เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 18:24:29
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 [18] 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 พิมพ์
ผู้เขียน >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<  (อ่าน 183581 ครั้ง)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #340 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2011, 10:08:52 »


เราจะสอนใครด้วยเรื่องอะไร จงทำเรื่องนั้นให้เกิดกับตัวเองเสียก่อน จึงจะเป็นนักสอนที่ไม่ยุ่งเหยิง

    ประโยคนี้ ผมได้รับการอบรมฯจากท่านพระธรรมโกษาจารย์ (หลวงพ่อปัญญานันทะ) อดีตเจ้าอาวาส
วัดชลประทานรังสฤษดิ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี  เมื่อนานมาแล้ว สมัยที่ผมอุปสมบทเป็นพระนวกะ อยู่ที่
วัดชลประทานฯ เป็นเวลา 1 พรรษา โดยมีหลวงพ่อฯเป็นพระอุปัชฌาย์ ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้วครับ

    ความหมายของประโยคนี้ก็คือ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องมุ่งมั่น พยายาม ทุ่มเท คลุกคลี กับ
เรื่องนั้นๆให้รู้จริง ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ จนเราประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นๆใน
ระดับที่น่าพอใจ  ถ้าใครสนใจใคร่รู้ในเรื่องราวความเป็นมาว่าเราประสบความสำเร็จได้อย่างไร เราก็
สามารถที่จะอธิบาย แยกแยะ ขั้นตอนต่างๆที่ทำให้เราประสบความสำเร็จนั้นได้อย่างมั่นใจ เพื่อให้ผู้
ที่สนใจ ต้องการทำ ได้นำไปคิด พิจารณา ศึกษา หรือนำไปประยุกต์ให้เกิดความสำเร็จบ้าง

    ถ้าเรายังไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ก็เท่ากับเรารู้ในเรื่องนั้นๆเพียง งูๆปลาๆ ถ้าเราจะ
ถ่ายทอดออกมา เราก็จะขาดความมั่นใจ หรือถ่ายทอดออกมาในลักษณะรับฟังผู้อื่น แล้วมาบอกต่อ
โดยที่เราไม่ได้ทำเอง ปฏิบัติเอง เราก็จะสับสนในการอธิบาย ชี้แจง เข้าลักษณะเป็นพยานบอกเล่า
ในศาล ซึ่งไม่มีน้ำหนักในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยคดีของศาล ไม่เหมือนกับประจักษ์พยาน ที่รู้เห็นเรื่อง
ราวที่เกิดขึ้น แล้วไปให้การเป็นพยานในศาล ที่มีน้ำหนักมากที่สุด นั่นแหละครับ

    ในเรื่องการลงทุนในหุ้นนี้ ผมก็ล้มลุกคลุกคลานมาพอสมควร จนในปัจจุบัน อยู่ในระดับพออยู่พอกิน
เป็นความพอใจของผมในระดับหนึ่ง ผมนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อปัญญาฯ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของ
ผมนั้น จึงได้นำเสนอประสบการณ์ในการลงทุนของผมมาเพื่อท่านที่สนใจได้อ่าน นำไปประยุกต์ใช้ให้
เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละท่าน ขอให้ท่านนักลงทุนอดทน สะสมประสบการณ์ ความชำนาญ กัน
ไว้เยอะๆนะครับ และก็ขอขอบคุณ เชียงรายโฟกัส ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์นี้

    ยังไม่ไปไหนครับ ผมเป็นสมาชิกเชียงรายโฟกัสเมื่อ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ได้ขอบคุณเชียงรายโฟกัส
มาแล้วหลายครั้ง ในบอร์ดซื้อขายรถยนต์ ซื้อขายของจิปาถะทั่วไป แต่ยังไม่ได้ขอบคุณบอร์ดนี้เลย
ซึ่งผมได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดูแลบอร์ดนี้เป็นคนแรก จึงถือโอกาสในวันนี้มาขอบคุณครับ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #341 เมื่อ: วันที่ 13 สิงหาคม 2011, 14:59:56 »


เพื่อนนักลงทุนในห้องค้า (๔)

   เพื่อนนักลงทุนในห้องค้าของผมอีกท่านหนึ่ง ที่ดูแล้วประสบความสำเร็จมาก ผมขอเรียกท่านว่า
เฮียหวัง (นามสมมติ) เป็นคนไทยเชื้อสายจีน อายุมากกว่าผม 1 รอบ (12 ปี) ผมไม่กล้าละลาบละ
ล้วงถึงอาชีพเดิมของท่าน ก่อนที่ท่านจะมาเป็นนักลงทุน

   เฮียหวังมีหุ้นในพอร์ตเยอะมาก ประมาณว่าเกิน 20 ตัว (ประเมินจากที่พูดคุยกัน ไม่ได้เคยเห็นพอร์ต
ของท่าน) รู้จักกันมาหลายปีในห้องค้า ไม่เคยเห็นเฮียหวังเล่น day trade สักครั้งเดียว แม้ว่าหุ้นที่เพิ่ง
ซื้อในวันนั้นจะวิ่งขึ้นปรู๊ดปร๊าดอย่างไรก็ตาม

   เฮียหวังจะลงทุนซื้อหุ้นพื้นฐานดี มีปันผลทุกตัว เมื่อเกิดวิกฤติ ตลาดหุ้นตก เฮียหวังจะเข้าซื้อหุ้น
ทุกครั้ง โดยใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นที่มีอยู่แล้วในพอร์ต ใช้เงินครั้งละประมาณ 20,000 - 30,000 บาท ต่อ
การทยอยซื้อหุ้น 1 ตัว (ซึ่งผมได้แนวทางนี้มาจากเฮียหวังนี่แหละครับ) และเฮียหวังจะจดบันทึกลง
วันเดือนปีที่ซื้อ จำนวน และราคาที่ซื้อในแต่ละครั้ง แยกตามบัญชีหุ้นรายตัวที่เฮียหวังจัดทำขึ้นเอง
ละเอียดมากครับ เมื่อหุ้นขึ้นไปจากราคาที่ซื้อครั้งใด มีกำไรพอสมควรจึงขายออก แล้วก็บันทึกวันเดือน
ปี ราคาที่ขายเอาไว้ในบรรทัดเดียวกับที่บันทึกราคาซื้อนั่นแหละครับ

   แต่เท่าที่เห็น โดยมากเฮียหวังจะรอรับปันผลก่อน และเมื่อหุ้นขึ้นไปอีกหลังจากวันที่หุ้นขึ้นเครื่อง
หมาย xd หรือในวันที่หุ้นขึ้นเครื่องหมาย xd แล้วหุ้นยังยืนราคาอยู่ได้ เฮียหวังก็ขายออก แต่ก็ไม่ได้
ขายทั้งหมดที่มีอยู่ เฮียหวังใช้วิธีทยอยขายเช่นเดียวกับตอนซื้อ เฮียหวังบอกว่ารับปันผลแล้วเรายังได้
เครดิตภาษีอีก ดีกว่านำเงินไปฝากธนาคาร ซึ่งรับแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียว ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และ
ในปัจจุบันดอกเบี้ยธนาคารก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน สู้ลงทุนในหุ้นปันผลไม่ได้

   เมื่อหลายปีก่อนเฮียหวังรับเงินปันผลจากการลงทุนปีละประมาณ 300,000 บาท เศษ รับเครดิตภาษี
เงินปันผลปีละประมาณ 100,000 บาท เศษ ไม่รวมส่วนต่างจากการซื้อขายหุ้น ซึ่งผมไม่อาจรู้ได้ และ
ไม่อาจละลาบละล้วงถาม ที่รู้ว่าเฮียหวังรับปันผลเท่าใด เพราะเฮียหวังบอกเอง เนื่องจากในห้องค้านั้น
เพือนนักลงทุนจะคุยกันอยู่ ไม่ทราบว่าปัจจุบันเฮียหวังจะรับเงินปันผลปีละเท่าใด

   เฮียหวังเป็นคนโสด ไม่มีครอบครัว อายุมากแล้ว แต่ยังแข็งแรง นั่งรถเมล์ไป - กลับ ห้องค้าทุกวัน
ให้การอุปการะหลานๆไว้หลายคน ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังเดินทางไปที่ห้องค้าอยู่หรือเปล่า เพราะผมไม่ได้
ไปห้องค้าประมาณ 2 ปีแล้ว


IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #342 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2011, 12:07:42 »

เพื่อนนักลงทุนในห้องค้า (๕)               
       

    เฮียเหลา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เป็นเพื่อนนักลงทุนในห้องค้าของผมอีกท่านหนี่ง ที่ดูจะประสบ
ความสำเร็จในการลงทุนในหุ้นพอๆกับเฮียหวัง  แต่รูปแบบวิธีการลงทุนของเฮียเหลาแตกต่างจากเฮีย
หวังโดยสิ้นเชิง กระนั้นทั้งเฮียเหลาและเฮียหวัง ก็เป็นเพื่อนต่างวัยที่ถูกคอกันอย่างยิ่ง (เฮียเหลาอายุ
ไล่เลี่ยกับผม ส่วนเฮียหวัง อายุมากกว่าผม 1 รอบ ) ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งของทั้งสองท่านคือ เฮีย
เหลาไม่รับประทานเนื้อวัว ส่วนเฮียหวังนั้นชอบรับประทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวเป็นชีวิตจิตใจ ทั้งสองจะ
ออกไปรับประทานอาการกลางวันด้วยกันเสมอๆ แต่ถ้าวันใดที่เฮียหวังจะกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัว ก็จะต่าง
คนต่างไป   ส่วนความชอบที่เหมือนกันของทั้งสองท่านก็คือ ทั้งสองท่านชอบดื่มเบียร์เหมือนกัน

     รูปแบบวิธีการลงทุนของเฮียเหลา เข้าลักษณะ ลงทุนแบบเก็งกำไร หรือลงทุนระยะสั้น เฮียเหลาจะ
ไม่ถือหุ้นนาน (ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 1 สัปดาห์) เฮียเหลาบอกกว่าถือนานเป็นความเสี่ยงสูง ซึ่งแตก
ต่างจากเฮียหวังโดยสิ้นเชิง เฮียเหลามักจะหาจังหวะและโอกาสในช่วงเกิดวิกฤต ตลาดฯตกแรงๆ
(หรือหุ้นที่เฮียเหลาติดตามอยู่ตกแรงๆ )เข้าซื้อหุ้น ครั้งละหลายแสนบาท ครั้งเดียว ถ้าวันที่ซื้อหุ้นนั้น
หุ้นเกิดตกลงไปอีก (แม้เพียง 1-2 ช่อง) เฮียเหลาจะขายออกทันที (ตัดขาดทุนในวันเดียว)
ไม่ถือข้ามวัน แต่ถ้าซื้อแล้ว หุ้นขึ้นไปสัก 5-6 ช่อง ได้กำไร เฮียเหลาก็ขายออกในวันเดียว เช่นกัน
แต่ในตอนเย็นปิดตลาด หุ้นที่ซื้อไว้ทรงตัวหรือขึ้นไป 1-2 ช่อง เฮียเหลาก็จะถือไว้ รอประมาณไม่เกิน
1 สัปดาห์ได้กำไรจึงขายออก  เท่าที่สังเกตดู เฮียเหลาจะไม่ค่อยดูกราฟเท่าใด  แต่ผมว่าเฮียเหลา
อาศัยประสบการณ์ในตลาดหุ้นมานานกว่าสิบปี ในการซื้อขายหุ้น คล้ายๆกับ อาม่า ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง
มาแล้วนั่นแหละครับ
     
     นอกจากการลงทุนในหุ้นแล้ว เฮียเหลายังลงทุนซื้อขายทองคำอีกด้วย  และก็ดูเหมือนว่าเฮีย
เหลาจะประสบความสำเร็จในการลงทุนซื้อขายทองคำ เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหุ้น  แต่ผมไม่
ค่อยได้รู้วิธีการการลงทุนในทองคำของเฮียเหลามากนัก  จึงไม่อาจนำเสนอมาเล่าสู่กันฟังได้
     
     และการที่ผมเอาเรื่องราวของเฮียเหลา กับเฮียหวังมาเล่าสู่กันฟังในช่วงเดียวกันนี้ ก็เพื่อให้ท่านผู้
อ่านได้เปรียบเทียบว่าการลงทุนในหุ้นนั้นมีวัตถุประสงค์ตรงกัน คือต้องการได้กำไร แต่รูปแบบวิธีการ
อาจแตกต่างกันไป ซึ่งรูปแบบ วิธีการของเฮียเหลานั้น ต้องใช้ประสบการณ์สูงมากทั้งต้องมีไหวพริบ
มากด้วยครับ ส่วนรูปแบบและวิธีการของเฮียหวัง ก็ต้องใช้ประสบการณ์มาก่อนเช่นกัน  และให้ท่านผู้
อ่านได้เห็นว่า ผู้ที่มีความถนัดที่แตกต่างกัน วัยที่แตกต่างกันมาก หรือการรับประทานอาหารที่แตกต่าง
กัน ก็สามารถคบเป็นเพื่อนที่ถูกคอกันได้ครับ ขอเพียงแต่อย่าไปยกตนข่มท่าน บอกว่าของข้าดีกว่าของ
เอ็ง ของเอ็งไม่ดี เท่านั้นเองครับ

IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #343 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2011, 13:03:25 »

พอดีไปอ่านเจอที่ห้องนั่งเล่น

ผมอ่านดูแล้ว ถึงแม้มันจะตลก และ ทะลึ่งนิดหน่อย

แต่มันแผงอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น

โดนเฉพาะการมองบริษัทที่เราจะลงทุนในระยะยาว

มันเป็นการยกตัวอย่างแบบง่ายๆ เข้าใจง่าย แต่นำไปปรับใช้ได้จริง

ต้องขออนุญาตเจ้าของกระทู้นี้ที่นำมาลงด้วยครับ

และต้องขออนุญาตท่าน cupid ด้วยนะครับ ที่ใช้พื้นที่ของท่าน



จาก Fwd ใน board pantip ห้องสินธร  laugh1
 
 
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล ส่วนสัด 34-24-36 ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบาทอัพต่อเดือนสักคน คุณอย่าเพิ่งมองฉันโลภนะคะ รายได้ประมาณสองแสนเนี้ยแค่ชนชั้นระดับกลางๆในห้องสินธรหรือวงการตลาดหุ้นเอง ฉันไม่ได้เรียกร้องมากไปใช่ไหมคะ มีใครในพันทิพ ห้องสินธรนี้ที่รายได้เกินสองแสนบ้างคะ พวกคุณแต่งงานไปกันหมดหรือยัง กรุณาช่วยตอบดิฉันทีค่ะ คือดิฉันอยากแต่งงานกับคนรวยๆ อย่างพวกคุณ พวกที่ดิฉันคบด้วยนี่มีแต่พวกธรรมดาๆ รายได้อย่างมากไม่เกินสามหมื่นเอง รายได้แค่นี้จะอุตริไปซื้อบ้านแถวสีลมเนี่ย ยังได้แค่มองเลยใช่ไหมคะ ดิฉันมีคำถามดังนี้ค่ะ กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ

1. หลังจากตลาดหุ้นปิด พวกคุณมักไปต่อที่ไหนกันคะ (ชื่อร้าน , ผับ , fitness, ฯลฯ)
2. ถ้าจะแอบมองสาว คุณจะมองสาววัยไหนคะ
3. ทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ  
4. คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกคนที่คุณจะแต่งงานด้วยคะ

------------------------  love

หลังจากนั้นไม่เกิน 30 นาที ก็มีเมล จากชายหนุ่มคนนึงส่งมาถึงเจ้าหล่อนว่า:  
ถึงคุณสุดสวยครับ...
หัวข้อกระทู้ของคุณน่าสนใจมากครับ และคงมีผู้หญิงหลายคนมีคำถามเดียวกันกับคุณ ขออนุญาตตอบคำถามในมุมมองของคนเล่นหุ้นแบบผมนะคับ
รายได้ของผมจากการเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นมากว่า 10 ปี อยู่ที่ประมาณห้าแสนบาท ต่อเดือนขาดเหลือนิดหน่อย ซึ่งก็น่าจะผ่านเกณฑ์ของคุณ ดังนั้นผมเชื่อว่าคำตอบของผมน่าจะไม่ทำให้คุณเสียเวลาอ่านนะครับ


จากมุมมองของผมซึ่งเป็นนักธุรกิจ การที่แต่งงานโดยเลือกเฉพาะที่ความสวยเพียงอย่างเดียวนั้น ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด คำตอบนั้นง่ายมาก อธิบายตามตรง จากข้อมูลที่คุณให้มา คุณพยายามจะเน้นจุดแข็งของสินค้าคือ 'ความสวย' เพื่อแลกกับ 'เงิน'

เมื่อคุณมีความสวย และผมมีเงิน แน่นอนว่ามัน Fair และน่าจะเป็นไปได้กับโอกาสทางธุรกิจที่คุณเสนอแต่ก็ติดปัญหาที่ว่าความสวยของคุณนั้นจืดจางลงทุกวัน ในขณะที่เงินของผมไม่ได้ไปไหน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร หรือในอีกนัยหนึ่ง รายได้ของผมมีแต่จะเพิ่มทุกปีและเงินของผมก็สามารถนำไปให้ก่อให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่คุณไม่ได้สวยขึ้นเมื่อข้ามปี และมีแนวโน้มที่จะลดลงๆ ในแต่ละปีที่ผ่านไปเช่นกัน

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ คุณคือสินทรัพย์ที่เสื่อมค่า ไม่ได้เสื่อมธรรมดานะ เสื่อมแบบอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าความสวยคือสิ่งเดียวที่คุณมี ก็จงคิดต่อว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอย่างไร
นิยามที่เราใช้กันในตลาดหุ้น คือ ทุกๆ การ Trade มี Position การคบกับคุณก็ถือเป็น Position แต่ถ้า Value ของมันลดลง เราจะขายมันทิ้ง ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะดันทุรังเก็บมันไว้ ซึ่งหมายถึงการแต่งงานที่คุณต้องการ อาจจะแทงใจดำถ้าผมต้องบอกคุณตรงๆอย่างจริงใจว่า ถ้า Value ของ Asset ลดลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขายทิ้ง เราจะ ใช้วิธีการ 'เช่าซื้อ' แทน


แน่นอนว่าคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทต่อเดือนฉลาดพอ พวกเขาแค่คบคุณ แต่จะไม่แต่งงานกับคุณ ดังนั้นจึงขอแนะนำคุณอย่างหวังดีว่าคุณควรที่จะหยุดที่จะหาวิธีที่จะได้แต่งงานกับคนรวย และคุณควรที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีรายได้เกินสองแสนบาทแทนซะเอง ซึ่งในทางเทคนิคแล้วน่าจะมีโอกาสมากกว่าการหาคนรวยแต่โง่คนนึง (รวยธรรมดาอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่พร้อมด้วย) หวังว่าคำตอบนี้จะช่วยคุณได้บ้าง อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสนใจ option ในบริการ ! 'เช่าซื้อ' กรุณาติดต่อผม..... เพื่อทำ Bid offer ในโอกาสต่อไป ***** *********
  


ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2011, 13:13:34 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #344 เมื่อ: วันที่ 14 สิงหาคม 2011, 13:17:19 »

และก็มีคำอธิบายแบบละเอียดดังนี้

   เป็นคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุด ชอบมากค่ะ มีเหตุและผล ภายในตัวเอง

เพราะคงไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ถ้าหวังผลเลิศ ขนาดนั้น

แต่ก็เจ็บปวดนะคะ สำหรับคำลงท้ายนั่นเพราะเขาเป็นนักธุรกิจ

เขาก็ต้องมองต้นทุน กำไร ขาดทุนเป็นธรรมดา

อ่านดูอีกครั้งแล้ว เศร้าใจค่ะ ถ้าสิ่งที่เธอเขียนเป็นเรื่องจริงและคาดหวังมาก

และทำไมคนที่แต่งงานกับคนรวยๆถึงมีแต่พวกอาซิ่มเฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆล่ะคะ


    เธอคงไม่รู้ว่า พวกคนรวยๆ กว่าเขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เขาต้องต่อสู้มาขนาดไหน ถ้าไม่มี

พวกอาซิ่ม เฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆ นั่น ร่วมต่อสู้  ล้มลุกคลุกคลาน

และเป็นคู่ชีวิต คู่คิดเป็นกำลังใจให้กัน มานานขนาดไหน


    ดิฉันรู้จักพวกรวยๆหลายสิบโดยเฉพาะพวกที่มีอาชีพประมง เป็นเจ้าของเรือหาปลาหลายลำ

แถวปากน้ำ มหาชัย เขาร่ำรวยเพราะขยัน อดทน และมีอาซิ้ม เฉิ่มๆ รสนิยมห่วยๆ นี่แหละ ที่ตื่นตีสาม

มาประมูลปลา ขายปลา เนื้อตัวเต็มไปด้วยเกล็ดปลา และกลิ่นคาวปลา นิ้วมือเธอ หยาบ กระด้าง แต่งตัว รสนิยมห่วยๆอย่างที่เธอกล่าว

แต่ความรัก ความเกรงใจ ความนับถือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ อาซิ้มพวกนี้ได้รับเกินร้อย จากพวกคนรวยๆ สามีของอาซิ้ม ค่ะ


ดังนั้นผมจึงมองได้ว่า หากเราเลือกหุ้นอะไรสักตัวหนึ่งเพื่อมาลงทุน

เราควรมองหาสิ่งที่จะได้รับหรือประโยชน์ของมันในระยะยาว

ไม่ควรมองแต่เพียงรูปลักษณะภายนอก ว่าดูดี แต่ข้างในไม่มีอะไรเลย

เหมือนบางบริษัทภายนอกดูดีมาก แต่พอเข้าไปดูในเว็บของบริษัท

กลับไม่มีข้อมูลอะไรเลย ถ้าพบแบบนี้ก็ต้องรีบถอยให้ไกลที่สุด

ถ้าเป็นนักลงทุน ท่านจะเลือกแบบไหน

ระหว่างอาซิ่ม ที่ช่วยท่านทำงานหาเงินทุกวัน กลับบ้านก็ทำกับข้าวให้ทาน

กับ อาหมวยหน้าตาสะสวย ไม่ทำการทำงาน วันๆเอาแต่เอาเงินเราไปเที่ยซื้อของ กลับมาก็ไม่ทำอะไรให้ทาน

ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 สิงหาคม 2011, 19:31:42 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,890


« ตอบ #345 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 09:53:49 »

.

เป็นบทความที่ถูกต้องครับ และโดนใจมากด้วย

คนตอบเมลล์นี้เป็น VI ของจริงเลยทีเดียว 555+

.
IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
iirabitty
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #346 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2011, 11:36:40 »

อิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #347 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 13:23:07 »


ทุบให้ทิ้ง ดันให้มั่นใจ

    สองไตรมาสแรกนี้กิจการที่มีผลประกอบการออกมาเป็นปกติ อยู่ในเกณฑ์ดี หรือค่อนข้างดี ใกล้เคียง
กัน และมีแนวโน้มจะดีต่อไป (ตามข่าว หรือแรงเชียร์จากโบรคเกอร์) ถ้าสังเกตให้ดี หุ้นของกิจการ
ดังกล่าวหลายๆตัว กลับมีแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง จนราคาหุ้นตกลงมาเรื่อยๆนับแต่วันประกาศผล
ประกอบการ  แต่หุ้นของกิจการดังกล่าวอีกหลายตัวกลับมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังให้ราคาหุ้น
เพิ่มสูงขึ้นจนดูเหมือนว่าไม่มีทีท่าจะลง  ทั้งๆที่ผลประกอบการและแนวโน้มอนาคตใกล้เคียงกัน  มัน
สะท้อนอะไรครับ (ไม่นำไปโยงเนื่องจากการขึ้น XD นะครับ)

    สำหรับผม เห็นว่า เป็นการทุบราคาหุ้นให้รายย่อยตกใจเทขายเพื่อรายใหญ่ หรือเจ้ามือเข้าเก็บของ
(สำหรับกิจการดีๆทีราคาหุ้นตกลงมา) และดัน หรือประคองราคาหุ้นเอาไว้ เพื่อให้รายย่อยมั่นใจเข้าซื้อ
เมื่อรายย่อยมั่นใจเข้าซื้อมากๆ ก็เป็นโอกาสให้รายใหญ่ หรือเจ้ามือได้ขายของไงครับ (เป็นความเห็น
ส่วนตัวนะครับ) อาจจะใช่ หรือไม่ หรืออาจมีเหตุผลอื่น หรือท่านใดอาจเห็นเป็นอย่างอื่นก็ได้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #348 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 14:36:45 »

อย่าได้ตกใจครับ ถ้าศึกษาข้อมูลมาดี รู้ลึกถึง บ.นั้นๆ จะ" ลับ ลวง พราง" ยังไงผมก็ไม่ปล่อย มีแต่ซื้อเพิ่ม

สำหรับผม หุ้นที่ดีมันดูแลตัวมันเองได้ ตามที่กูรูหลายๆ ท่านได้กล่าวไว้... ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #349 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 17:14:30 »

อย่าได้ตกใจครับ ถ้าศึกษาข้อมูลมาดี รู้ลึกถึง บ.นั้นๆ จะ" ลับ ลวง พราง" ยังไงผมก็ไม่ปล่อย มีแต่ซื้อเพิ่ม

สำหรับผม หุ้นที่ดีมันดูแลตัวมันเองได้ ตามที่กูรูหลายๆ ท่านได้กล่าวไว้... ยิงฟันยิ้ม

   ครับ ถ้านักลงทุนได้ศึกษาข้อมูลมาดีพอสมควร ก็ไม่ต้องตกใจอะไร เพราะเป็นโอกาสในการซื้อของดี
ราคาต่ำ (สำหรับหุ้นดีที่ถูกทุบลงมา) แต่ให้ทยอยเก็บสะสมนะครับ อย่าเห็นว่าของถูกแล้วจะซื้อครั้งละ
เยอะๆ เพราะมันอาจมีถูกแล้วถูกอีก ดังที่ผมได้เคยกล่าวไว้แล้ว ย้ำกันเรื่อยๆตามที่มีโอกาสนะครับ... ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
wat
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 322


« ตอบ #350 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 16:05:47 »

