เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 เมษายน 2024, 06:06:05
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  มาฟังนิทาน, เรื่องตลก, ขำขัน 108 พันเก้า
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] พิมพ์
ผู้เขียน มาฟังนิทาน, เรื่องตลก, ขำขัน 108 พันเก้า  (อ่าน 144200 ครั้ง)
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #120 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 13:13:02 »

เรื่องที่ 99 "ใครสมควรจะได้ขึ้นสวรรค์"
        มีดวงวิญญาณ ผู้ชายอยู่สามคนมายืนอยู่หน้าประตูสวรรค์   เทวฑูต บอกกับดวงวิญญาณชายสามคนนี้ว่าที่ว่างบนสวรรค์มีเพียงที่เดียว   ดังนั้นจะพิจารณารับขึ้นสวรรค์เพียงคนเดียว โดยมีข้อเเม้ว่า คนที่ตายอนาถา ที่สุดจะได้ขึ้นสวรรค์    โดยคนเเรกก็เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับการตายของตัวเองว่า"ข้อยจับได้ว่าเมีย ของข้อยมีชู้    ข้อยก็เลยย่องเข้าไปในห้องของเมีย ตอนกลางวันพอดีเห็นเมียข้อยนอนเเก้ผ้าอยู่บนเตียงคนเดียว   ข้อยก็เลยค้นทั้งหมดภายในห้องนอนเเต่ก็ไม่พบ อะไรในห้องนอน เผอิญพอข้อยมองไปที่หน้าต่างระเบียงห้องข้อยก็ เห็นชายคนหนึ่งใส่กางเกงขาสั้นเกาะอยู่ที่ขอบ หน้าต่าง   ข้อยโมโหมากเลยตรงเข้าทุบตีชายคนนั้น จนชายคนนั้นตกลงจากชั้นที่25(ห้องอยู่ชั้น25)เเต่โชคดีเขาตกลงมาถูก พุ่มไม้ด้านล่างชายคนนั้นก็เลยไม่ตาย   พอข้อยเห็น เเบบนั้นข้อยก็เลยยกตู้เย็นทุ่มลงจากชั้นที่25เพื่อให้ทับชายคนนั้น เเต่ยังบ่ ทันเห็นว่าชายคนนั้นตายหรือเปล่า   โรคหัวใจตัวเอง ก็กำเริบพอข้อยตื่นอีกทีก็มายืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์นี้เเล้ว "อืม เป็นการ ตายที่อนาถา เทวฑูตพูดด้วยความเห็นใจ   เเต่ลองฟัง คนที่สองดูก่อน   ชายคนที่สองก็ได้เล่าว่า "ขณะที่ข้อย กำลังออกกำลังกายอยู่ที่ระเบียงห้องบนชั้นที่26    โชคร้ายข้อยได้ลื่นพลักตกลงมาจากระเบียงห้องชั้น26  ถ้าข้อยตกลงไปถึงพื้น ด้านล่างข้อยตายเเน่ๆ เเต่โชคดีที่ข้อยเอื้อมมือไปจับขอบหน้าต่างชั้นที่25 ไว้ได้   พอดีกำลังจะปีนกลับขึ้นไปก็มีคนบ้าคนหนึ่งมา จากไหนไม่รู้มาทุบตีข้อยจนข้อยตกลงมาจากชั้น25 ใส่พุ่มไม้ด้าน ล่าง   ข้อยยังบ่ทันตายเเค่จุกๆกำลังจะลุกขึ้นยืนพอเงย หน้าขึ้นก็เจอเข้ากับตู้เย็นที่ตกลงมาจากชั้นบน พอตื่นขึ้นมาก็มายืนอยู่ที่นี่ เเล้ว " เจ้านี่ตายหน้าเห็นอกเห็นใจจริง   เทวฑูตพูด เเต่เดี๋ยวลองฟังคนที่สามดูก่อนนะ    ชายคนที่สามเล่าว่า "ข้อยเป็นชู้กับเมียคน อื่น   มีวันหนึ่งในขณะที่ข้อยอยู่กับเมียคนอื่นในห้อง ชั้นที่25   ผัวเขาก็กลับมา ข้อยกลัวผัวเขาเจอข้อยๆเลย เข้าไปหลบอยู่ในตู้เย็น    พอข้อยรู้ตัวอีกทีข้อยก็มายืน อยู่นี่เเล้ว"  จบเเล้ว!!!!ครับ  ลองคิดดูสิใครสมควรจะได้เลือกขึ้นสวรรค์ที่สุด
 55555
                              ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #121 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 18:38:58 »

เรื่องที่ 100 "ผัวเมียพอๆกัน"
         เย็นวันหนึ่ง ธีรเดชประกาศข่าวดีเสียงลั่นบ้านด้วยความตื่นเต้น "คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ผมมีข่าวใหญ่มาบอกผม จะแต่งงานกับสาวสวยที่สุดในอำเภอนี้ เธอชื่อโอปอลล์ครับ บ้านอยู่ถัดบ้านเราไปนิดเดียว” หลังอาหารเย็นผ่านไป พ่อก็ดึงธีรเดชไปคุยกันสองต่อสอง ลูกเอ๋ยพ่อมีเรื่องคุยด้วย พ่อกับแม่แต่งงานกันมาสามสิบปี แม่ ของลูกเป็นเมียที่ดี เป็นแม่ศรีเรือนที่ไม่มีอะไรบกพร่อง แต่ เสียอย่างเดียว คือ แม่เขาไม่เก่งเรื่องบนเตียง
พ่อ เลยแอบไปมีอะไรกับผู้หญิงอื่นไว้เยอะ ความ จริงน่ะ โอปอลล์เป็นน้องของลูกเพียงแต่คนละแม่ ลูกคงแต่งงานด้วยไม่ได้” หัวใจของธีรเดชแหลกสลาย มีอาการซึมเศร้าไปร่วมปีกว่าจะทำใจ ได้ และออกไปจีบสาวคนใหม่ ไม่นานนักก็กลับบ้านมาประกาศข่าวดี
“ผมคุยกับเป้ยแล้วครับ คุณพ่อคุณแม่ อีกสองเดือนเราจะแต่งงานกัน” คุณพ่อดึงเอาตัว ธีรเดชไปคุยกันสองต่องสองอีก ครั้ง “เป้ยก็เป็นน้องของลูกเหมือนกัน พ่อเสียใจจริงๆ ที่ลูกจะไม่ได้แต่งงาน” ธีรเดชหงุด หงิดจนคลั่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจไปฟ้องแม่ “พ่อทำงี้ได้ไงพ่อเที่ยวไปมีลูกกับผู้หญิงอื่น ทั่วอำเภอ แล้วอย่าง นี้เมื่อไรผมถึงจะได้แต่งงาน พอผมไปรักกับสาวคนไหน ก็กลาย เป็นว่าจีบน้องสาวคนละแม่เข้าทุกที” แม่ของธีรเดชได้ยินแล้วแทน ที่จะโกรธกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “อย่าไปสนใจที่พ่อพูดเลย ลูกเอ๋ย ที่จริงแล้วพ่อเขาก็ไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกหรอก” 555555
                           ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #122 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2010, 21:02:12 »

เรื่องที่ 101 "เหตุการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว !!
