เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 19:46:39
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  สมถะ กับ วิปัสสนา ??? กราบเรียน ญาติธรรม ร่วมเสวนา
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์
ผู้เขียน สมถะ กับ วิปัสสนา ??? กราบเรียน ญาติธรรม ร่วมเสวนา  (อ่าน 4015 ครั้ง)
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2012, 21:32:25 »



      สมถะ         กับ          วิปัสสนา

       ไก่           กับ         ไข่  
                  
              อะไรเกิด  ก่อน?


 หากจะว่า
 สมถะ  เป็น  เหตุ              วิปัสสนา     เป็น  ผล            

หากว่าอย่างนี้  ใคร ว่า  ผิด  หรือ  ถูก

เชิญ  ร่วม  เสวนา   เป็น  ธรรมทาน  ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 ธันวาคม 2012, 21:59:38 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2012, 00:02:27 »

ขอร่วมสนทนาตามความรู้ที่ได้ปฎิบัติมา(อันอ่อนด้อยของผม) สมถะ ก้อคือสมาธิ ทำให้จิตตั้งมั่นในอารมเดียวหรืออยู่กับลมหายยใจ ให้ได้ หรือจะอยู่กับอุเบกขา ความเฉยๆก้อได้ ส่วนวิธีการทำให้เกิดสมถะหรือสมาธิ มีมากมาย แค่นี้ก่อนนะครับสำหรับสมถะ
ต่อไปวิปัสสนา สำหรับผมคือการพิจราณาหรือเฝ้าดูจิตของตัวเองว่ามันหลุดออกจากสมาธิหรือสมถะตอนใหนตามให้ทันแล้วรีบดึงมันกลับมาอย่าปล่อยให้มันเพลินไปในความคิดทุกสิ่งแล้วตั้งมั่นในสมถะใหม่ จิตดับจากสมถะคือรูปดับจิตไปรับรู้อารมความนึกคิดใหม่คือนามเกิด ดุจิตให้ทันมัน ดึงกลับมา แค่นี้รูปนามเกิดดับแล้ว นี้คือวิปัสนาพิจรณาจิตให้เห็นการเกิดดับ ตามคำสอนของพระองค์ ดึงจิตกลับมาในสมาธิให้เร็วดุจกระพิบตาพระองค์สรรเสริญว่าก้าวหน้ามีอินทรีย์ภวานาชั้นเลิศ  กราบขออภัยที่แสดงภูมิอันน้อยนิด สำหรับผมสมถะต้องมาก่อนวิปัสสนา เพราะจิตเป็นของละเอียดต้องมีสมาธิถึงจะพิจราณาจิตได้
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2012, 15:32:16 »

 

สาธุ  ครับ  ท่าน สลูแมน



IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2012, 09:36:29 »

แนวทางการปฎิบัติภาวนาในศาสนาพุทธมี 4 ดังนี้
 
1. แนวสมถยานิก หรือสมาธินำปัญญา หรือแนวพระป่า ในพระไตรปิฎก
   จะเรียกว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า คือการที่ทำสมถะจนถึง
   ฌานสองขึ้นไป แล้วเอาผู้รู้ที่เกิดในฌานมาเจริญวิปัสสนา เมื่อตัวผู้รู้หมดกำลังลง
   ก็ต้องเริ่มต้นทำสมาธิใหม่ ทำแบบนี้สลับกันไปมา ๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาว่างมากๆ
   และจริตนิสัยไปทาง ประเภทรักสวยรักงาม รักสงบ
 
2. แนววิปัสสนายานิก หรือปัญญานำสมาธิ ในพระไตรปิฎกจะเรียกว่า
   เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า คือการเจริญสติ ตามรู้กาย
   ตามรู้ใจ ตามความเป็นจริงเลย เพราะขณะเจริญสติจะเกิดการสลับระหว่าง
   สมถะและวิปัสสนา เหมาะสำหรับคนทำงานอย่างเรา ๆ ที่ไม่มีเวลาว่างในการทำสมาธิ
   เพราะต้องยุ่งกับงานทั้งวัน จริตนิสัยไปทาง คนที่ชอบคิด จ้าวความคิด จ้าวความเห็น
 
3. แนวสมาธิควบปัญญา ในพระไตรปิฎกจะเรียกว่า เจริญสมถะและวิปัสสนา
    ควบคู่กันไป

4. แนวนี้ไม่รู้จะเรียกอะไรแต่ในพระไตรปิฎกเรียกว่า ใจของภิกษุปราศจาก
 อุทธัจจะในธรรม สมัยนั้น จิตนั้นย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน เป็นจิตเกิด
 ดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ (ตามความเข้าใจของผม จะหมายถึง อภิญญา
 ที่มีชื่อว่า อาสวักขยญาณ)  [
 
