tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #380 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 12:28:38 » |
|
ลองมองเล่น ๆ ในมุมเดียวกันนะครับ ตัวเลขรับ-จ่ายที่ผมลองคำนวณดูเล่น ๆ ด้านบน ถ้าเป็นเอกชน จะมีโรงเรียนไหนกล้าทำบ้างมั้ยอ่ะครับ
อย่าว่าแต่เอกชนเลยท่าน ไม่มีที่ไหนในโลกเขาจะเอาเงินมาลงทุนด้านบุคลากรกันมากขนาดนี้หรอกครับ โรงเรียนสองภาษาที่ไหน ๆ เท่าที่หาข้อมูลมาจากคนในวงการศึกษา พบว่าเขาจะมีครูห้องละ 2 คนเท่านั้น คือ ครูต่างชาติ 1 คน และครูไทยอีก 1 คน เขาฝึกให้เด็กได้พยายามช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกินความสามารถ ส่วนอื่น ๆ ทั้งครูไทยและครูต่างชาติก็จะให้การดูแลช่วยเหลือเด็ก รวมทั้งจะมีพี่เลี้ยงเด็ก (ส่วนกลาง) ลงมาช่วยดูแลเด็กเป็นบางเวลาเช่น เวลารับประทานอาหาร เวลานอน เวลาตื่น และก่อนกลับบ้าน ทำให้สามารถลดงบประมาณในส่วนที่จ้างครูไปได้จำนวนมากมาย และนำเงินส่วนนั้นไปจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์และสื่อนวัตกรรมเสริมสร้างและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเพราะผลิตจากวัสดุที่ดีมีคุณภาพและไม่เกิดอันตรายกับเด็ก แบบนี้จะดีกว่าไหม  ?? การที่มีครูในห้องมากเกินไป ให้ผู้ปกครองลองนึกภาพเอาเองว่า ครูต่างชาติกำลังจัดกิจกรรมให้เด็กในห้อง ครูไทย ครูภาษาอังกฤษ (ครูไทย) ครูพี่เลี้ยง และครูฝึกสอน จะทำอะไร ..... ลองคิดกันแบบง่าย ๆ นะ
|
|
|
|
not stupid
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #381 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 12:38:13 » |
|
ลองมองเล่น ๆ ในมุมเดียวกันนะครับ ตัวเลขรับ-จ่ายที่ผมลองคำนวณดูเล่น ๆ ด้านบน ถ้าเป็นเอกชน จะมีโรงเรียนไหนกล้าทำบ้างมั้ยอ่ะครับ
อย่าว่าแต่เอกชนเลยท่าน ไม่มีที่ไหนในโลกเขาจะเอาเงินมาลงทุนด้านบุคลากรกันมากขนาดนี้หรอกครับ โรงเรียนสองภาษาที่ไหน ๆ เท่าที่หาข้อมูลมาจากคนในวงการศึกษา พบว่าเขาจะมีครูห้องละ 2 คนเท่านั้น คือ ครูต่างชาติ 1 คน และครูไทยอีก 1 คน เขาฝึกให้เด็กได้พยายามช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกินความสามารถ ส่วนอื่น ๆ ทั้งครูไทยและครูต่างชาติก็จะให้การดูแลช่วยเหลือเด็ก รวมทั้งจะมีพี่เลี้ยงเด็ก (ส่วนกลาง) ลงมาช่วยดูแลเด็กเป็นบางเวลาเช่น เวลารับประทานอาหาร เวลานอน เวลาตื่น และก่อนกลับบ้าน ทำให้สามารถลดงบประมาณในส่วนที่จ้างครูไปได้จำนวนมากมาย และนำเงินส่วนนั้นไปจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์และสื่อนวัตกรรมเสริมสร้างและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเพราะผลิตจากวัสดุที่ดีมีคุณภาพและไม่เกิดอันตรายกับเด็ก