เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 01:45:24
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน ทำไมพระธาตุสำคัญทางเหนือจึงห้ามผู้หญิงเข้าใกล้  (อ่าน 18592 ครั้ง)
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:20:48 »

 ยิ้ม อยากทราบความเห็นครับ
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
۰•ฮักแม่จัน©®
เลวบ้างในบางเวลา
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,017


"มารบ่มี บารมี บ่เกิด.."


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:26:47 »

ในบางถิ่น(โดยเฉพาะภาคเหนือ) ห้ามสตรีเข้าไปในบางเขตโดยเฉพาะบางส่วนของพระเจดีย์ธาตุ คติความเชื่อ(จนกลายเป็นจารีต)นี้ มีมายาวนาน นักวิชาการชาวพม่าที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาบอกว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระเจดีย์เป็นอิทธิพลของพม่าที่มีต่อภาคเหนือ ของไทย เพราะพม่าจะเคารพพระเจดีย์มาก บางแห่ง แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ให้เข้า นอกจากพระเท่านั้น เขายังย้อนถามว่าคิดดูให้ดีทำไมภาคอีสาน ภาคใต้ หรือแม้แต่ภาคกลางถึงไม่มีธรรมเนียมนี้ ก็เพราะว่าไม่เคยอยู่ใต้อิทธิพลพม่าเป็นเวลานานหลายร้อยปีเหมือนภาคเหนือ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลย  ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหาร

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเฉพาะถิ่น


พระ ธาตุทางภาคอีสานไม่มีการห้าม ส่วนพระธาตุทางภาคเหนือ มีการติดป้ายห้ามเอาไว้ ทั้งที่เป็นพระธาตุเหมือนกัน  พระธาตุทางอีสานเป็นพระธาตุตามความเชื่อทาง....ล้านช้าง ส่วนพระธาตุ ทางภาคเหนือเป็นความเชื่อทาง....ล้านนา จึงไม่แปลกที่ จะมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ทั้งล้านนา และล้านช้าง ถึงจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องความเชื่อในพระธาตุ เป็นต้น

การที่ภาคอีสานหรือล้านช้าง ไม่ได้ห้ามให้สตรีเข้าพระธาตุนั้น ก็เป็นเพราะ กษัตริย์ในสมัยนั้น ต้องการใช้หลักศาสนาในการปกครองประชาชน และให้ประชาชนสามัคคีกัน ถึงจะมีความเชื่อเรื่องตำนานที่บ่งบอกถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุแต่ก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอะไร

ส่วนทางล้านนา ซึ่งมีการสร้างอาณาจักรมาก่อนล้านช้าง (และล้านช้างยังรับอิทธิพลมาด้วย) เหตุผลที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า ก็เพราะมีความเชื่อเรื่องตำนาน จามเทวีวงศ์ ที่บอกถึง อำนาจผู้หญิง สามารถ ทำลายพลังอำนาจและมนต์คาถาต่างๆ ได้ แต่มันก็จะเป็นภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้าไปทำลายอำนาจและมนต์คาถานั้นๆ ด้วย ดังนั้นการที่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุทางภาคเหนือ...ก็ เพื่อป้องกันการเสื่อมพลังอำนาจและความขลังขององค์พระธาตุ และก็เพื่อป้องกันให้ผู้หญิง ผู้นั้นต้องตกอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคล ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ตำนานก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การที่ต้องมีป้ายห้ามติดเอาไว้เพื่อบอกให้ผู้หญิงรู้ และเพื่อป้องกันอันตรายจะอาจจะเกิดกับผู้หญิง ผู้นั้น เหมือนว่าจะดูเป็นห่วง ทั้งเกี่ยวกับ องค์พระธาตุ และ ผู้หญิง ด้วย


ขอขยายความจาก ตำนานจามเทวีวงศ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติม

หลายปีก่อน ตอนเรียนวัฒนธรรมล้านนา กับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมล้านนา (อยู่เชียงใหม่) ท่านอาจารย์เล่าว่า...

