ดูตัวเลขผมว่าดี แต่การประกาศค่าแรง 300 เป็นนโยบายหาเสียง แล้วผลักภาระไปให้นายจ้างควักกระเป๋าจ่าย ไม่ใช่พรรคที่หาเสียงได้รับเลือกแล้วจะเป็นผู้ควักจ่ายหรือหากฝ่ายนายจ้างทำไม่ได้รํฐจะควักจ่ายส่วนต่างให้ ปีหน้าการดำรงชีวิตในเมืองจะยากลำบากขึ้นมาก อีกหน่อยผลกระทบปัญหาทางสังคมจะตามมาอีกเยอะ
ผมเคยเสนอความคิดเห็นไว้ในกระทู้นี้ -->
http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=346048.20แต่ก็ยังไม่มีใครที่จะแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ผมได้กล่าวไว้
ขออนุญาตินำความคิดเห็นมาแชร์ในกระทู้นี้นะครับ
คือคนคิดกันแต่ว่า เพิ่มค่าแรงเป็น 300 บาท แล้วผู้ประกอบการต้นทุนเพิ่ม
แต่ไม่เคยมีใครแสดงความคิดเห็นว่าทางรัฐบาลก็ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล
จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556/2557
บริษัท/ผู้ประกอบการ จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง
ต้นทุนในส่วนค่าแรง จริง ๆ แล้วคิดเป็นกี่ % ของต้นทุนทั้งหมด (ค่าแรงเป็นแค่ต้นทุนอันหนึ่งเท่านั้น)
โดยส่วนตัวผมมองว่าค่าแรง 300 บาท เป็นสิ่งที่ดี ที่จะทำให้ชนชั้นแรงงานมีรายได้มากขึ้น
แต่บริษัทต่างๆ ไม่ควรที่จะขึ้นราคาสินค้า เพราะรัฐบาลก็ได้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แล้ว
ซึ่งผมคิดว่าบริษัทใหญ่ ๆ น่าจะมีกำไรมากขึ้นด้วยซ้ำ (แต่บริษัท/ผู้ประกอบการเล็ก ๆ น่าจะจุก)
ผมไม่ได้จบทางด้านเศรษฐศาสตร์หรือบัญชี
แต่ผมคิดง่าย ๆ คือ จากที่บริษัทต่าง ๆ ต้องเสียภาษี 30% ก็เสียแค่ 23% (ได้กำไรเพิ่ม 7%)
และปี 2556/2557 ก็จะเสียแค่ 20% (ได้กำไรเพิ่ม 10% )
แล้วแต่ละปีบริษัทเสียภาษีปีละเท่าไหร่ ก็คูณส่วนต่างที่ไม่ต้องเสียอีก 7%(10%) ก็คือกำไรที่บริษัทจะได้เพิ่มขึ้นมา
จริง ๆ แล้วเราต้องคิดว่าค่าแรงที่เพิ่มขึ้น( 300บาท) กับภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดให้ 7%(10%)
อันไหนที่ใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน (ผู้ใช้แรงงาน หรือ บริษัท ) ?
A.ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นมา 300 บาท ส่วนต่างของค่าแรงที่เพิ่ม คิดเป็นกี่ % ของต้นทุน
B.ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดให้ 7%(10%) คิดเป็นกี่ % ของต้นทุนที่ลดลง
เราต้องเอา A กับ B มาเปรียบเทียบกันครับ
[ไม่รู้ว่าตรรกะแบบนี้ใช้ได้หรือเปล่านะครับ ใครที่มีความรู้เรื่องภาษี ก็มาแชร์ข้อมูลกันได้ ]