แนวทางนี้มีบันทึกอยู่ใน ยุคนัทธสูตร พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ซึ่งพระอานนท์ได้
กล่าวถึง ภิกษุที่บรรลุอรหันต์ในสำนักท่านที่มีอยู่
โดยมีรายละเอียดในพระสูตรดังนี้
 

[๑๗๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้เมือง-
 *โกสัมพี ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสภิกษุทั้งหลาย
 ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูกรอาวุโส
 ทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม ย่อมพยากรณ์การบรรลุ
 อรหัตในสำนักของเราด้วยมรรค ๔ โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
 ในบรรดามรรค ๔ ประการนี้ มรรค ๔ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้
 เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า เมื่อเธอเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องหน้า
 มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ
 เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อม-
 *สิ้นสุด ฯ
 อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า เมื่อเธอ
 เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องหน้า มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ ย่อมเจริญ
 ย่อมกระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น
 ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
 อีกประการหนึ่ง ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป เมื่อเธอ
 เจริญสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป มรรคย่อมเกิด เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำ
 ให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละ
 สังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ฯ
 อีกประการหนึ่ง ใจของภิกษุปราศจากอุทธัจจะในธรรม สมัยนั้น จิตนั้น
 ย่อมตั้งมั่น สงบ ณ ภายใน เป็นจิตเกิดดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้นแก่เธอ
 เธอย่อมเสพ เจริญ กระทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อเธอเสพ เจริญ กระทำ
 ให้มากซึ่งมรรคนั้น ย่อมละสังโยชน์ทั้งหลายได้ อนุสัยย่อมสิ้นสุด ดูกรอาวุโส
 ทั้งหลาย บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม ย่อมพยากรณ์การบรรลุอรหัต
 ในสำนักของเรา ด้วยมรรค ๔ ประการนี้ โดยประการทั้งปวง หรืออย่างใด
 อย่างหนึ่ง บรรดามรรค ๔ ประการนี้ ฯ


อย่างไรก็ตาม อรรถกถาสรุปว่า ไม่ว่าจะเจริญวิปัสสนาโดยมีสมถะนำหน้า หรือเจริญสมถะโดยมีวิปัสสนานำหน้าก็ตาม เมื่อถึงขณะที่อริยมรรคเกิดขึ้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาจะต้องเกิดขึ้นด้วยกันอย่างควบคู่เป็นการแน่นอนเสมอไป ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าโดยหลักพื้นฐานแล้ว สมถะและวิปัสสนาก็คือองค์ของมรรคนั่นเอง วิปัสสนาได้แก่สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ สมถะได้แก่องค์มรรคที่เหลืออีก 6 ข้อ ซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่องค์มรรคเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในขณะบรรลุอริยภูมิ

IP : บันทึกการเข้า

saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2012, 12:58:56 »

อรรถกถา คำแต่งใหม่อธิบายใหม่ ในพระไตรปิฎก มีสองส่วน คือ คำพระองค์ กับคำอธิบายใหม่ คือ พระองค์ตรัสกับใคร แล้ว เขากลัวเราไม่เข้าใจเลยอธิบายให้เราว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้นะตามความเข้าใจของตัวเองหรือคณะตัวเองที่ทำพระไตรปิฎก พระองค์ ตรัส 1หน้า เขาอธิบายซะ100หน้าก้อมี เลย สับสนว่านี่คือคำของพระองค์ แล้วเอามาเถียงกัน นี่ฉันเอามาจากพระไตรปิฎกนะ ไม่เชื่อมาดูหน้านั้นพระสูตรนี้ พอไปดู อ้าว อรรถกถา คำแต่งใหม่อธิบายใหม่ซึ่งพระองค์ ตรัสว่า ภิษุทั้งหลายเธอจักไม่บัญญัติสิ่งที่เราไม่เคยบัญญติ และ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่เราบัญญัติไว้แล้ว มรรค8เจริญองค์ใดก้อด้าย เจริญองค์แรก ก้อได้อีก4องค์อัตโนมัต พระองค์ตรัสมรรค8 ย่อ เหลือ 3 คือศีล สมาธิ ปัญญา แล้วย่อ ให้อีก เหลือ 2 คือ สมถะ กับ วิปัสสนา สรุป เจรญสมถะ กับ วิปัสสนา คือ ทำมรรคแปดครบถ้วน แล้ว ถามต่อ วิปัสสนาคืออะไร คือ ปัณญา เห็นการเกิด และดับ ของจิต ถาม แล้วมันมีประโยชน์อะไร เห็นเกิด คือเห็นสมุทัย เห็นดับ คือ นิโรธ เห็นบ่อยๆจะรู้ว่า ทุกอย่ามันคือ อนัตตา ไม่มีตัวตนจริง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทำสมถะกับวิปัสสนา 2อย่างเห็น อริยสัจ 4 ครบ เห็นอย่างที่พระองค์บรมครูของเราสอน มาศึกษา คำของพระองค์กันครับ แล้วจะรู้ว่า แก่นแท้ คืออะไร ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
Number9
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,759



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2012, 13:33:20 »



      สมถะ             กับ                วิปัสสนา

       ไก่                กับ              ไข่  
                  
                
                    อะไรเกิด  ก่อน?


