เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 11:33:26
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  มาฟังนิทาน, เรื่องตลก, ขำขัน 108 พันเก้า
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 พิมพ์
ผู้เขียน มาฟังนิทาน, เรื่องตลก, ขำขัน 108 พันเก้า  (อ่าน 144208 ครั้ง)
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #100 เมื่อ: วันที่ 21 ตุลาคม 2010, 21:45:26 »

เรื่องที่ 77 "หมาขนคำ”
      นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานพื้นบ้านของจังหวัดลำปางครับ  กาลครั้งหนึ่ง…นานมาแล้ว
มีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียไว้หนึ่งตัว ในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้าริมดอยวัดม่วงคำ(เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กสาวน่ารักสองคน แม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่ ลูกสาวฝาแฝดโตเป็นสาว คนพี่ชื่อ นางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตองกิตติศัพท์ ความงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง   เมื่อพระยาเจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ขบวนวอทองก็ไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้อง  แสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาเจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง  ฝ่ายแม่หมา  เมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผาที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนดำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้  ร้อนถึงพระอินทร์ที่เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บวิ่งหนีไป แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง นางบัวตองรีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษา ให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่าจะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย พระอินทร์จึงได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง เมื่อพระยาเจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าอีกครั้งหนึ่ง นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่อยู่ของยักษ์   ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก ยักษ์จึงหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวัง ฝ่ายนางเจตะกา เมื่อทราบข่าวว่านางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง นางจึงอาสาพระยาเจ้าเมืองจะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า เมื่อไปถึงผาสามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะกากินเป็นอาหาร แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก  สถานที่แห่งนี้จึงเรียกว่าโทกหัวช้างในปัจจุบัน ( อยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง )
                         ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #101 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2010, 12:28:00 »

เรื่องที่ 78 "ฟลุ๊ค"
         ผมกับแฟนคบกันมาได้ปีกว่าแล้วและเราตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน พ่อแม่ของผม คอยช่วยเหลือเราในทุก ๆ ทาง เพื่อน ๆ ก็ล้วนแต่ให้กำลังใจ  ส่วนแฟนของผมน่ะเหรอ? ...... เธอเป็นความฝันของผมเลย ล่ะ  แต่มันมีอยู่อย่างนึงที่รบกวนจิตใจผมเหลือเกิน.....ให้ตายเถอะ!   สิ่งเดียวที่ว่านั้นก็คือน้องสาวของแฟนผมนั่นเอง  เธออายุ 21 ปี และชอบนุ่งมินิสเกิร์ตฟิตเปรี๊ยะ ตัวสั้นจู๋  เวลาที่เธอเข้ามาใกล้ ๆ ผมเธอมักจะชอบก้มตัว
ให้ผมได้แอบเห็นกางเกงในของเธอทุกที........ผมรู้ว่าเธอจงใจ เพราะไม่เคยเห็นเธอทำอย่างนี้กับใครเลย   มีอยู่วันนึงน้องสาวแฟนผม ก็โทรมาหาผมและขอให้ผมไปช่วยเช็ค
การ์ดแต่งงานที่บ้านพอผมไปถึง จึงได้รู้ว่า เธออยู่บ้านคนเดียว  เธอกระซิบที่ข้างหูผมว่า อีกไม่นานผมก็จะแต่งงานกับพี่สาวของเธอแล้ว  เธอเองมีความรู้สึกและความต้องการบางอย่างที่เธอเอาชนะมันไม่ได้  และเธอไม่ต้องการจะเอาชนะความรู้สึกนั้นด้วย.....เธอบอกว่าเธออยากจะมีอะไรกับผม  แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่ผมจะแต่งงานและใช้ชีวิตร่วมกับพี่สาวเธอ  ผมช็อคไปเลย พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว......เธอบอกว่า เธอจะขึ้นไปรอข้างบนห้องนอน...ถ้าผมอยากจะให้มันเป็นไปอย่างที่เธอว่า ก็ให้ตามเธอขึ้นไป
ผมนิ่งอึ้งไปหมด และมองเธอก้าวขึ้นบันได้ไปพอเธอขึ้นไปถึงขั้นบนสุดเธอก็ถอดกางเกงชั้นในออกแล้วโยนมันลงมาข้างหน้าผม  ในวินาทีนั้นเอง ผมลุกขึ้นยืน...และรีบเปิดประตูบ้านออกเดินตรงไปที่รถทันที สิ่งที่ผมพบ คือว่าที่พ่อตาของผมกำลังยืนอยู่ข้างนอกบ้านดวงตาของเขาเอ่อนองไปด้วยน้ำตา เขาเข้ามาสวมกอดผม และพูดว่า"พวกเราดีใจเหลือเกินที่คุณผ่านการทดสอบเล็กน้อยครั้งนี้มาได้ เราคงหาผู้ชายที่ดีกว่านี้ให้ลูกสาวของเราไม่ได้อีกแล้วล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรา"
     นิทานเรื่องนี้  สอนให้รู้ว่า....จงเก็บถุงยางไว้ในรถของท่าน เสมอ. 55555
                         ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #102 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 10:54:25 »

เรื่องที่ 79 "ขายปัญญา"
         ในกาลก่อนนั้น สติปัญญาความรู้ ความเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องนั้น มีการนำเอามาขายดังสินค้าต่าง ๆ ทั่วไปเหมือนเช่นปัจจุบันนี้ ดังนั้น ตลอดเวลาจะมีผู้นำเอาความรู้หรือเอาตัวปัญญานี้มาขายเสมอ  วันหนึ่งในเวลาบ่าย แดดร้อนจัดจนเป็นเปลว มีชายคนหนึ่งนำเอาปัญญามาขาย โดยบรรจุตัวปัญญาลงในกระทอจนเต็มแล้ว หาบผ่านเปลวแดดมาจนถึงประตูเมือง ครั้นจะเข้าไปทันทีก็เกรงว่าอากาศร้อน ๆ เช่นนี้จะทำให้อารมณ์ของตนเสียไปได้  เขาจึงสอดส่ายสายตาดูร่มไม้ใหญ่บริเวณรอบ ๆ ในที่สุดก็มองเห็นร่มหว้าใหญ่ใบตก มีร่มแผ่กว้างน่าพัก เขาจึงแวะเข้าไปแล้ววางหาบตัวปัญญาที่จะนำมาขายลง แล้วเอนหลังหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน  จวบจนตะวันบ่ายคล้อยลง ความร้อนจึงค่อยบรรเทา ชายนั้นตื่นขึ้นแล้วไปล้างหน้าในสระน้ำใกล้กำแพงเมือง ตั้งใจว่าพอเสร็จธุระแล้วนำเอาตัวปัญญาเข้าไปเสนอขายในเมืองทันที  ขณะที่เขาเตรียมจัดหาบเพื่อจะเข้าไปในเมืองอยู่นั้น พอดีมีหมู่คนประมาณ ๔ – ๕ คนออกจากประตูเมืองมา เมื่อมาถึงใต้ร่มหว้า ชายที่นำเอาตัวปัญญามาขายจึงร้องถามออกไปว่า  "พี่น้องทั้งหลาย ในพวกท่านมีใครบ้างไหมที่ต้องการซื้อเอาปัญญาไปไว้ใช้บ้าง”  ชาวบ้านเหล่านั้นหันหน้ามาดูตากัน คนหนึ่งในพรรคพวกจึงถามว่า  "ท่านเอ๋ย ปัญญานั้นมันเป็นเสมอแก้วสารพัดนึก ซึ่งจะดลบันดาลให้ท่านล่วงรู้และสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ที่แปลก ๆ ใหม่ได้อีกมากมายโดยไม่รู้จักจบสิ้น ปัญญาจะช่วยให้บ้านเมืองที่ล้าหลังเจริญก้าวหน้า” ชายคนหนึ่งในพวกนั้นอุทานออกมาด้วยความพอใจ"โอโฮ" ยังงั้นปัญญาก็เป็นแก้วสารพัดนึกละซิที่จะสามารถดลบันดาลสิ่งที่ต้องการได้ ทุกอย่าง นอกจากนั้นปัญญายังช่วยให้เราล่วงรู้สิ่งที่เรายังไม่รู้ด้วยใช่ไหม ”  ชายพ่อค้าพยักหน้าและรับปากว่า ‘’จริงทีเดียว พวกท่านเข้าใจอย่างถูกต้อง ปัญญาเปรียบเหมือนดวงแก้วที่จะส่องสว่างขจัดความโง่เขลาให้หายไปอย่างไรล่ะ พวกท่านมีใครต้องการบ้างไหมเล่า เรากำลังนำมาเสนอขายจนถึงบ้านของท่านล่ะ‘’ ชายคนหนึ่งในหมู่คนนั้นอยากจะลองดูว่า ผู้เอาปัญญามาขายนั้นจะฉลาดและล่วงรู้ทุกสิ่งจริงดังที่เขากล่าวหรือไม่ เขาจึงก้มดูรอบ ๆ ต้นหว้าใหญ่นั้นอย่างพินิพิเคราะห์แล้วเอ๋ยปากถามว่า ‘’เอาละ เมื่อท่านกล่าวว่า ปัญญาจะสามารถช่วยให้เราล่วงรู้ทุกอย่าง ข้าพเจ้าขอเรียนถามท่านว่า ท่านรู้หรือไม่ว่ามีอะไรอยู่ใต้ดินตรงที่ท่านยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าหากท่านมีปัญญาจริง หวังว่าท่านคงจะตอบได้ ” ชายพ่อค้านั้นยืนเพ่งพินิจพิจารณาเป็นเวลานาน ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใต้หาบและใต้บริเวณที่ตนยืนอยู่นั้นมีอะไรอยู่เขาจึงย้อนถามไปว่า ‘’ และท่านสามารถบอกได้รหรือว่าอะไรอยู่ใต้เท้าที่เรายืนอยู่นี้ ”  ชายที่ถามพยักหน้าและตอบออกไปทันทีว่า " แม้เราจะไม่มีตัวปัญญามาขายแต่เรากล้าบอกได้ว่าใต้หาบตัวปัญญานี้มีไข่มดแดงดิน (แมงมัน) รังใหญ่ หากท่านไม่เชื่อก็ช่วยเราขุดซิ หากไม่พบดังเราว่า ยอมให้ท่านปรับเราก็แล้วกัน ”  ชายพ่อค้าคนนั้นตกลง ต่อจากนั้นคนทั้งหมดต่างช่วยกันขุดลงไปจนลึกเกือบท่วมศรีษะ จึงพบไข่มดพร้อมทั้งแม่มันจำนวนมากมายในโพรงนั้นจริง ๆ ซึ่งการกระทำครั้งนี้ ทำให้ชายพ่อค้าผู้เอาปัญญามาขายรู้สึกอับอายยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเอาหาบปัญญาเดินหมุนกลับไปทางเดิม ไม่ยอมเอาตัวปัญญามาขายให้แก่ชาวเมืองนั้นเพราะเจ็บใจที่ถูกสบประมาทซึ่ง หน้า เขาออกเดินทางไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานานจนกระทั่งไปพบคนผิวขาวได้แก่พวกฝรั่งนั่นเอง เขาจึงเอาตัวปัญญานี้นำออกขายให้ฝรั่งจนหมด และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ชาวยุโรปเจริญรวดเร็ว สามารถคิดและประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้จักจบสิ้น นอกจากนั้นยังมีการศึกษาเล่าเรียน ตลอดจนวิธีค้นคว้าซึ่งดีกว่าพวกเราเสียอีกไข่มดแดงดิน เป็นแมลงชนิดหนึ่งตัวเล็ก ๆ แม่มดตัวสีแดง ตัวเล็กมากมันจะขุดรูอยู่ลึกเวลาไข่ของมันแก่ตัว มันจะขุดขึ้นมา แล้วบินออกไปทำการผสมพันธุ์และไข่ต่อไป ทางภาคเหนือเรียกว่า"แมงมัน" รับประทานอร่อยมาก รังหนึ่ง ๆ มีไข่มากพอสมควร  ข้อคิดที่ได้รับจากนิทานเรื่องนี้ คนอวด รู้เมื่อไปพบคนที่รู้จริง สู้เขาไม่ได้ย่อมขายหน้า หรือปัญญาเป็นเรื่องของนามธรรมจะชื้อจะขายกันเหมือนวัตถุหาได้ไม่ผู้รู้แจ้งในปัญญาคือผู้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองนั่นคือประสบการณ์หรือการศึกษาด้วยการกระทำจริงนั่นเอง เหมือนชายที่รู้ได้ว่าใต้พื้นดินตรงนั้นมีไข่แมงมัน เพราะใช้ความสังเกตและเคยหากินทางนี้มาแล้วนั่นเอง
                         ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #103 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 12:13:54 »