แบบนี้จะดีกว่าไหม  ?? การที่มีครูในห้องมากเกินไป ให้ผู้ปกครองลองนึกภาพเอาเองว่า ครูต่างชาติกำลังจัดกิจกรรมให้เด็กในห้อง ครูไทย ครูภาษาอังกฤษ (ครูไทย) ครูพี่เลี้ยง และครูฝึกสอน จะทำอะไร ..... ลองคิดกันแบบง่าย ๆ นะ ก็เพราะโรงเรียนนี้มีจุดขายตรงที่มีครูเยอะไม่ใช่หรอกเหรอคะ เขาถึงเอาลูกๆมาเรียนอ่ะค่ะ เพราะอยากให้มีครูมาช่วยดูแลเด็ก ครูเยอะดีกว่าครูขาด ไม่ใช่เหรอคะ
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #382 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 12:46:25 » |
|
ลองมองเล่น ๆ ในมุมเดียวกันนะครับ ตัวเลขรับ-จ่ายที่ผมลองคำนวณดูเล่น ๆ ด้านบน ถ้าเป็นเอกชน จะมีโรงเรียนไหนกล้าทำบ้างมั้ยอ่ะครับ
อย่าว่าแต่เอกชนเลยท่าน ไม่มีที่ไหนในโลกเขาจะเอาเงินมาลงทุนด้านบุคลากรกันมากขนาดนี้หรอกครับ โรงเรียนสองภาษาที่ไหน ๆ เท่าที่หาข้อมูลมาจากคนในวงการศึกษา พบว่าเขาจะมีครูห้องละ 2 คนเท่านั้น คือ ครูต่างชาติ 1 คน และครูไทยอีก 1 คน เขาฝึกให้เด็กได้พยายามช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกินความสามารถ ส่วนอื่น ๆ ทั้งครูไทยและครูต่างชาติก็จะให้การดูแลช่วยเหลือเด็ก รวมทั้งจะมีพี่เลี้ยงเด็ก (ส่วนกลาง) ลงมาช่วยดูแลเด็กเป็นบางเวลาเช่น เวลารับประทานอาหาร เวลานอน เวลาตื่น และก่อนกลับบ้าน ทำให้สามารถลดงบประมาณในส่วนที่จ้างครูไปได้จำนวนมากมาย และนำเงินส่วนนั้นไปจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์และสื่อนวัตกรรมเสริมสร้างและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเพราะผลิตจากวัสดุที่ดีมีคุณภาพและไม่เกิดอันตรายกับเด็ก แบบนี้จะดีกว่าไหม  ?? การที่มีครูในห้องมากเกินไป ให้ผู้ปกครองลองนึกภาพเอาเองว่า ครูต่างชาติกำลังจัดกิจกรรมให้เด็กในห้อง ครูไทย ครูภาษาอังกฤษ (ครูไทย) ครูพี่เลี้ยง และครูฝึกสอน จะทำอะไร ..... ลองคิดกันแบบง่าย ๆ นะ ก็เพราะโรงเรียนนี้มีจุดขายตรงที่มีครูเยอะไม่ใช่หรอกเหรอคะ เขาถึงเอาลูกๆมาเรียนอ่ะค่ะ เพราะอยากให้มีครูมาช่วยดูแลเด็ก ครูเยอะดีกว่าครูขาด ไม่ใช่เหรอคะ ครูเยอะดีกว่าครูขาดแน่นอน แต่ถ้างบประมาณส่วนใหญ่ต้องจัดมาเป็นค่าจ้างครู แล้วไปลดในส่วนที่เป็นสื่อนวัตกรรมและอุปกรณ์อื่น ๆ ให้น้อยลง ผลที่เกิดขึ้นกับเด็กจะเป็นยังไง คงเรียนรู้ได้แต่เพียงคำบอกเล่าของครูเท่านั้นเอง หรือไม่อย่างดีก้อได้เห็นจากรูปภาพที่ครูเอามาเป็นสื่อแค่นั้น ครู 1 คนทำหน้าที่สอนและจัดกิจกรรม ครูอีก 4 คนทำหน้าที่อะไร แค่นั่งดูแลเด็กในห้องเรียนหรือช่วยเหลือจัดกิจกรรมในบางครั้งเท่านั้น อย่างนี้ครูเยอะดีกว่าครูขาดใช่ไหมครับ
