เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 19:31:15
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ถิ่นมาร
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน ถิ่นมาร  (อ่าน 9015 ครั้ง)
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 16:42:57 »

ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ผมมีเรื่องสงสัย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
จากที่เคยได้ยินมา "มาร" นั้นเป็นเทพเทวดาชนชั้นหนึ่งซึ่งเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสวรรค์ ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นสูง
สูงกว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันเป็นที่ตั้งของเขาพระสุเมรุที่พำนักของพระอินทร์
แสดงว่ามารเป็นผู้มีบุญต้องทำคุณงามความดีทำบุญกุศลจึงได้อาศัยอยู่ดินแดนชั้นสูงฝั่งสุขติภูมิ
แต่คนเรานั้นกลับคิดว่ามารเป็นสิ่งไม่ดีผมเลยสงสัยว่าทำไมเราจึงมีความคิดเช่นนั้น หรือจริงๆแล้วเป็นเพียงคำเปรียบเทียบเฉยๆ
เมื่อได้ศึกษาเบื้องต้นมารคือ "เทพเทวดา" ซึ่งอยู่สูงกว่าเทวดาที่เราเคารพบูชาอยู่หลายพระองค์ (ถ้าคิดว่ามารเป็นเทวดาชนชาติหนึ่งก็น่าจะได้)

แต่ทำไมเรากลับคิดว่ามารนั้นเหมือนอสุร เหมือนปีศาจ ทั้งๆที่อยู่กันคนละภพภูมิเลย หรือว่าที่ผ่านมาเรามีความเข้าใจที่ผิดๆหรือว่าเราไปเหมาเรียกเพราะความคุ้นชินจากคำเรียกจากนิยายต่างๆ บ้างก็ว่าเวลาทำสมาธิไม่สำเร็จเพราะมีมารมาขวาง ทำบุญไม่สำเร็จเพราะมีมารมาผจญ เหตุไดจึงคิดกันเช่นนั้นแล้วจริงๆแล้วมีมารเสด็จลงมาจากสววรค์มาผจญจริงหรือ หรือว่าเป็นเพราะกิเลศของมนุษย์เองที่คอยขัดขวางตนเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่แปลกแต่ก็เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์นั้นมักจะเพ่งโทษผู้อื่นมากว่าตนเอง จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือเปล่าถ้าเรามอง เราลอง เปิดใจคิดด้วยเหตุด้วยผลว่าเทวดาที่ประกอบด้วยบุญกุศลจะขัดขวางการทำคุณงามความดีให้เป็นบาปแก่ตนจริงหรือเปล่า ในเมื่อหริโอตัปปะเป็นธรรมะของเทวดา มันก็น่าคิดเหมือนกันว่าที่ผ่านมาเรานั้นยึดติดคิดว่าอะไรก็เกิดจากมารหรือเปล่า หรือว่าแท้จริงมารนั้นเป็นเทพที่เราควรเคารพเหมือนเทพองค์อื่น หรือว่าสิ่งที่คอยขัดขวางนั้นแท้จริงไม่ใช่มาร จะเป็นกิเลศของมนุษย์ อมนุษย์พวกอื่นที่คอยขัดขวาง สัมภเวสีอันธพาล หรือเจ้ากรรมนายเวรที่ขัดขวาง แต่เรากลับคิดว่าเป็นมารเพราะความเคยชิน ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นบาปหรือเปล่าที่เราไปกล่าวโทษเทพชั้นสูงที่เรียกว่ามาร
กลัวว่าถ้าเกิดมารทนไม่ไหวที่มนุษย์ธรรมดาไปกล่าวหาแบบนั้นจะให้โทษเอา (ในเมื่อเราอยู่เฉยๆแล้วมาหาเรื่องเรา ก็ได้เดี๋ยวจัดให้) ประมาณนี้ มันน่าคิดนะว่าไหมครับ  ยิงฟันยิ้ม


มารบนสวรรค์รูปงามกว่า นายมาร นางมาร บนโลกมนุษย์อีกเขาว่าหยั่งงั้น ยิงฟันยิ้ม










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 กรกฎาคม 2014, 10:34:21 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
ใบโพธิ์
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 18:09:39 »

 
เทวดา แบ่งได้เป็นพวกที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ และ สัมมาทิฏฐิ  ผู้ที่มีหิริโอตัปปะนั้น มิได้มีแค่เหล่าเทวดา มนุษย์ผู้ถือศีลก็มีครับ มารที่คุณกล่าวถึง คือเทวาผู้มีความเห็นผิด บนชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ก็มีเหล่าเทวดาผู้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ด้วย ชั้นนี้จึงแบ่งเป็นสองพวกด้วยกัน และที่ท่านได้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ด้วยกุศลที่ท่านได้กระทำมาแต่กาลก่อน และที่เป็นเทวดาก็ใช่ว่าจะเป็นพระอริยบุคคลทั้งหมด บางท่านเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องไปตามทางแห่งกรรมของตน นอกจากนี้มารที่หมายถึงเทวดาหรือเรียกว่าเทวปุตตมารแล้ว ยังมี   กิเลสมาร ขันธมาร  อภิสังขารมาร   มัจจุมาร ซึ่งอาจกล่าวโดยรวมว่า มาร คือสิ่งที่ขวางกั้นในการทำความดี  หรือขัดขวางไม่ให้บรรลุผลอันดีงามก็ได้ครับ สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการศึกษา และลงรายละเอียดค่อนข้างมากครับ ทั้งนี้ผมมองว่าการปฏิบัติธรรมจะให้ผลมากกว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ รู้ก็ได้ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรครับ อีกทั้งเรื่องเทวดา มาร พรหม เหล่านี้เป็นเรื่องเหนือวิสัย ของมนุษย์ปุถุชนที่จะเข้าถึงโดยแท้จริงได้ อาศัยเพียงการได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น ผู้ปฏิบัติแล้วเข้าถึงรู้เห็นได้ก็เป็นของปัจเจกบุคคล ที่เห็นได้เพียงลำพังครับ  

เป็นความเห็นส่วนตัวครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 18:49:44 โดย ใบโพธิ์ » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 20:34:06 »

โอ้งั้นก็แสดงว่าแม้แต่เทวดาชั้นสูงก็ยังมีความเห็นผิดอยู่ นับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาเน๊าะครับ คำเรียกว่ามารนั้นหมายถึงขวางกั้นหรือจะเป็นคำใช้รวมเหมือนคำว่าขัน เหมือนขันน้ำ , ไก่ขัน ซึ่งออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกันก็เลยสงสัยหน่ะครับ
ถ้าคำว่ามารคือการขวางกั้นจะเป็นไปได้ไหมครับที่ว่าเรียกขึ้นเพราะสมัยพุทธกาลพญามารได้ทรงขวางการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับแต่นั้นมามารจึ่งแปลได้ว่าผู้ขวาง ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 21:19:15 »

ขอต่อนะครับจะได้เรียนรู้เพิ่ม ยิ้ม ข้อมูลที่จะถามต่อนี้ก็ได้ยินได้ฟังมาเลยมาถามต่อเพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะมีความเป็นไปได้หรือเปล่าครับ ยิ้ม
คือได้ยินว่าสาเหตุที่พญามารทรงขัดขวางการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าสมัยก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์เคยเป็นเทพบุตรพระโพธิสัตว์อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต พญามารก็บำเพ็ญอยู่ในชั้นของตนเพื่อที่จะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกันและได้บำเพ็ญมาก่อน แต่พระพุทธองค์ได้จุติมาเป็นพระสิทธัตถะเพื่อที่จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ดังนั้นพญามารจึงเกิดความไม่พอพระทัย จึงได้ลงมาห้ามปรามพระพุทธองค์หลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนออกผนวช จนถึงยกทัพมาขัดขวางก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ ข้อนี้จะมีส่วนเป็นความจริงหรือไม่ครับ

อีกข้อคือ ในตำนานแม่กาเผือก ที่ว่ามีไข่เกิดมาห้าฟอง ทั้งห้านั้นจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งได้กระจัดกระจายกันไป ซึ่งมี แม่ไก่ นาค เต่า โค สิงห์ เป็นผู้ฟัก
ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกคือ พระกกุสันธะ (พระพุทธเจ้าที่เกิดจากแม่ไก่)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่สองคือ  พระโกนาคมน์(พระพุทธเจ้าที่เกิดจากแม่นาค)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่สามคือ  พระกัสสป(พระพุทธเจ้าที่เกิดจากแม่เต่า)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่สี่คือ     พระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน(พระพุทธเจ้าที่เกิดจากแม่โค)
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ห้าคือ   พระศรีอาริยเมตไตร พระพุทธเจ้าในอนาคต(พระพุทธเจ้าที่เกิดจากแม่สิงห์)

เมื่อกับป์นี้ได้มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาสี่พระองค์แล้ว
ก็แสดงว่าขณะนี้ก็ได้มีพระโพธิสัตว์ที่กำลังบำเพ็ญเพื่อที่จะได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าให้ครบห้าพระองค์ (ตำนานพระบาทสี่รอยบอกว่าเมื่อมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครบห้าพระองค์ พระองค์จะทรงประทับพระบาททำให้พระบาททั้งสี่รอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนหน้านั้นรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) ถ้าเกิดว่าข้อสงสัยข้างบนเป็นจริง จะเป็นไปได้ไหมครับที่พระโพธิ์สัตว์พระองค์นั้นจะเป็น สมเด็จท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช หรือพญามาร ที่จะมาตรัสรู้เป็น องค์พระศรีอาริย์เมตตรัยในอนาคตกาลครับ ยิ้ม

 ยิงฟันยิ้ม ถ้าคำศัพท์ที่ผมใช่ไม่ถูกต้องขออภัยด้วยครับ ยิงฟันยิ้ม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 21:23:46 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2013, 22:01:23 »

สืบเนื่องจากตำนานพระอุปคุตที่ว่าพระอุปคุตเป็นพระอรหันต์ที่มีพุทธานุภาพมากแม้ไม่ได้เกิดในสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า แต่ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้พระอุปคุตอยู่ในในสมัยพระเจ้าอโคกมหาราชผู้ซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงขุดหาพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะนำมาบรรจุในเจดีย์ ไว้ในที่ต่างๆทั่วชมพูทวีปเมื่อเสร็จจึงได้ทำการเฉลองสมโภช แต่ก็กลัวพญามารจึงได้อัญเชิญพระอุปคุตมาเพื่อปกป้องคุ้มครองผู้คนในงานเมื่อพญามารได้มาเพื่อก่อกวน พระอุปคุตก็ได้ใช้ฤทธิ์ปราบพญามารทำให้พญามารไม่สามารถกลับไปยังวิมาณได้เมื่อผ่านไปเจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน พญามารได้สำนึกได้ว่าท่านเคย ยกทัพมารบกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ยังไม่ทรงทำกับพญามารถึงขนาดนี้ พระอุปคุตเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้ากลับทำให้พญามารได้รับทุกข์เวทนาถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุนั้นพญามารจึงสำนึกได้ว่าพระพุทธองค์เป็นผู้ประเสริฐมิอาจหาผู้ไดมาเปรียบได้และอฐิฐานว่าถ้าหากยังมีบุญบารมีเหลืออยู่จะขอบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าเฉกเช่นพระพุทธองค์ เมื่อเป็นดังนั้นพระอุปคุตเจ้ารู้ได้ด้วยฤทธิ์จึงได้ปล่อยพญามารเป็นอิสระ และได้ชี้แจงว่าเหตุที่ทรงกำราบพญามารนั้นเพราะว่าต้องการให้พญามารนั้นระลึกได้ว่าเคยตั้งปฏิญญาไว้ว่าจะบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เมื่อพญามารระลึกได้ก็บังเกิดความปิติพระทัย และได้เนรมิตรกายเป็นองสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามคำขอของพระอุปคุตให้ประชาชนได้เห็น จากนั้นพญามารจึงได้กลับไปสู่วิมาณของตนเพื่อที่จะบำเพ็ญเพียรเป็นพระพุทธเจ้าด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่อไป ส่วนพระมหาอุปคุตเจ้าก็ได้กลับไปจำศีลยังบาดาลเพื่อที่จะขึ้นมาจรรโลงเมื่อพุทธศาสนาครบห้าพันปี เคยได้อ่านมาอย่างนั้นครับไม่รู้เค้าความจริงจะมีความเป็นมายังไง  ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 12:01:32 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 06:13:28 »