         เช้าวันหนึ่ง พี่ชายอายุ15 น้องสาวอายุ 13 อยู่ในบ้านตามลำพัง 2 คนในวันหยุด
"พี่ชายค่ะ พี่ชาย"  น้องสาวเข้ามาในห้องพี่ชายด้วยความกระวนกระวาย เกิดอะไรขึ้น"
พี่ชายร้องทักด้วยความเป็นห่วงน้องสาว  น้องสาวเอ่ยปากบอกพี่ชาย ด้วยความกังวลไปว่า  "พี่ชายค่ะ เออ...คือว่า น้องรู้สึกว่ามีบางอย่างอะไรในตัวน้องเปลี่ยนไป" "มันเป็นงัยเหรอ" พี่ชายถามด้วยความสงสัย "น้องรู้สึกว่ามันกำลังจะใหญ่ขึ้นทุกวันๆ" "ใหญ่ขึ้นเหรอ"  พี่ชายพูดพร้อมทำตาเบิกโพลงด้วยความสนใจแล้วเอ่ยปากว่า "ขอพี่ดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ" พี่ชายดึงตัวน้องสาวลงมานั่งที่ขอบเตียง แต่น้องสาวได้เลื่อนมือมาปิดไว้เสียแล้ว "น้องเอามือออกซิ พี่ชายจะดูว่ามันใหญ่ขึ้นจริงมั๊ย" น้องสาวเลื่อนมือออกด้วยความเขินอาย "ทำไมใหญ่จัง" พี่ชายร้องด้วยความตกใจ พร้อมเอื้อมมือจะไปสัมผัส "พี่ชายจะทำอะไรน้อง"   "พี่ชายแค่อยากสัมผัส ขอพี่จับได้ไหม"   พี่ชายเอ่ยปากด้วยสายตาที่วิงวอน ด้วยความสงสารพี่ชาย น้องสาวจึงตอบไปด้วยความเต็มใจ"ได้ซิพี่ชาย" "สีชมพู เต่งตึง"  พี่ชายพูดพร้อมคลึงไปพร้อมกัน  เกินที่น้องสาวจะเก็บความรู้สึกไว้ได้จึงพูดคลางออกมาว่า "อือออ...อาว....พี่ชายจ๋า น้องทรมานเหลือเกิน" เมื่อพี่ชายได้ยินเช่นนั้นพี่ชายก็ดึงร่างน้องสาวมานอนบนเตียง  "นอนลงซิจ๊ะพี่ชายจะช่วยให้น้องหายทรมาน"    "โอ๊ย...พี่ชายพอก่อน น้องเจ็บ" น้ำตาของน้องสาวไหลออกมาด้วยความเจ็บด้วยความสงสารพี่ชายจึงเอานิ้วคลึง เพื่อบรรเทาความเจ็บให้น้องสาว "หายเจ็บหรือยังจ๊ะ พี่ก็เพิ่งจะทำครั้งแรกนิ " พี่ชายถาม "ดีขึ้นแล้วจ๊ะ" น้องสาวตอบไปพร้อมเช็ดน้ำตาที่อาบแก้ม "งั้นพี่จะทำเบา ๆ ก่อนน่ะ" น้องสาวพยักหน้าพร้อมรับสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
พี่ชายออกแรงกดช้า ๆ "อืออ....โอวววว...." น้องสาวร้องฟังไม่เป็นศัพท์ "อืออ....อูยย..ดีจังค่ะ พี่จ๋าสงสัยของน้องจะแตกแล้ว แรงๆเลยจ๊ะ โอวว..." พี่ชายออกแรงกดตามเสียงร้องของน้องสาว "โอวว...อูยยย... พี่จ๋าน้องไม่ไหวแล้ว จะแตก แตก...แตก..แตกแล้ว"
พี่ชายพลิกตัวมานอนด้วยความเหนื่อยหอบ"พี่ชายดูซิ เลอะหน้าน้องหมดเลยแสบด้วย"
น้องสาวตัดพ้อพี่ชาย พี่ชายหันมายิ้มพร้อมพูดว่า "ครั้งแรกไม่ใช่เหรอ มันก็ต้องเจ็บ
ต้องแสบเป็นธรรมดา" "มีเลือดออกด้วย" น้องสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ พี่ชายจึงพูดออกไปด้วยความรำคาญ "มันก็ต้องมีเลือดออกซิ สิวหัวช้างเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ไม่ดูแลหน้าตาตัวเองเลย ปล่อยให้เป็นสิวหัวช้างได้ " เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "ล้างหน้าทุกเช้า และก่อนนอนจะไม่เป็นสิวน่ะจ๊ะ" 55555555
                       ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ


IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #123 เมื่อ: วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 12:48:09 »

เรื่องที่ 102 "ควายลุงคำ"
         ลุงคำแกอยู่บ้านนอก ไม่เคยไปติดต่อธุระการงานกับทางอำเภอเลย ดังนั้นเรื่องราวหรือวิธีปฏิบัติที่ทางอำเภอได้กระทำไปอย่างไรแกจึงไม่เข้า ใจ แต่แกเป็นคนที่สนใจ เอาใจใส่สอบถามเขาอยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง ลุงคำมีกิจธุระจำเป็นต้องไปติดต่อกับทางอำเภอ เนื่องจากแกมีควายสองตัว เมื่อควายโตแล้วจะต้องนำไปทำตั๋วพิมพ์รูปพรรณ เพื่อแสดงกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ   แกตื่นแต่เช้า ห่อข้าวและจูงควายทั้งสองไปยังที่ทำการอำเภอ เพราะการนำควายไปแต่เช้าควายจะไม่เหนื่อย ควายทั้งคู่นี้ ตัวหนึ่งเขาบี้ ( คือเขาเกตกลงข้างล่าง ) เป็นตัวผู้ อีกตัวหนึ่งเป็นตัวเมีย เขากิ ( เขาสั้นไม่โง้ง ) เมื่อถึงเวลา เจ้าหน้าที่ทางอำเภอก็มาตรวจขวัญ และกรอกลงในแบบพิมพ์ เสร็จแล้วจึงมอบตั๋วพิมพ์รูปพรรณนั้นให้แก่ลุงคำไป ลุงคำรับตั๋วพิมพ์มายืนอ่านดูหลายเที่ยว ป้ามาเมียลุงคำยืนดูอยู่จึงขอดูตั๋วพิมพ์นั้นบ้าง พอดูรูปในตั๋วพิมพ์กับดูควายของแกแล้วป้ามาร้องออกมาดัง ๆ ว่า "ป้อละอ่อนเหย มันท่าจะบ่าใจ้ควายเฮาเหียแล้ว ” ( พ่ออีหนู มันคงจะไม่ใช่ควายของเราเสียแล้ว ) ลุงคำสงสัยรีบถามออกไปว่า ‘’ มันเป๋นจะใดแม่ละอ่อน ” ( มันเป็นอย่างไรรึแม่อีหนู ) ป้ามา รีบบอก ‘’ ควายเฮาเขาบี้กับเขากิลู่ ควายในฮูปเขาว้องตึงมวน ” ( ควายของเราเขาเกกับเขาสั้นนี่ ดูควายในรูปซิ เขาโง้งทั้งสองตัว ) ลุงคำ พิจารณาดูรีบตอบว่า ‘’ เอ่อ แต้ ๆ ข้าจะไปหาเสมียนก่อน ‘’ ( เออ จริง ๆ ซิ ฉันจะต้องไปถามเจ้าหน้าที่ก่อน แกรีบเดินไปหาเจ้าหน้าที่ทันที  พอไปถึงแกรีบบอกพนักงานตั๋วพิมพ์รูปพรรณ ครั้นจะออกเป็นภาษาพื้นเมืองก็เกรงว่าเสมียนจะไม่เข้าใจ จึงพูดภาษากลางว่า " คุณ คุณ ซวาย ( ควาย ) ของผมเขาบี้กะเขากิ แต่นี่มันเขาว้องนี่ครับ ”  เสมียนเมื่อได้ยินลุงคำบอกดังนั้น จึงค่อย ๆ กระซิบว่า "ลุง เบา ๆ หน่อยอย่าพูดดัง คนอื่นจะได้ยิน"  ลุงคำคิดว่าตนได้ทีจึงตอบดัง ๆ ว่า "จะเบาจะใด ควายเขากิเป็นเขาว้อง มันตึงเบาบ่าได้ มันบ่าใจ่ลู่" ( จะให้พูดเบา ๆ  ได้อย่างไรควายเขาสั้นมาทำตั๋วเป็นเขาโง้งนี่ ไม่ย่อมละเพราะมันไม่ใช่นี่ )  5555555
