เจาะกลยุทธ์ Central Group สู้ศึก “Our Challenge 2011”
Posted on Friday, March 04, 2011
เซ็นทรัล กรุ๊ป ประกาศผลงานปี 2553 ด้วยยอดขาย 119,000 ล้านบาท เติบโต 8% ส่วนปีนี้ บิ๊กแห่งเซ็นทรัล กรุ๊ป “สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์” นำทีมบอร์ดบริหารออกแถลงแผนงาน ประกาศเพิ่มยอดขายอีก 12% สู้ปีแห่ง “Our Challenge 2011” พร้อมอัดงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาทเดินหน้าขยายธุรกิจและผุดโปรเจคยักษ์ทั้งในและต่างประเทศ
แม้จะเป็นปีที่ เซ็นทรัล กรุ๊ป ต้องเผชิญกับภาวะกดดันหลายด้าน แต่ผลงานในปีที่ผ่านมาถือว่าเติบโตได้เกินเป้าที่บอร์ดบริหารของกลุ่มเซ็นทรัลวางไว้ เช่นเดียวกับปีนี้ที่ทีมผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัลมองว่าอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มระดับการบริโภคมากขึ้น
โดยคาดว่าจะส่งผลดีต่อทั้ง 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจค้าปลีก (CRC) กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) กลุ่มธุรกิจโรงแรม (CHR) และกลุ่มธุรกิจเซ็นทรัลเรสตอรองส์กรุ๊ป (CRG)
กลยุทธ์ Synergy ของ 5 ธุรกิจในเครือบวกกับงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาทในปีนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล งบลงทุนดังกล่าวครอบคลุมทั้งเรื่องการฟื้นฟูและปรับปรุงธุรกิจ การแสวงหาความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ การเพิ่มมูลค่าธุรกิจ การขยายสาขาและพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการขยายกิจการไปยังตลาดต่างประเทศ
ในการตั้งเป้าเพิ่มยอดขายอีก 12 % หรือเติบโตเป็น 133,500 ล้านบาท สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศว่าจะทำงานผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก นำโดยการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ทั้งกลุ่มประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า ช่วยลดภาระต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการเร่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ ซึ่งปีนี้จะเน้นการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ที่ทันสมัยเข่น การเปิดช้อปปิ้งออนไลน์ และการขายตรง
ที่ต้องจับตาต่อเนื่องคือ การรุกตลาดค้าปลีกในต่างประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสทองของกลุ่มเซ็นทรัลในปีนี้ หลังเปิดตัวห้างเซ็นทรัลและห้าง ZEN ที่เมืองเสิ่นหยาง ประเทศจีนไปเมื่อกลางปีก่อน ซึ่งสุทธิธรรมเผยว่าทางกลุ่มยังคงมองหาลู่ทางลงทุนในจีนอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นประเทศใหญ่มีพลเมืองจำนวนมาก
อีกทั้งเศรษฐกิจก็มีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้การลงทุนในจีนมีข้อดีคือ แต่ละโครงการใช้เงินลงทุนไม่มาก (ประมาณ 500 ล้านบาทต่อโครงการ) เพราะใช้วิธีการเช่าที่ดินแทนการซื้อ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจึงหนักไปทางด้านการจัดหาสินค้าไปจำหน่ายและการตกแต่งร้าน
หากไล่เรียงผลงานของทั้งกลุ่มที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ พบว่ามีทั้งการเตรียมเปิดตัวโครงการลงทุนขนาดใหญ่เช่นโรงแรมฮิลตัน พัทยา (ลงทุนเพิ่มเติมจาก ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงรายซึ่งจะเปิดให้บริการในเดือนมีนาคมนี้ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในปลายปี การสร้าง โรงแรม Centara Grand Beach Resort Phuket ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่ ที่สำคัญคือการปรับปรุงเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าวในส่วนของออฟฟิศให้เช่า และการปรับปรุงครั้งใหญ่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง
ในปีนี้ ยังจะได้เห็นการลงทุนก่อสร้าง “เซ็นทรัลแอมบาสซี่” บนที่ดินของสถานทูตอังกฤษ การขยายศูนย์การค้าที่ พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี และเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ฝั่งธุรกิจโรงแรมก็เตรียมรับบริหารจัดการโรงแรมในประเทศอีก 8 - 10 แห่งในทำเลศักยภาพ รวมถึงการลงทุนในแบรนด์ใหม่ๆ ของธุรกิจร้านอาหาร ได้แก่ The Terrace, Cold Stone and Chabuton และการเพิ่มสาขา KFC, Mister Donut และ Auntie Anne’s ซึ่งทั้งหมดวางอยู่ภายใต้งบประมาณ 2 หมื่นล้านบาทที่มาจากการกู้ยืมและ Cash Flow ของบริษัท
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สุทธิธรรมมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ทางกลุ่มเดินหน้าทำมาต่อเนื่องจากปีก่อน นั่นคือการเรียกความเชื่อมั่นจากกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรการค้า ซึ่งได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจซึ่งทำหน้าที่ดูแลเรื่องกิจการวิกฤติ (Crisis Management Board) เพื่อเตรียมรับมือหรือลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกด้วย
นี่คือแผนงานของกลุ่มเซ็นทรัลที่จัดได้ว่าเตรียมความพร้อมไว้ทุกด้าน และสุทธิธรรมเชื่อว่าเพียงพอสำหรับสู้ศึกในปีแห่งความท้าทายนี้
จากคอลัมน์ SET Corner โดย จิราพร เพ็งจันทร์ นิตยสาร Money and Wealth มีนาคม 2554
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx