|
|
|
updoon
ระดับ ป.ตรี
  
ออฟไลน์
กระทู้: 1,082

|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 00:09:15 » |
|
ขอบคุณครับ แล้วแต่ความคิด แล้วแต่มุมมองครับ... การหลิ่วตา ย่อมง่ายกว่าการ ขวางโลก.. แต่ผมกลับชอบการรับน้อง มันดี..อย่างน้อย ก็มีหญิงต่างคณะเยอะ 
|
ตกลงจะเบี้ยวใช่ใหม แค่เนี๊ยะนะ...กระจอกว่ะ...
|
|
|
|
nuifish
ผู้ดูแลบอร์ด
ระดับ ป.ตรี

ออฟไลน์
กระทู้: 1,755

หนุ่ยครับ
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 00:17:55 » |
|
ขอแสดงความยินดี มี เหตุให้ต้องเข้าไปในมหาวิทยาลัยบางแห่งในเชียงใหม่นี้อยู่บ้าง มหาวิทยาลัยที่ฉันเคยเรียนอยู่นั้น พ้นจากป้ายมหาวิทยาลัยอันโอ่อ่าอลังการเสียจนคิดว่ามันจำเป็นต้องโอ่อ่าถึง เพียงนั้นหรือ? ศักดาอำนาจปัญญาของมหาวิทยาลัยวัดกันที่ความโอฬารฬิกของป้าย? ไหนใครบอกว่า size doesn"t matter ทว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้อาจไม่มั่นใจในลีลาของตนเองจึงลำพองตนออกมาที่ "ขนาด" ของป้ายให้เห็นเป็นสำคัญ เรียงรายบนถนนจากประตูทางเข้าคือแถวของตุงสีม่วงขลิบทองปักกันถี่ยิบ ถี่เสียจนฉันอยากรู้ว่า เขาปักไว้ทำไม สวยหรือ? ก็ไม่ใช่ ฉันคงกลายเป็นคนอนุรักษนิยมไปในทันทีหากจะบอกว่า ตุง หรือธง นั้นมีหน้าที่ของมันตามวาระโอกาส เช่น เอาไปปักไว้ ณ ที่มีคนตายโหง หรือ ตุงฉลองปอยหลวงวิหารใหม่ ตุงกระดาษว่าวอันเล็กปักเจดีย์ทราย หรือ สมัยฉันเป็นเด็ก เราตัดกิ่งไผ่มีใบติดกำลังสวย ผูกกระดาษหลากสี นิดๆ หน่อยๆ น่ารักมาก และเรียกว่าตุงเช่นกันนำไปปักเจดีย์ทรายวันพญาวัน ตุงที่ดูหรูหราอลังการอันเรียงรายอย่างไร้ความหมายและไม่มีหน้าที่ชัดเจน ข้างถนนทางเข้ามหาวิทยาลัยบอกอะไร นอกจากสีม่วงเป็นสีของมหาวิทยาลัย สีทองบ่งบอกสถานะศักดินาสูงส่ง และปริมาณของมันบ่งบอกงบประมาณที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า เพราะมันไม่ได้ช่วยนักศึกษาฉลาดขึ้น ไม่ได้เพิ่มจำนวนเล่มของหนังสือในห้องสมุด แต่ก็นั่นแหละ ผู้บริหารคงบอกว่า งบฯ ซื้อตุงกับงบฯ ซื้อหนังสือมันคนละส่วน คนละเรื่อง คนละแผนกกันนี่นา เหล่านักศึกษาปีหนึ่งแต่งตัวถูกระเบียบเป๊ะ แถมในฤดูกาลรับน้องใหม่ยังป้ายห้อยคอ เขียนชื่อ นามสกุล พร้อมหมายเลขประจำตัว อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยว่า ได้เคย "ทัก" นักศึกษาไปด้วยปรารถนาดีไปแล้วว่า "มีแต่สัตว์ในฟาร์มเท่านั้นที่มีป้ายชื่อพร้อม serial number แขวนคอ หรือห้อยติดหน้าแข้ง" แต่ดูเหมือนนักศึกษาจะไม่ "เก๊ต" เพราะยังคงคล้องป้ายเหล่านั้นไว้ที่คออย่างภาคภูมิใจ แม้แต่ออกไปนอกมหาวิทยาลัย เพราะอยากประกาศว่า "กูเป็นนิสิตนักศึกษา"และดูเหมือนว่าความเป็นนิสิต นักศึกษานั้นจะไม่สมบูรณ์แบบหากไม่ผ่านพิธีกรรม "รับน้อง" เฉกเดียวกับการได้กรีดเลือดร่วมสาบาน ได้สลายตัวตนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ "พวกพ้องน้องพี่" มีระบบอุปถัมภ์ของพี่รหัส ป้ารหัส ลุงรหัส คอยคุ้มกะลาหัวอยู่ อบอุ่นดีจัง ไม่เหมือนการดำรงความเป็น ปัจเจกชน ที่แสนจะโดดเดี่ยว ไร้คนปกปักรักษาดูแล ดังนั้น เมื่อคณะบดีของคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยประกาศขอความร่วมมือให้ยกเลิกการรับ น้อง (บนสมมุติฐานที่ว่า การรับน้องคือการสั่งสมระบบลำดับชั้นต่ำสูง เผด็จการ อำนาจนิยม ระบบอาวุโส อันเป็นศัตรูต่อแนวคิดเสรีนิยมอันปัญญาชนพึงให้คุณค่า) การณ์กลับกลายเป็นว่า "น้องปี 1" แทนที่จะไชโย ลั้ลลา ไม่ต้องตกเป็นวัตถุแห่งการสำแดงอำนาจของรุ่นพี่ แต่ น้องๆ เหล่านั้นพากันตีอกชกตัว ร้องห่มร้องไห้ ไปจนถึงมีอาการชัก เนื่องจากผิดหวังและรู้สึกว่าหากไม่มีพิธีกรรมนี้แล้วตนจะไม่อาจเข้าไปเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันกับ คณะ หรือมหาวิทยาลัย ถูกตัดญาติขาดมิตรจากระบบ ปู่รหัส ย่ารหัส เคว้งคว้างประมาณชีวิตขาดบรรพบุรุษ ขาดประวัติศาสตร์ให้ยึดโยง ไร้รากเหง้า- เอากันถึงขั้นนั้นเลยทีเดียว กาลต่อมาได้เข้าไปในอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง เจอน้องปีหนึ่งอีกรอบ คราวนี้แต่งชุดพละพร้อมเป้แบบเดียว สีเดียว ออกมาจากโรงงานเดียวกันเป๊ะ เดินมาเป็นแถวเป็นแนว "ว๊า นี่ตรูอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือ โรงเรียนอนุบาลหมีน้อยเนี่ยะ" ชะรอย อาจารย์ที่เดินมาด้วยคงอ่านรหัสจากดวงตาของฉันออกรีบอธิบายว่า "เราให้นักศึกษาปีหนึ่งแต่งตัวเหมือนกันหมดเพราะป้องกันปัญหาของหายค่ะ เดี๋ยวขึ้นปีสองก็ไม่ต้องแต่งตัวเหมือนกันแล้วค่ะ" หือม...คราวนี้งงกว่าเดิม ของหาย? อะไรหาย? แต่งกายกันตามปกติ ไม่ถือเป็นโรงงานเดียวกันแล้วมันเกี่ยว อะไรกับการสูญหายของสิ่งของ? ยิ่งฟังเหตุผลยิ่งทำให้คล้ายกับอนุบาลหมีน้อยในแง่ที่ว่า เด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่งไม่มีความสามารถในการดูแลข้าวของ ทรัพย์สินของตนเองได้ (อันที่จริง กระเป๋าเหมือนกันหมดจนยากจะรู้ว่าของใครเป็นของใครน่าจะทำให้ของหายง่ายกว่า ไหม?) แต่ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ของหาย แต่ฉันสงสัยการ "สมยอม" ต่ออำนาจอย่างง่ายดายโดยไม่มีใครอยากรู้ว่า ทำไมเราต้องมาแต่งตัว และแบกเป้แบบเดียว สีเดียวกันราวกับเป็นเด็กอนุบาล การรับน้อง การมีป้ายห้อยคอ การมีเครื่องแบบ (วันที่ฉันไปฟังสัมนาที่มหาวิทยาลัยที่ฉันจบมานั้นนอกจากเครื่องแบบนักศึกษา แล้ว ยังปรากฏว่ามีสูทสีม่วงเพิ่มเข้ามาในเครื่องแบบอีกชิ้นหนึ่ง และฉันก็นั่งมองอ้าปากค้างที่เห็นนักศึกษานับร้อยสวมสูทสีม่วงลาเวนเดอร์ อย่างเต็มอกเต็มใจ ทั้งที่โดย sense ของแฟชั่นแล้ว เป็นสีของสูทที่น่าเกลียดและทำร้ายคนใส่เอามากๆ-ไม่นับฝีมือการตัดเย็บสูท แบบโหลๆ อันซ้ำเติมให้ทุกอย่างดูแย่ลง) ที่ชวนให้ฉงนมากขึ้นไปอีกก็คือ ในคณะที่น่าจะมีกบฏ มีเสรีชน และมีปรัชญาที่เป็นมิตรต่อเสรีภาพ อิสรภาพ อย่างคณะที่เรียนเกี่ยวกับศิลปะกลับมีระบบโซตัส และการรับน้องที่โหดหินไม่แพ้คณะวิศวะหรือเกษตร หรือแม้แต่คณะรัฐศาสตร์ที่น่าจะศรัทธาต่อประชาธิปไตยกลับมีกลิ่นอายของลำดับ ชั้นอำนาจแบบมหาดไทยอยู่มากเสียจนเราเชื่อว่าเมื่อพวกเขาเรียนจบออกไปคงเป็น แขนขาที่มีประสิทธิภาพของระบบราชการอย่างปราศจากข้อกังขา ถ้าคนในเจเนอเรชั่นของฉันมีหนังสือ "หนุ่มหน่ายคัมภีร์" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นคัมภีร์เล่มแรกที่เราอ่านเมื่อรู้ว่าเอ็นท์ติด และเป็นแรงผลักดันให้เราแข็งขืนยืนยันที่จะไม่ยอมรุ่นพี่กดขี่บีฑา อีกทั้งไม่ยอมให้ครูบาอาจารย์มาบังคับให้เราแต่งเครื่องแบบนักศึกษาอันน่า ขัน ซึ่งเราก็ขืนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และเมื่อเราขึ้นเป็นรุ่นพี่ เราดันอยากจะมีอำนาจไปรับน้องกับเขาอยู่ดี แต่บรรยากาศของสังคมไทยในช่วงปี 2530 กว่าๆ ที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยนั้น มีอากาศแห่งเสรีภาพให้สูดกันค่อนข้างฟุ่มเฟือย สมกับเป็นช่วงฮันนีมูนของระบอบประชาธิปไตยเต็มใบหลังจากการครองอำนาจยาวนาน ถึง 8 ปีในยุคของเปรม ฉันจึงไม่ผ่านประสบการณ์ รับน้อง วิ่งรอบมหาวิทยาลัย มีป้ายคล้องคอ ไม่รู้จักพี่รหัส ไม่ผ่าน ว้าก ซ้อมเชียร์ ไม่ร้องเพลงมหาวิทยาลัย เพลงคณะ แข่งกีฬา หรืออะไรอื่น และแม้แต่พิธีไหว้ครูก็หาคนไม่ร่วมได้น้อยเต็มทน และดูเหมือนครูบาอาจารย์ก็อยู่ในอากาศแห่งเสรีภาพเช่นกัน จึงไม่มีใครมาเสียเวลาจุกจิกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเครื่องแบบนักศึกษา หรือการเข้าร่วมพิธีไหว้ครูและออกจะให้กระตุ้นให้พวกเราตั้งคำถามกับสิ่ง เหล่านี้ทั้งคอยหนุนให้พวกเราหันหลังให้กับ ประเพณีล้าหลังหลายอย่างในมหาวิทยาลัย และหากการรับน้อง ระบบโซตัส ระบอาวุโส ความภาคภูมิใจในเครื่อแบบนักศึกษา ความฟูมฟายฟุ่มเฟือยในพิธีกรรมการรับปริญญาจะเป็นเครื่องชี้วัดความเป็น ประชาธิปไตยในสังคมไทยได้ สิ่งที่เราเห็นกันอยู่ในตอนนี้คือยีอากาศแบบอนุรักษ์นิยมบวกสายลม แสงแดดกำลังหวนคืนสู่สังคมอย่างเป็นระบบ ยิ่งอยู่ในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ มีชื่อเสียง ยิ่งต้องพิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์ของเครื่องแบบ เข็มกลัด หัวเข็มขัดของมหาวิทยาลัยที่สังกัด คือเครื่องหมายบอกสถานะและชั้นชน และที่คนตกยุคอย่างฉันไม่ค่อยจะเข้าใจคือ นักศึกษาผู้ปราดเปรื่องจนสามารถผ่านการแข่งขันจนเข้ามาอยู่มหาวิทยาลัยชั้น นำของประเทศได้ ไฉนไม่ตั้งคำถามกับตนเองบ้างว่า ในประเทศโลกที่หนึ่งและประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลายในโลกล้วนแต่ไม่มี "เครื่องแบบนักศึกษา"แล้วเหตุใด นักศึกษาไทยยังคงสมยอมกับเครื่องแบบที่รังแต่จะทำให้พวกเขาดูงี่เง่า ดูไร้พลังอำนาจ ขาดจินตนาการ และประกาศความล้าหลังของประเทศเช่นนี้ ศักดิ์ศรีของมหาวิทยาลัย และการเป็นปัญญาชนควรจะอยู่ที่บทบาททางปัญญาที่มอบให้แก่สังคม มิใช่ด้วยเครื่องแบบ มิใช่ด้วยบุญคุณของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย มิใช่ด้วยอายุมหาวิทยาลัยแสนเก่าแก่อันเราต้องคอยพิทักษ์ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี (ด้วยเครื่องแบบและเข็มตรามหาวิทยาลัย) ที่ดูหนักข้อ และน่าหนักใจ คือการปฐมนิเทศน์นิสิตนักศึกษาใหม่ในยุคนี้ที่พ่อแม่ยังต้องประคบประหงมลูก เข้ามา นั่งตาแป๋วในหอประชุม แถมพ่อแม่บางคนยังเข้ามาคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นการส่วนตัวว่าของฝากดูแล ลูกอิชั้นและกระผมด้วย มีอะไรอาจารย์โปรดแนะนำสั่งสอนและโปรดเมตตาเป็นพิเศษ ว้าว...นี่คือฉากในมหาวิทยาลัย หรือฉากประชุมผู้ปกครองนักเรียนชั้น ป.3? ถ้า นักศึกษามหาวิทยาลัยของเราไม่เคยต่อสู้เพื่อจะปกป้องสิทธิพื้นฐานเช่น สิทธิเหนือร่างกาย และการเลือกเครื่องแต่งกายของพวกเขาเมื่อได้เป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่สามารถจินตนาการถึงสิทธิที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เช่น สิทธิในฐานะที่เป็นพลเมืองอันมีศักยภาพที่คิด วิเคราะห์ กำหนดรสนิยมให้แก่ชีวิตของตน การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ต้องพูดถึงการแสดงออกเพื่อปกป้องสิทธิ เสรีภาพของผู้อื่นและไม่ต้องแปลกใจหากพวกเขาจะแยกไม่อกว่าประกาศเคอร์ฟิวส์กับ พรก. ฉุกเฉินต่างกันอย่างไรและพวกเขาอีกนั่นแหละที่บอกว่า "มี หรือไม่มี พรก. ฉุกเฉิน ชีวิตของพวกเขาก็หามีความแตกต่างอย่างไรไม่"ตราบใดที่ยังมีละครให้ดู มีห้างให้เดิน มีบาร์ให้เข้า ร้านเหล้าไม่ปิด มีคอร์สวิปัสสนาให้ไปอบรม จะมีใครตาย จะมีเพื่อนร่วมชาติถูกข่มขู่ คุกคาม ชาวนาจะมีน้ำทำนาหรือไม่มี ประเทศจะเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตย ก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนหรือความแตกต่างใดๆ ให้แก่ชีวิตเลย ที่รัฐบาลแถลงก็คงมีส่วนถูกอยู่บ้างว่า พรก. ฉุกเฉินนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อ "คนดีๆ" เพราะ ระบบการศึกษาเราได้ผลิตคน "ดี" ออกมาสู่ตลาดมากเหลือเกิน หากคนดีๆ จะหมายถึง คนที่ไม่ปรารถนาความขัดแย้ง