                            ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ


IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #124 เมื่อ: วันที่ 05 พฤศจิกายน 2010, 17:39:15 »

เรื่องที่ 103 "ข้าจะบอกแกทำไม"
          มีสองคนผัวเมียอยู่ด้วยกันมานานหลายปี แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบมีลูกชายเพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีอายุประมาณ 6-7 ขวบ ลูกชายคนนี้ซนจอมแก่นและเฉลียวฉลาดดี ทั้งสองผัวเมียต่างรักใคร่กันดีและอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก
          อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนต่างก็ว่างงานจึงพากันพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ส่วนลูกชายจอมแก่นก็พอดีโรงเรียนหยุด ไม่ต้องไปโรงเรียน พอตกกลางวันลูกชายวิ่งมาบอกแม่ว่าจะไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่ทุ่งนาใกล้หมู่บ้าน ส่วนแม่ก็บอกอนุญาต ไม่ขัดข้องแต่ประการใด
          เมื่อลูกชายไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนแล้วทั้งสองผัวเมียก็พากันไปนอนเล่นพักผ่อนอยู่ในห้อง แรก ๆ ต่างคนต่างนอนอยู่ห่าง ๆ กัน และคุยกันกระหนุกระหนิงตามประสาคนรักกันไม่จืด เมื่อนานเข้าใครไม่ทราบเกิดย้ายไปนอนเคียงกันเข้า เมื่อผัวเมียเข้าใกล้กันฝ่ายผัวก็อดที่จะคันไม้คันมือไม่ได้ ย่อมมีการจับนั่นต้องนี่เป็นธรรมดา เมื่อจับกันไปจับกันมาเกิดกอดรัดกันและเลยมีการจูบกันด้วย ความคึกคะนองก็เกิดขึ้น ในที่สุดทั้งสองเกิดทำจ้ำจี้มะเขือเปราะกันกลางวัน โดยเผลอตัวมิได้ปิดประตูลงกลอน เพราะคิดว่าคงไม่มีใครเข้ามาพบเห็นตนเนื่องจากบ้านอยู่โดดเดี่ยว
          ฝ่ายลูกชาย เมื่อไปเล่นสนุกกับเพื่อนสักครู่ใหญ่ ๆ ก็เกิดหิวขึ้นมาจึงกลับมาบ้านโดยชวนเพื่อน 4-5 คนมาบ้านตนด้วยเพื่อจะเลี้ยงขนม แต่พอมาถึงใกล้บ้านเห็นบ้านเงียบเชียบก็เข้าใจว่า พ่อกับแม่คงกำลังนอนหลับ จึงบอกเพื่อให้เงียบ ๆ เพราะถ้าเอะอะขณะพ่อหรือแม่กำลังนอนอาจถูกพ่อหรือแม่ดุเอา เมื่อบอกเพื่อนแล้วก็ค่อยย่องเข้าไปในบ้าน พอแง้มประตูห้องนอนเท่านั้น เจ้าเด็กน้อยถึงกับผงะเพราะเห็นพ่อกับแม่ กำลังทำอะไรกันอยู่พอดี จึงรีบถอยออกจากห้องมาทันที แล้วค่อย ๆ ย่องลงบันไดไป พอถึงตีนบันไดบ้านก็ตบตีนตบมือหัวเราะและร้องเย้ว ๆ เพื่อน ๆ พากันสงสัยจึงถามว่า "เป็นอะไร ทำไมจึงตื่นเต้นและร้องเช่นนั้น" เด็กคนนั้นจึงตอบไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่า "ข้าจะบอกแกทำไม ข้าเห็นพ่อกับแม่ข้ากำลังทำอะไรกันอยู่ในห้องนอน" 55555
                       ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #125 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 10:13:47 »

เรื่องที่ 104 "กระต่ายเจ้าเล่"
          ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเรื่องเล่ากันมาว่า  มีกระต่ายตัวหนึ่ง มีความฉลาดมากในวันหนึ่งกระต่ายตัวนี้เห็นยายแก่คนหนึ่งเอาข้าวไปถวายพระที่วัด  และมีกล้วยอยู่หวีหนึ่งใส่ไว้ในกระเฌอทูนไว้บนหัว กระต่ายอยากกินกล้วยมากจึงใช้อุบายที่จะกินกล้วยของยาย จึงรีบวิ่งไปดักกลางทางข้างหน้ายาย โดยการแกล้งล้มลงนอนตายอยู่ เมื่อยายมาพบเห็นกระต่ายนอนตายอยู่ก็ให้แปลกใจ  จึงจับดูเห็นตัวยังอุ่นจึงจับใส่กระเฌอแล้ว  ก็ทูนหัวต่อไป กระต่ายเมื่อลงไปในกระเฌอของยายสมความตั้งใจ ก็ลุกขึ้นมาปอกกล้วยกินและทิ้งเปลือกไปข้างหลัง   ส่วนยายนั้นเมื่อได้ยินเสียง   ทิ้งเปลือกกล้วยก็หันไปดู   แต่ก็ไม่เห็นอะไร   เห็นแต่เปลือกกล้วย   ก็ให้สงสัยว่าใครนะเดินทางไปก่อนตน   เมื่อยายหันไปข้างหลัง กระต่ายก็ทิ้งเปลือกกล้วยไปข้างหน้า เมื่อยายหันหน้าเดินต่อไปก็เห็นเปลือกกล้วยอีกก็กล่าวว่า    เปลือกกล้วยนี้ยังใหม่อยู่คงมีใครเดินไปข้างหน้าใกล้ ๆ นี้เอง  และคงจะเดินกินกล้วยไปด้วย   จึงรีบก้าวเดินเพื่อจะไปให้ทัน