    หากจะว่า

      สมถะ  เป็น  เหตุ              วิปัสสนา     เป็น  ผล            


  หากว่าอย่างนี้  ใคร ว่า  ผิด  หรือ  ถูก

เชิญ  ร่วม  เสวนา   เป็น  ธรรมทาน  ครับ



เห็นการพิมพ์ การเว้นวรรค การแยกประโยคของท่านก็มึนแล้วค่ะ  ยิ้มกว้างๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2012, 13:35:27 โดย Number9 » IP : บันทึกการเข้า
JAMESCOM1
ทักทายผมได้นะครับ Line: JAMESCOM007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,160

สอนคอม & ซ่อม เชียงราย


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 09 พฤศจิกายน 2012, 06:02:07 »

อุ่ย ง่าย ถ้าคุณเห็นอะไรก่อน สิ่งนั้นก็เกิดก่อน ถ้าเห็นอะไรหลังสิ่งนั้นก็มาทีหลัง บางที่อาจจะไม่เห็นเพราะมีเหตให้ไม่ได้มองเป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่ได้มองอาจมาทีหลังก็ได้ จริงมะ

ส่วนเรื่อง ไก่ กับ ใข่ ผมใช้สมาธิตอบ ได้คำตอบว่า ให้ไก่มาก่อน แต่ไม่ได้เกิดก่อนนะครับ อิอิ
ถ้าเอาเหตผลแบบผรั่งเพื่อการยอมรับโดยส่วนมาก ผมก็จะให้เหตผลง่ายๆว่า ถ้ามนุตย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า ไก่ รวมถึง สัตว์อื่น ๆ ต้นไม้ น้ำ อากาศ หิน ทราย ฯลฯ ก็ถูกสร้างโดยพระเจ้าเช่นกัน 555+ หลังจากนั้น จึงมีไข่ จึงมีเมล็ต หรือมีมนุตย์ ที่เกิดจาก อาดัมกับอีฟ
 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ขำๆนะครับ
IP : บันทึกการเข้า


มาทาง Big-C ถ.ศรีทรายมูล สันสลีซอย1
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 09 พฤศจิกายน 2012, 09:10:54 »

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค หมวดจิตานุปัสนา
 

[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็น
มหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิต
มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิต
อื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่
เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุด
พ้น ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็น
จิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณา
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่าง
หนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัย
ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ

จบจิตตานุปัสสนา
** ไม่มี่ข้อความในส่วนไหนเลย ที่บอกว่าเมื่อรู้แล้ว ให้ดึงจิตกลับมา
     เมื่อรู้แล้วว่าจิตเป็นอย่างไร ท่านให้รู้เฉย ๆ การดึงจิตกลับ มันจะหนัก ๆ
     เพราะอัดกลับเข้ามา มีผลต่อระบบประสาท
     มีความเห็นผิดว่าตัวเราเก่ง สามารถควบคุมจิตได้ พลาดตกจากวิปัสนา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 พฤศจิกายน 2012, 11:58:22 โดย jirapraserd » IP : บันทึกการเข้า

nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 09 พฤศจิกายน 2012, 20:51:00 »

    สาธุ ๆ ๆ  อนุโมทามิ  กับ  กัลยาณมิตร  ทุกท่าน  ที่  ร่วมเสวนา  ร่วมอ่านสาระธรรม  ครับ
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2012, 01:29:21 »

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค หมวดจิตานุปัสนา
 

[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิต
ปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็น
มหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต จิต
มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิต
อื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่
เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุด
พ้น ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในบ้าง พิจารณาเห็น
จิตในจิตภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณา
เห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่าง
หนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัย
ระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ
ในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ

จบจิตตานุปัสสนา
** ไม่มี่ข้อความในส่วนไหนเลย ที่บอกว่าเมื่อรู้แล้ว ให้ดึงจิตกลับมา
     เมื่อรู้แล้วว่าจิตเป็นอย่างไร ท่านให้รู้เฉย ๆ การดึงจิตกลับ มันจะหนัก ๆ
     เพราะอัดกลับเข้ามา มีผลต่อระบบประสาท
     มีความเห็นผิดว่าตัวเราเก่ง สามารถควบคุมจิตได้ พลาดตกจากวิปัสนา
อันนี้ผมถามคุณนะครับ เมื่อคุณมีสติ รู้ว่าจิตคุณรับรู้อะไรแล้วคุณทำไงต่อครับ คุณวางจิตไว้ตรงใหน ถามคุณนะครับ (เมื่อรู้แล้วว่าจิตเป็นอย่างไร ท่านให้รู้เฉย ๆ การดึงจิตกลับ มันจะหนัก ๆ)แล้วไอ้ตัวรู้เฉยๆนี่มันคือจิตใช่มั้ยครับหรือสติ ใครเป็นคนรู้ครับ แล้วให้ปล่อยจิตไปใครจะเป็นคนรู้ครับ (เพราะคุณบอกการดึงจิตกลับมามันจะหนักๆ การดึงจิตกลับ มันจะหนัก ๆ
     เพราะอัดกลับเข้ามา มีผลต่อระบบประสาท) ที่คุณพูดปล่อยไปนี่คือจิตใช่มั้ยครับ แล้วใครจะเป็นผู้รู้เฉยๆครับ ใครเป็นคนรู้ว่าจิิตออกไป ตอบหน่อยครับ
IP : บันทึกการเข้า
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2012, 16:33:39 »

จิตดวงถัดไป ที่ต่อจากจิตที่หลงไป
จิตที่หลงไป เรียกว่า อกุศลจิต
จิตดวงถัดไป ที่ไปรู้ คือ มหากุศลจิต

จิตไม่มีที่ตั้ง เกิดดับสืบเนื่องกันไป มีช่องว่างมาคั่น เรียกว่า ภวังคจิต คือรอยต่อ
ของจิตแต่ละดวง

รู้กับหลง คือ เกิดกับดับ สืบเนื่องกันไป
การที่จิตดวงถัดไป ไปรู้ว่าจิตดวงแรกมันหลงไป เพราะมันจำสภาวะธรรมได้แม่น
ว่าจิตดวงแรกมันหลงไป และเกิดสมาธิตั้งมั่นมาชั่วขณะนึง เรียกว่า ขณิกะสมาธิ
เกิดเอง ไม่ได้เชื้อเชิญให้เกิด
IP : บันทึกการเข้า

saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 10 พฤศจิกายน 2012, 20:18:32 »

สาธุ ครับ ที่ร่วมสนทนาธรรมครับ งั้นเราเข้าใจตรงกันนะครับว่าจิตเกิดดับ ถามต่อนะครับ แล้วจิตตัวที่รู้จะรู้ได้ยังไรครับถ้าไม่มีสติหรือรู้ขึ้นมาเองท่านเรียกตัวรู้นั้นว่าอะไร แล้วจิตก้อมีที่ตั้งครับตั้งอยู่ในขันธ์ทั้งสี่ เกิดดับในขันธ์ทั้งสี่ เกิดดับในแต่ละขันธ์ตลอดวันตลอดคืน ถึงจะเป็นจิตดวงที่รู้จิตเก่าที่ดับ จิตดวงที่รู้ก้อดับเช่นกัน พุทธองค์ให้วางจิตอยู่กับเสาเขื่อนเสาหลัก คือกาย หรือ กายคตาสติ พอจิตหลุดไปหรือดับจากลมหายใจ ก้อมีสติดึงจิตดวงที่เกิดใหม่ให้เกาะกับลม ให้นานที่สุดผมเรียกว่าดึงส่วนท่านจะเรียกว่าให้มาเกาะหรืออะไรก้อแล้วแต่ แต่นานขนาดใหนมันก้อดับ แล้วตัวสติที่เฝ้าดูจิตที่เกิดดับ พิจราณาเห็นเกิดดับในแต่ละขันธ์ ผมพลาดจากวิปัสสนาตรงใหนครับ ในเมื่อมันเป็นจิตตานุปัสสนา พิจราณาเห็นจิตในจิต หรือเห็นกายในกาย หรือเห็นธรรมในธรรม หรือ เวทนาในเวทนา สติสัมโพชฌงค์เกิด .. ก้อในเมื่อท่านกับผมเห็นอย่างเดียวกันว่าจิตเกิดดับ ท่านจะว่าผมดึงจิตกลับมาทำไม ท่านคือคนเดียวกันที่ถามกับตอบหรือปล่าว? สาธุครับ แล้วคำว่าขนิกสมาธิ อุปจารสมธิ อัปปนาสมาธิ อะไรนี่ พุทธองค์ก้อไม่เคยตรัสตลอดทั้งชีวิตครับ สมาธิมี9ระดับ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปครับ ..ผมแค่คนปฎิบัติที่หาทางพ้นทุกข์แค่นั้น
IP : บันทึกการเข้า
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2012, 15:50:14 »