ที่ว่ามา ก็ถูกต้องแล้ว น่าจะประมาณนั้นครับ
แต่ผมอยากสรุปให้เข้าใจง่ายๆว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งหนึ่งก็จะมีให้คู่กัน เหมือนดังมีความดี ก็มีความไม่ดีเป็นเพื่อนซี้กัน สิ่งที่มันไม่ดี ไม่งาม ตัวขัดขวาง หรือตัวมารนั้น ประโยชน์ของมันจึงมี ดังคำที่ว่า มารบ่มี บารมีบ่เกิด (โจรบ่เกิด ตำรวจก็บ่ได้ผลงาน อิอิ)
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 10:13:40 »

พิมพ์ผิดพิมพ์ถูกต้องเข้ามาแก้หลายรอบ ยิงฟันยิ้ม ก่อยังลักกลัวอยู่เหมือนกันที่เอาคำถามแบบนี้มาถาม แต่ล่ะครั้งที่เข้ามาดูก็ลุ่นอยู่เหมือนกันกลัวโดนด่า อิ อิ ยิงฟันยิ้ม

ถ้าเป็นจริงเหมือนหยั่งที่ท่านเจมส์ยืนยัน จะพอเป็นไปได้ไหมครับว่านับตั้งแต่พญามารได้ขึ้นไปบำเพ็ญเพื่อเป็นพระโพธิ์สัตว์ เหล่ามารและเสนามารก็ละจากความเป็นมิจฉาฑิฏฐิหันมาเป็นสัมมาฑิฏฐิศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามเจ้าเหนือหัวของตน มารจึงไม่ขัดขวางการทำบุญกุศลของมนุษย์ (ก็เจ้าเหนือหัวอันเป็นที่รักและเคารพจะลงมาจุติเพื่อตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไปนี้นา ยิ้ม ) เพื่อเป็นการปูทางให้ง่ายต่อการลงมาบำเพ็ญของ สมเด็จท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช  ไม่แน่นะครับบางที่อาจมีมารลงมาจุติ เป็นพระอริย์บุคคลเพื่อจรรโลงพระศาสนาให้ครบห้าพันปีอยู่ก็ได้ใครจะรู้ว่าหลวงพ่อหลวงปู่ที่เราเคารพศรัทธาอาจมาจากสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัสตีก็ได้เพื่อยังความศรัทธาในหมู่สาธุชน (มารที่กล่าวถึงในกระทู้นี้ไม่ได้กล่าวให้ความรู้สึกว่าเป็นแบบ ผี ปีศาจ ซาตาน อสูรกายนะครับ แต่มารในที่นี้ให้กล่าวความรู้สึกว่าเป็นเทวดาชั้นสูงที่มีจิตอันเป็นกุศลที่สร้างสมบารมีมามากแบบ พระอินทร์ พระพรมหม์ พระนารายณ์ ครับ ) ถ้าหากเรามองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราชกับพระพุทธองค์นั้นเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายก็มุ่งเพื่อที่จะเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น (ความจริงไม่บังควรเลยที่จะเอามาคิดวิเคราะห์) ยิงฟันยิ้ม (ถ้าเปรียบให้เห็นภาพก็เหมือนผู้ใหญ่ที่ต่างคนก็ต่างมีบารมีได้แข่งกันเพื่อที่จะให้เป็นผู้ที่เหนือกว่า ไม่ได้ยงเข้าการเมืองนะครับแบบว่าเปรียบเทียบให้เห็นตัวอย่างทั่วไปจากหน่วยงานหรือองค์กรอะไรก็ได้) ยิงฟันยิ้ม ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างมีพวกสนับสนุนซึ่งก็รักและเคารพในเจ้าเหนือหัวของตนอยากให้ได้สมความปราถนา มันก็น่าคิดนะครับต่างฝ่ายก็ปราถนาที่จะเป็นในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ ซึ่ง ณ.ขณะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญบารมีถึงพร้อมดีแล้วจึงได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว ถ้าเป็นคดีความในเมืองมนุษย์คงหมดอายุความไปร้อยกว่ารอบแล้วล่ะ ยิงฟันยิ้ม เดี๋ยวจะมาพิมพ์ต่อครับความเห็นของผมอาจไม่ถูกก็ได้นะครับเป็นเพียงการคิดวิเคารห์ถึงเหตุถึงผลเท่านั้น ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 13:55:39 »

ก่อนที่จะกล่าวต่อ ผมคงต้องขอกราบประทานอภัยที่ผมหยิบยกเอาเทวดาจำพวกหนึ่งมากล่าวถึงและเอาชื่อชนชั้นของท่านมาพิมพ์ใช้เนื่องด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ยิงฟันยิ้ม จึงต้องขออนุญาติใช้แต่ก็หยิบยกมาด้วยเจตนาที่ดี หากผิดพลาดประการใดขออย่าได้เป็นบาปเป็นกรรมต่อตัวกระผมเลย ยิ้ม

แล้วกลับมาคิดต่อว่าการที่เราไปคิดว่ามารไม่ดีอย่างนั้นมารไม่ดีอย่างนี้จะเป็นการเหมาะสมหรือเปล่านะ ถ้าหากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการกระทำของเทวดาชนชั้นมาร แล้วจะเป็นความเห็นของเราเองที่เข้าใจผิดหรือเปล่าผมจึงได้ลองมาคิดดูแบบแนวทางของพระพุทธศาสนา ที่สอนให้ใช้สติปัญญาในการไตรตรองถึงเหตุถึงผล พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมา แม้แต่คำสอนของพระองค์ ให้ใช้สติปัญญาในการไตรตรอง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพระปัญญาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้จริงและชัดเจน เพราะเมื่อพระพุทธองค์ได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เราจะไปถามใครได้นอกจากศิษย์ของพระพุทธเจ้าซึ่งกาลเวลาได้ผ่านมาสองพันกว่าปีแล้ว คิดว่าด้วยพระปัญญาบารมีของพระพุทธองค์ต้องทรงเลงเห็นแน่ๆว่าจะมีใครบ้างที่จะสามารถรู้ได้ถึงคำสอนของพระองค์ได้อย่างแท้จริง  การที่พระองค์ได้ทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองถึงเหตุถึงผลนั้นก็เพื่อไม่ให้เราหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระปัญญาบารมีของพระองค์ซึ่งผ่านมาสองพันกว่าปีแล้วยังสามารถนำมาใช้ได้เสมอเป็นอมตะธรรมที่เราเห็นได้จริงในปัจจุบัน