เรื่องที่ 80 "พ่อสอนลูก"
         มีพ่อลูกคู่นึงยืนสนทนากันอยู่ ลูกกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นจึงมีคำถามเกี่ยวกันเรื่อง
         สัมพันธ์มาถามพ่อ
ลูก  – พ่อครับทำไม การมีเพศสัมพันธ์ทำให้มีความรู้สึกยังไงครับ
พ่อ  -  มันก็เหมือนกับการที่เอ็งเอานิ้วเอ็งไปแคะขี้มูกในรูจมูกของเอ็งนั่นแหละ
ลูก  –  แล้วทำไมเวลามีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงถึงร้องครวญคราง เหมือนมีความรู้สึกดีกว่า
         ผู้ชายครับ
พ่อ  -  อ้าว.. เวลาเอ็งแคะขี้มูก เอ็งรู้สึกว่า นิ้วของเอ็งดีขึ้น หรือว่ารูจมูกของเอ็งดีขึ้นล่ะ
ลูก  – ในเมื่อผู้หญิงรู้สึกดีขึ้น แล้วทำไมผู้หญิงถึงเกลียดการข่มขืนครับ
พ่อ  – มันไม่เหมือนกัน แล้วถ้าเอ็งเดินอยู่บนถนนแล้วมีคนวิ่งเอานิ้วมาทิ่มรูจมูกเอ็ง
         เอ็งจะชกเขามั้ย
ลูก   - แล้วทำไมผู้หญิงถึงไม่ชอบมีเพศสัมพันธ์กันในระหว่างมีประจำเดือน
พ่อ  – แล้วถ้าจมูกของเอ็งเลือดไหลอยู่ เอ็งจะแคะขี้มูกมั้ย..
ลูก   - ทำไมผู้ชายถึงไม่ชอบใส่ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
พ่อ  -  แล้วถ้าพ่อบังคับเอ็งใส่ถุงมือแคะขี้มูกเอ็งจะรู้สึกยังไงบ้าง
ลูก   - มีอีกคำถามครับพ่อ ผู้หญิงทำไมชอบบรรยากาศเงียบ ๆ สลัว ๆ  ขณะที่เธอมี
         ความต้องการ
พ่อ  - อ้าว..แล้วพ่อใช้ให้เอ็งแคะขี้มูก หน้าชั้นเรียนเอ็งจะทำได้มั้ย..โธ่ลูกพ่อเอ๊ย......
ลูก - “พ่อครับ พ่อเก่งจังเลย”
                       ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ


 
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #104 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 16:16:59 »

เรื่องที่ 81 "พลทหารหมอย"
         กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชา อ๊อด องค์หนึ่ง มี พระธิดา กุ้งกิ้ง ที่สวยมาก
มีปราสาทที่ใหญ่โตสวยงาม อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาอ๊อดได้รับทหารใหม่ เข้ามาทำงานในวัง 1 คน เดิมเรียกกันว่าทหาร มิก แต่ด้วยความไม่พอใจในความบ้ากามของ ทหารใหม่ ( แถมยังมีชื่อจริงคล้ายลูกสาวตนอีก) กลัวว่าจะมาทำอะไรลูกสาวตน จึงตั้งชื่อใหม่ทหารคนนั้นให้น่าเกลียดว่า "หมอย" ทหารมิก หรือทหาร หมอย ทำงานอยู่ในวังแห่งนั้น เห็นพระธิดาที่งดงามทุกวัน จนรู้สึกหลงรักพระธิดาขึ้นมาจับใจ  วันหนึ่ง "หมอย" ตั้งใจว่าจะต้องเผด็จศึกพระธิดาให้จงได้  ในคืนนั้นเอง "หมอย" ได้สำรวจปราสาทอย่างละเอียดจนรู้ว่า พระธิดาจะนอน ห้อง 339 ชั้น3 ของประสาท ห้อง 246 เป็นห้องพระราชินี   พระราชาจะนอน ห้อง 247 "หมอย" จึงปีนข้ามหอพักที่ตนพักอยู่ ข้ามไปยังปราสาท และขึ้นไปยังชั้น 3 หวังลักหลับ ธิดากุ้งกิ้งกลางดึก แต่เมื่อ "หมอย"  ปีนจาก 305 ไปหาที่ 339 ไปถึงห้องของ ธิดากุ้งกิ้ง  กลับผิดคาดเพราะธิดากุ้งกิ้งยังไม่หลับ และหันหน้ามาทางหน้าต่างพอดี ธิดากุ้งกิ้งจึงตะโกนร้องขึ้นว่า "เสด็จพ่อเพคะ หมอยขึ้นเพคะ" พระราชาอ๊อดได้ยินดังนั้นจึงตะโกนกลับมาว่า "มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะลูก" ทหาร "หมอย" ตกใจมากจึงร่วงตกจากชั้น 3 ผ่านชั้น 2 ห้อง 246 ชองราชินี ๆ เห็นพอดีจึงตะโกนไปว่า "เสด็จพี่เพคะ หมอยร่วงเพคะ"  ราชาอ๊อดจึงตะโกนกลับไปว่า
"มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติอีกนั่นแหละ เราแก่แล้วนะแม่"  ทหาร "หมอย" ตกลงถึงพื้นชั้น 2 ดังพลั้ก กระเด็นไปถึงหน้าห้องราชาพอดี (ปราสาทแห่งนี้ ห้อง 246 กับ 247 อยู่ห่างกันพอสมควร)  พอราชาเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นจึงตะโกนสั่งทหารทั้งหมดในวัง ด้วยความโกรธว่า "ทหารทั้งหมดกำจัด  "หมอย"  เดี๋ยวนี้" เมื่อสิ้นคำสั่งราชาทหารทั้งวังก็นั่งลงจัดการถอนหมอยของตนเองตาม ๆ กัน  ทำให้ทหารมิก เอ้ย ทหาร "หมอย" ตัวแสบหนีจากวังได้อย่างปลอดภัยไม่มีใครจับตัวได้! 55555
                           ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา

IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #105 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 21:55:42 »

เรื่องที่ 82 "มองโลกในแง่ดี"
           ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อสมชาย เขาได้รับการกล่าวขวัญเสมอว่า เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ชอบมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ดีตลอดเวลา ทุกครั้ง ถ้ามีใครถามเขาว่า ชีวิตเป็นอย่างไร ?  เขาจะตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้" ลูกน้องทุกคนรักในความเป็นผู้นำของเขา ถ้าลูกน้องคนไหนกำลังมีปัญหา เขาจะอยู่ใกล้ๆ และคอยปลอบให้รู้ว่า จะมองเห็นสิ่งที่ดีจากเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ จึงถามเขาว่า   "เอ็งมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ได้ตลอดเวลา?"
เขาตอบว่า "ทุกวันตอนเช้า เมื่อข้าถามตัวเองว่า วันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดี หรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้ามีสิทธิที่จะเลือก ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ หรือเลือกเรียนรู้จากเหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ฟัง “ข้ามีสิทธิ์เลือก ที่จะรับคำบ่น หรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า สุดท้าย ข้ามักจะเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ"  ผมแย้งกลับไปว่า "แต่อะไรๆ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะซิ"
เขาตอบว่า "ถูกต้อง ชีวิตคือการเลือก เมื่อเอ็งตัดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป สุดท้ายจะเลือกแค่การเลือก เอ็งมีสิทธิที่จะเลือก ตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า จะทำให้คนอื่นตอบสนองอารมณ์เอ็งได้อย่างไร เอ็งมีสิทธิเลือก ที่จะสบายใจ หรือหัวเสียตลอดเวลาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า เอ็งจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร ?"  หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับข่าวร้ายว่า เพื่อนผมคนนี้ ถูกโจรที่เข้ามาปล้นร้านอาหารยิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคยังดีที่มีคนมาพบ และนำส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากการผ่าตัดนานกว่า 18 ชั่วโมงผ่านไป และนอนพักรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สมชายได้รับการปล่อยให้กลับบ้านได้ ในระหว่างที่ผมไปเยี่ยมสมชาย ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?  เขาตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้แน่"  เขาถามผมว่า อยากดูบาดแผลหรือเปล่า  ผมตอบว่า “ไม่ แต่อยากรู้ว่า เขาผ่านเรื่องร้ายๆ อย่างนี้มาได้อย่างไร ?”   สิ่งแรกที่ข้านึกได้คือ “น่าจะล๊อคประตูหลังร้านไว้" สมชายตอบ แต่หลังจากถูกยิง ขณะที่นอนอยู่บนพื้น ข้าบอกตัวเองว่า "ข้าเหลือทางเลือกเพียงสองทาง คือมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ก็ตาย” แน่นอนที่สุด ข้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่  "แล้วไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?" ผมถามต่อสมชายเล่าต่อไปว่า "พวกที่มาช่วยเก่งมาก พวกเขาบอกผมตลอดเวลาว่า “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเรียบร้อย” แต่ระหว่างที่ข้าถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ข้ามองเห็นสีหน้าของหมอ และพยาบาลแล้ว ผู้รู้สึกได้จากสายตาของพวกเขาว่า "ข้ากำลังจะตาย" เลยบอกตัวเองทันทีว่า "ต้องทำอะไรสักอย่าง"  "แล้วเอ็งทำอะไร ?" ผมถาม  ข้าก็คิดว่า “โชคยังดี ที่ข้ายังมีลมหายใจ” และพอจะมีแรงถามหมอว่า “กระสุนโดนจุดสำคัญหรือเปล่าครับหมอ”  หมอตอบว่า “โชคยังดีที่กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ แต่คงต้องตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เพราะเลือดไม่ได้ไปเลี้ยงที่แขนซ้ายนานกว่าชั่วโมง”   “แล้วเอ็งจะทำยังไง” ผมถาม สมชายก็ตอบว่า “โชคยังดีที่ข้ายังเหลือแขนขวาอีกข้าง” ทำให้ข้ามีกำลังใจต่อไป พอดีมีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามว่า “แพ้อะไรหรือเปล่า ?"  สมชายก็ร้องออกมาทันทีว่า "หมอ หมอ ผมแพ้อยู่อย่างหนึ่งครับ" ทั้งหมอ และพยาบาลหยุดชั่วขณะ จนห้องทั้งห้องเงียบกริบเพื่อรอฟังคำตอบ
ข้าหายใจเข้าลึกๆ และตอบไปว่า  "ผมแพ้หัวลูกปืนครับ"  ทันใดนั้น ทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นไปหมด ต่อจากนั้น ข้าก็บอกหมอว่า “ผมอยากมีชีวิตอยู่ ช่วยกรุณาผ่าตัดอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ตายไปแล้ว"    ในที่สุดการผ่าตัดก็สำเร็จ หมอสามารถช่วยชีวิตของสมชายเพื่อนผมไว้ได้อย่างปาฏิหารย์ และสมชายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะเขาเลือกที่จะคิดในสิ่งที่ดี
      ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ  “คุณมีสิทธิที่จะชื่นชมกับชีวิต ในขณะที่คุณกำลังมีชีวิตขมขื่นได้ ด้วยความคิดในแง่บวกของคุณเอง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป”
                           ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #106 เมื่อ: วันที่ 23 ตุลาคม 2010, 22:02:16 »