ตั้งแต่บรรพกาลมา แล้วในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่าถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย …

… แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าตกในเวียง ก็เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุง ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือน ของพระนางจามเทวี เอาไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู เอาป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลูด้วย เอาส่งไปให้บรรณาการแก่ขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก ปรากฏว่าอำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กม. ลดน้อยถอยลงมาก ไม่สามารถพุ่งต่อไปได้ พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโล ก็เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา …

เรื่องเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจในการทำให้เสื่อมเกียรติยามนต์ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบริเวณพระธาตุ ซึ่งได้ฝังอยู่ข้างล่างพระเจดีย์ดอยสุเทพก็ดี พระเจดีย์หริภุญชัยก็ดี พระเจดีย์ดอยตุงก็ดี มันฝังอยู่ข้างล่าง

 และ ยังสะท้อนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกขึด (ภาษาเหนือ ขึดหมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) โดยผู้หญิงจะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ ป้ายที่ห้ามผู้หญิงเข้า เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อม และเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี

จากที่กล่าวยกมาข้างต้นพอจะสรุปมูลเหตุของ ความเชื่อได้ว่า

การที่ เขาไม่ให้เพศหญิงเข้าไปถึงตัวพระธาตุ เพราะว่า หญิงบางคนมีประจำเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที๋โดนของ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ เกี่ยวกัยไสยศาสตร์ เขาจะให้เอาผ้าถุงของแม่ที่เป็นประจำเดือน มาแก้เคล็ดเพราะเชื่อว่า ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ อำนาจ นั้นเสื่อมลง ก็เหมือนกับ ถ้ามีเพศหญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ ถ้าหญิงที่ไม่มีประจำเดือนก็เข้าได้ แต่เขาตัดปัญหา ไปทีเดียวคือ ไม่ให้เพศหญิงเข้า ใครจะไปนั่งถามว่า คุณมีประจำเดือนหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า? ซึ่งก็เหมือนว่า หากผู้หญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ เค้าเชื่อว่า จะทำให้ ตัวพระธาตุหมดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ลง

  จารีตก็คือการปฏิบัติกันมา แม่เข้าไม่ได้ ก็บอกลูกสาวว่าอย่าเข้า เพราะเข้าไปจะเป็นเสนียดจัญไร จะขึดนะ ขึดคือสิ่งชั่วร้าย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกหลานก็ปฏิบัติตามไม่เข้า  ยึดเป็นจารีตเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา


หลายคนอาจอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ของสตรี

จริงอยู่ สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนแต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชน ใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วย อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลย


จะว่าไป... การเคารพบูชากราบไหว้.. ต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ....อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจาก การไหว้ที่ตีนดอยหรอก..
..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. จริงไหม



จาก http://www.tamdee.net/db/printer_friendly_posts.asp?TID=1311
IP : บันทึกการเข้า

"ทำบุญเท่าไรก็ไม่สามารถลบล้างบาปได้ บุญอยู่ส่วนบุญ บาปอยู่ส่วนบาป"

ไม่มีใครหรอกที่จะเลวโดยสันดาน ..
หากแต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้ทำ
ap.41
ตอบแทนคุณแผ่นดิน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19,008


ไม่มีเทพไม่มีโปร..มีแต่เราที่จะก้าวไปพร้อมกัน...


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:37:42 »

เท่าที่ได้เรียนรู้มานะครับ การก่อสร้างในอดีตการก่อสร้างพระธาตุจะบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ใต้ดิน
แล้วจึงสร้างเจดีย์ครอบทับไว้เพื่อป้องกันการขโมยและป้องกันการเสียหาย หากนำไปเก็บไว้บนเจดีย์ธาตุนานวันเข้าเจดีย์อาจพังทลายลงมาอาจทำให้เสียหายได้ นี่คือความฉลาดของคนรุ่นเก่า
ดังนั้นจึงไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปบนฐานหรือบนพระธาตุ แม้แต่บางแห่งผู้ชายก็ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปครับ   แต่สมัยปัจจุบันการก่อสร้างเจดีย์ธาตุมักบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ส่วนบนองค์พระธาตุหรือเจดีย์ แต่จารีตประเพณีก็ยังรักษากันสืบมาครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 08:40:36 โดย ap.41 » IP : บันทึกการเข้า

Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 11:43:34 »

ในบางถิ่น(โดยเฉพาะภาคเหนือ) ห้ามสตรีเข้าไปในบางเขตโดยเฉพาะบางส่วนของพระเจดีย์ธาตุ คติความเชื่อ(จนกลายเป็นจารีต)นี้ มีมายาวนาน นักวิชาการชาวพม่าที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาบอกว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระเจดีย์เป็นอิทธิพลของพม่าที่มีต่อภาคเหนือ ของไทย เพราะพม่าจะเคารพพระเจดีย์มาก บางแห่ง แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ให้เข้า นอกจากพระเท่านั้น เขายังย้อนถามว่าคิดดูให้ดีทำไมภาคอีสาน ภาคใต้ หรือแม้แต่ภาคกลางถึงไม่มีธรรมเนียมนี้ ก็เพราะว่าไม่เคยอยู่ใต้อิทธิพลพม่าเป็นเวลานานหลายร้อยปีเหมือนภาคเหนือ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลย  ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหาร

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเฉพาะถิ่น


พระ ธาตุทางภาคอีสานไม่มีการห้าม ส่วนพระธาตุทางภาคเหนือ มีการติดป้ายห้ามเอาไว้ ทั้งที่เป็นพระธาตุเหมือนกัน  พระธาตุทางอีสานเป็นพระธาตุตามความเชื่อทาง....ล้านช้าง ส่วนพระธาตุ ทางภาคเหนือเป็นความเชื่อทาง....ล้านนา จึงไม่แปลกที่ จะมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ทั้งล้านนา และล้านช้าง ถึงจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องความเชื่อในพระธาตุ เป็นต้น

การที่ภาคอีสานหรือล้านช้าง ไม่ได้ห้ามให้สตรีเข้าพระธาตุนั้น ก็เป็นเพราะ กษัตริย์ในสมัยนั้น ต้องการใช้หลักศาสนาในการปกครองประชาชน และให้ประชาชนสามัคคีกัน ถึงจะมีความเชื่อเรื่องตำนานที่บ่งบอกถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุแต่ก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอะไร

ส่วนทางล้านนา ซึ่งมีการสร้างอาณาจักรมาก่อนล้านช้าง (และล้านช้างยังรับอิทธิพลมาด้วย) เหตุผลที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า ก็เพราะมีความเชื่อเรื่องตำนาน จามเทวีวงศ์ ที่บอกถึง อำนาจผู้หญิง สามารถ ทำลายพลังอำนาจและมนต์คาถาต่างๆ ได้ แต่มันก็จะเป็นภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้าไปทำลายอำนาจและมนต์คาถานั้นๆ ด้วย ดังนั้นการที่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุทางภาคเหนือ...ก็ เพื่อป้องกันการเสื่อมพลังอำนาจและความขลังขององค์พระธาตุ และก็เพื่อป้องกันให้ผู้หญิง ผู้นั้นต้องตกอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคล ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ตำนานก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การที่ต้องมีป้ายห้ามติดเอาไว้เพื่อบอกให้ผู้หญิงรู้ และเพื่อป้องกันอันตรายจะอาจจะเกิดกับผู้หญิง ผู้นั้น เหมือนว่าจะดูเป็นห่วง ทั้งเกี่ยวกับ องค์พระธาตุ และ ผู้หญิง ด้วย


ขอขยายความจาก ตำนานจามเทวีวงศ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติม

หลายปีก่อน ตอนเรียนวัฒนธรรมล้านนา กับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมล้านนา (อยู่เชียงใหม่) ท่านอาจารย์เล่าว่า...

ตั้งแต่บรรพกาลมา แล้วในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่าถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย …

แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าตกในเวียง ก็เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุง ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือน ของพระนางจามเทวี เอาไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู เอาป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลูด้วย เอาส่งไปให้บรรณาการแก่ขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก ปรากฏว่าอำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กม. ลดน้อยถอยลงมาก ไม่สามารถพุ่งต่อไปได้ พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโล ก็เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา …

เรื่องเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจในการทำให้เสื่อมเกียรติยามนต์ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบริเวณพระธาตุ ซึ่งได้ฝังอยู่ข้างล่างพระเจดีย์ดอยสุเทพก็ดี พระเจดีย์หริภุญชัยก็ดี พระเจดีย์ดอยตุงก็ดี มันฝังอยู่ข้างล่าง

 และ ยังสะท้อนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกขึด (ภาษาเหนือ ขึดหมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) โดยผู้หญิงจะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ ป้ายที่ห้ามผู้หญิงเข้า เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อม และเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี

จากที่กล่าวยกมาข้างต้นพอจะสรุปมูลเหตุของ ความเชื่อได้ว่า

การที่ เขาไม่ให้เพศหญิงเข้าไปถึงตัวพระธาตุ เพราะว่า หญิงบางคนมีประจำเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที๋โดนของ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ เกี่ยวกัยไสยศาสตร์ เขาจะให้เอาผ้าถุงของแม่ที่เป็นประจำเดือน มาแก้เคล็ดเพราะเชื่อว่า ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ อำนาจ นั้นเสื่อมลง ก็เหมือนกับ ถ้ามีเพศหญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ ถ้าหญิงที่ไม่มีประจำเดือนก็เข้าได้ แต่เขาตัดปัญหา ไปทีเดียวคือ ไม่ให้เพศหญิงเข้า ใครจะไปนั่งถามว่า คุณมีประจำเดือนหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า? ซึ่งก็เหมือนว่า หากผู้หญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ เค้าเชื่อว่า จะทำให้ ตัวพระธาตุหมดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ลง

  จารีตก็คือการปฏิบัติกันมา แม่เข้าไม่ได้ ก็บอกลูกสาวว่าอย่าเข้า เพราะเข้าไปจะเป็นเสนียดจัญไร จะขึดนะ ขึดคือสิ่งชั่วร้าย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกหลานก็ปฏิบัติตามไม่เข้า  ยึดเป็นจารีตเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา



หลายคนอาจอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ของสตรี

จริงอยู่ สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนแต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชน ใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วย อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลย


จะว่าไป... การเคารพบูชากราบไหว้.. ต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ....อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจาก การไหว้ที่ตีนดอยหรอก..
..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. จริงไหม



จาก http://www.tamdee.net/db/printer_friendly_posts.asp?TID=1311
เป็นกุศโลบายของคนโบราณครับ
สมัยก่อน ไม่มีผ้าอนามัยครับ ผู้หญิงที่มีประจำเดือน ขึ้นไปสักการะพระธาตุ
อาจไปทำเลอะเทอะ บริเวณที่ศักดิ์สิทธิ์ เห็นแล้วไน่ดู
คนโบราณจึงผูกเรื่องเข้ากับตำนานจามเทวีวงศ์
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
เทพบุตรดาวเหนือ เคนชิโร่
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,614


เฮาจะฮักคนที่ฮักเฮา@^__^@


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 14:53:50 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ขายปลีกและส่ง
       - Micro SD Card,Flash Drive ยี่ห้อKingston Sandisk Apacer
       - Power Bank ,สายชาร์ท สายซิงค์ทุกรุ่น
       - ลำโพงกระป๋อง ,ลำโพงรถ
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2010, 19:54:39 »

ข้อแตกต่างชายและหญิงที่ชัดเจน คือ สรีระและพละกำลัง

ผู้ชายมีพละกำลังมากกว่าผู้หญิง
ผู้ชายชนะผู้หญิง
ผู้ชนะย่อมเป็นผู้มีอำนาจ

ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง

ผู้มีอำนาจเป็นผู้กำหนดกฏเกณฑ์
เป็นการแสดงถึงการเหยียดทางเพศ

ในแง่เพศผู้หญิงเป็นบุคคลชั้นสองรองจากผู้ชาย
เช่น การใช้นางสาว หากสมรสให้ใช่นางเป็นการตราไว้ว่ามีสามีแล้ว
แต่ผู้ชายไม่มีการตรา ฯลฯ (ซึ่งได้รับการแก้ไข กม.ไม่นานมานี้)


ในต่างประเทศ  ก็มีข้อกำหนดบฏิบัติ
แยกเพศชายหญิงซึ่งหญิงจะมีข้อกำหนดมที่เข้มงวดมากกว่าผู้ชาย
เช่น ญี่ปุ่น(สมัยโบราณ) และอาหรับ ฯลฯ


ข้อกำหนดต่าง ๆ ใช้ถือปฏิบัติมาช้านานจนถือเป็นเรื่องปกติ
แม้แต่หญิง(บางคน) ยังยอมรับและถือว่าตนเองด้อยกว่าชาย
และยอมรับข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านี้


ป.ล.ผมไม่เชื่อว่าขีปนาวุธเล็งเป้าหมายด้วยระบบดาวเทียมจะมีความเม่นยำน้อยลงเมื่อผูกมัดด้วยผ้าซิ่นอาบด้วยเลือดประจำเดือนผู้หญิง <<<--------