แม้ยายจะรีบเดินมากเท่าไรก็ไม่ทัน   จนกระทั่งยายเหนื่อยจึงหยุดพักเอากระเฌอวางลง   ก็เห็นกระต่ายกินกล้วยของตนหมดแล้วก็โกรธมาก กระต่ายก็กระโดดออกวิ่งไปยายก็รีบวิ่งตามเพื่อจะตีกระต่ายนั้น   กระต่ายก็วิ่งขึ้นไปอยู่บนต้นคลุ้ม ยายตีไม่ได้จึงเอากรรไกรที่มีไว้ผ่าหมากตัดต้นคลุ้มนั้นกระต่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจมาก     ด้วยความที่ฉลาดและมีไหวพริบดี   จึงกล่าวกับยายว่า "ยายเอ๋ยยายจะเอากรรไกรนั้นตัดต้นคลุ้มนี้นั้น  กรรไกรของยายจะหักเสียเปล่า ๆ เพราะต้นคลุ้มนั้นมันแข็งมาก  ไม่เชื่อยายเอากรรไกรขูดดูแก่น  ของมันซี  แก่นของมันแดงแจ๋ทีเดียว”  ยายก็สงสัยจึงเอากรรไกรขูดต้นคลุ้มดู  เมื่อเปลือกนอกออกด้านในก็เป็นสีแดง   ยายก็คิดว่าเป็นแก่นจริง ๆ จึงไม่กล้าตัด    จึงไปหามีดมา   เมื่อยายไป   กระต่ายก็วิ่งไปอยู่ในโพรงไม้   ยายก็จับตีไม่ได้อีก   จึงคิดเอาบ่วงมาดักไว้ที่ปากโพรง  หากกระต่ายออกจะได้ติดบ่วง เมื่อยายดักบ่วงเสร็จกระต่ายก็คิดว่าหากตนออกต้องติดตายแน่ ๆ  จึงคิดหลอกยายอีก แล้วก็กล่าวกับยายว่า "ยายเอ๋ยทำบ่วงดักฉันอย่างนั้นนะไม่มีวันได้ตัวฉันหรอก  เพราะบ่วงอย่างนั้นมันไม่รูด  ถ้ายายไม่เชื่อยายลองเอาขาของยายใส่ดูก่อนก็ได้” ฝ่ายยายก็สงสัยว่าจริงอีก   จึงเอาขาใส่บ่วงดูคันของบ่วงก็ยกขึ้น บ่วงติดขาของยายห้อยโตงเตงอยู่   กระต่ายก็ออกจากโพรงได้  แล้วก็หัวเราะเยาะยายว่า “ยายหน้าโง่ติดบ่วงอยู่เถิดข้าไปก่อนแล้ว  ว่าแล้วกระต่ายก็ไป”  55555
                         ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #126 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2010, 19:39:51 »

เรื่องที่ 105 "นักเลงปืนเสียท่า"
          หลายปีมาแล้ว มีนักล่าสัตว์ผู้หนึ่งชอบยิงนกยิ่งนัก ทุก ๆ วันเมื่อมีเวลาว่าง เขาจะคว้าปืนคู่มือออกจากบ้านไปเที่ยวหายิงนกตามขอบบึง ซึ่งมีนกเป็ดและนกอื่น ๆ นานาชนิดลงมาหากิน เขามาคอยดักยิงนกที่นี่เป็นประจำ เมื่อยิงได้นกมากพอเขาก็หิ้วนกที่ยิงได้เป็นพวงโตกลับบ้านเวลาผ่านมาชาวบ้าน และพวกเด็กจะมองดูพวงนกนั้นด้วยความอยากได้ เพราะเขามีฝีมือยิงปืนแม่นจริงๆ มาคราวไรไม่เคยพลาด ขากลับไม่พวงก็สองพวงเสมอ  อยู่มาวันหนึ่งเป็นเวลาบ่าย ชายผู้นี้ดักยิงนกตามเคย วันนั้นนกพิราบป่าฝูงใหญ่บินลงมาหากินที่ขอบบึง เขาจะเข้าไปใกล้ก็เกรงว่าฝูงนกจะตื่น ตนจะพลาดโอกาสอันนี้เสีย ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปยังเป้านั้นช้า ๆ จ้องจับสายตาหมายที่นกป่าลง และขณะเดียวกันนั้น บริเวณใกล้ ๆ กับขอบบึง มีต้นไม้ทอดกิ่งยื่นลงมา เขาเพ่งดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ  จนกระทั่งเมื่อเขาอยู่ในที่เหมาะแล้ว เขาจึงตบมือและตะโกนเต็มเสียง ฝูงนกพิราบป่าตกใจพากันบินขึ้นทันที ในโอกาสนี้เองเขาได้ประทับปืนลูกซองซึ่งบรรจุลูกเป็นชนิดลูกปรายแล้วกดไกยิง ออกไปทันที "โป้ง โป้ง เขายิงออกไปไล่ ๆ กันถึง ๒ นัด ฝูงนกที่กำลังบินขึ้นร่วงตกลงหลายสิบตัว เขาดีใจมากที่การยิงครั้งนี้ได้ผลดีเกินที่คาดไว้ รีบวิ่งเข้าไปหมายใจจะเก็บ  ทันใดนั้นสายตาของเขาเหลือบเห็นร่างของเด็กชาย ๒ คน ร่วงพลัดตกจากกิ่งไม้ แล้วร้องครวญครางชักดิ้นชักงอคล้ายกับถูกยิง อารามตกใจที่ตนเองเป็นผู้ยิงพลาดไปถูกเด็ก ๒ คน จะเป็นจะตายอย่างไรไม่รู้ เขาเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นใครก็รู้สึกโล่งใจรีบคว้าปืน มุ่งหน้าวิ่งหนีกลับบ้านอีกทางหนึ่งทันที ตลอดทางเฝ้าครุ่นคิดว่า เด็กสองคนนั้นมันถูกยิงบาดเจ็บมากไหมหนอ หากตายไปตนเองคงจะต้องได้รับโทษฐานฆ่าคนตายโดยประมาทเป็นแน่แท้ แต่ก็ยังสบายใจที่ไม่มีใครเห็น เขารีบจ้ำเดินจนถึงบ้านของตน  หลังจากนั้นก็เก็บปืนพร้อมกับทำความสะอาดเหมือนหนึ่งไม่ได้ใช้ปืนนั้นเลย และขณะเดียวกันก็คอยสดับฟังข่าวว่ามีเด็กถูกยิงตายไปบ้างไหมในบริเวณขอบบึง นั้น ปรากฏว่าไม่มีข่าวเลย  วันรุ่งขึ้นภรรยาของเขาไปตลาด ได้ชื้อนกพิราบป่ามา ๒ พะวง สามีสงสัยจึงถามว่า "นี่เธอไปชื้อนกมาจากไหน นกพิราบทั้งนั้น"  ภรรยาไม่รู้เรื่อง จึงตอบว่า  "ก็ชื้อมาจากตลาดละซิ ฉันเองก็สงสัยเหมือนกันว่าพวกนี้ทำไมจึงยิงเก่งนัก มันยิงได้ตั้งมากมาย” สามีรีบถามภรรยาว่า "ใครเป็นคนเอามาขาย เธอจำหน้าได้ไหม" ภรรยาเงยหน้าขึ้นดูและบอกว่า "จำได้ซิ เป็นเด็กชาย ๒ คนเอามาขาย ฉันถามมันๆ ว่าพ่อไปยิงเมื่อวานนี้ สามี นึกรู้ทันทีว่าตนเสียทีถูกเด็กต้มเสียแล้ว เด็กทั้งสองแกล้งทำเป็นถูกยิง พอตนวิ่งหนีจึงกลับมาเก็บนกที่ตนยิงไว้มาขาย เมื่อไม่สามารถทำอย่างไรได้ก็คงได้แต่อุทานออกมาดัง ๆ ว่า "ตั้งแต่เกิดมาเป็นคนเพิ่งมาเสียทีเด็กคราวนี้เอง"  5555555
