ซ็นทรัลบุกตลาดโลก เล็งเปิด 40 สาขาในจีน
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 10 กุมภาพันธ์ 2554 10:56 น.

*เปิดยุทธศาสตร์บุกโลกเซ็นทรัลกรุ๊ป
*ประกาศ 10 ปี เปิด 40 ห้างในเมืองจีน
*ชูเซ็นทารารับจ้างบริหาร รร.ทั่วโลก
*พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 1.3 แสนล้าน
ขณะที่วงการค้าปลีกในเมืองไทยกำลังตื่นตระหนกกับเข้ามาของกลุ่ม “อาซือม่ากรุ๊ป"จากจีน เพื่อผุดโครงการค้าปลีก-ค้าส่งขนาดยักษ์มูลค่ากว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ที่บางนา-ตราด
ทว่า ในทางกลับกัน กลุ่มค้าปลีกระดับหัวแถวของเมืองไทยอย่างเซ็นทรัล ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อพวกกำลังเดินหน้ายึดหัวหาดค้าปลีกระดับบนของจีน โดยวางแผนที่จะเปิดห้างสรรพสินค้าถึง 40 สาขาภายในระยะเวลา 10 ปี
ครั้งหนึ่ง “วันชัย จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการ เซ็นทรัลกรุ๊ป ได้ปรารภถึงความหวัง และสิ่งปรารถนาสูงสุด หลังจากที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้นำตระกูลมายาวนานถึง 18 ปี เพื่อสานต่อสิ่งที่ “สัมฤทธิ์”พี่ชายปูทางไว้
“ผมอยากให้เซ็นทรัลยิ่งใหญ่เหมือนกับค้าปลีกระดับโลกอย่างวอลมาร์ต ”
ในยุค “วันชัย” ซึ่งเป็น “จิราธิวัฒน์”รุ่นที่สองที่ยังหลงเหลืออยู่ “มังกรลายคราม”อย่างเขา กำลังจะทำในสิ่งที่ใหญ่กว่า และท้าทายกว่ายุคสัมฤทธิ์ผู้พี่ ซึ่งถือเป็น Big Step ของจิราธิวัฒน์ ด้วยการพาอาณาจักรเซ็นทรัล ก้าวข้ามเวทีในประเทศ
เพื่อทะยานออกไปในโลกกว้าง ด้วยเป้าหมายที่จะยกระดับ “เซ็นทรัล” ให้เป็นแบรนด์ค้าปลีกในระดับ“WoldClass” เคียงบ่าเคียงไหล่ยักษ์ค้าปลีกระดับโลกอย่าง“วอลมาร์ท”หรือ“เทสโก้”
“ตอนนี้ชื่อเซ็นทรัลดังมาก ในต่างประเทศ เวลาผมไปต่างประเทศ คนอังกฤษ อเมริกา เยอรมัน เขารู้จักหมด โดยเฉพาะอังกฤษ จะไม่รู้จักได้อย่างไร เพราะเราซื้อสถานฑูตอังกฤษ ที่มีที่ดินราคาแพงที่สุดในประเทศไทยตารางวาละเกือบล้านบาทเพื่อมาทำเป็นเซ็นทรัลแอมบาสซี่ ห้างที่หรูหราที่สุดในเมืองไทย”
“สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ได้กล่าวถึงเรื่องนี้กับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์”หลังจากเดินลงจากเวทีแถลงข่าว Challenge 2011ของกลุ่มเซ็นทรัล กรุ๊ปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า “ตอนนี้ใครๆก็รู้จักเซ็นทรัล เป็นความฝันของเราที่ต้องการเป็นท็อปแบรนด์ของโลก ดังนั้นนโยบายของเราจะเน้นสร้างแบรนด์ให้เป็นเวิลด์คลาส ทุกแบรนด์ต้องมีพลัง และสามารถต่อยอดได้ตลอดเวลา”
“ 2010”วิสัยทัศน์บุกโลก
ธุรกิจเซ็นทรัลเริ่มต้นอย่างแท้จริงราวๆ กึ่ง พุทธกาล ที่วังบูรพา แต่ทว่า วิสัยทัศน์การขยายอาณาจักรออกไปนอกประเทศ กลับเริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ โดยเซ็นทรัลกรุ๊ป ได้ตั้งเป้าที่จะบุกตลาดต่างประเทศ ภายใต้วิชั่นธุรกิจที่วางไว้ถึงปีค.ศ. 2010 นั่นคือ Big step forward จาก Domestic สู่ Regional Leader
วิชั่น 2010 Big step forward ของเซ็นทรัล กรุ๊ปเกิดจากการเติบโตทางธุรกิจในเมืองไทย แต่ด้วยขนาดของประชากร 60 กว่าล้านคนจึงถือเป็นตลาดที่มีขนาดเล็กเกินไปสำหรับเซ็นทรัล ดังนั้นเซ็นทรัลจึงวางแผนที่จะรุกตลาดต่างประเทศ
โดยเริ่มต้นจากการขยายตลาดไปสู่ภูมิภาคอาเซียนก่อน เพราะพวกเขาเชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ได้ดีกว่าคู่แข่งที่มาจากภูมิภาคอื่น เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภค วิถีการดำรงชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรม รวมถึงรสนิยมมีความใกล้เคียงกัน โดยเป้าหมายที่วางไว้ก็คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน
กระนั้นแม้ Big step forward วิชั่น 2010 จะเป็นแผนระยะยาวที่เซ็นทรัล กำลังร่างแนวทางการก้าวไปสู่การเป็น Regional Leader หลังจากประสบความสำเร็จในการเป็น Domestic Leader