กลับมาพูดถึงเรื่องของมารต่อถ้าหากว่าสิ่งที่คอยขัดขวางนั้นแท้จริงไม่ใช่มารแล้วจะเป็นอะไรหนอ หรือว่าสิ่งที่เราควรระวังนั้นก็คือกิเลศในใจของเราเอง  หรือจะมีอมนุษย์พวกอื่นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิในที่แห่งนั้นคอยเป็นตัวขัดขวาง  พูดถึงเรื่องมารมาซะยาวเลยก็เกิดความคิดอีกแล้วว่าถ้าเกิดว่า มารนั้นก็อยู่ส่วนของมารในทิพย์วิมาณของมารไม่ได้มาขัดขวางการทำบุญ แล้วการที่เราไปกล่าวโทษมารนั้นจะเป็นบาปหรือไม่ถ้าหากว่าเราทำบุญทำกุศลแล้วมีอุปสรรค์จากสาเหตุอย่างอื่น  แล้วถ้าเกิดว่าพญามารนั้นบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์จริง จะเป็นบาปเจือบุญหรือไม่ที่เราไปกล่าวหาพระโพธิสัตว์แบบนั้นเวลาเราทำบุญ ทำสมาธิ  มันก็เลยเกิดข้อให้คิดขึ้นมาอีกแล้วครับ ยิ้ม  เคยได้ยินมาอีกว่าพระโพธิสัตว์นั้นต้องบำเพ็ญเพียรผ่านอุปสรรค์นานา ก็มาคิดว่าถ้าเกิดพญามารเป็นพระโพธิสัตว์จริงหนึ่งในอุปสรรค์นั้นจะเป็นการที่มนุษย์เราไปคิดว่าอะไรก็เกิดจากมารหรือเปล่า อย่างที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นว่าเหตุการณ์ระหว่างพญามาร กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นผ่านมาสองพันกว่าปีแล้วถ้าเป็นอายุความในเมืองมนุษย์ก็หมดไปนานแล้วและพญามารก็สำนึกได้เปลี่ยนมาศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  มนุษย์เรายังคิดว่าสิ่งไม่ดีต่างๆนั้นยังเกิดจากมารจะเป็นการคิดที่ถูกต้องหรือเปล่า แต่ก็มีข้อคิดที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์นี้ ว่าเหตุที่มนุษย์เราคิดกันแบบนั้นอาจเป็นเพราะว่าเศษกรรมที่พญามารได้ยกทัพมาขวางการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่าที่มีผลทำให้มนุษย์เรายังคิดกันแบบนั้น นั่นก็แสดงว่าเราไม่ควรที่จะหลบหลู่พระพุทธองค์ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป รูปภาพ หรืออะไรเลย เราควรเคารพบูชาพระพุทธองค์ด้วยความศรัทธา อย่างที่ได้คิดไว้ข้างบนนั้นครับว่าจะเป็นผลจากกรรมครั้งนั้นหรือไม่ที่ทำให้มนุษย์ยังกล่าวโทษมารอยู่ทั้งๆที่ผ่านมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ;Dแต่ก็มีข้อความกล่าวไว้เหมือนกัน(นี้ก็ไม่รู้ว่าแท้จริงจะเป็นอย่างไรกลัวจะเป็นการไปกล่าวหามารเหมือนกัน แต่ก็ต้องนำมาเสนอเพื่อที่จะได้ไม่กล่าวถึงมารแต่เพียงด้านเดียว กลัวว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นการนำเสนอเหมือนเป็นนายหน้าให้กับมาร ซึ่งไม่ใช่เน้อ ยิงฟันยิ้ม ) ข้อความกล่าวไว้ว่ายังมีมารที่ยังไม่อยากให้มนุษย์หลุดพ้นจากวัฏสงสารก่อนเจ้าเหนือหัวของตนจะตรัสรู้ (ไม่รู้ว่าจะเฉพาะตนหรือเปล่าหรือไม่มีเลย)  จากข้อความนั้นแสดงว่ามารนั้นก็เหมือนคนเราที่มีความจงรักษ์ภัครดีต่อเจ้าเหนือหัวอันเป็นที่เคารพรักจึงไม่อยากให้ใครอยู่เหนือกว่าเจ้าเหนือหัวได้โดยง่ายจึงมาเพื่อทดสอบ แต่มารก็ไม่ได้ทำการขัดขวางการทำบุญกุศลของมนุษย์แต่อย่างใด กล่าวคือมารไม่ขัดขวางการทำดี เพราะการทำดีการทำชั่วนั้นไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารได้ แต่เป็นการกำหนดชีวิตว่าจะไปสูภพภูมิใดเท่านั้นเองการทำดีการทำบุญก็ได้เกิดมาเสวยซึ่งผลบุญซึ่งได้ยินมาว่าพระอริยเจ้าทั้งหลายต้องล่ะทิ้งซึ่งบาปและบุญเพื่อให้หลุดพ้น แต่เราคนธรรมดาถ้าไม่ยึดติดกับบุญกุศลแล้วก็กลัวเผลอทำบาปดังนั้นตอนนี้ที่เราทำได้คือทำใจให้เป็นบุญ ทำบุญทำกุศล ละทิ้งบาปให้มากที่สุด ดังนั้นในการทำบุญเราควรคิดว่าจะมีมารมาขวางหรือแท้จริงแล้วไม่มีมารใดๆมาขวางการทำบุญเลย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม


เอามาคิดช่ะยาวเลย อ๊ะ อ๊ะ ต้องขอบอกว่าความจริงผมก็ไม่ได้เป็นคนธรรมะธรรมโมอะไรหรอกครับ ยิงฟันยิ้ม เพียงแต่ลองมาคิดดูเท่านั้น ยังอยากใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสำราญอยู่ครับค่อยทำบุญไปตามที่พอทำได้ทีละขั้นไม่ลำบากหักโหมดีกว่ายังไม่ได้หวังนิพพานเตื้ออาจจะยังรอฟังธรรมขององค์พระศรีอารย์อยู่ก่อได้แล้วค่อยหวังนิพพานครับ สาตุ๊ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 21:41:15 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 22:53:00 »