|
|
|
|
|
not stupid
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #384 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 12:57:01 » |
|
ลองมองเล่น ๆ ในมุมเดียวกันนะครับ ตัวเลขรับ-จ่ายที่ผมลองคำนวณดูเล่น ๆ ด้านบน ถ้าเป็นเอกชน จะมีโรงเรียนไหนกล้าทำบ้างมั้ยอ่ะครับ
อย่าว่าแต่เอกชนเลยท่าน ไม่มีที่ไหนในโลกเขาจะเอาเงินมาลงทุนด้านบุคลากรกันมากขนาดนี้หรอกครับ โรงเรียนสองภาษาที่ไหน ๆ เท่าที่หาข้อมูลมาจากคนในวงการศึกษา พบว่าเขาจะมีครูห้องละ 2 คนเท่านั้น คือ ครูต่างชาติ 1 คน และครูไทยอีก 1 คน เขาฝึกให้เด็กได้พยายามช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่เกินความสามารถ ส่วนอื่น ๆ ทั้งครูไทยและครูต่างชาติก็จะให้การดูแลช่วยเหลือเด็ก รวมทั้งจะมีพี่เลี้ยงเด็ก (ส่วนกลาง) ลงมาช่วยดูแลเด็กเป็นบางเวลาเช่น เวลารับประทานอาหาร เวลานอน เวลาตื่น และก่อนกลับบ้าน ทำให้สามารถลดงบประมาณในส่วนที่จ้างครูไปได้จำนวนมากมาย และนำเงินส่วนนั้นไปจัดซื้อจัดหาวัสดุอุปกรณ์และสื่อนวัตกรรมเสริมสร้างและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก ซึ่งวัสดุอุปกรณ์เหล่านี้มีราคาค่อนข้างสูงเพราะผลิตจากวัสดุที่ดีมีคุณภาพและไม่เกิดอันตรายกับเด็ก แบบนี้จะดีกว่าไหม  ?? การที่มีครูในห้องมากเกินไป ให้ผู้ปกครองลองนึกภาพเอาเองว่า ครูต่างชาติกำลังจัดกิจกรรมให้เด็กในห้อง ครูไทย ครูภาษาอังกฤษ (ครูไทย) ครูพี่เลี้ยง และครูฝึกสอน จะทำอะไร ..... ลองคิดกันแบบง่าย ๆ นะ ก็เพราะโรงเรียนนี้มีจุดขายตรงที่มีครูเยอะไม่ใช่หรอกเหรอคะ เขาถึงเอาลูกๆมาเรียนอ่ะค่ะ เพราะอยากให้มีครูมาช่วยดูแลเด็ก ครูเยอะดีกว่าครูขาด ไม่ใช่เหรอคะ ครูเยอะดีกว่าครูขาดแน่นอน แต่ถ้างบประมาณส่วนใหญ่ต้องจัดมาเป็นค่าจ้างครู แล้วไปลดในส่วนที่เป็นสื่อนวัตกรรมและอุปกรณ์อื่น ๆ ให้น้อยลง ผลที่เกิดขึ้นกับเด็กจะเป็นยังไง คงเรียนรู้ได้แต่เพียงคำบอกเล่าของครูเท่านั้นเอง หรือไม่อย่างดีก้อได้เห็นจากรูปภาพที่ครูเอามาเป็นสื่อแค่นั้น ครู 1 คนทำหน้าที่สอนและจัดกิจกรรม ครูอีก 4 คนทำหน้าที่อะไร แค่นั่งดูแลเด็กในห้องเรียนหรือช่วยเหลือจัดกิจกรรมในบางครั้งเท่านั้น อย่างนี้ครูเยอะดีกว่าครูขาดใช่ไหมครับ เท่าที่ทราบมาครูไทยในห้องก็มีแค่ คนหรือสองคน บางห้องครูต่างชาติก็ไม่ได้อยู่ประจำ แล้วเอาครูสี่ห้าคนมาจากไหนคะ ฝั่งประถมลูกๆก็บอกว่าครูไทยมีห้องละคน ครูต่างชาติก็มีห้องละคน ถ้าอีกคนไปสอน ใครจะดูแลลูกๆคะ
