|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
ออฟไลน์
กระทู้: 1,535
..........................
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 09:55:21 » |
|
|
001.png (101.3 KB, 949x502 - ดู 309 ครั้ง.)
002.png (43.51 KB, 950x494 - ดู 305 ครั้ง.)
|
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
ออฟไลน์
กระทู้: 1,890
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 16:34:48 » |
|
จะรีบาวด์ ได้เร้อ...เกาหลีฯ ก็แดงแล้ว.. ธนาคารแห่งเกาหลี ( BOK ) ก็ขึ้นดอกเบี้ยเสริมอีก...ห่วงเงินเฟ้อล่ะซิ ท่า.. ----------------------- เป็นปัจจุยลบที่ค่อนข้างมีผลเลยทีเดียว ไม่งั้นน่าจะขึ้นได้มากกว่า....555+ .
|
...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
|
|
|
|
|
|
|
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
ออฟไลน์
กระทู้: 1,535
..........................
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 21:36:41 » |
|
โบรกฯฟันธง"หุ้นร่วงยาว" แนะเก็บกองทุน ชี้"ปู-มาร์ค"ขึ้นนายกฯวุ่นทั้งคู่
การเมืองวุ่น 1 เดือน หุ้นไทยร่วง 7% มาร์เก็ตแคปหายไป 6.7 แสนล้านบาท นักวิเคราะห์-ผู้จัดการกองทุนฟันธงต่างชาติมองข้ามชอต พรรคไหนนั่งรัฐบาลประเทศก็ร้อน คนไทยไม่ยอมรับผลหลังเลือกตั้ง หวั่นเกิดความไม่สงบ วอนรัฐบาลใหม่มุ่งสร้างเศรษฐกิจ-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-ลดภาษีนิติบุคคลก่อนขึ้นค่าแรง-เบรกประชานิยมเกินตัว ลุ้นต่างชาติกลับเข้าไทยช่วงไตรมาส 3-4
ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง ยิ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยหนักขึ้นทุกวัน ล่าสุดโบรกเกอร์ต่างชาติ ทั้งโกลด์แมนแซกส มอร์แกน สแตนเลย์ และเครดิต สวิสฯ ได้ประกาศลดน้ำหนักลงทุนตลาดหุ้นไทย เนื่องจากกังวลผลการเลือกตั้งไทย ประกอบกับมีข่าวตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่ ส่งผล ให้นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ดัชนีปิด 1,014.58 จุด ลดลง 20.17 จุด ซึ่งเป็นการปรับลดมากที่สุด หลังจากที่มีการประกาศยุบสภา จากนั้นปรับลดลงต่อเนื่องในวันที่ 9 มิ.ย. ดัชนีลดลงมาที่ 998.39 จุด ก่อนจะปิดตลาดที่ 1,016 จุด
นับตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศ ยุบสภาในช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีได้มีการปรับตัวขึ้นสูงสุด ที่ 1,100.49 จุด แต่หลังจากพรรคการ เมืองลงพื้นที่หาเสียง ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 980-1,050 จุด จนลงมาจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ดัชนีปรับตัวลดลงแล้ว 85.91 จุด หรือ 7.81% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่มูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ปรับลดลงจาก 8.93 ล้านล้านบาท เหลือ 8.26 ล้านล้านบาท หรือหายไป 6.7 แสนล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่กังวลคือผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่ ก็อาจมีกลุ่มคนไม่เห็นด้วยออกมาประท้วงเหมือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือหากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ นักลงทุนก็กังวลว่าจะมุ่งเน้นแต่การออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งอาจจะทำให้มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งประท้วงการกระทำดังกล่าวอีก
"ตอนนี้ใครจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นักลงทุนก็คงจะไม่ซีเรียส แต่การที่โบรกเกอร์ต่างประเทศลดการลงทุนบ้านเรา ก็เพราะกลัวว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็จะเกิดปัญหา" นายสมชายกล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ไม่ว่าพรรคใดขึ้นมาเป็นรัฐบาล เชื่อว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้น ซึ่งอยากจะขอให้พรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงแรก ควรดำเนินนโยบายที่มีผลบวกต่อเศรษฐกิจ และคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ควรรีบทำเร็วเกินไป และก่อนดำเนินการ ควรจะทำเรื่องลดภาษีนิติบุคคลก่อน เพื่อช่วยให้ ผู้ประกอบการมีความพร้อมก่อนที่จะขึ้นค่าแรงให้ลูกจ้าง นอกจากนี้ ควร ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อช่วยสร้างรายได้แบบกระจายตัวให้แก่คนทั้งประเทศด้วย