ครับ ก็ขำๆกันไป คิดไปนั่นคิดไปนี้ ส่วนตัวแล้ว ผมว่าถ้าจะพูดให้เข้าใจเรื่องมาร ก็อาจจะประมาณ การเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลก็ว่าได้ หมายความว่า ท่านเหล่านั้นไม่ใช่ว่าเอาแต่ค้าน หรือขัดขวามไปเสียทุกอย่าง แท้แล้วหน้าที่คือตรวจสอบ ให้ข้อควรระวัง สิ่งที่ไม่คุ้มไม่ควรทำเป็นต้น แล้จะว่าไปใครที่อยู่ในฝ่ายค้านก็ใช่ว่าจะเป็นคนเลว คนที่แย่ๆไปเสียหมด คนดีๆที่หวังดีก็อาจคัดค้านและอยู่ฝ่ายค้านแทนก็ได้ ดังนั้นรัฐบาลอาจจะเรียกกันง่ายๆว่าคนเหล่านี้เป็นมารของเขาเป็นต้น ส่วนใครจะว่ามารรูปใดนั้น อันนี้ก็ตามแต่ชอบ บ้างก็ว่าที่ตัวพยามารหรือหัวหน้าพรรคไปเลย หรือแค่มารเล็กๆคือลูกพรรคที่คอยแจงด้วยข้อมูลอย่างเจ็บแสบ ตามทีวีที่เคยดูกันก็เป็นแบบนั้นแล

ส่วนการที่เราอาจว่าตัวเราเองนั้น อันนี้ก็อาจแค่สมมุติขึ้น สร้างขึ้นเอง ด้วยตั้งชื่อว่ามาร มันก็ง่ายดี ถ้าคิดให้ง่ายๆมันก็แค่ เทวดาดี กับมารหรือเทวดาร้ายในตัว ที่มักขัดกันอยู่ในตัวเราเป็นต้น ตัวอย่างเช่น จะไปวัดทำบุญ แต่ดันขีเกียจจึ่งตื่นสาย สุดท้ายไม่ได้ไป เป็นต้น อันนี้มารขี้เกียจในตัวเรานั่นหละชนะ ดังนั่นอยากจะชนะมารมันก็ต้องใช้ใจที่เด็จเดี่ยว และใช้ศรัทราให้มันแยะๆหน่อย เป็นต้น แต่บางครั้งวิถีมารเองก็ช่วยเราได้นะเช่น จะตื่นเช้าไปทำบุญเพราะจะได้เจอแฟนหรือสาวที่อยากจีบ อันนี้เรียกแรงตันหาพาไป ด้วยแรงนี้ ยังไงก็หน้ามืด ตื่นง่าย ไม่มีคำว่าขี้เกียจแน่นอน สุดท้ายก็เพื่อสำเร็จด้วยการบุญ ที่ร่วมกัน ดังหวังเป็นต้น อันนี้อาจยกความดีให้กับพรังมารถูกต้องหรือไม่ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2013, 23:39:16 »

อ่อ ลืมบอกไปว่า เรื่องที่ท่านเล่ามา ได้ความรู้ดีครับ แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่านี้เลย ไม่แน่อีกหน่อยคงได้ข้อมูลอะไรประมาณนี้ ถึงเวลานั้นคงจะเข้าใจว่า จริงแท้ ยังไงเป็นต้น จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เล่ามาว่า ตรงใหนผิดอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เทวดาครับ มีทั้งดีและขี้อิจฉา และที่เคยอ่านเจอเป็นเรื่องของ อสูรามากกว่า คือ เทวดา ที่ชอบทานสุรา จึงแถมมีปัญหากับเทวดาอื่นด้วย ถูกลงโทษไม่ได้กลับสวรรน์ ตั้งแก้งกวนๆอยู่นาน สุดท้ายพากันกลับใจ จึงกลับสู่สวรรน์ดังเดิม เรื่องมันยาว แต่ก็คงประมาณนั้น

ไม่รู้ยังตกหล่นอันใหนอีกน่า  ฮืม อ่อจำได้ละ คือจะเล่าว่า หลายเดือนมานี้จนถึงปัจจุบัน ส่วนตัวก็เจอมาร เพราะเขาแสดงตัวอย่างชัดแจ้ง จนแทบมีเรื่องเป็นพักๆ เรื่องที่ว่านั้นก็แค่เรื่องที่เขาคงอิจฉา หรือที่เรามาทำเด่นเกินหน้าเกินตามั่งครับ แบบมือไม่ชอบพาย แต่มักมาขัด มาแย้ง เป็นต้น ซึ่งมันเป็นเรื่องธุรกิจ บ้างที่เราก็จะทำในเรื่องวิทยาทานนะครับ แต่คงไม่ถูกใจเขา(ขัดบุญ) บ้างก็ใช้คำเนียนๆว่า รู้นะคิดอะไรอยู่ เป็นต้น ในงานทานของเราซะงั้น เราเลยตอบไปง่ายๆว่า ทุกอย่างเพื่อเงิน คำนี้มันจบง่ายดีไม่ยาว นี่หละครับ มารในชีวิตจริงของผม ขัดความเจริญของผมจริงๆ แต่อีกมุมหนึ่งกลับทำให้ผมฮึดสู้ใหม่ เพราะมันก็คันๆดี (ชอบ พอดีเป็นคนซาดิสเล็กๆ อิอิ) จะว่าไปแล้วที่ผมยังชอบเลี้ยงพวกนี้ไว้ก็เพื่อใช้ฝึกตน เป็นต้น บ้างเพื่อเพิ่มบารมี คือฝึกตระบะนั่นเอง หลังๆถ้าเจอแรง ผมก็รับใหว บ้างก็แรงกลับให้รู้ว่า อย่าแหยม  ยิงฟันยิ้ม เพราะ  Level มันต่างกันนัก อิอิ ถ้าเรารู้จักฝึกและใช้จากมุมนี้ได้ดี สุดท้ายจะ ชิวๆครับ ทำอะไรเราแทบไม่ระคายผิว  ยิงฟันยิ้ม แต่ถ้าชอบความสงบอันนี้ก็ดีครับ (ใช้เพื่อตั้งหลักได้) แต่ถ้าอยากจะก้าวหน้าเพิ่ม ผมก็ยังชอบที่จะให้อะไรๆเข้ามากระทบอยู่ดี ซึ่งก็เป็นทางวิปัสณาเป็นต้น แต่ถ้าสงบล้วนจิตใจสบายดี ไม่ก็แช่ไว้ อันนี้ระวังติดสุข ถ้ามากไป มันเป็นทางขึ้นพราหม นั่นแนวสมะถะ ดังนั้นในทางโลกจึงควรฝึกได้ทั้ง2ทาง ไม่ทิ้งทางใดทาง1 ทั้งหมดเป็นตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจเรื่องมารเท่านั้นนะครับ ไม่ได้อวดตัว แต่จริตผมหันมาใช้ มาฝึกแนวต้านแนวรับ เพื่อพัตนาตนเท่านั้นเอง จริงๆเรื่องมันๆของผมยังมีอีกแยะ ถามีโอกาศคงได้ถ่ายทอดประสบการณ์ความมัน (ที่วัดก็ยังเจอ) bye
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2013, 17:01:25 »