เรื่องที่ 83 "นิทานคอกม้า"
           มีมหาเศรษฐีอยู่คนหนึ่ง มีเงินมากมาย แต่งกมาก อยู่มาวันหนึ่งนึกเซ็งๆ ไม่รู้จะทำอะไรให้มันสนุก ก็หาเกมส์มาให้เล่นกันว่า ถ้าใครสามารถทำให้ม้าหัวเราะได้ เราจะให้เงิน 1000 ตำลึง หากม้าไม่หัวเราะจะต้องเสียทอง 20 ตำลึงให้แก่เศรษฐี ก็มีผู้คนมาสมัครมากมาย แต่ก็ต้องเสียเงิน 20 ตำลึงให้แก่เศรษฐี ทำให้เศรษฐีร่ำรวยขึ้นอีก
อยู่มาวันหนึ่ง มีเงาะป่ามารับคำท้าเศรษฐี เงาะป่าเพียงแต่ไปกระซิบที่ข้างหูม้า ม้าก็หัวเราะร้อง ฮี้ ๆๆๆ ผู้คนที่มาดูต่างตบมือในความสามารถ และก็สงสัยว่าม้าทำไมจึงหัวเราะ ฝ่ายเศรษฐีก็เหงื่อตกที่ต้องสูญเสียเงิน 1000 ตำลึงให้แก่เจ้าเงาะป่าไป จึงออกอุบายไปว่า "เจ้าเงาะป่า ถ้าเจ้าสามารถทำให้ม้าร้องให้ได้ ข้าจะให้เงินเจ้าอีก 1000 ตำลึง หากเจ้าทำไม่ได้ เจ้าจะต้องคืนเงิน 1000 ตำลึงให้แก่ข้า" เงาะป่าก็รับคำท้า แค่เดินไปใกล้ๆ ม้า สักครู่เดียว ม้าตัวนั้นก็ร้องไห้ออกมา เศรษฐีเห็นดังนั้นก็แทบเป็นลม จำเป็นต้องจ่ายเงินอีก 1000 ตำลึงให้แก่เจ้าเงาะป่า แล้วถามว่าเจ้าทำยังไง จึงสามารถทำให้ม้าหัวเราะและร้องไห้ได้ เงาะป่ารู้ว่าเศรษฐีเป็นคนงก ก็อยากจะดัดนิสัย ก็บอกว่าถ้าจะให้เฉลยต้องจ่ายมาอีก 100 ตำลึง ไม่งั้นไม่เฉลย เศรษฐีก็ยอมจ่าย เงาะป่าก็บอกว่า ทำให้ม้าหัวเราะ ก็แค่บอกว่า "ของข้าใหญ่กว่าของเจ้า" ม้าได้ฟังก็หัวเราะ เพราะนึกว่าของมันเองใหญ่กว่าใครอยู่แล้ว  เศรษฐีก็ถามว่า แล้วม้าร้องไห้ล่ะ  เงาะป่าก็ตอบว่า "ข้าก็เปิดให้เจ้าม้านั่นดูเท่านั้นเอง" 555555
                              ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ



IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #107 เมื่อ: วันที่ 24 ตุลาคม 2010, 05:38:26 »

เรื่องที่ 84 "แม่ยายเกลียดลูกสะใภ้"
          สีมากำพร้าพ่ออยู่กับแม่สองคนพอโตเป็นหนุ่มก็แต่งงาน  ในครอบครัวก็รักใคร่กันดี  แต่สาวๆที่ผิดหวังจากสีมาอิจฉาจึงยุแหย่แม่ผัวให้เกลียดลูกสะใภ้ ตอนแรกลูกสะใภ้ก็ไม่โต้ตอบเวลาแม่ผัวดุด่า นานเข้าก็โต้ตอบไปบ้าง ทำให้สีมาหนักใจคิดหาวิธีให้ทั้งสอง ปรองดองกัน   จึงบอกแม่ว่าจะฆ่าเมียตัวเองให้   เพื่อให้แม่สบายใจ แต่ก่อนจะฆ่าให้แม่ทำดีกับลูกสะใภ้ สัก 15 วันก่อน และก็ไปบอกเมียให้ทำดีกับแม่ 15 วันเช่นกัน แล้วจะฆ่าแม่ให้ ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองต่างทำดีต่อกัน   จนเกิดรักใคร่กันจริงๆ พอครบ 15 วันสีมาทำท่าจะฆ่าเมียแม่ก็เข้าห้ามไว้ พอจะฆ่าแม่เมียก็ห้ามไว้ สีมาจึงเอาเคียวเก็บที่เดิมพร้อมยิ้มอย่างสุขใจ ที่แก้ปัญหาลูกสะใภ้กับแม่เกลียดกันได้สำเร็จ
                             ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #108 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 10:04:13 »

เรื่องที่ 86 " พ่อยอมแล้วลูก"
        นายดีเป็นคนบ้านนอก ส่งลูกชายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งนายดีได้ไปเยี่ยมลูกชายลูกชายก็บอกพ่อว่า “พ่อมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ พ่อจะทำอะไรตามสบายแบบอยู่ที่บ้านเราไม่ได้นะ เพื่อความแน่ใจ พ่อเห็นผมทำอะไร ให้พ่อทำตามผมก็แล้วกัน”
มีวันหนึ่ง ลูกชายต้องไปงานเลี้ยง จึงชวนนายดีไปด้วย นายดีแกทำอะไรไม่ค่อยถูก
เพราะไม่เคยเข้างานสังคม แกจึงวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะทำอะไรขายหน้าลูกชายขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกันนั้น นายดีก็จ้องมองลูกชายอยู่ตลอดเวลา ถ้าเห็นลูกชายทำอะไรแกก็จะทำตาม ตอนแรกเขาก็ยกอ้อยควั่นมาเสิร์ฟ ลูกชายก็หยิบอ้อยเข้าปากนายดีก็ทำตาม ต่างคนต่างกิน พอดูดจนน้ำอ้อยหมดก็เหลือแต่กาก ฝ่ายลูกชายก็เอาผ้าเช็ดปากมาปิดปากแล้วคายกากอ้อยออก ตอนนั้นนายดีไม่ได้สังเกตุ คิดว่าลูกชายเช็ดปากเฉยๆนายดีก็เคี้ยวกากอ้อยต่อไปอยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นลูกชายคายกากอ้อยออกมา แกคิดในใจ “เอ..มันคายกากอ้อยไว้ที่ไหนนะ ใต้โต๊ะก็ไม่มี หรือมันจะกลืนลงท้องไปแล้ว” ดังนั้นแกจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่า “เอา..กลืนก็กลืน” เมื่อกลืนไปแล้วกากอ้อยก็ติดคอ นายดีจึงต้องดื่มน้ำตามมากๆ กว่ากากอ้อยจะลงคอไปได้ แกก็ต้องกินน้ำไปตั้งหลายแก้ว  ต่อมาเขาก็นำขนมจีนมาเสิร์ฟ ฝ่ายลูกชายก็ตักขนมจีนมากิน นายดีก็ทำตาม ระหว่างที่กินอยู่นั้น ลูกชายก็เกิดสงสัยว่า ตอนที่พ่อกินอ้อยนั้น พ่อเอากากไปทิ้งที่ไหน มองไปที่นายดีนั่งอยู่ก็ไม่เห็นมีกากอ้อยอยู่เลย ลูกชายจึงถามขึ้นว่า  “พ่อ..ตอนที่พ่อกินอ้อยนะ พ่อเอากากไปไว้ที่ไหน ทิ้งเรี่ยราดไม่ได้นะพ่อ” “ข้ากลืนเข้าไปนะซิ เพราะข้าไม่เห็นแกคายกากออกมาเลย” ฝ่ายลูกชายพอได้ยินก็นึกขำจนกลั้นไม่อยู่ ก็เลยสำลักขนมจีน เส้นขนมจีน ก็ออกมาทางจมูก นายดีเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นว่า “พ่อยอมแล้วลูก อย่างนี้พ่อทำตามไม่ได้หรอก” นายดีพูดพร้อมกับยกมือไหว้ลูกชายของตน55555
                        ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 26 ตุลาคม 2010, 18:15:33 โดย ILoVePaNgYa » IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #109 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2010, 20:43:17 »