ทั้งนี้ หากประเมินการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังจากนี้ ในกรณีที่เกิดการประท้วง หรือความไม่แน่นอนใดขึ้น ดัชนีอาจแกว่งตัวลงมาอยู่ที่ 970 จุดได้ ขณะที่การแกว่งตัวขึ้น (Upside) จะอยู่ที่ 1,100 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้า สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่าพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ผลของภาพรวมทางเศรษฐกิจคงไม่แตกต่างกัน เนื่องจากนโยบายคล้ายกัน คือเน้นให้ความช่วยเหลือภาคประชาชน และลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถึงแม้รายละเอียดของนโยบายจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้มีโอกาสเกิดความไม่แน่นอน จึงประเมินว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,000 จุด
"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นในตอนนี้ ที่มีแรงขายต่างชาติหนักเป็นเพราะเจอปัญหาเศรษฐกิจโลกเป็นตัวเร่งด้วย แต่ในที่สุดแล้วเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติคงจะต้องกลับมามองภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเรา หลังจากที่ผลการเลือกตั้งได้ประกาศออกมา" นายสุกิจกล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ภัทร ให้มุมมองว่า โดยรวมของตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ลดน้ำหนักลงทุน แต่ยังคงเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มธนาคาร เนื่องจากพื้นฐานของธนาคารใหญ่ ๆ ยังเป็นบวก และคาดว่าโมเมนตัมการเติบโตของสินเชื่อยังคงต่อเนื่อง แต่อยู่ในอัตราชะลอตัวลงก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศที่มีมุมมองในเชิงลบต่อภาพการเมือง และภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งนโยบายประชานิยมที่พรรคการเมืองแข่งขันกัน โดยเฉพาะแข่งกันชูประเด็นขึ้นค่าแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและผลดำเนินงานของผู้ประกอบการ ขณะที่แต่ละพรรคไม่ได้มีการเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่ง ถือเป็นตัวที่สร้างให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในระยะยาวมากกว่า นอกจากนี้มี ความกังวลเงินเฟ้อสูง ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น ที่จะ กระทบมาสู่ภาคการลงทุนในที่สุด
"เราประเมินว่าในช่วง 2 เดือนจากนี้ ดัชนีหุ้นไทยอาจไม่ปรับขึ้นหรือลงมาก อีกทั้งผลจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ฟื้นตัวช้าและปัญหาหนี้ยุโรปไม่มีข้อสรุป คิดว่านักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3-4 ซึ่งในช่วงที่ตลาดหุ้นขาลง ก็มีการเคลื่อนไหวของหลาย บลจ.โทร.ติดต่อให้ลูกค้าในกองทุน LTF และ RMF เข้ามาทยอยซื้อลงทุนกัน เพราะราคาหน่วยลงทุนถูกตามตลาดหุ้น หลังจากที่ถูกฝรั่งเทขายออกมา
นอกจากนี้บริษัทยังเห็นเป็นจังหวะออกกองทุนหุ้นทริกเกอร์ฟันด์ขายในเดือนนี้ด้วย ซึ่งเป็นการตั้งเป้าหมายทำกำไรราคาหุ้น 5-6%"
นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน ผู้จัดการกองทุนจะมีการปรับพอร์ตด้วยการถือเงินสดเพิ่มขึ้น และรอจังหวะลงทุน โดยจะเลือกหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่โบรกเกอร์ต่างชาติหลายรายลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย แต่ยังมีบางโบรกเกอร์กลับเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย อาทิ บทวิเคราะห์ของยูบีเอส ระบุเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่ยังคงน่าลงทุน
"ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้อีก หากกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาดี ซึ่งจะหนุนเม็ดเงินไหลเข้ามาใหม่ ทางยูบีเอส over weigh ตลาดหุ้นเรา แสดงว่าไม่ใช่ทุกคนที่ฟันธงว่าตลาดไทยไม่น่าลงทุน" นายต่อกล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯรายงานข้อมูล SET Note Quarterly Corporate Update ว่า ในไตรมาส 1/54 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) มี
การใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งบริษัทในเครือและบริษัทที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังมีการระดมทุนเพิ่มของบริษัทขนาดใหญ่เพื่อรองรับการขยายกิจการในอนาคตด้วย
ขณะที่ผลประกอบการของ บจ. ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30.78% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่งผลให้บจ.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยภาพรวม บจ.มีรายได้การขายและบริการ รวม 2,099,245.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.00% ขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 214,141.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.29% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 204,922.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.32% จากไตรมาสก่อนหน้า
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
|
|
|
|
|
|