ถ้าจะเหมือนที่ท่านเจมส์ว่านั้นแหล่ะครับ ตำรวจจะจับผู้ร้ายได้ต้องรู้เท่าทันดีชั่วอยู่ที่การนำไปใช้ถ้าใช้ให้ถูกก็เป็นประโยน์เน๊าะ ยิงฟันยิ้ม
และก็อาจใช่อีก มารอาจเป็นผู้ทดสอบทางด้านความดีก็ได้ที่มาทดสอบว่าบุคคลผู้นั้นมีระดับความดีงามอยู่ในจิตใจแค่ไหน หรือเหนือกว่าความดีงามขึั้้้นไปอีกแบบพระอริยเจ้า ซึ่งละทิ้งซึ่งความสุขความทุกข์ แต่ก่อนผมก็ไม่เ้ข้าใจแต่ตอนนี้ผมคิดว่าพระอริยเจ้านั้นต้องมีอารมณ์เหนือกว่าความสุขขึ้นไปอีกแบบนี้หรือเปล่านะ
ถ้ามารเป็นผู้ทดสอบทางความดีและมารเป็นเทดา ก็อาจเป็นไปได้ที่มาจะมาทดสอบด้วยความสุข เพื่อให้รู้ว่าบุคคลผู้นั้นได้อยู่เหนือกว่าความสุขขึ้นไปแล้วหรือยัง เพราะแต่ล่ะท่านที่บอกว่ามารมาขัดขวางเวลาทำสมาธิก็ยังรอดชีวิตกลับมาเล่ากันได้ คิดว่าเทวดาระดับมารถ้าคิดหมายปองชีวิตมนุษย์จริงๆนั้นคงไม่ยาก หรือว่ามารนั้นก็เป็นผู้มีเมตตา มีหริโอตัปปะ เหมือนเทวดาองค์อื่นๆไม่ต่างกัน มารอาจไม่ทำร้ายมนุษย์แต่มาทดสอบด้วย ความสุข ลาภ ยศ ให้รู้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้หลุดพ้นไปจากความสุขทางโลกียะแล้วหรือยัง เหมือนว่ามารจะเป็น QC ผู้ทดสอบทางด้านความดีเพียงเท่านั้นเอง  แสดงว่ามารนั้นก็ต้องเป็นเทวดาที่มีเมตตาธรรมอยู่ในระดับสูงอยู่ไม่น้อยเลย ประโยชน์จากการได้ศึกษานี้ทำให้ผมคิดว่า ปัญหาและอุปสรรค์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ได้เกิดจากอำนาจของมารดลบันดาล แต่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยอื่นๆ ซึ่งคิดว่าถ้าเราคิดดีทำดีเทวดาย่อมช่วยเหลือคุ้มครองให้พ้นผ่านไปได้ด้วยดีแน่ๆ ต่อไปผมคงไม่โทษมารและคิดว่ามารก็เป็นเทวดาที่ดีเหมือนเทวดาท่านอื่นๆ สาธุ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2013, 20:23:16 »

ครับ บ่อยครั้งที่เราต้องขอบคุณมาร อิอิ ส่วนผลกรรมของมารนั้นอันนี้ก็แล้วแต่เขาจะได้รับเอง เราไม่ไปยินดี ยินร้ายก็พอแล้ว  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 12 กรกฎาคม 2013, 11:09:05 »

มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเหมือนกันครับท่านเจมส์เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นครับ เรื่องมีอยู่ว่ามียายคนหนึ่งแกเป็นคนปากร้ายมากได้ยินเสียงใครแกเป็นด่าแหลก ดูเหมือนว่าแกจะเป็นโรคประสาทครับ สมัยเป็นเด็กได้ยินแกด่าคนอื่นแบบสาดเสียเทเสียด้วยถ้อยคำหยาบคายนานา แก่ก็นั้งด่าอยู่ที่บ้านแกนั้นแหล่ะ แม้แต่รถโฆษณาประกาศผ่านมาแกยังด่าเลยครับ เป็นแบบนั้นจนคนแถวนั้นชิน ซึ่งบ้านผมก็อยู่แถวนั้นและได้ยินเป็นประจำ แกเป็นบ้าไล่ด่าคนอื่นไปเรื่อยวันไหนที่ได้ยินเสียงแกด่าคนด่าอะไรก็แล้วแต่เขาบอกว่าแกบ้าขึ้น แกแยกบ้านอยู่เองเป็นบ้านเล็กๆ อยู่มาวันหนึ่งแกก็เงียบเสียงไปซึ่งก็ไม่ได้มีใครสังเกตุจนกระทังวันหนึ่ง แกเดินมาที่บ้านซึ่งตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นแกมาบ้านผมเลยนั้นเป็นครั้งแรก พอแกเดินมาแม่ผมก็แปลกใจ และทุกคนแปลกใจมากว่านั้นอีกซึ่งผมก็อยู่ในเหตุการณ์ เพราะแกเป็นคนพูดเพราะมากแกบอกว่าแกเดินทางมาไกลขอนั่งพักแป๊บหนึ่ง แม่ผมก็คิดว่าแกน่าจะไปหาเก็บผักมาก็ไปเอาน้ำมาให้แกดื่ม ซึ่งแกก็กล่าวขอบคุณและเอ่ยคำชมต่างๆนานา น้ำนี้เย็นชื่นใจดีจริง บ้านเปิ้นหยั่งมาม่วนน่าอยู่ ฯลฯ ด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มอิ่มเอิบ ไม่เหลือเค้าของยายแก่ขึ้นบ่นเลย ก่อนแก่จะกลับแกถามทางแม่ผม แกบอกว่าแกหลงทางกลับบ้านไม่ถูกถามว่าบ้านแกอยู่ไหน แม่ผมก็บอกว่าให้เดินผ่านรั้วนั้นไปก็จะถึงบ้าน พอกลับไปถึงบ้านแก่ก็ไปเล่าให้ลูกแกฟังว่าแกหลงไปที่ไหนไม่รู้ แกได้ไปเจอคนเขาเอาน้ำเอาท่ามาให้กินแล้วก็บอกทางแกกลับบ้าน เวลาผ่านไปประมาณปีกว่าแกก็เสียชีวิตลงไปอย่างสงบ ทุกคนเลยคิดว่าที่ผ่านมานั้นแกอาจชดใช้กรรมของแกที่ต้องมาด่าโวยวายเหมือนเป็นคนบ้าจนลูกแกต้องไปตั้งบ้านอยู่อีกหลัง แต่พอกรรมของแกหมดแกก็กลับเป็นปกติ ไม่พูดจาเสียงดังไม่ด่าใครเลย มันเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงที่เคยเห็นมากับตาเลยครับ พอแกหมดกรรมแกก็เป็นปกติเป็นคนแก่ที่มีท่าทางอันสำรวมและพูดจาไพเราะมากเลยครับ แม่บอกว่าที่แกหลงทางมาอาจเป็นเพราะว่าแกอาจจะอยากมาขออโหสิที่แกได้เคยด่าคนแถวนั้นก็ได้ แกเลยมาด้วยจิตของแกที่หมดกรรมแล้ว ซึ่งทุกคนก็อโหสิให้แกหมดเลยครับเห็นแกในตอนนั้นแล้วไม่มีใครโกรธแกเลยครับ
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 11:23:11 »

ตั้งชื่อกระทู้ว่าถิ่นมาร แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีเลย ยิงฟันยิ้ม

สวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีเป็นสวรรค์ชั้นที่ 6
วิมาน ทิพยสมบัติ และร่างกาย ของเทวภูมิชั้นปรินิมมิตสวัตตีมีความสวยงามประณีต มากกว่าเทวดาในชั้นนิมมานรดี
มีอายุยาวกว่าประมาณ 4 เท่า ถือว่าเป็นยอดภูมิ คือ ภูมิที่สูงสุดของเทวดาในเทวภูมิ 6

เทวภูมิชั้นนี้ เป็นที่สถิตอยู่ของเหล่าเทพยดาจำพวกมารทั้งหลาย โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช และ
สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ทรงเป็นอธิบดี จึงได้ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ คือ
ภูมิที่อยู่แห่งทวยเทพ

อำนาจปกครองมิได้อยู่แต่เฉพาะเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิเท่านั้น
แต่ยังมีอำนาจปกครองทั่วไปถึงสวรรค์ชั้นต่ำลงอีก 5 ชั้นด้วย คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
นิมมานรดี และมีการปกครองที่แตกต่างจากเทวภูมิอื่น คือแบ่งเป็น 2 แดน อยู่กันฝ่ายละแดน
มีเขตแดนกั้นในระหว่างกลาง ต่างฝ่ายต่างอยู่ หากมีกิจจำเป็นจึงจะไปมาหาสู่แก่กัน

แดนเทพยดา มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพระเทวาธิราชปกครอง

แดนมาร มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช ปกครอง

เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์ กับ สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิแล้ว 1,600 ปีในมนุษย์ เท่ากับ 1
วันในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวาวัตตี

ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ผู้ที่จะมาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ต้องอุตส่าห์ก่อสร้างกองการกุศลให้ยิ่งใหญ่
อบรมจิตใจให้สูงส่งด้วยคุณธรรม เมื่อจะให้ทานรักษาศีล ก็ต้องบำเพ็ญอย่างจริงจัง
ด้วยศรัทธาอย่างยิ่งยวดและถูกต้อง และผลวิบากแห่งทานและศีลอันสูงยิ่งเท่านั้น
จึงจะบันดาลให้ไปอุบัติสวรรค์ชั้นนี้ได้



ยิงฟันยิ้ม ว่ากันว่าเมืองสรรวค์สวยงามกว่าเมืองมนุษย์มากยิ่งนัก ยิงฟันยิ้ม












« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 11:44:03 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 11:40:30 »





พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงการให้ทาน ๗ อย่าง ไว้ในทานสูตร


๑. การให้ทานด้วยคิดว่า ตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา


๒. การให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์


๓. การให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้ เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นยามา


๔. การให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะผู้ไม่หุงหา ไม่สมควร เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต


๕. การให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทานเหมือนฤษีครั้งก่อน เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี


๖. การให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใสเกิดความปลื้มใจและโสมนัส เมื่อตายแล้วย่อมเกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี


๗. การให้ทาน เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เมื่อตายแล้ว ย่อมเกิดในพรหมโลก (ชั้นสุทธาวาส) ภายหลังย่อมปรินิพพานในภพนั้นเอง

(อรรถาธิบายว่า เขาไม่อาจไปเกิดในพรหมโลกด้วยทานแต่ด้วยจิตอันประดับด้วยทานนั้น เขาทำฌานและอริยมรรคให้บังเกิด ย่อมเกิดในพรหมโลกด้วยฌาน)









IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 13:16:56 »

อ่อ จริงๆแล้วยายคนนั้นคงอายุมาก แล้วธาตุไม่สมดุลก็เป็นได้ วัยทองเกินเหตแถมเป็นประสาทกิน ระยะหลังอันใซเมอเข้า แกเลยลืมทุกอย่าง (อาการนี้ปกติจะลืมบ้านตัวเอง แล้วมักเดินไปมั่วหาบ้านครับ เจอมาเหมือนกัน) พอปกติก็สำรวมตามจิตเดิมของแกไงครับ ความจำก็หายมันเลยไม่มีอะไรต้องคิดและเอามาคุย เรื่องมันอาจคล้ายๆ กระเทยที่สลบเพราะอุบติเหตพอตื่นขึ้นมา ก็รู้ตัวและฐาตเป็นปกติ ก็กลับเป็นชายเหมือนเดิม แถมยังลืมด้วยว่าตัวเองเคยแต่ง ญ ทำตัวบ้าๆผิดเพศเช่นนั้นด้วย ซึ่งแกก็ไม่เอาแบบนั้นแล้วในปัจจุบัน (หาดูย้อนหลังใน At10) ซึ่งเรื่องนี้ซิ เข้าประเดนกรรมชัดกว่า ไม่ใช่อัลไซเมอร์
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 14:21:49 »