เรื่องที่ 87 "ท้าวกำพร้าเรียนมนต์ตด"
         ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยกำพร้าอยู่คนหนึ่ง ญาติพี่น้องไม่มีใครสนใจ
เขาจึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอทานตามหมู่บ้านต่างๆ พอได้กินไปวันๆ หลวงพ่อที่วัดแห่งหนึ่ง
สงสารจึงรับเลี้ยงไว้เป็นลูกศิษย์ในวัด  ในสมัยนั้นเด็กผู้ชายจะต้องออกจากบ้านไปหาเรียนวิชา แล้วแต่ใครต้องการเรียนอะไร  หลวงพ่อก็สั่งท้าวกำพร้าให้ไปเรียนวิชาเช่นกัน โดยก่อนไปได้กำชับว่า “เรียนอะไรก็เรียนให้จบ และอยากเรียนอะไรก็ให้เลือกเรียนได้ตามใจชอบหลวงพ่อไม่ว่าอะไร”   ณ สำนักเรียนที่มีอาจารย์เก่งทางวิชาอาคม เวทมนตร์ต่างๆ เปิดสอนให้กับผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะคนหนุ่มๆนิยมไปเรียนกันมาก หลายคนเลือกเรียนวิชาตามใจชอบ แต่ท้าวกำพร้ากลับเลือกเรียนในวิชาที่ไม่มีใครเรียนกัน นั่นคือ “วิชามนต์ตด” เขาเพียรพยายามเรียนจนจบ  ตามที่หลวงพ่อสั่งไว้ว่าเรียนอะไรก็เรียนให้จบ
ข่าวการเรียนมนต์ตดได้ยินไปถึงหูของญาติพี่น้องของเขา ยิ่งเพิ่มความจงเกลียดจงชังมากขึ้น  “เรียนอะไรไม่เรียนไปเรียนมนต์ตด ไม่ต้องเรียนมันก็ตดอยู่แล้ว ไปเรียนให้เสียเวลาทำไม”  ญาติคนหนึ่งบ่น  อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรว่า…ท้าวกำพร้า ได้ศึกษาวิชามนต์ตราว่าด้วยตด…ทั้งตดยาว…ตดสั้น  ตดไปข้างหน้า…ตดมาข้างหลัง…ตดลอยสูง…ตดลอยต่ำ ตดควบคุมเสียง…ตดเสียงสูง…เสียงต่ำ…ตดดัง…ตอค่อย... ตดไร้เสียง...ตดควบคุมกลิ่น…ทั้งกลิ่นหนา…กลิ่นบาง…ตดสร้างมิตร…เสน่ห์ยาแฝด…ตดใส่หญิง หญิงรัก…ตดใส่ชาย ชายหลง...ตดใส่ตุ๊ด ตุ๊ดเป็นลม…เอ้ยไม่ใช่…หลงคารม……………..
ตดกลิ่นทำลายมิตรภาพ…..ตดพิฆาตศัตรูพ่าย……เมื่อศึกษาจนแตกฉานคิดทำการณ์สิ่งใด ก็สำเร็จดังประสงค์   พอเรียนจบเขากลับมาหาหลวงพ่อและเล่าเรื่องราวการเรียนให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อไม่ว่าอะไรได้แต่ให้กำลังใจว่า “ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปสนใจ วิชาอะไรทุกอย่างมันมีคุณทั้งนั้น ขอให้รักษาวิชาตดไว้ให้ดีบางทีเราอาจได้อาศัย” อยู่มาวันหนึ่งมีเรือสำเภาขนาดใหญ่ขนสัมภาระเพื่อไปจำหน่ายมากมาย พอไปถึงหมู่บ้านนั้นเกิดไปติดหาดทรายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จ้างคนทั้งหมู่บ้าน ลากเข็นก็ไม่ไป พอดีเท้ากำพร้าเดินไปพบเข้าจึงพูดออกไปว่า “เรือติดแค่นี้ ไม่ต้องทำอะไรมากเลย เพียงแค่ตดใส่เท่านั้นก็ออกได้แล้ว”  นายสำเภาได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก คิดว่าท้าวกำพร้าพูดสบประมาท “ข้าจ้างคนทั้งหมู่บ้านยังลากออกไม่ได้ เอ็งเก่งมาจากไหนจะมาตดใส่ให้สำเภาออกได้”   พอพูดจบนายสำเภาก็สั่งลูกน้องให้จับตัวท้าวกำพร้าไว้ ฐานพูดจาดูหมิ่น
“ช้าก่อนท่าน” ท้าวกำพร้าชิงพูดขึ้น “ข้ายังไม่ทันตดให้ดูเลย ทำไมท่านถึงคิดว่าทำไม่ได้  ต้องพิสูจน์กันก่อนซิ ถ้าข้าตดแล้วสำเภาออกไปได้ ท่านจะยอมให้สินค้าทั้งหมดบนเรือแก่ข้าไหม” “ตกลง ถ้าสำเภาเคลื่อนไปได้ ข้าจะยกสินค้าในสำเภาให้เอ็งหมด แต่ถ้าเคลื่อนไม่ได้  เอ็งจะต้องถูกฆ่าตาย” นายสำเภาตกลงและต่อรอง  เมื่อตกลงดังนั้นแล้ว ท้าวกำพร้าจึงยกมือเหนือหัวแล้วอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์  เสร็จแล้วจึงเบ่งตดออกมาเสียงดัง “ป็าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาด”  ทุกคนตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาที่สำเภาได้ค่อยๆ เคลื่อนออกจากหาดทราย นายสำเภาดีใจมาก จึงได้มอบสินค้าทุกอย่างที่มีบนเรือ ให้หนุ่มน้อยไปตามสัญญา  จากนั้นท้าวกำพร้าก็มีฐานะร่ำรวย ไม่อดอยากอีกต่อไป
                        ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #110 เมื่อ: วันที่ 26 ตุลาคม 2010, 07:23:03 »

เรื่องที่ 88 "ชะตามะกอกแห้ง"
       มีสองคนผัวเมียติดตามกันมาหลายชาติ ผัวไม่ชอบเป็นคนทำบุญให้ทาน เอาแต่ดื่มเหล้าเมาสุรา เล่นไพ่ เล่นลูกเต๋า และเล่นไก่ชน ส่วนเมียเป็นคนชอบทำบุญให้ทาน ใฝ่ใจในทางกุศลทุกชาติอยู่มาชาติหนึ่ง เมียนึ่งข้าวไว้แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้กินกันสองคนผัวเมีย อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ตักบาตรและตั้งปรารถนาไว้ว่าหากตายไปชาติใดขอให้ได้พ้น จากผัวคนนี้ อย่าได้พบกันอีกเลยฝ่ายผัวได้ยินก็ตั้งปรารถนาว่า จะเกิดชาติใดก็ขอให้ได้พบเมียตนทุกชาติ อยู่มาอีกหลายชาติ ด้วยผลบุญที่ทำไว้มาก เมียก็ไปเกิดเป็นลูกพญาเจ้าเมืองซึ่งเป็นคนใจบุญได้สร้างหอทำบุญไว้ตรงประตู เมือง มีคนมาขอทานทุกวัน และมีบัญชีจดไว้ว่าวันหนึ่ง ๆ มีผู้หญิงกี่คนชายกี่คน ในชาตินั้นผัวก็ได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ใส่เสื้อขาดหน้าปะหลังมาขอทาน ด้วยเป็นบุพเพสันนิวาสในชาติก่อน แต่ละชาติก็ไม่ละทิ้งกัน หญิงคนนั้นพอเห็นก็สงสารและมีความเอ็นดูว่าชายคนนี้มีรูปงามจริง ไฉนจึงยากจนนัก เห็นจะเป็นเพราะชาติก่อนไม่ได้ทำบุญให้ทานเสียกระมังจึงอยากจะให้ทานเสื้อ ผ้าแก่ชายคนนั้น วันหนึ่งนางก็ไปถามเสมียนว่า ” วันนี้มีคนมาขอทานกี่คน ” เสมียนบอกว่า ‘’ วันนี้มีคนมาขอทานเก้าสิบแปดคน ” นางจะให้ทานเสื้อก็ไปสั่งเสื้อมาเก้าสิบแปดผืน รุ่งขึ้นก็ให้เข้ามาขอทานแล้วก็บอกว่า ‘’ พวกผู้ชายรับห่อข้าวแล้วให้ไปเข้าแถวทางด้านตะวันออกเป็นหัวแถว ทางด้านตะวันตกเป็นหางแถว ให้นั่งเรียงกันดี ๆ ” พอดีวันนั้นมีขอทานมาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นเก้าสิบเก้าคน แต่ผ้ามีเก้าสิบแปดผืน นางบอกคนใช้ให้แจกทางหัวแถวไปทางทิศตะวันตก พอแจกไปก็หมดตรงที่ผัวนาง  พอรุ่งขึ้นทุกคนก็ใส่เสื้อใหม่มากันหมด ผัวนางก็ยังใส่เสื้อเก่า หญิงคนที่เป็นเมียก็ให้ห่อข้าวแล้วถามว่า ‘’ เป็นยังไงถึงไม่ใส่เสื้อใหม่มาเพื่อนคนอื่น ๆ เขาใส่เสื้อใหม่กันทุกคน ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้รับ เพราะข้าไปนั่งสุดท้ายแถว ” ‘’ ขาดไปกี่คน ” ขาดเฉพาะข้าคนเดียวนี่แหละ ‘’ ‘’ พรุ่งนี้จะให้ทานกางเกงนะ ‘’  นางก็ถามเสมียนว่า ‘’ วันนี้ขอทานมากี่คน ‘’ เก้าสิบเก้าคน ‘’ เอากางเกงมาเก้าสิบเก้าตัวนะ ” ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มอีกคนรวมเป็นหนึ่งร้อยคน ตอนนี้นางก็บอกว่าทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางทิศตะวันตกเป็นท้ายแถว เพราะว่าวันก่อนผัวนางไปนั่งอยู่ท้ายสุดและไม่ได้เสื้อ ตอนนี้มีคนมาเพิ่มอีกคนเป็นหนึ่งร้อยคน กางเกงมีเก้าสิบเก้าตัว นางก็บอกว่าให้แจกทางซ้ายขึ้นมาก่อนเพราะว่าเมื่อวานนี้ขาดไปทางท้ายแถว พอแจกทางทางท้ายก็ขาดทางหัวแถว ในที่สุดผัวนางก็ยังต้องใส่เสื้อตัวเก่านุ่งกางเกงตัวเก่าตามเคย รุ่งขึ้นนางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายทำไมยังใส่เสื้อเก่าอยู่ล่ะ ก็เมื่อวานนี้ยังไม่ได้รับแจกหรือ ” ” ไม่ได้ ‘’ ‘’ ไปนั่งทางไหนล่ะ ” ‘’ ไปนั่งท้ายแถวโน่น ‘’ .” ไม่ได้กี่คน ‘’ ไม่ได้ข้าคนเดียว ‘’ นางก็สอบถามเสมียนดูก็ปรากฏว่ามีคนมาเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยคนจริง ๆ จึงได้ขาดไปหนึ่งคน รุ่งขึ้นนางก็อยากจะให้ทานเสื้อผ้าแก่ผัวของนางคนเดียวเพราะนางรักอยู่คน เดียว  ครั้นจะให้ทานอยู่คนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการลำเอียง นางก็สั่งมาอีกร้อยชุดทั้งเสื้อและกางเกง คิดหาทางจะให้ผัวนางได้รับให้ได้ แต่ในวันนี้ก็กลับมีคนมาจากไหนก็ไม่รู้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเป็นร้อยหนึ่งคน นางให้เข้าแถวทางทิศตะวันออกเป็นหัวแถว ทางตะวันตกเป็นหางแถว ชายคนนั้นก็วิ่งขึ้นวิ่งลง จะไปนั่งทางท้ายแถวก็กลัวจะไม่ได้จะไปนั่งทางหัวแถวก็กลัวจะไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี คิดไปคิดมา ก็นับตั้งแต่หัวแถวมาถึงคนที่ห้าสิบแล้วก็ไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง  นางสั่งคนแจกว่า แจกทางด้านตะวันออกมาห้าสิบแล้วแจกทางตะวันตกมาอีกหาสิบ ฝ่ายผัวซึ่งไปนั่งแทรกอยู่ตรงกลาง ก็เลยไม่ได้ รุ่งขึ้นก็ใส่เสื้อเก่ากางเกงเก่ามาอีกปุ ๆ ปะ ๆ ขาด ๆ มาหาเมีย นางก็ถามว่า ‘’ ทำไมไม่ใส่เสื้อใหม่มาล่ะ ‘’ ใคร ๆ เขาก็ใส่ใหม่กันทุกคนไปนั่งอยู่ตรงไหนอีกล่ะ ‘’ ‘’ ข้าไม่ได้นั่งตรงไหน ข้าไปแทรกอยู่ตรงกลาง ‘’ ‘’ โองั้นขาดไปอีกกี่คน ” ก็ขาดข้าคนเดียวนี่แหละ ” ไปถามเสมียนดูก็ได้ความว่ามีคนมาเพิ่มจำนวนอีกเป็นร้อยเอ็ดคน ‘’ จะทำยังไงดีน้า จะช่วยมันอย่างไรดีไม่ให้ขาดตรงมัน จะทำยังไงดี ‘’ พอถึงกลางคืนนางก็มานอนคิด ได้ความว่าเอาทองหนักสิบบาทมาใส่ในข้าวห่อแล้วทำเครื่องหมายไว้ รุ่งขึ้นพอมันมาก็จะยกข้าวห่อให้มันแต่พอมันได้ข้าวห่อแล้วก็เอาไปแลกเหล้า เขากินเสีย รุ่งขึ้นก็ยังขอทานอีก นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายเอาข้าวห่อไปไม่ได้กินหรืออย่างไร ‘’ .” ไม่ได้กินหรอก ‘’ พี่ชายเอาไปไหนเสียล่ะ ” เอาไปแลกเหล้ากินเสียแล้ว ” ‘’ โอ พี่ชายคนนี้มันเป็นอย่างไรของมันหนอ ไม่มีบุญ ไม่มีกุศล ไม่ได้สั่งสม ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้บริจาคไว้กระมัง มันถึงไม่ได้รับของทานสักครั้ง ‘’ นางเองนอนคิดทั้งคืนก็ยิ่งทำให้เป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม เอาทองหนักอีกยี่สอบบาทใส่ในข้าวก่อให้อีก รุ่งขึ้นก็ยกข้าวห่อที่ใส่ทองไว้หนักยี่สิบบาทไปให้ ‘’ พี่ชาย วันนี้อย่าเอาไปแลกเหล้าอีกนะ แล้วก็อย่าเอาไปขายด้วยขอให้เอาไปกินจริง ๆ นะ เมื่อลูกสาวพญาเจ้าเมืองสั่งเช่นนั้นก็มีความยินดีนัก จะเอาไปกินตรงไหนก็ไม่เหมาะใจ มีต้นนกยูงต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาลงไปทางแม่น้ำปิงโน่น ในขณะนั้นน้ำกำลังท่วม ชายคนนั้นก็ไต่กิ่งไม้ขึ้นไปแก้ห่อข้าวกินอยู่บนกิ่งไม้นั้นเพื่อให้สม เกียรติแก่นางผู้ให้ แก้ห่อข้าวอย่างระมัดระวัง ทองมันหนักถึงยี่สิบบาทแก้ไปแก้มา ห่อข้าวก็ตะลุมปุ๋มป๋ำหล่นลงไปในน้ำโน่นจนได้ ไม่ได้กินข้าวแม้คำเดียว รุ่งขึ้นก็ไปขอทานอีก ” พี่ชายทำไมยังมาขอทานอยู่อีกล่ะไม่ได้กินข้าวอีกหรือ ” ‘’ กินก็ไม่ได้กินแม่น้อง ” ‘’ พี่ชายไปกินตรงไหนล่ะ ” ‘’ กินบนต้นไม้ริมแม่น้ำโน่นอะไรก็ไม่รู้อยู่ในหอข้าวแม่น้องเลยตกลงไปในน้ำ เสียแล้ว ” นายคนนี้ต้องไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรไว้แน่ ยิ่งมีความสงสารมากขึ้น ‘’ พี่ชายกินข้าวเช้าแล้วให้เข้าไปบ้านนะ ” เมื่อเข้าไปถึงบ้านแล้ว นางก็ถามว่า ‘’ พี่ชายทำอะไรได้บ้าง มีวิชาความรู้อะไรบ้าง ” ข้ายิงด้ามไม้เป็น ยิงกบเก่ง ‘’ ดังนั้นนางจึงเอาปืนให้กระบอกหนึ่ง ‘’ พี่ชาย ปืนนี้ถ้ายิงขึ้นขึ้นฟ้าแล้วตกลงมาแผ่นดินลึกสักหนึ่งวา กว้างหนึ่งวา ก็จะเอาทองเอาเงินใส่ให้เท่าที่น้ำหนักดินชั่งได้ ถ้าตกโดนอะไรในราคาเท่าไร ก็จะใช้ให้เท่าราคานั้น ชายคนนั้นก็ยินดีว่าตนจะได้เงินได้ทองตอนนี้กระมังหนอ  จึงออกไปกลางทุ่งนา มีกรมการไปด้วย ๓ คน ‘’ เอา ได้เวลาแล้วเตรียมยิงปืนขึ้นบนอากาศได้ ๑ – ๒ – ๓ ปัง ” เสียงปืนดังหวิว ๆ ตกลงมาใส่ลูกมะกอกแห้ง ชั่งน้ำหนักได้ ๒ สลึงนายคนนั้นก็ได้ทอง ๒ สลึง อย่างนี้เขาเรียกว่า ชะตามะกอกแห้ง
                          ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา

IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #111 เมื่อ: วันที่ 26 ตุลาคม 2010, 18:28:40 »

เรื่องที่ 90 "รวมคนขี้โม้"
       มีชายอยู่ 3 คน เป็นเพื่อนบ้านกัน ชื่อดอกบวบ ดอกรัก ดอกคูน วันหนึ่งทั้ง 3 คนได้มาพบกัน และได้ตกลงกันว่าให้แต่ละคนเล่านิทานสู่กันฟังคนละเรื่อง โดยให้เป็นเรื่องที่โม้ที่สุด ดอกบวบทำหน้าที่เล่าก่อนดังนี้
       ฉันมีปืนยาว 7 คืบ ใส่ดินปืนไป 8 คืบ พร้อมใส่ลูกปืนไป 8 ลูก แล้วฉันก็ออกเดินทางไปหายิงนกเป็ดน้ำที่หนองแห่งหนึ่ง เผอิญไปพบนกเป็นน้ำ 8 ตัว ลอยคออยู่ในหนองน้ำนั้น ฉันก็ยิงปืนโป้งเดียว ถูกนกเป็ดน้ำตายไป 7 ตัว ส่วนอีกตัวหนึ่งบินอยู่บนท้องฟ้า ฉันก็เดินไปเก็บนกเป็ดน้ำที่ตายในหนอง ก็งมไปเจอลูกปืนจมน้ำอยู่ลูกหนึ่ง ฉันก็เลยบอกกับลูกปืนว่า “โน่นนกเป็ดน้ำบินอยู่บนฟ้าโน่น” เจ้าลูกปืนก็วิ่งวู้ดๆๆ ไป ถูกนกเป็ดน้ำที่บินอยู่นั้นตกลงมา ฉันเลยได้นกเป็ดน้ำเพิ่มอีกตัวหนึ่ง
      ดอกรักทำหน้าที่เล่าบ้างว่า เมื่อวานข้าไปเกี่ยวแฝก ข้าได้เอาน้ำกินใส่กระบอกน้ำไปด้วย เมื่อไปถึงป่าแฝกก็ตั้งกระบอกน้ำทิ้งไว้ แล้วลงมือเกี่ยวแฝก ขณะที่ข้าเกี่ยวแฝกอยู่นั้น แฝกมันเคลื่อนไปเคลื่อนมา พอดีมีหมูป่าตัวหนึ่งวิ่งผ่านมา ข้าเลยขว้างมันด้วยเคียวนี่ ด้ามเคียวเข้าไปคาในตูดหมูป่า หมูป่าตกใจก็วิ่งไปวิ่งมาจะให้เคียวหลุด เคียวก็เกี่ยวแฝกให้ข้าหมดป่าเลย วันนั้นเผอิญเกิดไฟไหม้ป่า ลุกลามมาไหม้กระบอกน้ำที่ข้าวางทิ้งไว้ด้วย เหลือแต่น้ำตั้งโด่ นี่ข้ายังได้กินน้ำเลย
      ดอกคูนเล่าบ้างว่า เมื่อวานนี้ฉันไปเที่ยวล่าสัตว์ในป่า เผอิญไปเจอช้างเข้า ก็เลยยิงช้างตาย ฉันก็เอามีดมาเถือหนัง เถือตรงไหนมันก็ไม่เข้า ฉันเหนื่อยเต็มทีจึงไปนั่งพักอยุ่ใต้ร่มไม้ พอดีมีอีแร้งมาจากไหนไม่รู้ มันคงหิวบินมาสัก 50 ตัว อีแร้งก็มาจิกช้างกิน มันจิกตรงไหนก็ไมเข้า มันก็ลองไปจิกตรงตูดช้าง ตูดชางก็โหว่ อีแร้งมันก็พากันเข้าไปอยู่ในท้องช้างหมด ฉันก็เลยเอาใบไม้ไปอุดตูดช้างไว้ พอดีมีเจ็กสองคนพ่อลูกเดินผ่านมา บอกว่าจะไปเมืองจีน ถามซื้อช้างฉันว่าจะขายเท่าไร ตกลงฉันขายไป 500 บาท แล้วตาแป๊ะก็โดดขึ้นขี่ช้างเอาลูกกอดเอว ช้างมีอีแร้งอยู่ในท้องก็บินขึ้นไปบนฟ้าเลย เผอิญลูกเจ๊กเกิดถ่ายท้อง เมื่อถ่ายแล้วไม่มีอะไรเช็ด มันจึงไปดึงเอาใบไม้มาจากตูดช้างเพื่อจะเอามาเช็ดก้น อีแร้งเห็นดังนั้นจึงบินออกมาจากท้องช้าง เจ็กและลูกจึงตกลงมาตายหมด
                        ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #112 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2010, 12:34:37 »