                            ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
                       
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #127 เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 08:33:47 »

เรื่องที่ 106 "ไอ้เชียงเด"
          มีหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของชาวสวนแตง พ่อแม่ ปลูกแตงขายเป็นอาชีพ หญิงสาวคนนี้มีคู่รักเป็น "ไอ้เซียง" ซึ่งเป็นหนุ่มอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน คำว่า "เซียง" เป็นคำเรียกนำหน้าชื่อของชายที่เคยบวชเป็นสามเณร เมื่อสึกออกมาได้รับ คำนำหน้าชื่อว่า "เซียง" ชื่อจริงของเซียงคนนี้ว่าอย่างไรอย่าได้สนใจเลยครับ ทั้งไอ้เซียงและหญิงสาวต่างรักกันมานานต่างอยากจะแต่งงานกันเหลือเกิน แต่ยังติดขัดที่ฝ่ายไอ้เซียงยังหาเงินสินสอดไม่พอจำนวนตามที่พ่อแม่ฝ่ายหญิงสาวเรียกร้อง ทั้งสองจึงได้แต่นาน ๆ ก็ลอบลักได้เสียกันอย่างลับ ๆครั้งหนึ่งเท่าที่โอกาสจะอำนวย
          วันหนึ่ง หญิงสาวไปเที่ยวสวนแตงของพ่อแม่คนเดียว เผื่อว่าหากโชคดีอาจได้พบกับเซียงก็ได้ แต่วันนั้นไม่เห็นไอ้เซียงผ่านไปทางนั้นเลย เมื่อหญิงสาวเดินลัดเลาะชมสวนแตง สักครู่ใหญ่ก็รู้สึกเหนื่อยทั้งแดดร้อนจัดด้วย จึงไปพักอยู่ใต้ร่มแห่งหนึ่ง ซึ่งพ่อทำเป็นยกร้านขึ้นสำหรับให้เถาแตงทอดยอดไป เมื่อนั่งพักหายเหนื่อยดีแล้ว หญิงสาวมองไปมองมาก็เห็นแตงลูกหนึ่งมีขนาดและรูปร่างลักษณะคล้ายของลับไอ้เซียง หญิงสาวนึกถึงเค้าหน้าของไอ้เซียง และจิตก็รำลึกถึงบทพิศวาสของไอ้เซียงซึ่งเคยร่วมรักกันมาแต่ครั้งก่อน ก็นึกกระสันขึ้นมาจึงนึกขึ้นได้ว่าหากเอาแตงลูกนั้นลองมาแหย่ของลับของตัวเอง ลองดูคงจะดี และคงจะพอแก้ขัดไปได้กระมัง เมื่อหญิงสาวนึกเช่นนั้นก็มองไปมองมาเห็นปลอดคน จึงเอื้อมมือไปปลิดแตงลูกที่ตนวาดภาพว่าเหมือนของลับไอ้เซียง พร้อมกับรื้อผ้าซิ่นขึ้น บรรจงเอาแตงค่อย ๆ แหย่เข้าไปในรูของลับของตนแล้วทำการชักเข้าชักออก เมื่อทำเช่นนั้นหลายครั้งเข้าหญิงสาวรู้สึกเสียวกระสัน หนัก ๆ เข้าปากก็ครางค่อย ๆ พร้อมกับกล่าวออกมาเป็นเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ และเป็นจังหวะว่า "ไอ้เซียงเด ไอ้เซียงเด้ๆๆ" ซึ่งมีความหมายว่า เหมือนของไอ้เซียงจริงหนอ ทำอยู่เช่นนี้สักพักหนึ่ง พอดีข้างฝ่ายพ่อของหญิงสาวตกบ่ายหน่อยหนึ่งก็ไปสวน เพื่อไปเก็บแตงมาให้เมียแกไปขายตลาดตอนเย็นเหมือนเช่นเคยทำมาทุกวัน แกเดินลัดเลาะไปตามแปลง ปลูกแตงอย่างช้า ๆ ก็พอดีได้ยินเสียงลูกสาวร้อง ไอ้เซียงเดๆๆ ค่อย ๆ อยู่ แกนึกสงสัยว่าใครมาร้องเสียงสูง ๆ ต่ำๆ อยู่สวนของแกนี้หนอ แกจึงค่อยย่องไปที่เสียงดังออกมานั้น รู้สึกแปลกใจและตกใจที่เห็นลูกสาวเอาแตงแยงรูของลับของตนเล่นเช่นนี้ จึงรีบเข้าไปร้องจ๊ะเอ๋กับลูกสาว และถามว่าทำอะไร ลูกสาวตกใจทั้งละอายไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงถอดแตงออกจากรูของลับทันที เสียงดัง "บ๊อก" พร้อมกับยื่นแตงมาใส่ใกล้ปากพ่อ และพูดว่า "เอ้า! กินบ่อีพ่อ" 55555
                        ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ฮืม ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #128 เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2010, 19:36:46 »

เรื่องที่ 107 "ปู่อ้ายท้ายเลิ้ก"
         เจี้ย(นิทานสั้น ๆ)เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนพื้นเมืองเชียงใหม่เล่ากันมาหลายชั่วคนแล้วเรื่อง มีอยู่ว่า ยังมีชายคนหนึ่งชื่อว่า ปู่อ้ายท้ายเลิ้ก รูปร่างสูงใหญ่มาก ส่วนลุ่ม ( ล่าง ) ตั้งแต่เอวลงไปถึงเท้ายาวมาก แต่ส่วนบนตั้งแต่เอวขึ้นไปถึงหัวสั้น จึงมีชื่อว่า ปู่อ้ายท้ายเลิ้ก แต่บางคนก็เรียกว่า ‘' บ่าอ้ายโง้มฟ้า ‘' เพราะเหตุว่ารูปร่างสูงมากเวลายืนคืบเดียวหัวจะถึงฟ้า ปู่อ้ายท้ายเลิ้กยังเป็นคนมีกำลังวังชาแข็งแรงสมกับรูปร่างสูงใหญ่ สามารถยกดอย ( ภูเขา ) หรือจะผลักดอยให้เคลื่อนไปมาก็ทำได้ด้วยกำลัง  ปู่อ้ายท้ายเลิ้กเที่ยวหากินอยู่หลายหัวเมือง อยู่มาวันหนึ่งไปดักไก่ที่เชียงรายเพราะเขาลือกันว่ามีไก่ป่าชุมนัก ก็เอากุ่มไก่ ( ที่ดักไก่ ) ไปคอยดักอยู่ที่นั่น จึงเรียกชื่อที่ตรงไปดักไก่ที่เชียงรายนั้นว่า ‘' ดอยกุ่มไก่ ‘' มาจนทุกวันนี้ ชาวเมืองเชียงรายโกรธที่ปู้อ้ายท้ายเลิ้กแอบไปดักไก่ถึงบ้านถึงเมืองของตน เอาไก่ไปหมด ก็จะเอาชีวิตเสียให้ได้ ปู่อ้ายท้ายเลิ้กจึงต้องหนีไปแอบหมอบอยู่ที่เมืองลี้ ที่จังหวัดลำพูนเดี่ยวนี้ ที่ต้องหมอบหนีก็เพราะว่าตัวสูง