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #385 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 13:10:09 » |
|
ทุกอย่างมันอยู่ที่จุดสมดุลครับ ท่านลองไปดูที่ผมคำนวณด้านบนอีกที แล้วท่านจะรู้ว่าจุดสมดุลมันจะอยู่ที่ตรงไหนนะครับ ผมว่าเรื่องที่มันคารา คาซัง ยืดยาวมาจนถึงทุกวันนี้ อาจเป็นเพราะ เราลืมมองจุดสมดุลที่ว่านี้กันอยู่ละเปล่าใช่มั้ยครับ
ด้วยความเคารพ
เท่าที่พูดคุยกับเพื่อนฝูงที่ทำงานโรงเรียนเอกชน เขาใช้วิธีการคำนวณงบประมาณในแต่ละปีโดยแบ่งออกเป็นส่วนๆ เช่น ค่าจ้างครู ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าสื่อการเรียน ค่าสื่อนวัตกรรม ค่าจัดกิจกรรมเสริมความรู้ ค่าจัดกิจกรรมเสริมทักษะและพัฒนาการ ค่าซ่อมแซมวัสดุอุปกรณ์ ค่าจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการศึกษา ค่าจัดอาคารสถานที่และบริเวณโรงเรียน ค่าประชาสัมพันธ์ และเงินงบกลาง รายจ่ายที่ว่ามาข้างต้นรวมแล้วต้องไม่เกิน ร้อยละ 60 ของงบประมาณรายรับทั้งหมด ส่วนอีกร้อยละ 40 เป็นเงินส่วนกำไรของโรงเรียน เพราะเป็นธุรกิจ ทำแล้วไม่ได้กำไรจะทำไปทำไม ในส่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะโรงเรียนเทศบาล 7 ตามตัวเลขที่ท่าน AIT ประมาณการไว้ จะเห็นว่าเฉพาะค่าจ้างบุคลากรอย่างเดียวก็ไม่พอแล้ว แปลว่ายังไง หมายความว่ายังไง ท่านผู้ปกครองลองนึกภาพดูกันเอาเองเถอะ .... ลูกหลานท่านจะได้อะไรอย่างที่ท่านต้องการมากน้อยแค่ไหน หาคำตอบเองได้ไม่ยากหรอก เอกชนหรือธุรกิจ เขาคิดถึงจุดคุ้มทุนเป็นสำคัญ โรงเรียน ท.7 คิดถึงคุณภาพของเด็กเป็นสำคัญ จุดสมดุลอยู่ตรงไหน  ??
|
|
|
|
|
THANAPUT
เชียงรายบ๊อช คาร์ เซอร์วิส
ระดับ :ป.โท
   
ออฟไลน์
กระทู้: 4,620

|
 |
« ตอบ #387 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 13:27:26 » |
|
การจัดการศึกษาต้องย้อนไปสู่ แนวทางการจัดตั้ง 1 ปรัชญา 2 วิสัยทัศน์ 3 นโยบาย 4 พันธกิจ 5 เป้าหมาย 6 คุณลักษณะนักเรียนที่พึงประสงค์ โดยรวมข้างต้นคือการวางแผนระยะ กลาง ไปจนถึงระยะยาว ตาม link ไปดูนะครับ http://www.tesaban7.ac.th/school.htmlขออ้างถึง.. 5-6 ปีที่ผ่านมาคนเก่าเขายังบริหาร..สร้างชื่อเสียงจนอานิสงตกมาถึงปัจจุบัน แล้วจุดที่สร้างชื่อ..ต่อยอดมาเป็นประถมได้จนทุกวันนี้ ก็คือ...ระดับชั้นอนุบาลครับหรือไม่จริง.. คุยกับลุงสามตา..ยังได้ความรู้..ได้สาระ.. มาเติมในส่วนที่ผู้ปกครองมองข้ามไป.. คุยแบบคนไม่ปัญญา..ก็อย่าใช้ปัญญา..กับคนที่ต่ำปัญญา.. ใครที่พูดกับเรา..ด้วยสติปัญญา..ก็ต้องตอบเขาด้วยสติปัญญา.. แมงนูดนีด.ว่าไว้..