เรื่องที่ 91 "หอมจริงหรือ"
          มีผู้หญิงสาวคนหนึ่ง มีรูปร่างสวยเหลือเกิน ในละแวกตำบลหมู่บ้านนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสาว ๆ คนใดสวยเท่า พวกหนุ่ม ๆ ต่างพูดกันเล่น ๆ ว่า หากสาวคนนี้ขี้ออกมาจะต้อง เป็นขี้ผึ้งทาปากและถ้าเยี่ยวออกมาจะต้องกลายเป็นน้ำมันใช้ทาผมได้ และยิ่งกว่านั้นยังลือกันว่า ของลับสาวนี้มีกลิ่นหอมเหลือเกิน
          อยู่มาวันหึ่ง หญิงสาวคนนี้ไปตักน้ำในแม่น้ำใกล้ ๆ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ลึกและกว้างพอสมควร ณ ที่ท่าน้ำนั้นมีหาดทรายกว้างพอสมควรแห่งหนึ่งด้วย มีไอ้หนุ่มคนหนึ่งหลงรักหญิงสาวคนนี้อย่างชีวิตจิตใจ และอยากจะทราบเหลือเกินว่า สาวคนนี้ของลับหอมจริงไหมหนอ ดังนั้นเมื่อหญิงสาวคนนี้หาบถังลงไปตักน้ำที่ท่าน้ำจึงเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ค่อย ๆ ติดตามไปด้วย พอหญิงสาวไปถึงท่าน้ำ เผอิญปวดเยี่ยวจึงวางถังไว้ริมแม่น้ำ แล้วรื้อผ้าซิ่นขึ้นนั่งยอง ๆ เยี่ยวลงที่หาดทราย ไอ้หนุ่มคนนั้นได้โอกาสเหมาะจึงรีบวิ่งไปข้างหลังหญิงสาว แล้วรีบเอามือข้างหนึ่งล้วงลงไปใต้ก้นหญิงสาว พร้อมกับเอานิ้วมือแยงเจ้าไปในรูของลับทันที ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำอย่างรวดเร็ว หญิงสาวตกใจอย่างยิ่ง ปากก็ร้องแล้วรีบลุกขึ้นพร้อมกับเหลียวหลังมาเห็น ไอ้หนุ่มคนนั้น หญิงสาวรู้สึกโกรธจัด ปากก็ร้องด่าอย่างเจ็บแสบ พร้อมกับคว้าไม้คานไล่ตีไอ้หนุ่ม ไอ้หนุ่มวิ่งหนีไปทางท่าน้ำและว่ายน้ำหนีไปยังอีกฝั่งข้างหนึ่ง ขณะที่ว่ายน้ำไอ้หนุ่มพยายาม ชูมือข้างที่แยงรูของลับหญิงสาวให้พ้นน้ำสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเกรงว่าเมื่อน้ำถูกมือกลิ่นของลับจะระเหยไปเสียก่อนที่จะได้ดม เมื่อพยายามใช้เท้าสองข้างและมืออีกข้างหนึ่งว่ายน้ำไปจนถึงฝั่งแล้ว ไอ้หนุ่มรู้สึกดีใจมากที่จะได้ดมกลิ่นของลับหญิงสาว พอขึ้นบนบกก็เข้าไปในสวน ชาวบ้านแห่งหนึ่งซึ่งปลูกกอตะไคร้และต้นแมงลักไว้
          เมื่อถึงที่เหมาะไอ้หนุ่มก็ยกมือที่แหย่รูของลับหญิงสาวขึ้นดม และสูดลมหายใจเข้าไปย่างเต็มที่ แต่แทนที่จะหอมดังใจคิด กลับปรากฏว่ามีกลิ่นเหม็นอย่างที่แทบจะอาเจียนออกมา จึงเอามือข้างนั้นไปถูกับใบตะไคร้ ดมดูก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ จึงเอาไปขยำกับใบแมงลักแล้วดมอีก รู้สึกมีกลิ่นเหมือนกับม่ำหรือส้มฟักเนื้อของภาคอีสาน เมื่อไอ้หนุ่มได้กลิ่นเช่นนี้ เกิดนึกอยากจะกินข้าวขึ้นมาทันทีจนน้ำลายไหลออกมา จึงลงไปล้างมือที่ท่าน้ำแล้วลองดมดูอีก ก็ปรากฏมีกลิ่นเหม็นตึ ๆ อยู่นั้นเอง ตั้งแต่นั้นมาไอ้หนุ่มคนนั้นและคนอื่น ๆ ในละแวกบ้านก็หายสงสัยว่าหญิงสาวคนนี้นของลับหอมจริงสมกับคำเล่าลือหรือไม่ 55555
                         ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #113 เมื่อ: วันที่ 31 ตุลาคม 2010, 09:20:50 »

เรื่องที่ 92 "หลอนสาวไทยแขก"
          คำว่า "หลอน" หมายถึงไปลอบลัก "สาวไทยแขก" หมายถึง หญิงหมู่บ้านหนึ่งไปเยี่ยมอีกบ้านหนึ่ง และไปพักอยู่กับญาติพี่น้องในหมู่บ้านที่ไปเยี่ยมนั้น คำดังกล่าวเป็นภาษาถิ่นอีสาน
          ในสมัยก่อนคนนิยมนำสิ่งของที่มีอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งไปแลกสิ่งของอีกอย่างหนึ่งในหมู่บ้านอื่นซึ่งตนไม่มี เช่น หมู่บ้าน นี้มีเกลือนำไปแลกข้าว มีสีเสียดนำไปแลกมะพร้าว เป็นต้น การนำสิ่งของไปแลกอีกสิ่งหนึ่งนี้เป็นความนิยมมาแต่โบราณ สมัยที่การค้าขายยังไม่เจริญและทางคมนาคมยังไม่สะดวก สมัยนั้นการนำสิ่งของไปแลกนี้มักไปเป็นหมู่ ๆ ละ 4-5 คน หรือมากกว่านั้น ปกติผู้นำสิ่งของไปแลกเป็นผู้หญิง และจะมีหญิงสูงอายุหนึ่งหรือสองคนเป็นผู้นำไป นอกนั้นมักเป็นหญิงสาว การนำสิ่งของไปแลกกันนิยมใช้หาบและโดยการเดินเท้าและมักนอนค้างคืนด้วย เพราะอาจเป็นด้วยหมู่บ้านอยู่ห่างไกลกัน ทางคมนาคมไม่สะดวกดังกล่าว และต้องใช้เวลานำสิ่งของไปแลกกันด้วย
          ในระหว่างพักนั้นในตอนกลางคืนจะมีพวกหนุ่ม ๆ มาคุยกับ "สาวไทยแขก" ด้วย เรียกว่า "ไปเล่นสาวไทยแขก" บางรายคุยกันรักใคร่ชอบพอถึงกับได้แต่งงานกันก็มี
          สำหรับเรื่องนี้มีผู้หญิงสูงอายุสองคนกับหญิงสาวสี่คนนำสิ่งของไปแลกกับสิ่งของที่ตนต้องการดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่เนื่องจากไปด้วยกันหลายคนจึงแยกกันพักบ้านญาติแห่งละ 3 คน โดยมีหญิงสาวพักอยู่ด้วยแห่งละ 2 คน ที่บ้านแห่งหนึ่งซึ่ง "สาวไทยแขก" พักนั้น ชายเจ้าของบ้านเป็นคนซนสักหน่อย จึงแอบไปชวนลูกเขยซึ่งอาศัยอยู่บ้านหลังหนึ่งต่างหากให้มา "หลอนสาวไทยแขก" ที่มาพักบ้านของตน โดยให้สังเกตกำไลมือเป็นสำคัญ ในคืนนั้นพอพวกหนุ่ม ๆ ที่มาคุยสาวไทยแขก กลับไปแล้ว พอตกตอนดึกคะเนว่าพวกที่มาพักด้วยนอนแล้ว พ่อตากับลูกเขยจึงพากันมา ณ ที่บ้านหลังนั้น พ่อตาจึงให้ลูกเขย คลานเข้าไปในห้องนอนที่พวกหญิงสาวมาพักด้วยนอนหลับ
เผอิญหญิงสาวนอนอยู่ใกล้แม่ยาย พอหนุ่มลูกเขยคลานเข้าไปในห้องนอนก็ลูบคลำดูตามแขน พอคลำพบหญิงผู้ใส่กำไลแขน ก็จัดการร่วมหลับนอนด้วยตามที่ตั้งใจไว้จนสำเร็จความใคร่จึงค่อย ๆ คลานหนีออกมา
          พอตกเช้าวันรุ่งขึ้น พ่อตาถามลูกว่า การหลอนสาวไทยแขกเป็นอย่างไรบ้าง ลูกเขยก็บอกว่าสำเร็จเรียบร้อย พ่อตาหัวเราะชอบใจในความเก่งกล้าสามารถของลูกเขยของตน แล้วก็คอยสังเกตอากัปกิริยาของหญิงสาวที่มาขอนอนพักในบ้านด้วย แต่ดูแล้วไม่เห็นสาวคนใดมีกิริยาอาการที่ผิดปกติ ทำให้นึกสงสัย และยิ่งกว่านั้นเมียของตนสวมกำไลแขนอยู่ด้วย จึงถามเมียแกว่าได้กำไลมาจากไหน เมียแกบอกว่าหญิงสาวที่มาพักด้วยคนหนึ่งฝากไว้แต่เมื่อคืนนี้ เพราะสวมไว้เกรงว่ากำไลแขนจะหาย พ่อตาจึงคิดเอะใจจึงรีบไปถามลูกเขยว่าเมื่อคืนนี้ได้ร่วมหลับนอนกับหญิงคนใด ลูกเขยก็บอกว่าคนที่สวมกำไลข้อมือนั่นแหละ พ่อตาได้ยินดังนั้นตบอกผางพร้อมกับพูดว่า "ไอ้ห่าเอย มึงจัดการกับเมียกูเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง" ลูกเขยก็พูดออกมาว่า "ถึงว่านะซิ คลำดูหน้าอกทำไมจึงเหี่ยวนักและข้างล่างทำไมจึงหลวมเหลือเกิน"55555
                    ตกใจ  ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #114 เมื่อ: วันที่ 31 ตุลาคม 2010, 13:41:02 »

เรื่องที่ 93 "แทงรูเยี่ยว"
          มีเจ้าเมืองเมืองหนึ่งมีลูกสาวสวยอย่างหยดย้อยคนหนึ่งเจ้าเมืองคนนี้รักและหวงแหนลูกสาวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ค่อยอนุญาตให้ลูกไปเที่ยวที่ไหนตามลำพังเลย หากจะไปที่ไหนไกลสักหน่อยก็ต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วยคราวละหลายคน แม้แต่อาบน้ำก็ให้อาบในบ้าน นาน ๆจึงจะอนุญาตให้ไปอาบและว่ายน้ำเล่นที่แม่น้ำสักครั้งหนึ่ง
          เมื่อลูกสาวเจ้าเมืองคนที่กล่าวไปอาบน้ำหรือไปเที่ยวคราวไร พวกหนุ่มและไม่หนุ่มต่างจ้องมองด้วยความตื่นเต้นและสนใจในความสวยงามของลูกสาวเจ้าเมืองเสมอ บางคนเมื่อเห็นถึงกับมองตาค้างและมักจะชะเง้อมองตามแทบตาไม่กระพริบทีเดียว ในจำนวนคนที่หลงมองและหลงรักลูกสาว เจ้าเมืองนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีบ้านอยู่ริมทางที่ลูกสาวเจ้าเมืองเดินผ่านจะไปอาบน้ำด้วย
          อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวเจ้าเมืองพร้อมสาวใช้ได้ไปอาบน้ำ ที่ท่าน้ำ  เจ้าหนุ่มผู้หลงรักลูกสาวเจ้าเมืองเมื่อเห็นขบวนหญิงสาวเดินผ่านหน้าบ้านไป ก็รีบแต่งตัวแล้วสาวเท้าเดินลัดเลาะป่าไปแอบมองดูอยู่ที่ใกล้ท่าน้ำ
          ที่ท่าน้ำมีหาดทรายอยู่ด้วย เป็นลานไม่กว้างใหญ่เท่าใดนัก พอขบวนหญิงสาวไปถึงท่าน้ำเมื่อเหลียวซ้ายแลขาวไม่เห็นมีใครต่างก็เปลื้องเสื้อผ้า เหลือแต่ผ้าซิ่นผืนเดียวนุ่งกระโจมอกเท่านั้น เมื่อผลัดเครื่องแต่งตัวแล้ว เผอิญลูกสาวเจ้าเมืองปวดเยี่ยวจึงเดินทางไปที่หาดทรายซึ่งมีพุ่มไม้บังอยู่แห่งหนึ่ง ก็ทำการเยี่ยว ณ ที่นั้น พอเยี่ยวเสร็จแล้วก็ลงไปอาบน้ำกับเพื่อน ๆ ต่างแหวกว่ายและหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน เมื่ออาบน้ำชุ่มฉ่ำใจสักพักใหญ่ และเวลาเย็นพอสมควรแล้วก็แต่งตัวเรียบร้อยและเดินทางกลับไปยังบ้านเจ้าเมือง
          ฝ่ายชายหนุ่มที่แอบชมลูกสาวเจ้าเมืองและคณะอาบน้ำอยู่อย่างเพลิดเพลิน เมื่อคณะหญิงสาวกลับไปบ้านแล้ว ก็ออกจากที่ซ่อนและเดินมา ณ หาดทรายที่ลูกสาวเจ้าเมืองเยี่ยว และตรงที่ลูกสาวเจ้าเมืองเยี่ยวนั้นเป็นรูลึกพอสมควร เนื่องจากความหลงใหลในรูปร่างอันสวยงามของลูกสาวเจ้าเมืองผู้เป็นเจ้าของรูเยี่ยว พอชายหนุ่มเห็นรูเยี่ยวเท่านั้นก็เกิดกระสัน อวัยวะเพศเต่งตึงแข็งตัวขึ้นมาทันที เมื่อมองรอบ ๆ เห็นว่าไม่มีใครจึงสอดอวัยวะเพศของตนไปที่รูตรงดินทราย ด้วยความปลื้มปิติอย่างยิ่ง เมื่ออวัยวะเพศเข้าไปในรูนั้นนานเป็นที่พอใจแล้วก็เดินกลับบ้านด้วยความอิ่มเอมใจ
          ด้วยความยินดีที่มีโอกาสได้สอดของลับของตนเข้าในรูที่ลุกสาวเจ้าเมืองเยี่ยวใส่ดิน ชายหนุ่มคนนั้นก็อดคุยให้พวกเพื่อน ๆ ฟังไม่ได้ว่าลูกสาวเจ้าเมืองคนสวยนั้นตนได้เอาอวัยะเพศสอดหรือแทงเข้าไปในรูเยี่ยวมาแล้ว ทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าชายหนุ่มคนนั้นได้ร่วมหลับนอนกับลูกสาวเจ้าเมือง ซึ่งต่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่เจ้าหนุ่มก็ยืนยันอย่างแข็งขันว่าเป็นความจริงตามที่พูด
          ในที่สุดคำพูดของชายหนุ่มได้ทราบไปถึงหูเจ้าเมือง เจ้าเมืองรู้สึกโกรธเป็นอันมาก จึงให้คนใช้ไปคุมตัวชายหนุ่มมาทำการสอบสวนเพื่อพิจารณาโทษ ชายหนุ่มก็ยืนยันว่าได้สอดอวัยะเพศเข้าไปในรูเยี่ยวของลูกสาวเจ้าเมืองจริง แล้วเล่าเรื่องรายละเอียดที่ตนได้กระทำข้างต้นให้เจ้าเมืองและคนที่อยู่ ณ ที่นั้นฟังตามความเป็นจริงทุกประการ เมื่อฟังแล้วต่างก็เข้าใจ
          เจ้าเมืองเห็นว่าจะเอาผิดกับชายหนุ่มไม่ถนัดนักจึงเพียงแต่ขู่และห้ามมิให้ชายหนุ่มคนนั้นพูดเรื่องดังกล่าวอีกเป็นอันขาด พอชายหนุ่มเดินทางกลับไปแล้วชายแก่คนหนึ่งซึ่งร่วมสอบสวนอยู่ด้วยพูดขึ้นว่า "ไอ้เวรเอ๋ย กูนึกว่ารูเยี่ยวจริง ๆ กลับเป็นรูปลอมไปได้" 555555
                            ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #115 เมื่อ: วันที่ 31 ตุลาคม 2010, 18:35:32 »