ดูข่าวตลาดหุ้นลงตลอดช่วงนี้ แต่ราคาทองคำ ขึ้นเอา ๆ มันเกี่ยวกันไหม
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #351 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 16:58:49 »

ดูข่าวตลาดหุ้นลงตลอดช่วงนี้ แต่ราคาทองคำ ขึ้นเอา ๆ มันเกี่ยวกันไหม

น่าจะเกี่ยว (มั้ง)
IP : บันทึกการเข้า

Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #352 เมื่อ: วันที่ 24 สิงหาคม 2011, 17:07:44 »

ทอง ถ้าเป็นข่าวร้ายจะปรับตัวขึ้้น แต่หุ้นจะปรับตัวลดลง ทั้งหุ้นและทองจะแปลผกผันกันครับเท่าที่สังเกตุดู
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #353 เมื่อ: วันที่ 26 สิงหาคม 2011, 09:43:52 »


การขึ้นลงของทอง กับหุ้น จะเกี่ยวข้องผูกโยงกันอย่างไร ช่างมันเถอะ...

แต่การบริโภคข่าวสารที่เกี่ยวเนื่องกับหุ้น ทองคำ นั้น  เมื่อบริโภคแล้วอย่ามีอารมณ์ร่วม หรือคล้อยตาม
ไปกับข่าวหรือความเห็นนั้นๆทันทีนะครับ เพราะอาจตกเป็น เหยื่อ ของข่าว หรือของความเห็นนั้นๆได้
 
เพราะไม่ว่าทองคำ หรือกิจการใดๆ มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง หรือลดลงอย่างฮวบฮาบในชั่วข้าม
คืน หรือไม่กี่วันนั้น เป็นไปไม่ได้ดอกครับ...
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #354 เมื่อ: วันที่ 01 กันยายน 2011, 02:24:10 »

'หุ้นดี' ...ดูอย่างไร

ถ้าท่านศึกษาบทวิเคราะห์ หรือคำแนะนำของโบรกเกอร์ตาม นสพ.
ต่างๆจะพบอยู่บ่อยๆ ว่า มักจะมีคำแนะนำของนักวิเคราะห์ให้ซื้อ 'หุ้นพื้นฐานดี' เก็บ
ไว้ลงทุนระยะยาว บางแห่งก็จะบอกชื่อหุ้นให้ซื้อลงทุนเรียบร้อย
โดยที่ท่านไม่ต้องไปปวดหัวกับการค้นหา 'หุ้นพื้นฐานดี' อย่างที่กล่าวไว้

ขณะที่นักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นตามที่มีคนบอก
จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจนั้นเพิ่มเติมตามหลัง
หรือลงทุนโดยซื้อหุ้นตามที่มีคนแนะนำให้เราซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้
โดยที่เราไม่ได้เข้าใจ และศึกษาธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ด้วยตัวเอง



วิธีการดังที่กล่าวมา จึงไม่ใช่วิธีที่ 'นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า' หรือ Value Investor ควรปฏิบัติ

สำหรับ 'นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า'
ควรจะทำศึกษาหุ้นตัวนั้นและการบ้านอย่างหนักก่อน
ที่จะลงทุนซื้อหุ้นบริษัทไหนสักบริษัทหนึ่ง

การหา 'หุ้นพื้นฐานดี' นั้น
ไม่ยากเกินความสามารถและเราสามารถค้นหาได้ด้วยตัวเราเอง
ยิ่งถ้าเราเข้าใจในธุรกิจที่เราลงทุนแล้ว
เราก็ไม่ต้องไปกังวลกับสภาพของตลาดหุ้น ที่ราคาหุ้นอ่อนไหวไปตาม 'ความโลภ'
และ 'ความกลัว' ของอารมณ์นักลงทุนทั้งหลายในตลาด

หุ้นพื้นฐานดีสามารถบอกได้โดยดูจากงบการเงินของบริษัทนั้น ก็คือ
งบดุล งบการเงิน และงบกระแสเงินสด โดยดูย้อนหลังไปหลายๆ ปี
เพื่อป้องกันการตกแต่งบัญชี
และดูความสามารถของบริษัทว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่

วิธีดูหุ้นพื้นฐานดีที่จะกล่าวในที่นี้
จะพูดถึงเฉพาะหุ้นที่มีประวัติการดำเนินงานที่ดี
โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงหุ้นที่เพิ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (Turnaround)
ที่ผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในเวลาไม่นาน



ลักษณะที่ดี 9 ประการของ 'หุ้นพื้นฐานดี' ควรจะมีดังต่อไปนี้

1.มียอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หุ้นที่ดีควรจะมียอดขายที่เติบโตขึ้น
ถ้าเติบโตเพิ่มขึ้นได้ทุกปีก็จะดีมาก แสดงให้เห็นว่า
ธุรกิจนั้นมีการขยายตัว และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นได้
ส่วนหุ้นที่มียอดขายสาละวันเตี้ยลงทุกปีทุกปี
น่าจะเป็นหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง หมายถึงว่า
กิจการนั้นกำลังถูกคู่แข่งแย่งตลาดสินค้าไป
หรือไม่ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นก็อาจจะอยู่ในข่ายอุตสาหกรรมตะวันตกดิน
(sunset industry) หรือผู้บริหารมีปัญหาในการดำเนินกิจการ
แต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะบอกได้ว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้น
พื้นฐานดีหรือไม่ ต้องใช้ปัจจัยอีกหลายอย่างในการวิเคราะห์ธุรกิจ
ดังจะกล่าวต่อไป

2. มีการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดี

บริษัทที่มีการควบคุมการดำเนินงานที่ดี
เราสามารถตรวจสอบดูได้จากงบกำไรขาดทุน
โดยสังเกตจากต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ควรจะไปตามยอดขายของกิจการ
ถ้ายอดขายสูงขึ้นค่าใช้จ่ายก็สามารถอนุโลมให้เพิ่มขึ้นได้ตามสัดส่วนยอดขาย
ที่สูงขึ้น แต่ธุรกิจที่ยอดขายลดลงแต่ต้นทุน และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
นักลงทุนควรจะระวังและถ้าเกิดขึ้นเป็นประจำควรตรวจสอบให้ดีก่อนลงทุนใน
บริษัทนั้น

3. ไม่ประสบปัญหาขาดทุน

บริษัทที่ดีควรจะมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ
บริษัทที่ประสบภาวะขาดทุน
เป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพของผู้บริหาร
ถ้าขาดทุนตลอดปีหรือไม่ ก็ขาดทุนปีเว้นปี
นักลงทุนควรเอาเวลาไปศึกษาธุรกิจอื่นจะดีกว่า ยกเว้นท่านที่ชอบลงทุนใน
'หุ้นฟื้นคืนชีพ' (Turnaround) ที่ขาดทุนมาหลายปีอยู่ดีๆ
ก็กลับมาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ

อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน
แต่สำหรับท่านที่ยังไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมากนัก
ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีผลดำเนินงานขาดทุนจะปลอดภัยกว่า

4. เงินทุนหมุนเวียนเป็นบวก (Positive Working Capital)

ธุรกิจที่ดีควรมีทรัพย์สินหมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน
เพราะธุรกิจควรมีการเตรียมความพร้อมของเงินทุนระยะสั้นให้เพียงพอต่อ
การจ่ายคืนหนี้สินระยะสั้น มิฉะนั้นธุรกิจอาจจะมีปัญหาการเงินเกิดขึ้นได้

โดยเฉพาะบริษัทที่ทำการกู้ยืมระยะสั้นมาก
อาจจะต้องสำรองเงินสดไว้พอสมควรทีเดียวสำหรับการจ่ายคืนหนี้ที่เรียกเก็บภาย
ใน เวลาไม่นาน ยกเว้นธุรกิจบางประเภท เช่น ธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่ง
ที่รับเงินจากการขายให้กับลูกค้าเป็นเงินสด
แต่ได้เครดิตจากผู้ผลิตสินค้าเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะจ่ายเงิน

ในกรณีนี้เงินทุนหมุนเวียนอาจจะติดลบได้
ซึ่งกลับกลายเป็นจุดแข็งสำหรับธุรกิจประเภทนี้เสียอีก
เพราะแทนที่จะต้องมีเงินสำหรับของที่อยู่ในสต็อกกลับเป็นผู้ผลิตสินค้าที่จะ
ต้องเป็นคนจ่ายเงินค่าสินค้าคงคลังแทน

5. มีหนี้ไม่มากหรือมีหนี้อยู่ในฐานะที่เหมาะสม

ตัวเลขคร่าวๆ
ที่ใช้กันส่วนใหญ่ในการตรวจสอบสภาพหนี้สินของธุรกิจก็คือ
'อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน' (Debt/Equity Ratio)
ธุรกิจที่มีหนี้สินต่อทุนสูง แสดงว่า มีการกู้ยืมหนี้ระยะยาวมาก
และทำให้ธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจสูง
อัตราหนี้สินต่อทุนที่พอเหมาะที่ใช้กันทั่วไปคือ น้อยกว่าหนึ่งเท่า
หรือไม่เกินสองเท่า

6. มีกำไรสะสม (Retain Earning) เพิ่มขึ้นทุกปี

ธุรกิจที่ดีควรมีกำไรสะสมเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
และสามารถนำกำไรสะสมนั้นไปลงทุนต่อให้งอกเงยเพิ่มมากขึ้นจากเดิม
ธุรกิจที่มีกำไรสะสมลดลง
นักลงทุนควรตั้งคำถามก่อนที่จะลงทุนในบริษัทนั้นว่า
บริษัทนำกำไรสะสมนั้นไปใช้ ทำอะไรและมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่

7. มีส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder Equity) เพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ

บริษัทที่สามารถเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอนับว่า
เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
แสดงให้เห็นถึงความสามารถของผู้บริหารในการนำเงินของบริษัทไปลงทุนในกิจการ
ที่มีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น
ควรหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นลดลงหรือติดลบ แสดงว่า
ธุรกิจนั้นที่ผ่านมามีการขาดทุนเกิดขึ้น

8. กำไรต่อยอดขาย (Profit Margin) มากพอสมควร

ธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูง
แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนของกิจการในระดับที่ดี
แต่กำไรต่อยอดขายสูง อาจจะดึงดูดให้คู่แข่งหน้าใหม่ๆ
เข้ามาในอุตสาหกรรมนั้นมากขึ้น


ในขณะที่ธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมมีการแข่งขันสูงส่วนมากจะมีกำไรต่อยอดขาย
ต่ำ
เพราะมีการตัดราคาสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการของ
ตน ทำให้กำไรของทั้งอุตสาหกรรมลดลง ดังนั้น
ธุรกิจที่น่าสนใจในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงก็คือ
ธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำ (Cost Leadership)


9. ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity) สูง

ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น คำนวณจาก กำไรหารด้วยส่วนผู้ถือหุ้น (Net
Profit/ Equity) ธุรกิจที่มีผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงแสดงว่า
ผู้บริหารสามารถบริหารเงินทุนของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่บางธุรกิจที่มีเงินกู้ยืมสูงก็อาจจะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
ได้
เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของหนี้สินระยะยาวมากกว่าส่วนผู้ถือหุ้น

ดังนั้น ในบางกรณีอาจจะจำเป็นต้องใช้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน
(Return on Total Capital)
ในการตรวจสอบความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะเหมาะสมมากขึ้น
เนื่องจากได้รวมส่วนหนี้สินระยะยาวในการคำนวณไว้ด้วย

ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน
หาได้จากกำไรหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นและหนี้สินระยะยาว (Net
Profit/(Longterm Liability+Equity)) บริษัทที่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนสูง
จะน่าสนใจกว่าบริษัทที่มีอัตราส่วนนี้ต่ำ

การค้นหาลักษณะที่ดี 9 ประการข้างต้นของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
จะช่วยให้ท่านมีความรู้ความเข้าใจในหุ้นที่ท่านลงทุนมากขึ้น
แทนที่จะรอให้คนอื่นหรือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตามโบรกเกอร์ต่างๆ มาแนะนำ
'หุ้นพื้นฐานดี' ให้กับท่าน

ท่านสามารถที่จะเริ่มศึกษาและค้นหา 'หุ้นพื้นฐานดี'
ได้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งนับว่าเป็นหนทางในการเป็น 'นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า'
หรือ Value Investor ที่ดีทางหนึ่ง
IP : บันทึกการเข้า

....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #355 เมื่อ: วันที่ 07 กันยายน 2011, 20:17:12 »

หวยขึ้นราคาล่ะครับ 4.10
ใครขายถูกไปก่อน คงเสียดาย  ยิงฟันยิ้ม

LOXLEY บวก 3.11% หวยออนไลน์ส่อแววสดใส หลังสุรสิทธิ์กลับกองสลากฯ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 7 กันยายน 2554 10:31:30 น.

หุ้น LOXLEY ราคาวิ่งขึ้น 3.11% มาอยู่ที่ 3.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท มูลค่าซื้อขาย 175.35 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.27 น. โดยเปิดตลาดที่ 3.90 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 3.98 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 3.90 บาท

นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ราคาหุ้น บมจ.ล็อกซเล่ย์(LOXLEY) เช้านี้ปรับตัวขึ้น ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างคึกคัก คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุน โดยมีความคาดหวังจากการกลับมาของการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวผ่านเครื่องจำหน่ายสลากออนไลน์(หวยออนไลน์)

อนึ่ง ทางมติครม.เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการแต่งตั้งโยกย้าย ตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลตามที่กระทรวงการคลังเสนอใน 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 1.พล.ท.รุจวินท์ กิจวิทย์ แทน พล.ต.ท.สุรสีห์ สุนทรศารทูล 2.นายวีรภัทร ศรีไชยา แทน นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ 3.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ แทน นายฐนนท์ศรณ์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.54

สำหรับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ถือเป็นการกลับมาสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกครั้ง เนื่องจากในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้มีการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวจำหน่ายให้กับประชาชน(หวยบนดิน)

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า สัญญาณทางเทคนิคระยะสั้นของหุ้น LOXLEY พยายามจะแกว่งตัวขึ้น โดยมีแนวรับ 3.72 บาท แนวต้าน 4.04 บาท

--อินโฟเควสท์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 07 กันยายน 2011, 20:44:14 โดย ซาลาเปา » IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #356 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 09:29:57 »

ผมก็ขายหมูไปแล้วครับ หุหุ

แต่ก็ไม่เป็นไร ยังดีกว่าขาดทุน

ให้กำลังใจตัวเอง (แอบเศร้า)- -

แต่ก็รอกลับเข้าไปใหม่อยู่นะครับ

แต่ต้องให้เห็นรูปเป็นร่างจริงๆ

ลงทุนในกิจการที่ดี ดีกว่าลงทุนในกิจการที่คาดว่าจะดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 กันยายน 2011, 09:32:01 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #357 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 10:32:25 »

ได้นายกคนใหม่มาสองเดือนแล้ว เซทไทยยังบ่ไปไหนไกลกว่านี้ ไงกันแน่ เหนื่อยเลย  ยิงฟันยิ้ม งี้ก็สู้สมัยนายกหล่อบ่ได้สิ 2 ปีก่อน มีการชุมนุมเสื้อแดง ไปโลด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 12 กันยายน 2011, 10:35:45 โดย ซาลาเปา » IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #358 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 13:58:52 »

เหนื่อยครับแบบนี้ ลงมากกว่าขึ้น ไม่ไปไหนเลย
IP : บันทึกการเข้า

Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #359 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 15:23:33 »


เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก วนเวียนไปมาอย่างนี้แหละครับ

นักลงทุนในหลักทรัพย์ต้องรู้จัก ทำใจ ตามที่ผมเคยนำบทความของท่าน ดร.นิเวศน์มาลงไว้ ใน Re: >>>
ศิลปการลงทุนระยะยาว <<< « ตอบ #214 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 09:14:56  ตามนี้ครับ

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=92942.200

IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 [18] 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!