|
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #389 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:29:27 » |
|
มาถึงตรงนี้ ผมคงตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอ เมื่อไหร่ที่ผู้ปกครองและทางคณะผู้บริหารโรงเรียน จะมองเห็น "จุดสมดุล" ที่ว่ากันไว้ข้างต้นที่ตรงกันซักที ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายบอบช้ำสาหัสครบกันถ้วนหน้า ผอ. ก็บอบช้ำแสนสาหัส, ครูผู้สอนก็สบักสบอม, ผู้ปกครองก็มีแต่ความชอกช้ำในหัวใจ เสียเวลาทำมาหากินกันไปไม่ใช่น้อย ๆ, โรงเรียนก็ชื่อเสียงเสียหายไปมากโข ลูก ๆ ของเราเด็กนักเรียนก็มีผลกระทบในหลาย ๆ ด้าน อยากให้ทุกอย่างจบลงอย่าง win win กันทุกฝ่ายครับ
ผมก็อยากเห็น ผอ. และคณะผู้บริหารโรงเรียน กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสอีกครั้ง อยากเห็นครูผู้สอนถ่ายทอดความรู้อย่างเต็มความสามารถและมีความสุข อยากเห็นผู้ปกครองมองดูพัฒนาการ การเจริญเติบโตของลูก ๆ อย่างมีความสุข อยากเห็นโรงเรียนมีคุณภาพ มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของคนทั่ว ๆ ไป อยากเห็นนักเรียนมาเรียนอย่างสนุกสนานและมีความสุข
ป.ล. ผลกระทบกับลูกหลานเรามีจริง ๆ นะครับ ความจริงไม่อยากมาโพสต์เลย กลัวจะเป็นประเด็นให้มีการสานต่อยาวไปอีก เมื่อวาน (วันพฤหัส) ครูประถมครับ เครียดกันยกใหญ่ แทบไม่เป็นอันสอนกันทั้งวันเลย บังเอิญมีลายมือเขียนของเจ้าตัวน้อย ไม่แน่ใจว่าเป็นชั้น ป. อะไรนะครับ ดันไปเขียนที่ผนังหน้าตึกประถมว่า "ครู....(ชื่อครู 1 คน)....ควาย" ซึ่งอาจจะเพราะโกรธครู หรือเขียนเล่น ๆ ตามประสาเด็กที่เพิ่งเริ่ีมเขียนภาษาไทยเป็นประโยค ๆ ได้ อันนี้ไม่ทราบสาเหตุได้ ปรากฏว่าครูฝั่งประถมจิตแตกกระเจิงกันทั้งฝั่งประถม ไม่เป็นอันเรียนอันสอน ครูเจ้าตัวเครียดแทบอกแตก จะไปแจ้งผู้ปกครองก็ นะนะ ผู้ปกครองท.7 แรง ๆ ทั้งนั้น ไอ้ครั้นจะไปฟ้องผอ. ผอ.ก็กำลังเครียดกว่าครูท่านนี้ซะอีก ผมถึงบอกว่าถ้าทุกฝ่ายไม่ช่วยกัน สุดท้ายปัญหามันก็จะตกกับลูกหลานเราอย่างแน่นอนครับ
ลดทิษฐิ ลดโมหะ แล้วหันหน้ากลับมาหากัน เอาความผูกพันด้วยหัวใจมาหลอมรวมให้เป็นหนึ่ง ใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ และมองไปไกล ๆ กว้าง ๆ เอาความคิดที่หลากหลายมุมมองทั้งในมุมที่ต่างและมุมที่เหมือน มาช่วยกันคิดหา จุดสมดุล บนพื้นฐานแห่งสติสัมปชัญญะ ความเหมาะสม และความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ได้เมื่อไหร่ ทางออกที่ดี ย่อมมีตามมาเสมอ ถึงเวลาแล้วหรือยัง .. เสียหายมากพอหรือยัง ... ทุกข์ใจกันมามากพอหรือยัง ....
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #390 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:45:50 » |
|
ขอร้องเลยนะครับว่า นับจากกระทู้นี้เป็นต้นไป เรามาร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อหา จุดสมดุล ของโรงเรียนร่วมกันจะดีกว่าไหม ข้อคิดความเห็นของทุกท่าน ขอให้แสดงออกอย่างเต็มที่ในแนวทางที่สร้างสรรค์
ปราศจากอคติ ปราศจากคำติเตียน ปราศจากความลำเอียง ปราศจากความไร้ซึ่งเหตุผล ปราศจากอารมณ์ที่เต็มไปด้วยโมหะและโทสะ และปราศจากความเป็นศัตรูทางความคิด
มาร่วมกันสรรค์สร้างแนวทางของการพัฒนาคุณภาพบุตรหลานของเราให้เป็นไปตามศักยภาพของเขาเถิด
เชื่อว่าท่านผู้บริหารโรงเรียน คณะผู้บริหารเทศบาลนครเชียงราย และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ท่านติดตามความคิดความเห็นของพวกเราอยู่ตลอด
ขอนะครับ ก่อนที่จะไม่มีอะไรเหลือพอที่จะให้ ...
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #391 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 15:01:48 » |
|
ขอเริ่มก่อนเลยครับ
ขอเสนอทางออกของเรื่องนี้ ตามลำดับอย่างนี้ ดีไหมครับ .... ? ? ?