**---------------------------------------------**
แล้วจิตก้อมีที่ตั้งครับตั้งอยู่ในขันธ์ทั้งสี่ เกิดดับในขันธ์ทั้งสี่ เกิดดับในแต่ละขันธ์ตลอดวันตลอดคืน
**---------------------------------------------**
พุทธองค์ให้วางจิตอยู่กับเสาเขื่อนเสาหลัก คือกาย หรือ กายคตาสติ พอจิตหลุดไปหรือดับจากลมหายใจ ก้อมีสติดึงจิตดวงที่เกิดใหม่ให้เกาะกับลม ให้นานที่สุด
**----------------------------------------------**

เอามาจากตำราไหนครับ หรือได้ยิน ได้ฟัง รับรู้มาจากใครครับ

**-------------------------------------------------**
พุทธองค์ให้วางจิตอยู่กับเสาเขื่อนเสาหลัก คือกาย หรือ กายคตาสติ พอจิตหลุดไปหรือดับจากลมหายใจ ก้อมีสติดึงจิตดวงที่เกิดใหม่ให้เกาะกับลม ให้นานที่สุดผมเรียกว่าดึงส่วนท่านจะเรียกว่าให้มาเกาะหรืออะไรก้อแล้วแต่ แต่นานขนาดใหนมันก้อดับ แล้วตัวสติที่เฝ้าดูจิตที่เกิดดับ
**--------------------------------------------------**
มันเป็นสมถะกรรมฐาน และวิปัสนากรรมฐาน ในแบบของคุณ ถ้าคุณคิดว่ามันดีอยู่แล้ว
และถูกต้องก็ทำต่อไปเถอะครับ และที่คุณพูดมา ผมก็ไม่ทราบว่าคุณทำวิปัสนาในหมวดใหน เท่าที่อ่านทำทั้งสองหมวด ทั้ง กายา และจิตตา  สติ และความรู้สึกตัว ผมก็ไม่ทราบ
ว่าคุณสร้างมันมาด้วยวิธีไหน จนมันกลายมาเป็นตัวรู้


**  ความรู้สึกที่หนัก ๆ แน่น ๆ แข็ง ๆ ซึม ๆ ทื่อ ๆ  ผิดแน่นอน
**  ความรู้สึกเบา ๆ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2012, 16:09:18 โดย jirapraserd » IP : บันทึกการเข้า

saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 12 พฤศจิกายน 2012, 01:05:37 »

สาธุครับ ผมศึกษาคำสอนของ พุทธองค์พระพุทธเจ้าครับ ตอบที่ถาม
 พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทละ ๕ๆ ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้
ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้วมีอยู่แล พวกเรา
ทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พึงแก่งแย่งกันในธรรมนั้นการที่พรหมจรรย์นี้พึงยั่งยืน
ตั้งอยู่นานนั้น พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่อความอนุเคราะห์
แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมมีประเภท
๕ เป็นไฉน
      ขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปขันธ์            [กองรูป]
๒. เวทนาขันธ์         [กองเวทนา]
๓. สัญญาขันธ์          [กองสัญญา]
๔. สังขารขันธ์         [กองสังขาร]
๕. วิญญาณขันธ์         [กองวิญญาณ] ฯ
 วิญาณตั้งอยู่ในกองขันธ์ ครับหรือของคุณไปอยู่นอกเหนือจากนี้ครับ
ต่อ กายคาสติ ที่ถาม
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังวรย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำว่า หลักหรือ
เสาอันมั่นคงนั้น เป็นชื่อของกายคตาสติ เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า กาย
คตาสติ เราทั้งหลายจักอบรม กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง
สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
สีลานุสสติ... จาคานุสสติ...เทวตานุสสติ...  อานาปานสติ...  มรณสติ...  กายคตาสติ...
อุปสมานุสสติดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อ
ความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯ

พระองค์สอนเกี่ยวกับกายคสติ เป็น100ๆพระสูตร ไปหาอ่านดู
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในนาทิกคาม แล้ว ตรัส
เรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยัง    เมืองเวสาลี ท่าน
พระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงเมืองเวสาลีแล้ว ได้ยินว่า   พระผู้มีพระภาคประทับในอัมพปาลีวัน เขตเมือง
เวสาลีนั้น ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ อยู่ นี้เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับเธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า
ภิกษุจึงจะ   ชื่อว่าเป็นผู้มีสติ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณา  เห็น
เวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นผู้มีเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอย่างนี้แล    ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้มีสติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ ประกอบด้วยสัมปชัญญะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ตัวรู้ของผมครับ แล้วของคุณเอามาจากใหน ไ้อ้แข็งๆทื่อๆซึมๆอะไรนั่นครับ
IP : บันทึกการเข้า
saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 12 พฤศจิกายน 2012, 01:27:21 »