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
-_-@บ่าวเจียงฮาย@
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 483



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 22 กรกฎาคม 2010, 12:26:17 »

เพราะเจดีย์ส่วนใหญ่ทางเหนือจะฝังพระบรมสารีริกธาตุ ไว้ใต้ฐานเจดีย์ครับ
เลยห้ามให้ผู้หญิงเข้า ข้อมูลเท่าที่ฟังมาจากสารคดีล้านนานะครับแต่เหตุผลจริงๆ อาจจะเหมือนกับที่ผู้ตอบกระทู้ท่านอื่น ๆ นะครับ
IP : บันทึกการเข้า

คนที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องศาสนา
     ก็เหมือนกับชายสองคน
      ทะเลาะกันเรื่องผู้หญิง
   แต่ไม่มีใครรักเธอจริงสักคน
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 22 กรกฎาคม 2010, 20:58:23 »

ยังมีอีกอย่างนะคะ ที่คนสมัยก่อนห้าม

คือผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนห้ามเข้าวัด

เพราะมันจะเกิดความเสื่อม

อันนี้ก็เป็นกุศโลบายเหมือนกัน เหตุก็อย่างที่ท่านๆ ได้กล่าวมา
เพราะสมัยก่อนไม่มีผ้าอนามัย ผู้หญิงคนไหนเป็นประจำเดือน ไปนั่งที่ไหน ทางไหน ก็เลอะเทอะ น่ารังเกียจ พระก็เลยไม่อยากให้เข้าวัด  ยิ้มกว้างๆ

(ใช่มั้ยคะ)
IP : บันทึกการเข้า

bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,575


canon eos


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 23 กรกฎาคม 2010, 07:26:25 »



 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ..ขอบคุณข้อมูลครับ..
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 25 กรกฎาคม 2010, 15:12:39 »

      ที่ได้ฟังจากผู้รู้ เพราะบรรยายที่โบราณสถานนั้นๆเลย บางที่มีป้ายห้ามดังกล่าว
ท่านผู้นั้นได้บรรยาย แบบสันนิษฐาน ไม่ฟันธง เพราะเป็นที่ยึดถือกันมา
โดยคาดว่า ในสมัยโบราณ หญิงมีฤดู บางทีไม่รู้ตัว ถึงรู้ตัว มีสิ่งป้องกัน สมัยก่อนเขาว่า
ใช้กาบมะพร้าว(จริงเท็จไม่ยืนยัน) แต่มันก็ต้องมีเล็ดลอด หยดเรี่ยราด จังหวะมาที่วัด หรือที่
พระธาตุ ซึ่งถ้ามันลงไปยังพื้น(หิน กระเบื้อง ปูน) ของสถานที่นั้น
อาจทำให้เกิดการติดสีแบบลบไม่ออก ถึงจะลบล้างก็ทำให้สีเดิม พื้นเดิมสึกหรอจากการทำสะอาด
แต่ผู้ชาย จะมีโอกาสทำให้เลอะแบบนี้ในโอกาสไหนบ้าง
จึงต้องออกกฎสังคม กติกา ที่ยอมรับกันมาแบบไม่ต้องมีกฎหมายควบคุม
พอมาถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่มักจะมีแต่ขอกังขา ข้อสงสัย ยิ่งในด้านสิทธิเท่าเทียมกันหญิงชาย
ก็เอามาปะปนกับเรื่องเหล่านี้ด้วย  มีนักการเมืองหญิงคนนึง เคยทักท้วง อยากได้สิทธิ เข้าไป
ข้างใน ขึ้นบนพระธาตุได้แบบชาย ให้เอาป้ายออกทั้งประเทศ ภายหลังเงียบไป เพราะอะไร?
เหมือนกับ ป้ายอื่นๆ ที่เขาห้าม เราอาจปฏิบัติตาม แต่ยังสงสัย เมื่อได้ฟังอธิบาย หายสงสัย
ก็คือ ได้คำตอบของการห้ามอันนั้น แต่ถ้ายังสงสัยในประเด็นอื่น หรืออยากจะเปลี่ยนการห้าม
เหมือนกับไปเปลี่ยนระบบเขาทั้งระบบ มันจะเกิดการรวนเร วุ่นวาย และเป็นเหตุให้เกิดการแบ่ง
เป็นฝ่าย  ฝ่ายยอมรับเห็นด้วยก็มีเยอะ ฝ่ายไม่ยอมรับไม่เห็นด้วยก็มาก 
ประเทศไทย บางเรื่องก็ต้องยอมรับฟัง ไม่เห็นด้วย แต่ต้องมีเหตุผล ไม่เอาพวกมากเข้าว่า
เอ๊ะ  เรื่องพระธาตุห้ามหญิง  ไหง ยาวมาถึงขนาดนี้ได้  แค่นี้คงเข้าใจนะครับ จบล่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ


IP : บันทึกการเข้า

ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 21:43:49 »

เท่าที่ได้เรียนรู้มานะครับ การก่อสร้างในอดีตการก่อสร้างพระธาตุจะบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ใต้ดิน
แล้วจึงสร้างเจดีย์ครอบทับไว้เพื่อป้องกันการขโมยและป้องกันการเสียหาย หากนำไปเก็บไว้บนเจดีย์ธาตุนานวันเข้าเจดีย์อาจพังทลายลงมาอาจทำให้เสียหายได้ นี่คือความฉลาดของคนรุ่นเก่า
ดังนั้นจึงไม่อนุญาติให้ผู้หญิงเข้าไปบนฐานหรือบนพระธาตุ แม้แต่บางแห่งผู้ชายก็ไม่เหมาะที่จะขึ้นไปครับ   แต่สมัยปัจจุบันการก่อสร้างเจดีย์ธาตุมักบรรจุองค์พระบรมสารีริกธาตุไว้ส่วนบนองค์พระธาตุหรือเจดีย์ แต่จารีตประเพณีก็ยังรักษากันสืบมาครับ

เกิยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกั๋นครับ ส่วนตั๋วแล้วคิดว่าเป๋นไปได้นักกว่าอันอื่น
IP : บันทึกการเข้า

..............
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:08:34 »

- หากเหตุผลเรื่องผู้หญิงนำเลือดประจำเดือนไปเปลอะเปื้อน
  ทำไมไม่ห้ามเข้าเฉพาะคนที่มีประจำเดือน

- ปัจจุบันมีผ้าอนามัยซับเลือดประจำเดือนอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
  ทำไมไม่ยกเลิกกฏข้อนี้

- ถ้าหากว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ต่ำกว่าชายได้ แล้วอยู่ต่ำกว่าหญิงไม่ได้
  แตกต่างกันตรงไหน ?
IP : บันทึกการเข้า
ด.ญหนุงหนิง
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:18:40 »

รูปประกอบ ยิ้มเท่ห์


* DSCN0932.jpg (116.85 KB, 600x450 - ดู 7060 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:22:19 »

อันนี้ไม่ได้จะมาลบหลู่ความเชื่อนะครับ

คืออยากจะให้เกิดสังคมแห่งปัญญา
สังคมที่ยอมรับเหตุผล
ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตลูกหลานข้างหน้า

ไม่อยากให้ลูกหลานงมงายต้องเริ่มที่ตัวเรา

หากลูกหลานงมงายจะส่งผลถึงถูกหลอกลวงจากคนที่จ้องเอารัดเอาเปรียบ
ตัวอย่างเช่น เครื่องตรวจวัตถุระเบิดลวงโลกราคาล้านกว่า โทรมือถือรับแล้วตายเชื่อกันทั้งเมือง ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,369

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 01 สิงหาคม 2010, 23:46:47 »

ถือว่าเป็นความเชื่อของคนโบราณครับ
น่าจะถือว่าผู้หญิงเข้าไปจะทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์
แต่คนโบราณก็ไม่ได้ว่าเพศหญิงเป็นเพศที่ต่ำ

"กำบ่เก่าเปิ้ลเล่าไว้ ไผจะเจื้อ หรือบ่เจื้อ ก่อต๋ามใจ๋ แต่แม่ญิงงามเปิ้นตึงบ่ยะครับ"
IP : บันทึกการเข้า
ละอ่อนโบราณ
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,466



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 04:02:36 »