1.เชิญตัวแทนของผู้ปกครองทุกห้องเรียนประชุม เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และกำหนดประเด็นปัญหา ข้อสงสัย ที่ต้องการคำตอบ
2.ผู้บริหารโรงเรียนและตัวแทนคณะครู ประชุม เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และหาคำตอบตามประเด็นปัญหาจากข้อ 1 พร้อมกำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่ชัดเจน
3.คณะกรรมการสถานศึกษาประชุมเพื่อพิจารณาทั้งจากข้อ 1 และข้อ 2
4.ประชุมร่วมไตรภาคีจากข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 เพื่อหา จุดสมดุลร่วม
5.จัดทำแถลงการณ์ร่วมแจ้งให้ผู้ปกครองทุกท่านทราบ
ส่วนใครจะเป็นคนเริ่ม ใครจะเป็นคนทำ ไม่ใช่เรื่องยาก ยากแต่เพียงที่ว่า ใครจะเป็นคนให้ความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เท่านั้นเอง
|
|
|
|
chiang123
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #392 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 19:29:42 » |
|
คุยแบบคนไม่ปัญญา..ก็อย่าใช้ปัญญา..กับคนที่ต่ำปัญญา.. ใครที่พูดกับเรา..ด้วยสติปัญญา..ก็ต้องตอบเขาด้วยสติปัญญา.. แมงนูดนีด.ว่าไว้..
ฮั่นแน่... มีการแหย่กันด้วยละ เมื่อไหร นายหรือนาง thanaput จะเป็นบัวพ้นน้ำเสียทีน้า วันนี้วันพระน่าจะพบทางสว่างบ้างนะเอาใจช่วยให้เป็นบัวพ้นน้ำก็แล้วกัน เอ้าเข้าใจครับคุณสามตา การแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ต้องบอกว่าสร้างสรรค์ครับ การแสดงความคิดเห็นเอาเด็กทั่วไปเป็นที่ตั้งแล้วจะได้แนวคิดอะไรเยอะแยะไปหมด การลงทุนเพื่อการศึกษาสิ่งที่น่าจะเป็นแง่คิดก็คือคนมันไม่สามารถสร้างด้วยเงินหรือวัตถุจำนวนมากได้ ถ้าไม่เป็นธรรมชาติมันก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาวันได้วันหนึ่งอย่างแน่นอน วันนี้โรงเรียนเทศบาล 7 เหมือนฝีแตกครับ การใช้งบประมาณที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งบุคลากรและสถานที่หรืออื่น ๆ มันก็จะเกิดปัญหาแบบนี้อย่างแน่นอนไม่วันไดก็วันหนึ่ง ชื่อเสียงก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดว่าดี เด่น ดัง สร้างได้ง่าย ๆ ครับ เพียงทุ่มเงิน งบประมาณ ก็จะได้สิ่งเหล่านี้มา แค่มองหลาย ๆ ด้านก็ไม่เป็นธรรมชาติแล้วครับ สถานที่ ครูที่จ้างมาเป็นครูฝรั่งบ้าง ฟิลิปปีนบ้าง มีก็ดีใจหายก็ต้องหา แล้วหามาไม่แน่ใจว่าเป็นครูสอนภาษาจริง ๆ หรือเปล่ารักเด็กใหม เป็นโรคจิตหรือเปล่า มันเยอะแยะไปหมดนะ แต่มันก็ต้องเสี่ยงเพราะเป็นเรื่องชื่อเสียง ก็ทำกันมา 5-6 ปี ดังจริงคครับ เป็นหน้าเป็นตา แค่สถานที่ก็อู้ฮูแล้วครับ มาศึกษาดูงานไม่แน่ใจว่าจะได้อะไรหรือเปล่า คงต้องรออีกนิดครับผลฤทธิระดับต่าง ๆ ออกมาก็จะรู้เองครับ แล้วก็ต้องมีปัญหาอีกเพราะความคาดหวังของผู้ปกครองสูงมาก ถ้าโรงเรียนสอนตามศักยภาพของเด็ก ตามธรรมชาติของเด็กเด็กก็จะได้เรียนรู้ตามความพร้อมของเขาพัฒนาขึ้น แต่เรียนเก่ง