ขออนุญาติต่อจากข้างบน อีกนิดครับ แค่เห็นกายในกาย กายคตาสติ สติปัฎฐานสี่ครบถ้วนสมบรูณไม่ต้องมานั่งทำที่ละตัวอย่างที่คุณบอกนะครับ ครับ ตัวรู้คือสติ สัมปชัญญะ ครับคุณยังไม่ตอบผมนะครับ ของคุณเรียกว่าอะไร ในเมื่อคุณว่าของผมไม่ใช่ แล้วจิตวิญญานของคุณไปตั้งอยู่ตรงใหน ถ้าไม่ใช่ขันธ์5 ครับ แล้วตอบไอ้แข็งทื่อๆซึ่มๆเบาสบายๆด้วยนะครับว่ามันมาจากใหนถ้าไม่ใช่ในขันธ์ 5 กองเวทนา กรุณาตอบให้ตรงคำถามเพื่อปัญญาของกระผมด้วยเทิด ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
jirapraserd
magdafVE
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 692


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 12 พฤศจิกายน 2012, 17:32:00 »

สาธุครับ ผมศึกษาคำสอนของ พุทธองค์พระพุทธเจ้าครับ ตอบที่ถาม
 พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมมีประเภทละ ๕ๆ ที่พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้
ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบแล้วมีอยู่แล พวกเรา
ทั้งหมดด้วยกัน พึงสังคายนา ไม่พึงแก่งแย่งกันในธรรมนั้นการที่พรหมจรรย์นี้พึงยั่งยืน
ตั้งอยู่นานนั้น พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่อความอนุเคราะห์
แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูลเพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ธรรมมีประเภท
๕ เป็นไฉน
      ขันธ์ ๕ อย่าง
๑. รูปขันธ์            [กองรูป]
๒. เวทนาขันธ์         [กองเวทนา]
๓. สัญญาขันธ์          [กองสัญญา]
๔. สังขารขันธ์         [กองสังขาร]
๕. วิญญาณขันธ์         [กองวิญญาณ] ฯ
 วิญาณตั้งอยู่ในกองขันธ์ ครับหรือของคุณไปอยู่นอกเหนือจากนี้ครับ
ต่อ กายคาสติ ที่ถาม
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๘
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังวรย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย  คำว่า หลักหรือ
เสาอันมั่นคงนั้น เป็นชื่อของกายคตาสติ เพราะเหตุนั้นแล เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า กาย
คตาสติ เราทั้งหลายจักอบรม กระทำให้มาก กระทำให้เป็นดังยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง
สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
สีลานุสสติ... จาคานุสสติ...เทวตานุสสติ...  อานาปานสติ...  มรณสติ...  กายคตาสติ...
อุปสมานุสสติดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่งนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อ
ความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯ


คุณอ่านและคุณเข้าใจในมุมของคุณแบบนั้น ก็ถูกในแบบของคุณ

แต่ผมอ่านแล้ว แต่ไม่ใช่ที่คุณโพสมา ผมเข้าใจอีกแบบนึง ในมุมของผมเอง
เหตุผลเหรอครับ

เพราะ จิต ความหมายมันก็คือ ธรรมชาติรู้
และผมไม่มีความรู้สึกเลย ว่าจิตผมมันตั้งอยุ่ ตรงนั้น ตรงนี้ ในร่างกาย หรือในจิตใจ
ส่วนใด ๆ เลย

แต่มีความรู้สึกว่า

จิตที่มันรับรู้ทางตา มันเกิด แล้วมันก็ดับหายไป (เรียกว่า จักขุวิญญาณจิต)
จิตที่มันเกิดทางหู มันเกิด แล้วมันก็หายไป
มันสลับกัน มอง นึกคิด ได้ยิน นึกคิด คนธรรมดาก็เป็นแบบนี้ทุกคน
อยู่เฉย ๆ มันก็นึกคิดของมันเอง