แต่ปัจจุบันจากปัจจัยลบต่างๆ ที่มิได้เกิดขึ้นแต่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการขาดดุลของอเมริกาที่จะทำให้ประเทศยักษ์ใหญ่รายนี้เดินเกมลดค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลต่อประเทศคู่ค้าจึงอาจเป็นอุปสรรคในการขยายสาขาสู่ต่างประเทศของเซ็นทรัล กรุ๊ป ทำให้พวกเขาเบนเป้าไปสู่ดินแดนหลังม่านไม้ไผ่อย่างจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ และมีความเป็นไปได้มากที่สุด
สุทธิธรรม ประธานกรรมการบริหาร เซ็นทรัลกรุ๊ป อธิบายว่า นโยบายการขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศนั้น ไม่ได้มีเพียงธุรกิจค้าปลีก (บริษัทเซ็นทรัลรีเทลคอร์ปอเรชั่น จำกัด) ,โรงแรม(บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ อสังหาริมทรัพย์ (บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา)แต่จะเป็นเซ็นทรัลกรุ๊ปทั้งหมด
นั่นหมายถึงธุรกิจที่ยังเหลืออย่าง ธุรกิจอาหาร(บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด) และ ธุรกิจค้าส่ง (บริษัทในกลุ่ม เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้งกรุ๊ป จำกัด) ทั้งนี้รูปแบบการโกอินเตอร์นั้น จะพยายามไปทั้งกรุ๊ป เพราะเซ็นทรัลมีความพร้อมทั้งโนฮาวและเครือข่ายธุรกิจที่เข้มแข็งทั้งธุรกิจค้าปลีก ไปจนถึงธุรกิจอาหารและโรงแรม แต่จะไปเมื่อไรนั้นก็อยู่ที่ความพร้อมของแต่ละกลุ่มธุรกิจด้วย
“ปริญญ์ จิราธิวัฒน์” กรรมการบริหารด้านการเงิน เซ็นทรัล กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า ภายใน 5 ปี กลุ่มเซ็นทรัล ได้เตรียมเงินลงทุนไว้ปีละ 20,000 หมื่นล้านบาท เพื่อการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคิดว่าเพียงพอต่อการขยายกิจการ โดยจะพิจารณา จากความเหมาะสมของแต่ละโครงการ ซึ่งบางปีอาจจะใช้เงินลงทุนในต่างประเทศมากกว่าหมื่นล้านบาท นั่นหมายความว่าสัดส่วนการลงทุนในประเทศก็ต้องลดทอนไปด้วย
ทั้งนี้ ในอนาคตกลุ่มเซ็นทรัลจะเน้นการควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการเป็นหลัก เนื่องจากการลงทุนเองได้ผลตอบแทนช้ากว่า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับธุรกิจที่น่าสนใจประมาณ 10 ราย ด้วยกัน แต่ละรายมีมูลค่าธุรกิจตั้งแต่ 1,000 -10,000 หมื่นล้านบาท
“แต่โครงการที่ดีก็มีการแข่งขันสูง การเจรจาไม่ง่าย และไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้ดีลไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับจังหวะ โอกาส” ปริญญ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเซ็นทรัลมีความพร้อมในฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินด้วยวงเงินสูง 4-5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีความพร้อมในเชิงการบริหารจัดการที่มีการเตรียมพร้อมบุคลากรรองรับการขยายตัวตลอดเวลา
เขาคาดว่า แผนเชิงรุกดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 10% ในอีก 10 ปีข้างหน้า เทียบกับการขยายตัวในอัตราปกติผลักดันผลประกอบการเติบโตเพียงปีละ 6-7% เท่านั้น
เซ็นทรัล กรุ๊ป ตั้งเป้าหมายรายได้มากกว่า 1.33 แสนล้านบาท เติบโต 12% จากปีที่ผ่านมา มียอดขายรวม 1.19 แสนล้านบาท เติบโต 8% จากปี 2552
10 ปีเปิด 40 สาขา
แม้จีนจะเป็นการปักธงการลงทุนต่างประเทศครั้งแรกในนามเซ็นทรัลกรุ๊ป หากแต่ประเทศนี้ก็เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นสนามปราบเซียนของเหล่าบรรดาบิ๊กค้าปลีกระดับโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นทั้ง คาร์ฟูร์ ,เทสโก้
กระทั่งซีพีเอกชนไทย ที่เชื่อกันว่า มีความชำนาญในการลงทุนตลาดแห่งนี้ กลับไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจค้าปลีก ทั้งดิสเคาท์สโตร์ภายใต้แบรนด์โลตัส หรือ ศูนย์การระดับไฮเอ็นหรูอย่าง “ซูเปอร์แบรนด์มอลล์” ก็ยังต้องขายหุ้นบางส่วนออกไป
ที่สำคัญก่อนหน้านี้ตระกูลจิราธิวัฒน์เอง ก็เคยมีประสบการณ์ไม่ดี เกี่ยวกับการชิมลางลงทุนนอกประเทศครั้งแรก แต่ไม่ใช่ธุรกิจค้าปลีก แต่เป็นธุรกิจโรงแรมลอยน้ำในพม่าจนต้องขายทิ้งออกไป
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000017958