น่าจะอย่างท่านเจมส์ว่าแหล่ะครับยายน่าจะเป็นอัลไซเมอ หลังจากยายไม่ด่าใครลูกก็พาไปอยู่บ้านหลังใหญ่ ยายก็ช่วยลูกขายของและดูแลหลานเหมือนยายปกติทั่วไป แต่ก่อนหน้านั้นยายแก่บ่นเป็นบ้าแบบนั้นตั้งแต่ผมจำความได้จนโตเลย แต่มาเห็นยายเป็นปกติเพียงแค่ประมาณปีกว่าเห็นจะได้แล้วยายท่านก็จากโลกนี้ไป  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 15:37:39 »

หน้าสลดใจยิ่งเรื่องลูกหลาย แต่ยังไงก็ยินดียิ่งเพราะสุดท้ายก็ จบได้สวย เป็นเรื่องที่แปลกและมีความน่าประทับใจ+ซึ้งไปในตัว น่าจะเอามาทำหนัง บันทึกรรมเนอะ อิอิ เหมือนยังกับเป็นบุญเก่าหนุนจริงๆ จึงทำให้ทุกฝ่ายไม่ถือสาต่อกันไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในช่วงสุดท้ายของชีวิต จิตก็น่าจะปกติไม่ฟุ้งซ่านด้วยอัลไซเมอบังอยู่
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2013, 17:47:50 »

ว่าไปว่ามาก็อยากให้มารมาโปรดซัก 44 ล้านเน๊าะครับ จะได้แบ่งให้แม่เอาไปทำตามความฝันที่ตั้งไว้เคยคิดกันไว้ว่าถ้ามีเงินเยอะๆเป็นเศรษฐีเมื่อไหร่ จะทำบ้านให้สุนักและแมวจรจัดครับเพราะสงสาร อยากให้ที่อยู่ที่พักพิงแก่พวกเขา ยิงฟันยิ้ม

อุ้ยเคยมีกำเมืองบอกไว้ว่า "โปรดสัตว์ได้บุญโปรดคนได้บาป" บางครั้งมันก็เป็นจริง ผมจึงชอบทำบุญกับสัตว์มากกว่าคนครับ เพราะคนมีที่พึ่งมากหลายที่ แต่สัตว์เขาไม่สามารถบอกหรือขอความช่วยเหลือจากใครได้ ทำบุญกับคนมันยุ่งยากซับซ้อนไม่เหมือนทำบุญกับสัตว์ อย่างเช่นเราจะอุปการะใครซักคนมันต้องใช้ความรับผิดชอบที่สูงมากไม่เหมือนกับสัตว์ที่เราให้ที่พักให้อาหารพวกเขาก็ทำได้แล้ว เวลาเราไปเจอสัตว์บาดเจ็บเราไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาแกล้งหลอกขอความช่วยเหลือจากเราเหมือนกับคน การช่วยเหลือสัตว์เราไม่ต้องกลัวว่าใครจะคิดว่าเราช่วยเพื่อหวังผลประโยชน์อะไร สิ่งเดียวที่เราหวังคือให้พวกเขาได้มีความสุขเพียงแค่นั้นเมื่อเห็นพวกเขาได้มีความสุขพ้นจากสภาพที่เราได้ช่วยเหลือมา เราก็รู้สึกยินดีและมีความสุข ส่วนการทำบุญกับคนนั้นเราไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไงกับเรา อันเถาวัลย์ที่เลี้ยวลดยังไม่คดเท่าใจคน ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึงเราทำดีช่วยเหลือเขาวันนี้ไม่แน่ว่าวันหน้าเขาอาจคิดร้ายกับเราก็เป็นได้  ไม่เหมือนกับสัตว์ถ้าเราดีกับเขา เขาก็รู้จักบุญคุณของผู้ที่ได้ช่วยเหลือเขาอย่าดูถูกว่าเขาเป็นสัตว์ไม่รู้อะไรนะครับ สัตว์เขาก็รู้ว่าใครดีกับเขาใครไม่ดีกับเขา บางครั้งสัตว์ก็มีคุณธรรมซื่อตรงกว่าคนที่เป็นสัตว์ประเสริฐซ่ะอีก ใครดีกับเขาพอเจอเขาก็จะมาต้อนรับมาแสดงออกอย่างจริงใจ  ตอนนี้ที่บ้านรับอุปการะแมวเป็นแมวที่หลงมาแรกๆเขาก็ไม่ค่อยคุ้นกับคนตามสัญชาตญาณแต่พอเขารู้ว่าเรานั้นปราถนาดีต่อเขา ทุกครั้งที่ไปบ้านเข้าจะรู้เวลาและมารอต้อนรับที่ประตูทุกครั้ง แม่บอกว่าไม่ว่าเขาจะอยู่บนหลังคาหรือที่ไหนเวลาได้ยินเสียงรถเข้าบ้านมาเขาจะรีบลงมาและไปนั่งรอที่ประตู นี้แหล่ะหนาผมถึงชอบทำบุญกับสัตว์มากว่าคน ทำง่ายๆไม่ซับซ้อน ทำแล้วสบายใจ ยิ้ม



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 กรกฎาคม 2013, 21:22:26 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2013, 15:52:28 »

เอาภาพน่ารักมาฝากให้ผ่อนคลายกันในวันอาทิตย์ครับ ยิงฟันยิ้ม




* 615040-topic-ix-7.jpg (23.8 KB, 317x500 - ดู 844 ครั้ง.)

* 946875_509455032451148_1357948616_n.jpg (41.12 KB, 802x480 - ดู 832 ครั้ง.)

* morningsun_sm.jpg (45.32 KB, 600x383 - ดู 791 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 กรกฎาคม 2013, 17:19:27 โดย สบายแมน » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!