ยืนขึ้นเมื่อใดคนเห็นได้ชัด  ปู่อ้ายท้ายเลิ้กอยู่ไม่นานก็ต้องไปหากินอีก คราวนี้ไปจ่อม ( ตก ) เบ็ดขึ้นมา แต่สาวเบ็ดแรงเกินไป ปลาหลุดจากเบ็ดไปติดอยู่กับที่หน้าผาข้างฝั่งแม่ปิง ซึ่งเวลานี้เรียกว่า ‘' ผาแมว ‘' อยู่ที่อำเภอฮอด เมืองเชียงใหม่ ถ้าใครเดินเรือผ่านไปมาก็จะเห็นรูปปลาตัวนั้นติดอยู่ที่หน้าผาแมวริมแม่น้ำปิงนั่นแหละ  ปู่อ้ายท้ายเลิ้กรูปร่างใหญ่ มีกำลังแข็งแรงมากจริง แต่ก็ยังมีผู้ปราบได้ ผู้ที่สามารถปราบปู่อ้ายท้ายเลิ้กได้นี้มีชื่อว่า ‘' ไอ้ข้าวเจ็ดไห ‘' เรื่องมีอยู่ว่า ตั้งแต่ไอ้ข้าวเจ็ดไหมันเกิดมา พอตกฟากฟากเรือนหัก ตัวมันตกลงไปใส่ปากควายน้อย ( ตกทับลูกควาย ) ยืนอยู่ใต้ถุนข้างล่างตายไปตัวหนึ่งแต่อ้ายข้าวเจ็ดไหไม่เจ็บปวดอะไรเลย พอมันลุกขึ้นไปในครัว ล้วงหม้อกินข้าวหมดทั้งไห ก็ยังไม่อิ่ม พ่อจึงเอาข้าวหม่า( ข้าวที่แช่ไว้ ) มานึ่งให้กินสิ้นข้าวไปเจ็ดไหจึงอิ่มพอดี พ่อจึงตั้งชื่อมันว่า ‘' ไอ้ข้าวเจ็ดไห ‘' แต่นั้นมา
         ไอ้ข้าวเจ็ดไหเติบโตขึ้นทุกวัน กิ่นล้ำกิ่นเหลือ สิ้นเปลือง เหลือกำลังพ่อแม่จะทำมาหาเลี้ยงได้ พ่อคิดว่าขืนเลี้ยงลูกคนนี้ไว้ต่อไปก็ฉิบหายวายวอด ตัวเองก็ต้องอดตายทั้งผัวทั้งเมีย อยู่มาวันหนึ่งพ่อมันจึงออกอุบายกับลูกของมันว่า ‘' ไอ้น้อย ป้อจะไปฟันไม้ในป่า พอค่ำเจ้าไปเที่ยวตามหาป้อว่าอยู่ที่ไหน จะได้ช่วยกันแบกขนไม้มาแปงเฮือน ป้อคนเดียวแบกบ่ไหว ‘' ไอ้ข้าวเจ็ดไหรับคำพ่อมัน พ่อก็แบกขวานเข้าไปเที่ยวเลือกหาต้นไม้ใหญ่ที่สุดในป่านั้น ขนาดคนสามคนอ้อมไม่รอบ ฟันลงได้แล้วละไว้ แล้วพ่อก็กลับไปบ้าน ยังมีพ่อค้างัวต่างพากันมาพักที่ต้นไม้นั้น เอาข้าวของต่าง ๆ วางไว้เกลื่อนกลาดบนต้นไม้ของพ่อไอ้ข้าวเจ็ดไห พอไอ้ข้าวเจ็ดไหมาถึงที่นั่นก็ร้องบอกกับหมู่พ่อค้าค้างัวต่างว่า ‘' พ่อลุง ขอย้ายครัวของลุงไปหน่อยเต๊อะ พ่อข้าฟันต้นไม้ต้นนี้ไว้ ข้าจะแบกเอาไปบ้าน ‘' ฝ่ายพวกพ่อค้าก็นึกว่าไอ้ข้าวเจ็ดไหพูดเล่น เพราะตัวมันยังเป็นเด็กเล็กจะแบกไม้ใหญ่เท่านั้นอย่างไรไหว ก็เลยพูดเล่นต่อไปบ้างว่า ‘' เออไอ้น้อย ถ้าเจ้าแบกต้นไม้นั้นไหวก็เอาไปให้หมดเต๊อะ ข้าวของเหล่านั้นของพวกข้า ข้าให้ไอ้น้อยเป็นรางวัลทั้งหมดนั่นแหละไอ้ข้าวเจ็ดไหได้ยินดังนั้นก็ยก ต้นไม้ใส่บ่าพร้อมกับครัวของพ่อค้างงัวต่างทั้งหมดแบกเอาไปบ้าน ส่วนพ่อไอ้ข้าวเจ็ดไหเห็นลูกแบกต้นไม้ใหญ่มาถึงเรือน ไม่ทับมันตายเหมือนหมายใจเอาไว้ยิ่งกลัวลูกของมันเอง นึกว่าเป็นยักษ์มารมาเกิด ถ้าขืนเลี้ยงเอาไว้ต่อไปก็อาจจะเป็นอันตรายแก่ตัวเองได้ พอดีนึกขึ้นได้ถึงปู่อ้ายท้ายเลิ้ก ก็คิดได้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะกำจัดไอ้ข้าวเจ็ดไหได้  เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วก็เรียกลูกของมันมาบอกว่า ‘' ไอ้น้อย เจ้าจงไปหาปู่อ้ายท้ายเลิ้กให้พ่อสักหน่อยเต๊อะ บอกว่าให้มาทวงหนี้ มันเป็นหนี้อยู่ช้านานนักหนาแล้ว '' พ่อออกอุบายอย่างนี้ด้วยหมายจะยืมมือปู่อ้ายท้ายเลิ้กฆ่าลูกเสีย เพราะคนมีกำลังมากพอ ๆ กับไอ้ข้าวเจ๊ดไหก็มีแต่ปู่อ้ายท้ายเลิ้กเท่านั้น ส่วนไอ้ข้าวเจ็ดไหนั้นนึกว่าเป็นความจริงตามที่พ่อพูด ก็ออกเดินทางไปทวงหนี้ให้พ่อ เที่ยวตามหาปู่อ้ายท้ายเลิ้กว่าอยู่ที่แห่งใด ระหว่างทางนั้นก็พบไอ้นาตาเลิ้ก เป็นคนที่เบ้าตาลึกมาก เก็บได้สามตะกร้าเต็ม ๆ ไอ้นาตาเลิ้กเห็นไอ้ข้าวเจ็ดไหเดินเซอะซังมาแต่คนเดียวก็ถามว่า ‘' สหายเจ้าจะไปไหนนั้น ‘' ไอ้ข้าวเจ็ดไหก็ตอบว่า ‘' ข้าจะไปทวงหนี้ที่ปู่อ้ายท้ายเลิ้ก เจ้าจะไปเที่ยวกับข้าด้วยไหม ‘' ไอ้นาตาเลิ้กก็ตอบตกลงว่าจะไปด้วย ทั้งสองก็พากันเดินไป ตกเย็นรู้สึกหิวกันทั้งสองคนจึงเที่ยวหาอาหารกินอะไรก้ไม่มีให้ประทังชีวิตเลย เห็นแต่จิ้งหรีดกระโดดหยองแหยงอยู่ตัวหนึ่ง ก็ช่วยกันจับ แต่จิ้งหรีดไวกว่าวิ่งหนีลงรูไป ไอ้ข้าวเจ็ดไหกับไอ้นาตาเลิ้กจึงต้องช่วยกันขุดรูจิ้งหรีด ขุดลึกลงไปตั้งวากว่าจึงเห็นขาจิ้งหรีดดุก ๆ ดิก ๆ อยู่ไหว ๆ ก็ช่วยกันจับไว้ ดึงเอาจิ้งหรีดขึ้นมา ไอ้นาตาเลิ้กเสียท่าถูกจิ้งหรีดดีด กระเด็นไปตกข้ามเขาไปสามลูก แต่ยังดีได้ขาจิ้งหรีดข้างนั้นติดมือมาด้วย ส่วนไอ้ข้าวเจ็ดไหจับจิ้งหรีดไม่ได้ จึงไม่ได้อะไรเลย ต้องตามไอ้นาตาเลิ้กไปเอาขาจิ้งหรีดข้างเดียวนั้นจี่แบ่งกันกินสองคน ได้อาหารกินพอแรงแล้วก็พากันเดินทางต่อไปอีกสามวันสามคืนก็ถึงที่อยู่ของปู่อ้ายท้ายเลิ้กขณะที่สองคนนั้นไปถึง ปู่อ้ายท้ายเลิ้กกำลังนอนขวางแม่ปิง หยอกนางแก้วที่อาบน้ำอยู่ที่ตีนดอย ที่เรียกกันเวลานี้ว่า ‘' ดอยนางแก้ว ‘' อยู่ทางใต้อำเภอฮอด เมืองเชียงใหม่นั่นแหละ  พอพบ ปู่อ้ายท้ายเลิ้กแล้วไอ้ข้าวเจ็ดไหก็ทวงหนี้ตามคำที่พ่อบอกมา