เรื่องที่ 94 "มือถือนี้ของใคร?"
          มีวันนึงผมไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ใกล้ที่ทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย และนี่คือบทสนทนาของเขา
   "ฮัลโหล”
   "หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ”
   “ใช่จ้ะ”
   “ดีจังดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวยดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ”
   “แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
   “สองหมื่นกว่าเองค่ะ”
   “ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ”
   “แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…”
   “เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
   “สี่ล้านสองเอง”
   “โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ”
   “ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…”
   “อะไรล่ะ”
   “คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…”
   “เท่าไหร่ล่ะ”
   “ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…”
   “เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น”
   “แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ”
   “ผมขอคิดดูหน่อยนะ”
   “ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ”
   “ก็แล้วแต่คุณละกัน”
   “โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย”
   เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วถาม
   “ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือนี่ของใคร!!?”  555555
                        ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา


IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #116 เมื่อ: วันที่ 01 พฤศจิกายน 2010, 19:27:40 »

เรื่องที่ 95 "เชียงดาว"
        ในอดีตกาลมีนครแห่งหนึ่งนามว่า นครพะเยา กษัตริย์ผู้ครองนครมีราชธิดา๖องค์ และมีโอรสเป็นองค์สุดท้าย นามว่า เจ้าคำแดง อายุ ๑๖ ชันษา ราชธิดาทุกองค์สมรส หมดแล้วกับเจ้าเมืองต่าง ๆ สำหรับเจ้าคำแดงเป็นผู้กล้าหาญ เข้มแข็งในการสงครามยิ่งนัก ทรงโปรดการออกป่าล่าสัตว์อยู่เสมอ ๆ ครั้งหนึ่งมีกองทัพฮ่อยกมาล้อมนครพะเยา พระราชาทรงเรียกเขยทั้ง ๖ องค์มาถามว่า ‘’ ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นผู้อาสาออกไปปราบปราม ‘’ เขยทั้ง ๖ นิ่ง ไม่มีใครกล้าอาสา เพราะทราบว่าศัตรูมีกำลังมากมายและเข้มแข็งยิ่งนัก ดังนั้น พระราชาจึงตรัสเรียกเจ้าคำแดงออกมา เมื่อเจ้าคำแดงทราบเรื่องจึงรับอาสาออกปราบเอง พร้อมด้วยไพร่พลหนึ่งหมื่น การรบครั้งนี้ข้าศึกได้แตกพ่ายไป เมื่อเจ้าคำแดงได้ชัยชนะก็ยกทัพกลับ ขณะเดินทาง บังเอิญเจ้าคำแดงเห็นกวางทองรูปงามตัวหนึ่ง ก็อยากจะได้เพื่อนำไปถวายพระบิดา จึงสั่งให้พวกทหารเข้าล้อม เมื่อไพร่พลเข้าล้อมอย่างกระชั้นชิดเข้าไปมาก กวางก็ตกใจกระโจนหนีออกทางด้านเจ้าคำแดง ดังนั้น เจ้าคำแดงจึงควบม้าติดตามไปพร้อมด้วยไพร่พลจำนวนหนึ่ง  การติดตามใช้เวลาหลายวัน จากนครพระเยาจนเข้าเขตเชียงใหม่ จนเข้าใกล้เขาลูกหนึ่งสูงมาก สูงเทียมดาว ไพร่พลเรียกเขาลูกนี้ว่า ‘’ สูงเพียงดาว ” ต่อมาชื่อนี้เพี้ยนไปเป็น ‘’ เชียงดาว” บริเวณเชิงเขา เป็นทุ่งกว้าง กวางทองวิ่งหายไปในป่าหญ้า ต้องใช้เวลาค้นหาเป็นเวลานานบริเวณทุ่งหญ้าตรงนี้ชาวบ้านเรียกว่า ‘’ ทุ่งผวน ” ( ทุ่งกวางหาย ) ‘’ ผวน ‘’ เป็นคำพื้นเมือง แปลว่า ” สับสน ” ต่อมาพวกทหารได้มองเห็นแต่ไกล คิดว่าเป็นเนื้อทราย แต่พิจารณาดูดี ๆ จึงรู้ว่าเป็นกวางทอง ตรงบริเวณนี้ชาวบ้านให้ชื่อว่า ‘’ บ้านแม่ทลาย ‘’( แม่ทราย ) เจ้าคำแดงคงติดตามไปไม่ลดละกวางเห็นจวนตัว จึงถอดคราบกวางทองออกไว้ เรือนร่างภายในกลายเป็นสตรีสาวสวยยิ่งนัก นามว่า ” อินทร์เหลา ” แล้วหนีต่อไป ทั้งหมดจึงรู้ว่ากวางทองเป็นคน หมู่บ้านที่กวางถอดคราบออกนี้เรียกว่า ‘’ บ้านสบคราบ ” ( สบ ปากทางแพร่ ) "อินทร์เหลา" หนีขึ้นไปตามลำธารเล็ก ๆ เนื่องด้วยมีเครื่องแต่งกายเพียงเล็กน้อย เจ้าคำแดงที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิดเกรงว่านางจะอาย จึงยกมือโบกให้ทหารที่ติดตามมาหมอบราบกับพื้น เพื่อมิให้นางเห็น ตรงนี้เรียกว่า ‘’ น้ำแม่แมบ ” ( แมบ – หมอบ ) ต่อมาเพี้ยนเป็นแม่น้ำแมะ นางหนีขึ้นไปถึงบนเนินเขาซึ่งเป็นทางแคบ ๆ ทหารตรูเข้าจะจับตัวนาง แต่เจ้าคำแดงยกมือห้ามไว้ พระองค์จะตามไปเอง พอดีนางอินทร์เหลา หนีเข้าป่าไปได้ หมู่บ้านตรงนี้เรียกว่า ‘’ แม่นะ ” และเพื่อไม่ให้นางหลบหนีไปได้ เจ้าคำแดงจึงสั่งให้ทหารล้อมไว้พร้อมกับขุดคูกั้นไว้ คูนี้ต่อมาเรียกว่า ”คือฮ่อ ” (คือ-คู)
นางอินทร์เหลาจวนตัว จึงพยายามปีนป่ายหนีขึ้นเขาไปได้ เจ้าคำแดงติดตามไปแต่ผู้เดียว และไปพบตัวนางบนเนินเขาเตี้ย ๆ นางจึงถามว่า " มาจับฉันทำไมฉันมีความผิดอะไรหรือ"  เจ้าคำแดงตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นราชโอรสของกษัตริย์พะเยา เห็นกวางทองก็อยากจะได้จึงติดตามมา แต่ปรากฏว่ากวางทองตัวนั้นความจริงเป็นนางผู้สวยงาม เกิดรู้สึกรักและอยากจะได้เป็นชายา" นางตอบว่า "หากพระองค์รักข้าพเจ้าจริง ควรจะต้องไปบอกมารดาเสียก่อน ขณะนี้อยู่ในถ้ำ"  เจ้าคำแดงเห็นตามคำกล่าว จึงลงมาจากม้าเดินตามนางเข้าไปในถ้ำเพื่อไปหามารดาของนาง ซึ่งมีชื่อว่า  "อินทร์ลงเหลา"  พวกเสนา ที่ติดตามมาพบแต่ม้าที่ปล่อยไว้ แลเห็นรอยเท้าทั้งสองหายเข้าไปในถ้ำ พวกเขารออยู่เป็นเวลานานเจ้าคำแดงก็ไม่ออกมา เมื่อเข้าไปดูในถ้ำก็ไปไม่ถูก  จึงต้องยกทัพกลับนครพะเยาไป  ต่อมาชาวบ้านใกล้ ๆ พื้นที่ถ้ำทราบเรื่องต่างกล่าวกันว่า เจ้าคำแดงขณะนี้ได้กลายเป็นอารักษ์คุ้มครองดูแลถ้ำขุนเขาลูกนี้ และเรียกเจ้าคำแดงว่า "เจ้าหลวงคำแดง"  มาจนทุกกวันนี้
                           ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #117 เมื่อ: วันที่ 02 พฤศจิกายน 2010, 19:48:14 »