รังเกียจการถกเถียง ไม่ตั้งคำถาม รักที่อยู่อย่างสงบ เกลียดการปะทะทางความคิด ไม่ปรารถนาจะได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ตั้งคำถามต่อผู้อาวุโส รู้สึกปลอดภัยภายใต้ระบบเส้นสายการอุปถัมภ์ของรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนพ้องร่วมสถาบัน หวาดกลัวการถูกโดดเดี่ยวจึงไม่กล้าพูด คิด และทำในสิ่งที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ มหาวิทยาลัยในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเก่าแก่หรือใหม่ถอดด้ามจึงหมดบทบาทในฐานะที่เป็นพลังทางปัญญาของสังคมโดยสิ้นเชิง การมีขึ้นและการขยายตัวของมหาวิทยาลัย มีประโยชน์แค่ทำให้ธุรกิจการค้ารอบมหาวิทยาลัยคึกคัก ทั้งกิจการหอพัก อาหารตามสั่ง เซเว่นฯ ร้านขายเสื้อผ้า แหล่งช็อปปิ้ง มหาวิทยาลัยในจังหวัดที่ฉันอยู่ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนมีศูนย์หนังสือใน มหาวิทยาลัยที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ (ศูนย์หนังสือใน มช. นั้น หากมันเคยมี มันก็เป็นศูนย์หนังสือที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยกลิ่นอับเฉาที่ชวนเศร้าหมอง) และรอบๆ มหาวิทยาลัยไม่มีกิจการร้านหนังสือที่จะเป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ทาง ปัญญาของกลุ่มผู้บริโภค ทว่า คลาคล่ำไปด้วยร้านไมโลดิบ และกิจการซัก อบ รีด ไม่เพียงแต่หมดบทบาทในฐานะที่เป็นพลังทางปัญญาของสังคม อันมหาวิทยาลัยกลับเป็นแหล่งผลิตซ้ำอุดมการณ์อนุรักษนิยม การชื่นชมบูชา ความใฝ่ฝันอยากเข้าไปสังกัดเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ การให้คุณค่ากับเครื่องแบบ เข็ม ความขลัง บุญคุณ และบุญญาธิการของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย มากกว่าจะพูดถึงประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยที่สัมพันธ์กับการต่อสู้หรือการ อยู่เคียงข้างกับประชาชน การเห่อเหิมกับเกียรติยศที่มากับเปลือกอันปราศจากแก่นสาร ไม่ว่าจะเป็นป้าย หรือการประดับประดาธงทิว รูปภาพ พิธีกรรม ที่สื่อนัยถึงการเชิดชูวัฒนธรรมจักรๆ วงศ์ๆ เช่น ตุงลายไทยขลิบทอง หรือการแต่งชุดไทย ชุดพื้นเมืองในวันศุกร์ ฉันนั่งมองนักศึกษาที่สามารถเอาป้ายชื่อพร้อมหมายเลขประจำตัวคล้องคอเดินไป ไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ นั่งมองใบหน้าไร้เดียงสาของนักศึกษาปีหนึ่งในชุดพละและเป้ในเครื่องแบบ เหมือนเด็กอนุบาลแล้ว มีเพียงประโยคเดียวที่พูดได้ในเวลานี้คือ ขอแสดงความยินดีกับระบบอำนาจนิยม
ศรีนวน แม่สาย จั้งซอธรรมดา
เก็บคำพูดไว้ก่อน
|
081-1072008 (สนส28/31,ChiangRai Lure Fishing Team)
|
|
|
|
|
|
|
|
|
Cmember
ชั้นประถม