ปู่อ้ายท้ายเลิ้กก็แปลกใจแต่ยังสนุกที่จะหยอกนางแก้วเล่น ไม่อยากให้ใครมากวน จึงแกล้งจุ๊ไอ้ข้าวเจ็ดไหไปเสียให้พ้น ๆ ว่า  "เงินมีอยู่นอกชานบ้าน เองไปหยิบเอาของเองเต๊อะ '' ไอ้ข้าวเจ็ดไหก็ไปยังเรือนปู่อ้ายท้ายเลิ้ก เที่ยวหาเงินวนเวียนอยู่จนหัวหรอก หาตลอดหัวชานท้ายชานหลายตลบก็ไม่ได้เงินอย่างที่ปู่อ้ายท้ายเลิ้กบอก จึงโกรธปู่อ้ายท้ายเลิ้กมากและกลับมาต่อว่า แล้วท้าให้มาลองฤทธิ์กัน โดยจะให้ปู่อ้ายท้ายเลิ้กอุ้มมันตอกลงดิน ( กระแทกลงดิน ) ให้มิดจมไป ถ้าไอ้ข้าวเจ็ดไหกลับขึ้นมาได้ จะเอาตัวปู่อ้ายท้ายเลิ้กตอกลงดินให้จมมิดบ้าง ถ้าปู่อ้ายท้ายเลิ้กกลับขึ้นมาไม่ได้ก็จะเอาภูเขามาทับให้ตายอยู่ใต้นั้นเสียเลย เมื่อตกลงอย่างนี้แล้ว ปู่อ้ายท้ายเลิ้กก็อุ้มไอ้ข้าวเจ็ดไหกระแทกกับดินจมลงไปเหลือแค่คอแต่มันมี กำลังมากค่อย ๆ เขยิบตัวออกมาได้ทีละน้อย ๆ พอหลุดพ้นตัวแล้วก็ไปเอาตัวปู่อ้ายท้ายเลิ้กตอกลงดินบ้าง ก็ลงไปได้แค่คอเหมือนกัน ปู่อ้ายท้ายเลิ้กพยายามเขยิบตัวออก แต่ไม่อาจเขยิบตัวให้หลุดพ้นดินขึ้นมาได้ ไอ้ข้าวเจ็ดไหจึงไปเลื่อนดอยมาทับปู่อ้ายท้ายเลิ้กก็ตายอยู่ตรงนั้นเอง เวลานี้เขาลูกนั้นเรียกว่า ‘' ผาหมอน ‘' ชีวิตปู่อ้ายท้ายเลิ้กผู้มีกำลังแข็งแรงก็จบลงแค่นั้น 
                             ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ :
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
ILoVePaNgYa
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 973


« ตอบ #129 เมื่อ: วันที่ 08 พฤศจิกายน 2010, 20:47:43 »

เรื่องที่ 108 "อ้ายก้องขี้จุ๊"
        ใครๆในเวลานั้นก็รู้กันว่าอ้ายก้องเป็นคนขี้จุ๊ ( มักกล่าวเท็จ ) จุ๊ไม่เลือกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นธุเจ้า (พระสงฆ์) หรือเป็นพระยาเจ้าเมือง
        เรื่องที่ก้องหลอกพ่อแม่ มีเรื่องเล่าดังนี้   วันหนึ่งก้องลาพ่อแม่ไปเที่ยวที่ไกล หายหน้าไปหลายวัน พอกลับมาก็เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าที่ไปเที่ยวมานั้นม่วน (สนุก) มาก ค้าขายก็ดี พ่อค้าวัวต่างวัวหลัง (ขายดี ของที่บรรทุกหลังวัวมาหมดเกลี้ยง) ทำให้ก้องอยากเป็นพ่อค้าวัวต่างบ้าง ขอให้พ่อช่วยซื้อวัว ซื้อสินค้าให้ แล้วชวนพ่อไปค้ากับตนที่เมืองนั้น พ่อเองทั้งนึกกลัวว่าก้องจะจุ๊เอาอีกอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก้องก็ยืนยันว่าคราวนี้จะไม่จุ๊แน่นอน ทั้งพ่อก็กำกับไปเองด้วย ไม่ต้องกลัวว่าก้องจะทำเหลวไหลให้เสียเงินเสียทอง พ่อแม่จึงยอมตกลงซื้อวัวซื้อของบรรทุกไปค้าขายกับก้อง เมืองที่ว่าค้าขายดีนั้นดีจริงเหมือนก้องพูด พ่อกับก้องขายของหมด ซื้อไปขายมาได้เงินมากได้กำไรจนเพลินไปเกือบจะไม่ได้ปิ๊กบ้านปิ๊งเมือง(กลับบ้านกลับเมือง) อยู่มาวันหนึ่งก้องเตือนพ่อขึ้นว่า จากบ้านมานานแล้วนึกเป็นห่วงแม่อยากจะกลับไปเยี่ยม พ่อก็เห็นดีด้วย แต่ขณะที่กำลังซื้อขายคล่อง ถ้ากลับไปก็เสียดาย จึงตกลงกันว่าให้พ่อค้าขายอยู่ทางนี้ ให้ก้องกลับไปเยี่ยมแม่คนเดียวเอาเงินเอาทองที่ทำมาหาได้ไปฝากแม่ด้วย  ก้องรับเงินทองจากพ่อแล้วออกเดินทางไป แต่ไม่ตรงไปหาแม่เดียว เที่ยวไถลไปไหน ๆ จนเงินทองหมดตัวจึงกลับไปหาแม่ พอพบหน้าแม่ก็ทำเป็นเศร้าโศกร้องไห้ฟูมฟายว่าไปมาคราวนี้พาพ่อไปล้มไปตาย ข้าวของสมบัติอะไร ๆ ที่ติดตัวไปก็ล่มหมด พ่อตายทำบุญให้แล้วก็รีบกลับมากาแม่นี่แหละ อู้(พูด)อย่างนี้แล้วก็แนะแม่ว่า เวลานี้พ่อก็หาไม่แล้ว(ตาย) ควรขายบ้านเก่าเสียแล้วย้ายไปเมืองอื่นที่ทำมาหากินได้ดีกว่าเมืองนี้ ก้องจะอยู่ช่วยแม่ค้าขาย ไม่จากแม่ไปไหนอีกแล้ว แม่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ตกลงทำตามที่ก้องแนะนำ ขายบ้านเก่าแล้วย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้วแม่ก็ยังไม่หายเสียใจ ร้องไห้คิดถึงพ่ออยู่เสมอ ก้องจึงปลอบแม่ว่า ‘' แม่อย่าร้องไห้เสียใจไปนักเลยไหน ๆ พ่อก็ตายไปแล้ว นึกหาเอาใหม่ก็แล้วกันแม่ตอบว่า"จะหาคนเหมือนพ่อไม่ได้แล้ว ถ้าได้อย่างพ่อก็จะเอาใหม่ ‘' ก้องจึงบอกแม่ว่า ‘' ถ้าต้องการอย่างนั้นก็บ่ยาก แต่ก่อนเมื่อข้าเที่ยวไป ข้าปะพ่อชายคนหนึ่งเหมือนพ่อไม่ผิดกันเลย ข้าจะไปชักมาให้แม่ ‘' ครั้นแล้วก้องก็ลาแม่ไป กลับไปหาพ่อที่คอยฟังข่าวอยู่ ก้องพบพ่อทำเป็นร้องไห้รำพันร่ำไรว่ากลับไปบ้านนี้เคราะห์ร้ายมาก ไม่ได้พบหน้าแม่ แม่ตายเสียแล้วตั้งแต่ยังค้าขายกันอยู่ บ้านช่องก็เสียหายเป็นของเขาอื่นไปแล้ว พ่อได้ยินว่าแม่ตายเสียแล้วอย่างนั้นก็เสียใจมาก ร้องไห้คิดถึงแม่อยู่หลายวัน วันหนึ่งก้องได้ช่อง(ได้โอกาส) ก็เข้าไปปลอบพ่อว่า "พ่ออย่าร้องไห้ไปเลย เมื่อก่อนที่ข้าเที่ยวไป ข้าปะหญิงคนหนึ่งเหมือนแม่ไม่มีผิดเมื่อพ่ออยากเห็นข้าจะพาไปที่บ้าน" ก้องชักพ่อมาหาแม่ที่เมืองที่แม่ย้ายมาอยู่ใหม่ แล้วรีบหนีไปเที่ยวเสียที่อื่นต่อไป พ่อแม่พบกันนึกว่าเป็นพ่อชาย แม่หญิง ที่เหมือนคู่เก่าของตนที่ตายไปแล้ว ก็ดีใจมาก ตกลงอยู่กินกันต่างคนต่างนึกว่าตนได้คู่คนใหม่ อยู่มาวันหนึ่ง แม่บ่นถึงก้องว่าหายไปนานแล้วไม่กลับ ไปเที่ยวจุ๊อยู่ที่บ้านไหนก็ไม่รู้ พ่อได้ยินออกชื่อก้องก็สงสัย ซักถามกันขึ้น ก็ความแตกว่าต่างคนมีลูกชื่อก้องขี้จุ๊คนนั้นเอง ลูกหลอกให้มาได้กันเหมือนได้ผัวใหม่เมียใหม่