ที่นี้พอเอาจิตมันมาตั้งปุ๊บ ตั้งลงเสาที่ว่านี้แหละ คือกลางอกเรา กลางตัวเรา
เริ่มด้วยการตั้งท่าก่อน จะเอาละน๊ะ (บิดเบือนความเป็นจริงของกายของใจ)
มันจะเริ่มมีความรู้สึก ตึง ๆ  เกร็ง ๆ เหมือนมันเป็นก้อน ๆ  พอจิตมันทำหน้าที่ปรุงแต่งอะไร
มันจะเคลื่อนจากตรงจุดเสาหลักนี้ไป  ไม่ให้มันไป หรือรู้แล้วว่ามันไป ก็ดึงกลับมันมาที่เสาหลักเหมือนเดิม  มันก็หมายถึง การทำสมถะกรรมฐาน การที่เอาจิตไปแนบกับเสานั่นแหละ
คือการบังคับจิต พอเพ่งมาก ๆ เข้า ๆ  ความรู้สึกว่าร่างกายเรามี มันจะค่อย ๆ จางหายไป
เพราะจิตมันไม่สนใจร่างกายแล้ว มันไปสนใจแนบอยู่กับเสาที่ว่านี่แหละ มันไปสร้างเสานี้มาแทน ที่มันไปแนบกับเสานี้มันยังไม่ใช่ตัวรู้  แต่มันกำลังเพิ่มพลังให้กับจิต เพื่อก่อเป็นตัวรู้
ขึ้นมา จนกว่าจิตมันจะสลัดเสานี้ทิ้งไป ตัวรู้มันถึงจะเด่นดวงออกมา มันจะสักแต่รู้อยู่เฉย ๆ
รู้แล้วปล่อย ไม่แทรกแซง  แต่ถ้าจิตมันยังสลัดเสาออกไปไม่ได้ ม้นก็จะแช่ซื่อบื้ออยู่แบบนั้น
จนมันออกจากสมาธิ มันจะมึน ๆ งง ๆ ทื่อ  ๆ  เหมือนคนตื่นนอนใหม่ ๆ เพราะจิตมันโดน
บังคับเพ่งแนบติดกับเสา จนมันเครียดติดออกมาถึงโลกข้างนอก  แต่มันมีความรู้สึกภูมิใจ
ว่าวันนี้ทำสมาธิได้เก่ง เข้าสมาธิได้ลึก บังคับได้  วันอื่น ๆ ไปทำอีก มันไม่เหมือนเดิม
เพราะ จิตมันสอนธรรมมะให้เรา ว่า ไม่มีใครบังคับจิตได้ และจิตก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา





IP : บันทึกการเข้า

saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 12 พฤศจิกายน 2012, 21:54:39 »

                 อะไรครับ งง ?
คุณอ่านและคุณเข้าใจในมุมของคุณแบบนั้น ก็ถูกในแบบของคุณ

แต่ผมอ่านแล้ว แต่ไม่ใช่ที่คุณโพสมา ผมเข้าใจอีกแบบนึง ในมุมของผมเอง
เหตุผลเหรอครับ

เพราะ จิต ความหมายมันก็คือ ธรรมชาติรู้
และผมไม่มีความรู้สึกเลย ว่าจิตผมมันตั้งอยุ่ ตรงนั้น ตรงนี้ ในร่างกาย หรือในจิตใจ
ส่วนใด ๆ เลย

แต่มีความรู้สึกว่า

จิตที่มันรับรู้ทางตา มันเกิด แล้วมันก็ดับหายไป (เรียกว่า จักขุวิญญาณจิต)
จิตที่มันเกิดทางหู มันเกิด แล้วมันก็หายไป
มันสลับกัน มอง นึกคิด ได้ยิน นึกคิด คนธรรมดาก็เป็นแบบนี้ทุกคน
อยู่เฉย ๆ มันก็นึกคิดของมันเอง