เรื่องนี้เกิยเอามาอู้กั๋นเป๋นเรื่องใหญ่โตครั้งหนึ่งครับ เมื่อสองสามปี๋ก่อน
จาวเหนือรุมสวดป้าเบียบตึงเมือง  ตางเจียงใหม่ปุ๊นเผาพริกเผาเกลือแช่งแฮ๋มซ้ำ
....คนโบราณเปิ้นเยี๊ยะหยังต้องมีเหตุผลที่ดีแน่ บ่อั้นคงบ่สืบทอดมาเถิงเด่วนี้ ค่อยๆคิดค่อยว่ากั๋นไปครับ  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

..............
Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2010, 22:25:22 »

ความเชื่อกับ ความรู้ จะแปลผกผัน
นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
ความเชื่อจะลดลง ความรู้จะมากขึ้น

ความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ในอดีต
จะไม่เหมือนความเชื่อของคนรุ่นใหม่ในอนาคต...
ทิ้งไว้เป็นเพียงตำนานเล่าขาน

(ตามกฏของความเปลี่ยนแปลงที่ศาสดาศาสนาพุทธเคยว่าไว้)

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
มะหินฝน
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 58



« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 17:33:54 »

ไม่ได้ห้ามผู้หญิงเข้าพระธาตุอย่างเดียวนะครับ ห้ามสวมรองเท้าด้วย ผู้ที่กินเหล้าก็ห้ามเข้าวัด ผู้สูบบุหรี่ก็ห้ามสูบในวัด อย่างหลังๆ นี่ผิดกฏหมายจับปรับด้วยนะครับ  ร้องไห้
IP : บันทึกการเข้า
~KT 2 U~
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ :ป.โท
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,601


♥ แม่ค้าออนไลน์ ผู้ซึ่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ♥


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 19:11:07 »

สิ่งที่บรรพบุรุตได้สอนไว้ ทุกวันนี้คือจารีตที่ดีงามค่ะ
คิดว่าถ้ามีแค่ความรู้อย่างเดียว ทุกคนก็เห็นต่างกันหมด
แต่ถ้ามีความเชื่อทุกคนจะได้มีสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวไว้นะคะ
มีประเพณี มีจริยธรรมที่ดี ที่เกิดจากความเชื่อนะคะ ^^
IP : บันทึกการเข้า

Mr.R
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 06 สิงหาคม 2010, 21:43:10 »

ความศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใสที่ประกอบด้วยหลักแห่งปัญญา ความเชื่อด้วยหลักของเหตุและผล หาเหตุและผลมาไตร่ตรองให้เห็นความจริง

        ความงมงาย คือ ความเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ไม่ลืมหูลืมตา เขาบอกว่าดีก็ดี บอกว่าผิดก็ผิด เชื่อผู้ที่ชี้นำตนเองโดยเชื่อแบบไม่มีเหตุผล รู้ไม่จริงไม่ใช้สติและปัญญามากำกับความเชื่อนั้น

        ซึ่งจากข่าวสารที่หาดู หาอ่านจากสื่อก็จะเห็นเหตุการณ์ระหว่างความศรัทธาและความงมงายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ผมว่าจะเจอความงมงายมากกว่าเช่น ควายออกลูกมาหกขา เห็ดประหลาดขึ้นมากลางบ้านก็แห่ไปผูกผ้าเจ็ดสี จุดธูปขอหวยกันยกใหญ่ แล้วที่โด่งดังเมื่อปีสองปีที่แล้ว ชาวบ้านเจอเจลลดไข้ที่ตกมาจากฟ้าแล้วตอนแรกเชื่อว่าเป็นสัตว์ประหลาดบ้าง มาจากต่างดาวบ้าง แล้วที่ว่าเลวร้ายกว่าก็คือพวกอวิชชาทั้งหลายที่เบ่งบาน เติบโตอยู่ทั่วสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ ทั้งคนธรรมดาและสงฆ์ ซึ่งพระสงฆ์นี่แหละที่ผมอยากจะกล่าวว่าเป็นส่วนที่อันตรายที่สุดของความงมงายในสังคมไทย โดยเฉพาะสงฆ์ที่มีเปลือกเป็นเพียงคนหัวโล้นนุ่งห่มผ้าเหลืองที่เข้ามาหากินกับความเชื่อความงมงายในสังคมไทย ทั้งใบหวย สะเดาะห์เคราะห์ต่อดวงชะตา สักยันต์ ไล่ผี หรือวัดใหญ่บ้างวัดเน้นปิดทองอย่างเดียวเก็บค่าเช่าร้านค้า หาผลประโยชน์เข้าตนเองหรือพวกพ้อง ผมเห็นและผ่านตามามากกับสงฆ์จำพวกนี้ แตสิ่งที่พวกสงฆ์ปลอมเหล่านี้อยู่ได้เพราะความสรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยจำนวนมากนั้นเอง หรืออีกมุมหนึ่งก็จะพบกับพระที่เป็นพระแต่พวกท่านเป็นพระที่แสวงหาซึ่งวัตถุคิดแต่จะหาเงินสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างนู้นสร้างนี่จนเต็มวัดไปหมดทั้งที่ของเก่านั้นก็ยังสมารถใช้การได้ดีแต่สาเหตุเพราะวัดอื่นใหญ่กว่า สวยกว่าหรือไม่สมฐานะสมภารเจ้าวัด วัดความยิ่งใหญ่ของความศรีทธาของผู้คนด้วยวัตถุ โดยละเลยพระธรรมคำสั่งสอนที่ถ่องแท้ไปแล้ว ผมจึงไมแปลกใจที่บรรดาผู้ที่มีปัญญาหลายคนที่ผมรู้จักจึงเลือก ที่จะเริ่มศึกษาธรรมะจากการอ่านหนังสือมากกว่าการเข้าวัดแล้วจึงต่อยอดด้วยการเข้าหาผู้รู้หรือพระสงฆ์ที่เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งนั้นเอง