ออฟไลน์
กระทู้: 102

ดอกไม้ที่หอมที่สุดในโลก
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 06:41:08 » |
|
นี่เกิดท่านมีโอกาสได้บวช ผมกลัวท่านเปลี่ยนจีวร หรือเปลี่ยนระบบการเดินบิน.... ของพี่เณร ที่เดินเป็นแถวเรียงอาวุโส อย่างสวยงามนะครับ โทษทีครับ ก็แค่แซวเล่นครับ ขำๆ ไม่อยากให้เครียด โดยส่วนตัวเห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมดครับ
|
"ปาอะไรเอ่ยเข้าวัดไม่ได้?  " " แล้วปลาอะไรเอ่ยทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ  ?"
|
|
|
>:l!ne-po!nt:<
~: ดาบราชบุตร :~
แฟนพันธ์แท้

ออฟไลน์
กระทู้: 10,257
~>: แขกดอย :<~
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 06:43:17 » |
|
|
!!!!! กว่า ๑,๑๐๐ กม.จากยอดดอยสู่ทะเล...ตะวันออก !!!!! www.facebook.com/1100kilometer||||| ธรรมชาติสร้างอากาศบริสุทธิ์ ส่วนมนุษย์นั้นสร้างอาวุธเพื่อทำลาย |||||
|
|
|
yodying
ชั้นประถม

ออฟไลน์
กระทู้: 281

|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 06:56:32 » |
|
เราเป็นคนตั้งกระทู้ เพราะไปอ่านเจอบทความนี้มา เห็นว่ามีมุมมองที่น่าสนใจ เลยขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ผู้เขียนบทความนี้ ใช้ชื่อว่า "ศรีนวล แม่สาย จั้งซอธรรมดา"
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 07:50:54 โดย yodying »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yodying
ชั้นประถม

ออฟไลน์
กระทู้: 281

|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 06:57:56 » |
|
เจ้าของกระทู้ คิดบวกบ้างชีวิตจะเป็นสุข ความมีน้ำใจ ความเือื้ออารีย์ จะมีได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีจิตใจที่อ่อนโยน
+100000000000000000000000000000000000000 แล้วตรงไหน เราแสดงความเห็นว่าคิดลบล่ะ ?
|
|
|
|
>:l!ne-po!nt:<
~: ดาบราชบุตร :~
แฟนพันธ์แท้

ออฟไลน์
กระทู้: 10,257
~>: แขกดอย :<~
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 07:15:27 » |
|
เราเป็นคนตั้งกระทู้ เพราะไปเจออ่านเจอบทความนี้มา เห็นว่ามีมุมมองที่น่าสนใจ เลยขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ผู้เขียนบทความนี้ ใช้ชื่อว่า "ศรีนวล แม่สาย จั้งซอธรรมดา" ออเป็นแบบนี้นี่เอง ขอบคุณครับที่เอามาแบ่งปัน
|
!!!!! กว่า ๑,๑๐๐ กม.จากยอดดอยสู่ทะเล...ตะวันออก !!!!! www.facebook.com/1100kilometer||||| ธรรมชาติสร้างอากาศบริสุทธิ์ ส่วนมนุษย์นั้นสร้างอาวุธเพื่อทำลาย |||||
|
|
|
|
theroosterclub
บุคคลทั่วไป
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 08:08:18 » |
|
การรับน้องในมหาวิทยาลัย เป็นกิจกรรมที่ใช้ละลายพฤติกรรมของนักศึกษาใหม่ที่จะเข้ามาสู่สังคม ของคนที่จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ถ้าคุณรับแรงกดดันตรงนี้ไม่ได้ เวลาคุณเรียนจบมา คุณจะรับแรงเสียดทานของสังคมและสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างไร เขาให้ทำอะไรก็ทำไปครับ อย่าไปเครียดมาก เจ็บหัว
กิจกรรมละลายพฤติกรรม ฟังแล้วมันก็ไม่จำเป็นหรอก ไม่ใช่ว่าเขาเรียนมัธยมเข้ามาแล้วพฤติกรรมเขาจะใช้ไม่ได้ แล้วจะมีมัธยมไปทำไม ในเมื่อเข้ามาแล้วจะโดนละลาย สลายให้หัดกลัวเกรงเครรพรุ่นพี่ เป็นเมืองนอกเขาไม่ทำกัน เขาคือเพื่อนร่วมสถาบันที่รักไคร่กัน คนเราควรเป็นตัวของตัวเอง รุ่นพี่ไม่ควรมาบังคับขู่เข็น เคยได้ยินการกลั่งแกล้ง กินเหล้า เอาหัวพุ่งขวิดทราย ตายบ้างก็มี เข้าสู่โลกยุคใหม่ได้ก็ดี ประเภณีก็อีกข้ออ้าง อะไรไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงกันได้ ซึ่งประเทศไทยก็ควรจะเป็นแบบนั้น การเคารพผู้สูงอายุนั้นก็อีกเรื่อง แต่การเคารพรุ่นพี่ ก้มหัวโดนสับโขกในการละลายพฤติกรรมนั้น มันไม่ใช่ประเทศที่ดีๆ เขาทำกัน Chiang Rai Focus ก็เช่นกัน พี่หรือน้องก็ควรเท่าเทียมกันในด้านความคิด การแสดงออกในกรอบของกฎมิใช่หรือ
|
|
|
|
|