เรื่องที่ 96 "โดนเหมือนกันหรือ"
         ในสมัยก่อน ใครมีมอเตอร์ไซด์ขี่ จะดูเท่ห์มากๆ  มอไซด์ในสมัยนั้น จึงดูเหมือนเป็นของมีค่ามากสำหรับบรรดาหนุ่มสาว  และก็มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาขอเงินแม่ไปซื้อมอร์เตอร์โซค์มาคันหนึ่ง เลยขับออกโชว์สาวทั่วหมู่บ้าน และวันหนึ่งเขาขี่มอเตอร์ไซค์มาเที่ยวไกลบ้าน และฝนก็ตกหนักมาก แล้วตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว   พอดีมองเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ข้างทาง เขาจึงได้แวะเขาไปหลบฝนที่ชายคาบ้านหลังนั้น
         ในบ้านหลังนั้นมีเจ้าของบ้านเป็นชายสูงวัย ซึ่งแกอาศัยอยู่กับลูกสาว แล้วแกก็เป็นคนที่หวงลูกสาวมากๆ เจ้าของบ้านหลังนั้นได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่บ้านของแก แกจึงออกไปดู ก็เห็นเจ้าหนุ่มคนนั้นหลบฝนอยู่ที่ชายคาบ้านของแก เมื่อเจ้าหนุ่มคนนั้นเห็นเจ้าของบ้านออกมาดู ด้วยความที่เจ้าหนุ่มคนนั้นหนาวและง่วงมาก เขาเลยขอเข้าไปนอนในบ้านโดยบอกว่าจะยกรถมอเตอร์ไซด์ให้ลุง  ด้วยความอยากได้มอร์เตอร์ไซค์ ลุงก็เลยตกลง  เจ้าหนุ่มคนนั้นก็เลยได้เข้าไปนอนในบ้าน แล้วก็ได้เห็นลูกสาวที่หน้าตาจิ้มลิ้มคนนั้นของลุง ก็นึกชอบขึ้นมาทันที  ...ลุงเจ้าของบ้านก็เอาผ้าห่มและที่นอนมาให้เจ้าหนุ่มคนคนนั้น  
         พอตกดึกคืนนั้นเจ้าหนุ่มนั่น อยากจะมีอะไรกับลูกสาวของลุง จึงได้ย่องเข้าไปหาลูกสาวลุง สาวน้อยเห็นเจ้าหนุ่มเข้ามาหาก็ตกใจเล็กน้อย แต่เจ้าหนุ่มหัวไว ก็รีบบอกว่า หากยอมให้อึ๊บ ก็จะยกมอเตอร์ไซค์ให้  ..ด้วยความอยากได้มอร์เตอร์ไซค์ ลูกสาวของลุงแกก็เลยยอมให้เจ้าหนุ่มคนนั้นอึ๊บ..  แต่พอถึงตอนเช้า ทั้งสองพ่อลูก ก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งออกไปจากบ้าน ..ลุงแกเลยตะโกนเสียงดังว่า "อ้าว!!เฮ้ย แล้วไหนล่ะรถลุง"  เมื่อลูกสาวได้ยินพ่อพูดอย่างนั้นก็หันมามองหน้าพ่อตัวเองแล้วถามว่า  "อ้าว!!พ่อ ..เมื่อคืนพ่อก็ให้มันอึ๊บเหมือนกันเหรอ"555555
                               ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 13:13:35 โดย ILoVePaNgYa » IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #118 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 13:20:16 »

เรื่องที่ 97 "โอ้…พระเจ้า"
         ในสมัยย้อนหลังไป 10 ปี มีชายชราคนหนึ่งไปเที่ยวที่ชายหาดชะอำ ขณะกำลังเดินเล่นเลาะไปตามชายหาด ก็มีหญิงสาวสวยในชุดบิกินนี่ นอนอาบแดดที่ชายหาด ชายชราก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความมั่นอดมั่นใจ แล้วก็เอ่ยปากกระซิบถามว่า
   "อีหนู ลุงขอจับนมหน่อยได้ไหม" ตาแก่ถามแล้วทำหน้าตากระลิ้มกระเลี่ย
   "ไปให้พ้นนะ ตาแก่บ้ากาม" หล่อนด่าอย่างไม่แยแส
   "ขอจับนมหน่อย เดี๋ยวให้เงินร้อยนึง" ตาแก่ยังไม่ลดความพยายาม
   " ร้อยนึง? จะบ้าหรือไง ไปให้พ้น!! " หล่อนไล่อีก พูดแล้วก็เมินหน้าหนี
   "ขอจับนมหน่อยเหอะน่า ให้ห้าร้อยเลยเอ้า" ตาแก่ต่อรอง อย่างมีความหวัง
   "ไม่ได้ไปให้พ้น" หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเลย
   "งั้นพันนึง!"ตาแก่เพิ่มวงเงิน
   หญิงสาวเริ่มรู้สึกลังเล แต่แล้วก็ได้สติ "บอกว่าไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง"
   "งั้นให้ห้าพันเลยเอ้า ขอจับนมแค่นิดเดี๋ยวเท่านั้น" ตาแก่ทำตาละห้อยขอร้อง
   หญิงสาวนึกในใจว่า เขาแก่มากแล้ว ดูท่าทางก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างเงินห้าพันนี่ ในสมัยโน้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยบอกไปว่า "ก็ได้แต่ให้จับแค่แป๊บเดียวนะลุง" ว่าแล้วหล่อนปลดสายบิกินนี่ท่อนบนออก แล้วตาแก่ก็สอดมือเข้าไปถูนวด ลูบคลำเต้านมของหญิงสาว
   ลูบพลางก็รำพึงว่า "โอ พระเจ้า ! โอ พระเจ้า! โอ พระเจ้า!" ไม่ขาดปาก
   ด้วยความสงสัย หญิงสาวเลยถามว่า "ทำไมลุงต้องพูดว่า โอ พระเจ้า ! โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า! ด้วยล่ะลุง"
   ตาแก่พึมพำตอบขณะที่มือยังลูบคลำบีบนวดเต้านมของหญิงสาว!โอ พระเจ้า โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า ชาตินี้ลูกจะไปหาเงินห้าพันได้จากที่ไหน" 555555
                         ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #119 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2010, 21:56:48 »

เรื่องที่ 98 "เซี่ยงเมี่ยงแบ่งช้าง"
          บรรดาบุคคลที่เฉลียวฉลาด และสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ โดยคล่องแคล่วว่องไวใน วรรณคดีของไทยล้านนาแล้ว ทุกคนต้องยกให้เซี่ยงเมี่ยง บางคนถึงเติมสร้อยให้ว่า เซี่ยงเมี่ยงเจ้าปัญญา
          มีช้างพังเชือกหนึ่งของเจ้าผู้ครองประเทศข้างเคียง หลงทางพลัดเข้าไปในสวนของเซี่ยงเมี่ยง เซี่ยงเมี่ยงสั่งให้ข้าทาสของตนจับช้างเชือกนั้นไว้ เขานำเอาช้างพังตัวนั้นไปรับจ้างชักลากฟืน ตลอดจนบรรทุกของต่าง ๆ  ข่าวการได้ช้างของเซี่ยงเมี่ยงทราบไปถึงพระกรรณของเจ้าผู้ครองนคร พระองค์ให้เสนามาเรียกเซี่ยงเมี่ยงไป เมื่อพบก็ตรัสถามทันทีว่า  "เออ เจ้าเซี่ยงเมี่ยง ข้าทราบว่าเจ้าจับช้างได้ใช่ไหม ” เซี่ยงเมี่ยงกราบทูลว่า ‘’ เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า ”  เจ้าผู้ครองนครตรัสว่า ‘’ ดังนั้นก็ดีแล้ว ทรัพย์สินใด ๆ ที่พลัดเข้ามาในเขตขัณฑสีมาของข้าทรัพย์นั้นควรเป็นของข้าครึ่งหนึ่งเสมอ ‘’  เซี่ยงเมี่ยงกราบทูลว่า ‘’ เป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า หากพระองค์มีพระประสงค์ข้าพระพุทธเจ้าขอแบ่งให้พระองค์ครึ่งหนึ่ง  เจ้าผู้ครองนครทรงพระสรวลออกมาด้วยความพอพระทัย
‘’ เออ … เจ้านี่รู้หลักกฏหมายและขนบธรรมเนียมของบ้านเมืองดีนี่ เจ้าจะแบ่งส่วนไหนให้เราล่ะ ” เจ้าผู้ครองนครตรัสถาม เซี่ยงเมี่ยงนิ่งคิดสักครู่ก็กราบทูลว่า ‘’ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นข้าแผ่นดินของพระองค์ ดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนช้างเท้าหลัง พระองค์เป็นช้างเท้าหน้า ดังนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบครึ่งส่วนหน้าให้พระองค์ ส่วนครึ่งหลังเป็นของข้าพระพุทธเจ้าเองพระพุทธเจ้าข้า ” เจ้าผู้ครองนครตบพระหัตถ์ด้วยความพอพระทัย ‘’ ดีแล้ว ๆ เจ้าพูดถูกต้อง เจ้าคอยดูแลช้างให้ดีก็แล้วกัน ” เซี่ยงเมี่ยงก้มลงกราบรับบัญชาแล้วบังคมทูลลากลับบ้าน  นับแต่วันนั้นมาเซี่ยงเมี่ยงยิ่งใช้งานหนักขึ้น อาหารต่าง ๆ ที่ช้างกินนั้นเขาให้ช้างกินดีที่สุดส่วนค่าอาหารนั้นให้ไปคิดเอาที่เจ้าผู้ ครองนคร เวลารับจ้างได้เงินทองมา เขาก็เก็บรายได้ทั้งหมดที่ใช้ช้างทำงานตอนกลางวันเป็นของตนเสียผู้เดียว เพราะถือว่าส่วนที่ออกแรงที่สุดคือส่วนข้างหลัง พอเย็นลงก็ปล่อยช้างให้เข้าไร่เข้าสวนกินกล้วยกินต้นหมาก ต้นมะพร้าวของชาวบ้าน ชาวบ้านจับเรียกค่าไถ่ เซี่ยงเมี่ยงก็ให้ไปเบิกเอาจากท้องพระคลัง เพราะส่วนหน้าของช้างเป็นผู้นำ ดังนั้นเจ้าผู้ครองนครจึงต้องเป็นผู้รับชดใช้ ส่วนของตนอยู่ข้างหลังต้องเดินตามเท้าหน้าไปจึงไม่ได้รับผิดชอบ    เจ้าผู้ครองนครทราบเรื่องราวเห็นว่า ถ้าพระองค์ยังทรงขืนรับส่วนแบ่งเช่นนี้คงขาดทุนเรื่อยไป ดังนั้น พระองค์จึงตรัสบอกเซี่ยงเมี่ยงว่า "อ้ายเซี่ยงเมี่ยงเอ๋ย ช้างที่เจ้าแบ่งส่วนข้างหน้าให้ข้านั้นข้าขอคืนให้เจ้า ข้าไม่ขอรับเอาอีกต่อไปแล้ว ขอยกให้เจ้าทั้งหมดก็แล้วกัน ”  เซี่ยงเมี่ยงก้มลงกราบ กล่าวคำขอบพระทัยที่พระองค์ทรงพระกรุณาเช่นนั้น     นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การใดจะได้จะเสียพึงพิจารณาให้รอบคอบ ไม่ควรด่วนตัดสินใจอะไรง่าย ๆ เพราะมักจะนำความเสียหายมาสู่ตนได้ เซี่ยงเมี่ยงเป็นคนฉลาดแกมโกง คนเยี่ยงนี้จะทำให้คนเดือดร้อนตลอดมา  คติ  "อย่าใจเร็วด่วนได้"   55555
                                  ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!