ไม่เก่งไม่แน่ใจเพราะการพัฒนาอาจพัฒนาจากรู้1 เป็น2 หรือบางคนฉลาดรู้ 1 เป็น 10 นี่เขาเรียกว่าความแตกต่าง อะไรหลาย ๆ อย่างที่พวกท่านต้องพูดคุยและถ้าเป็นลักษรณะอย่างนี้ท่านก็ต้องเตรียมตั้งรบ ตั้งรับ กับการประเมินผลเมื่อเด็กจะเรียนต่อในระดับสูงต่อไป เห็นด้วยครับการร่วมประชุมหลาย ๆ ฝ่าย เอายังก็เอากันเสีย คุยให้ชัด ถามฝ่ายบริหารเทศบาลว่า เงินมีใหม เพราะต้องใช้เงินครับท่าน ถ้าบอกว่าพร้อมจะให้เป็นแนวนี้ครู 4 หรือ 3 แต่ภาษาไม่ต้องห่วงก็คุยให้ชัด ต้องปล่อยและให้โอกาสผู้บริหารเขาบริหารโรงเรียนไป (ทราบว่าท่านผอเป็นผู้หญิง)ดูกันเป็นไตรมาส 1 ปี 3 ปี 6ปี แล้วถ้ามีปัญหามันก็จะเห็นเองครับ ชัด ๆ แต่ที่ยุ่งนะเพราะทนฟังพวกที่คุยเรื่องการศึกษาแล้วใช่ความเป็นแก้งมาแสดงแนวคิด มันก็ออกเป็นเชิงนักเลงหัวไม้นั่นเอง แค่ความคิดอย่างนี้ก็ไม่ควรเกิดในฐานะผู้ปกครองเด็กครับ ผู้บริหารถ้าผิดจริง บริหารไม่เป็น เขาอยู่ไม่ได้ครับ แต่ท่านบริหารมาขนาดนี้ก็น่าที่จะไว้ใจได้ เพียงแต่เราให้เวลาท่านบ้างนะครับ เอ้าคุณสามตาผมแสดงความคิดเห็นแนวนี้พอได้นะ
|
|
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #395 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 21:03:57 » |
|
คุยแบบคนไม่ปัญญา..ก็อย่าใช้ปัญญา..กับคนที่ต่ำปัญญา.. ใครที่พูดกับเรา..ด้วยสติปัญญา..ก็ต้องตอบเขาด้วยสติปัญญา.. แมงนูดนีด.ว่าไว้..
ฮั่นแน่... มีการแหย่กันด้วยละ เมื่อไหร นายหรือนาง thanaput จะเป็นบัวพ้นน้ำเสียทีน้า วันนี้วันพระน่าจะพบทางสว่างบ้างนะเอาใจช่วยให้เป็นบัวพ้นน้ำก็แล้วกัน เอ้าเข้าใจครับคุณสามตา การแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ต้องบอกว่าสร้างสรรค์ครับ การแสดงความคิดเห็นเอาเด็กทั่วไปเป็นที่ตั้งแล้วจะได้แนวคิดอะไรเยอะแยะไปหมด การลงทุนเพื่อการศึกษาสิ่งที่น่าจะเป็นแง่คิดก็คือคนมันไม่สามารถสร้างด้วยเงินหรือวัตถุจำนวนมากได้ ถ้าไม่เป็นธรรมชาติมันก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาวันได้วันหนึ่งอย่างแน่นอน วันนี้โรงเรียนเทศบาล 7 เหมือนฝีแตกครับ การใช้งบประมาณที่ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งบุคลากรและสถานที่หรืออื่น ๆ มันก็จะเกิดปัญหาแบบนี้อย่างแน่นอนไม่วันไดก็วันหนึ่ง ชื่อเสียงก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดว่าดี เด่น ดัง สร้างได้ง่าย ๆ ครับ เพียงทุ่มเงิน งบประมาณ ก็จะได้สิ่งเหล่านี้มา แค่มองหลาย ๆ ด้านก็ไม่เป็นธรรมชาติแล้วครับ สถานที่ ครูที่จ้างมาเป็นครูฝรั่งบ้าง ฟิลิปปีนบ้าง มีก็ดีใจหายก็ต้องหา แล้วหามาไม่แน่ใจว่าเป็นครูสอนภาษาจริง ๆ หรือเปล่ารักเด็กใหม เป็นโรคจิตหรือเปล่า มันเยอะแยะไปหมดนะ แต่มันก็ต้องเสี่ยงเพราะเป็นเรื่องชื่อเสียง ก็ทำกันมา 5-6 ปี ดังจริงคครับ เป็นหน้าเป็นตา แค่สถานที่ก็อู้ฮูแล้วครับ มาศึกษาดูงานไม่แน่ใจว่าจะได้อะไรหรือเปล่า