ที่นี้พอเอาจิตมันมาตั้งปุ๊บ ตั้งลงเสาที่ว่านี้แหละ คือกลางอกเรา กลางตัวเรา
เริ่มด้วยการตั้งท่าก่อน จะเอาละน๊ะ (บิดเบือนความเป็นจริงของกายของใจ)
มันจะเริ่มมีความรู้สึก ตึง ๆ  เกร็ง ๆ เหมือนมันเป็นก้อน ๆ  พอจิตมันทำหน้าที่ปรุงแต่งอะไร
มันจะเคลื่อนจากตรงจุดเสาหลักนี้ไป  ไม่ให้มันไป หรือรู้แล้วว่ามันไป ก็ดึงกลับมันมาที่เสาหลักเหมือนเดิม  มันก็หมายถึง การทำสมถะกรรมฐาน การที่เอาจิตไปแนบกับเสานั่นแหละ
คือการบังคับจิต พอเพ่งมาก ๆ เข้า ๆ  ความรู้สึกว่าร่างกายเรามี มันจะค่อย ๆ จางหายไป
เพราะจิตมันไม่สนใจร่างกายแล้ว มันไปสนใจแนบอยู่กับเสาที่ว่านี่แหละ มันไปสร้างเสานี้มาแทน ที่มันไปแนบกับเสานี้มันยังไม่ใช่ตัวรู้  แต่มันกำลังเพิ่มพลังให้กับจิต เพื่อก่อเป็นตัวรู้
ขึ้นมา จนกว่าจิตมันจะสลัดเสานี้ทิ้งไป ตัวรู้มันถึงจะเด่นดวงออกมา มันจะสักแต่รู้อยู่เฉย ๆ
รู้แล้วปล่อย ไม่แทรกแซง  แต่ถ้าจิตมันยังสลัดเสาออกไปไม่ได้ ม้นก็จะแช่ซื่อบื้ออยู่แบบนั้น
จนมันออกจากสมาธิ มันจะมึน ๆ งง ๆ ทื่อ  ๆ  เหมือนคนตื่นนอนใหม่ ๆ เพราะจิตมันโดน
บังคับเพ่งแนบติดกับเสา จนมันเครียดติดออกมาถึงโลกข้างนอก  แต่มันมีความรู้สึกภูมิใจ
ว่าวันนี้ทำสมาธิได้เก่ง เข้าสมาธิได้ลึก บังคับได้  วันอื่น ๆ ไปทำอีก มันไม่เหมือนเดิม
เพราะ จิตมันสอนธรรมมะให้เรา ว่า ไม่มีใครบังคับจิตได้ และจิตก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา
*......................................*
คุณไม่เคยศึกษาคำศาสดา ไม่แทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็น ก้อมาสร้างมรรควิธีของตัวเอง ขนาดผมยกพระสูตรที่พระองค์สอนบ่อยสอนมากเป็นวิธีที่พระองค์สรรเสริญมาก
ตอบทุกคำถามด้วยพระสูตรคำของพุทธองค์ คุณยังคัดง้างคำของพระพุทธเจ้า ว่าวิธีของคุณดีกว่าเลิศกว่า งั้นคุณก้อเก่งกว่าพระศาสดาสิครับ ขนาดคำพระองค์คุณยังคัดง้าง สรุปคุณเป็นสาวกใครครับ
แล้วจะบอกให้นะครับ คำว่ากายคือเสาหลัก ไม่ใช้ให้ไปตั้งจิตที่ กลางหน้าอก ปลายจมูกไรทั้งนั้นพระองค์ไม่เคยสอน คุณเข้าเจ้าตามภมิปัญญาของคุณเอง พระองค์ให้รู้ลมหายใจ พระองค์ตรัส ลมหายใจก้อคือ กายอันหนึ่งในกายทั้งปวง ตรัสด้วย อานาปนสติ คุณไม่เคยศึกษา คำพระองค์ ก้อว่าไม่ดี ไม่ถูก ไม่ใช่ ถ้างั้นคุณก้อเป็นศาสดา เองเลยครับ ในเมื่อ วิธีของคุณดีกว่า ของพระองค์ ส่วนผม เป็นสาวกแปลว่าผู้ฟังคำสอน ผมฟังแต่ของพุทธองค์
IP : บันทึกการเข้า
saluman
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 46


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 12 พฤศจิกายน 2012, 22:36:14 »

                          ที่ตั้งแห่งวิญญาน
                    ให้กับผู้ที่จะศึกษาคำพระองค์
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๗
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเข้า
ถึง (ด้วยอำนาจตัณหา มานะ ทิฏฐิ) เป็นความไม่หลุดพ้น ความไม่เข้าถึง เป็นความหลุดพ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณเข้าถึงรูปก็ดี เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ วิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูป
เป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ฯลฯ วิญญาณที่มี
สังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติการมา การไป จุติ อุปบัติ
หรือความ(เจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร ข้อนี้ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้). ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัดในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ใน
สังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะละความกำหนัดเสียได้ อารมณ์
ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอันไม่มีที่ตั้ง ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุด
พ้นไป เพราะหลุดพ้นไป จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่
สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
                  จบ สูตรที่ คำสอนเกี่ยวกับวิณญาณ
สำหรับสาวกพระพุทธเจ้าครับ
IP : บันทึกการเข้า
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2012, 06:58:04 »

พี่  คุยเรื่องอะไรกันหรือคะ ?  ทำไมหนูไม่รู้เรื่องเลย
IP : บันทึกการเข้า
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2012, 07:19:05 »

เพิ่งคิดออก (ตอนไปเข้าห้องน้ำ )
เรื่อง  ความคิดกู  หรือเปล่าคะ ?
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!