให้น้องลงภาคปฏิบัติเลยครับ  หาโบรกเกอร์ที่อยู่ใกล้ๆแล้วเปิดบัญชีเลยครับ  พอเปิดบัญชีแล้ว  เราค่อยมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง  และตามความเห็นของพี่แล้ว  พี่รู้สึกว่า  ช่วงเวลาใกล้ๆนี้  จะเป็นช่วงที่ดีของการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
mocomic
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2


« ตอบ #739 เมื่อ: วันที่ 21 กันยายน 2013, 13:45:52 »

ขอเรียนถาน ท่านว่า   จะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์  ที่เชียงราย
โบรก ไหน น่าใช้บริการที่สุด ครับ
อีกสองอาทิตย์ จะไปติดต่อครับ
ขอบคุณมาก ครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 [37] 38 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!