คงต้องรออีกนิดครับผลฤทธิระดับต่าง ๆ ออกมาก็จะรู้เองครับ แล้วก็ต้องมีปัญหาอีกเพราะความคาดหวังของผู้ปกครองสูงมาก ถ้าโรงเรียนสอนตามศักยภาพของเด็ก ตามธรรมชาติของเด็กเด็กก็จะได้เรียนรู้ตามความพร้อมของเขาพัฒนาขึ้น แต่เรียนเก่ง ไม่เก่งไม่แน่ใจเพราะการพัฒนาอาจพัฒนาจากรู้1 เป็น2 หรือบางคนฉลาดรู้ 1 เป็น 10 นี่เขาเรียกว่าความแตกต่าง อะไรหลาย ๆ อย่างที่พวกท่านต้องพูดคุยและถ้าเป็นลักษรณะอย่างนี้ท่านก็ต้องเตรียมตั้งรบ ตั้งรับ กับการประเมินผลเมื่อเด็กจะเรียนต่อในระดับสูงต่อไป เห็นด้วยครับการร่วมประชุมหลาย ๆ ฝ่าย เอายังก็เอากันเสีย คุยให้ชัด ถามฝ่ายบริหารเทศบาลว่า เงินมีใหม เพราะต้องใช้เงินครับท่าน ถ้าบอกว่าพร้อมจะให้เป็นแนวนี้ครู 4 หรือ 3 แต่ภาษาไม่ต้องห่วงก็คุยให้ชัด ต้องปล่อยและให้โอกาสผู้บริหารเขาบริหารโรงเรียนไป (ทราบว่าท่านผอเป็นผู้หญิง)ดูกันเป็นไตรมาส 1 ปี 3 ปี 6ปี แล้วถ้ามีปัญหามันก็จะเห็นเองครับ ชัด ๆ แต่ที่ยุ่งนะเพราะทนฟังพวกที่คุยเรื่องการศึกษาแล้วใช่ความเป็นแก้งมาแสดงแนวคิด มันก็ออกเป็นเชิงนักเลงหัวไม้นั่นเอง แค่ความคิดอย่างนี้ก็ไม่ควรเกิดในฐานะผู้ปกครองเด็กครับ ผู้บริหารถ้าผิดจริง บริหารไม่เป็น เขาอยู่ไม่ได้ครับ แต่ท่านบริหารมาขนาดนี้ก็น่าที่จะไว้ใจได้ เพียงแต่เราให้เวลาท่านบ้างนะครับ เอ้าคุณสามตาผมแสดงความคิดเห็นแนวนี้พอได้นะ
ขอบคุณครับที่ช่วยกัน มาช่วยกันครับคนละความคิด คนละมุมมอง ในแนวทางสร้างสรรค์ เชื่อว่าสิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นตามความคาดหวังของทุกท่านอย่างแน่นอน ขอเพียงท่านบริสุทธิ์ใจที่จะคิดและบริสุทธิ์ใจที่จะทำ ไม่นานเกินรอครับ
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #396 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 21:07:53 » |
|
ให้ดีต้องมีการประชุมอีกรอบ เอาแบบไม่เป็นทางการนะครับ เอากันระหว่าง ผอ. คณะครู คณะกรรมการสถานศึกษา และกลุ่มผู้ปกครอง แต่งานนี้คงต้องมีผู้ปกครองบางคน คงต้องช่วย ผอ. พูดด้วยมั้งครับ ผอ. พูดคนเดียวดูท่าจะลำบากครับ แต่ผมว่าคณะกรรมการสถานศึกษาในส่วนที่เป็นผู้ปกครองด้วย ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ดีครับ
ยังไม่อยากให้ประชุมรวมกลุ่มใหญ่เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รายละเอียดหรือประเด็นที่ชัดเจน จะกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างพูด ต่างคนต่างเหตุผล ไม่จบครับ เอาตามตามแนวทางที่ได้เสนอไป ดีไหมครับ
|
|
|
|
|
|
tateto
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #399 เมื่อ: วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 21:18:09 » |
|
งั้นขอกำหนด วัน ก่อนนะครับ ไม่ทราบส่วนใหญ่ ตัวแทนผู้ปกครองแต่ละชั้น/ห้อง สะดวกวันอะไรกันครับ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อ้อ ... ผมชื่อ ตาที่สาม นะครับ ไม่ใช่ สามตา ... 
|
|
|
|