         โดยแท้แล้วบ้างสิ่งบ้างอย่างนั้นบ้างคนก็อาจจะเถียงผมได้ว่ามันเป็นความจริง มันช่วยบรรเทาทุกข์ของเขาได้จริง อย่างการไปสะเดาะห์เคราะห์ต่อดวงชะตา ไปทำมาแล้วดีขึ้นหายเจ็บหายป่วย ผมว่าไปหาแพทย์ดีกว่าครับเปอร์เซ็นหายได้มากกว่า แต่ก็อาจจะเถียงผมอีกว่ามันช่วยเรื่องจิตใจ แต่สำหรับผมเรื่องของจิตใจนี่ถ้าเราศึกษาและเข้าใจในสัจธรรมขั้ยหนึงแล้วก็อาจจะบอกแก่ตยเองและผู้อื่น เรื่องราวต่างๆนั้นมันอยู่ที่จิตของเราถ้าเรามั่นคง ใช้ปัญญาไตร่ตรองและวิเคราะห์ปัญหานั้นๆว่าเกิดจากอะไร แล้วแก้ไขปัญหานั้นอย่างมีสติ ผมก็ว่าเราก็สามารถแก้ได้ ถึงแก้ได้ไม่หมดเราก็เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด แล้สจึงมีผลที่เราต้องรับมันไว้ หรือทางพุทธที่เรียกว่ากรรมนั้นเอง โดยส่วนตัวผมนั้นคิดว่าเราชาวพุทธนั้นสามารถที่จะวิจารณ์พระสงฆ์เห่านี้ได้ แต่เราต้องรู้ข้อเท็จจริงและรู้เท่าทันพวกสงฆ์หรือพวกเหลือบที่กัดกินพระศาสนาเหล่านี้

         ผมจึงอยากสรุปว่า สิ่งที่ผมพูดว่า คนเรานั้นถ้ามีสติและปัญญา ในการที่จะทำการใดๆก็แล้วนั้นสามารถคิดวิเคาะห์หาเหตุและผมของสิ่งเหล่านั้นไดอย่างถูกต้อง ว่าจริงเท็จอย่างไร สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพและละก็ท่านจะมองโลกและสังคมไทยอย่างถูกต้องและเป็นธรรมอย่างแท้จริงโดยปราศจากอคติใดๆครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนๆของสังคมทั้งการเมือง ศาสนา สังคมโลกหรือแต่ในครอบครัวของท่านเอง จะยกตัวอย่างซักเล็กน้อยเรื่องการเมืองในบ้านเราในขณะนี้เราก็เอาสติและปัญญาเข้ามาวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น รับข้อมูลทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมแล้วนำพิจราณาว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนธรรม อันไหนอธรรม เราก็จะมองเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมรู้ผิดรู้ชอบ แล้วก็มาดูว่าผลกรรมจะสามารถของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ก็จะเข้าใจขึ้นนั้นเอง

ที่มา...http://mblog.manager.co.th/kingkoon/th-23015/
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!