         ส่วนที่ก้องจุ๊ธุเจ้านั้น มีเรื่องเล่าว่า อาจารย์เจ้าวัดหนึ่งเป็นคนขี้หวง ถึงหน้าต้นไม้ในวัดออกลูกออกผล อาจารย์ก็ป้องกันแข็งแรงกลัวว่าใครจะมาขอ   มาขโมย คราวหนึ่งมะม่วงในวัดออกลูกมากมาย คนในวัดและชาวบ้านแถวนั้นรู้ดีว่าเจ้าวัดหวงมาก ถึงอย่างไร ๆ ก็คงไม่ยอมให้มะม่วงใคร ก้องอยากลองดีจึงบอกกับพ่อว่าฉันจะเอามะม่วงในวัดมาให้พ่อกินให้ได้ พ่อก็หัวเราะประมาทหน้า แน่ใจว่าเอาของท่านมาไม่ได้ ก้องท้าพนันกับพ่อว่า ถ้าเอามาได้พ่อจะให้เท่าไร พ่อบอกว่าได้มะม่วงมาลูกหนึ่งจะให้พันตำลึงทอง ก้องจึงรับรอง่าถ้าได้พันตำลึงทองจะเอามาให้พ่อตะกร้าใหญ่ ไม่ต้องนับว่ากี่ลูก แล้วก็แต่งตัวโอ่โถ่ง ลงเรือหายหน้าไป ๒ - ๓ วัน พ่อก็ไม่รู้ว่าก้องไปไหนพอกลับมาก้องรีบมาที่วัดเข้าไปเคารพอาจารย์เจ้าวัด แล้วบอกว่า ‘' ข้าพเจ้าเป็นคนรับคำสั่งท่านพญาเจ้าเมืองให้มาตรวจดูสถานที่ในวัดท่านจะมาแปง ( สร้าง ) หอหลวง ท่านให้มาถามอาจารย์ก่อนว่าจะยอมอนุญาตให้สร้างหรือไม่ ‘' อาจารย์เจ้าวัดเห็นก้องแต่งตัวภูมิฐาน ท่าทางดี นึกว่าพญาเจ้าเมืองใช้ให้มาจริง ๆ ก็บอกอนุญาตให้ก้องเที่ยวเดินไปทั่ววัด ตรวจไปพลางเอาเชือกเที่ยววัดตรงนั้นตรงนี้ทำท่าเหมือนจริง ครั้นวัดและจดได้เสร็จแล้ว ก็บ่นดัง ๆ ให้เจ้าวัดได้ยินว่า ‘' สะดายสะดาย ( เสียดาย ) มะม่วงต้องตัด หอหลวงนี้ใหญ่โตมาก กินที่ไปถึงต้นมะม่วงพวกนี้ด้วย ‘' อาจารย์เห็นวาได้หอหลวงใหญ่ถึงจะตัดมะม่วงสักต้นก็ยอม และเมื่อไหน ๆ จะตัดมะม่วงอยู่แล้ว ก้องจะเก็บเอาลูกไปบ้างก็ได้ไม่หวงเอาไว้เหมือนแต่ก่อน ทั้งก้องก็เป็นคนที่จะไปนำพญาเจ้าเมืองมาแปงหอหลวงในวัดนี้ จึงให้ก้องเก็บมะม่วงเอาไปตะกร้าหนึ่ง ก้องเอามะม่วงไปให้พ่อ พอร้องทวงตำลึงทองตามที่พ่อสัญญาไว้ พ่อกลับร้องด่าเอาว่า ‘' มึงรู้จักจุ๊ธุเจ้าเอามะม่วงมาได้ กูไม่รู้จักจะจุ๊ใคร จะเอาคำที่ไหนมาหื้อ (ให้) มึงตั้งพัน ‘'
           ส่วนเรื่องที่ก้องจุ๊พญาเจ้าเมือง มีว่า  พญาเจ้าเมืองรู้ว่าก้องเป็นคนขี้จุ๊ ใคร ๆ ก็เสียรู้ นึกอยากลองปัญญา จึงให้คนไปหาตัวมาเฝ้าแล้วท้าให้จุ๊ตัวบ้างดูว่าตนจะหลงเชื่อเสียรู้ก้อง หรือไม่ ก้องก็รับปากว่าจะลองดู แล้วทูลขอเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอย่าเอาโทษตนเป็นอันขาด ไม่ว่าตนจะทำให้พญาเสียรู้สักแค่ไหน เจ้าเมืองก็รับคำแล้วบอกให้ก้องเริ่มได้ แต่ก้องบอกว่าจะจุ๊เจ้าเมืองในวังไม่ได้ ต้องออกไปข้างนอกไกล ๆ แล้วพาเจ้าเหนือหัวเดินออกไปนอกเมืองไกลจนถึงบวก (หนองน้ำ) แห่งหนึ่ง แล้วทูลขอให้เจ้าเมืองลงไปยืนในหนองน้ำนั้น ตนจะจุ๊ให้ขึ้นจากหนองน้ำให้ได้ พญาเจ้าเมืองก็ลงไปในหนองน้ำแล้วตั้งใจว่าก้องจะจุ๊อย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น พอเจ้าเหนือหัวลงไปอยู่ในหนองเรียบร้อยแล้ว ก้องก็ร้องทูลว่า ‘' ข้าพเจ้าจุ๊ให้ท่านเดิน ออกจากวังมานอกเมืองไกลแค่นี้แล้ว ส่วนที่จุ๊ให้ลงไปอยู่ในน้ำนั้นจะขึ้นหรือไม่ก็ตามพระทัยเถิด "ก้องกล่าวดังนั้นแล้วก็ถวายบังคมลากลับไปเสียเฉย ๆ พญาเจ้าเมืองก็รู้ว่าเสียท่าก้องเสียแล้ว และตั้งแต่เสียรู้ก้องวันนั้นแล้วก็ผูกใจเจ็บอยู่เสมอ วันหนึ่งจึงให้ไปจับก้องลงโทษ ให้เอาใส่หีบไม้  ล่อ(โผล่) แค่คอแล้วแขวนเอาไว้บนต้นไม้ริมแม่น้ำใกล้ทางหลวง แขวนประจานเอาไว้เจ็ดวันให้คนทั้งหลายดูหน้าคนบังอาจจุ๊เจ้าเหนือหัว เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว จะให้โค่นต้นไม้ตกแม่น้ำไปให้ก้องจมน้ำตายอยู่ในหีบไม้ใบนั้น ผู้คนก็พามาดูอ้ายก้องขี้จุ๊กันมากมาย ในเย็นที่ก้องจะต้องตายนั้น เผอิญอ้ายเงี้ยวตาฟางคนหนึ่งเดินงุ่มง่ามมา ก้องแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจมาก ร้องเรียกให้เข้ามาใกล้ ๆ เงี้ยวตาฟางจึงถามว่าก้องเป็นใคร ก้องบอกว่าตนเป็นคนตาบอด หมอรักษาตาเอาใส่หีบแขวนไว้ เวลานี้ตาหายแล้วเห็นดีแล้ว เงี้ยวตาฟางอยากตาดีบ้าง จึงขอให้ก้องช่วยเอาตัวใส่หีบแขวนไว้ เงี้ยวจึงช่วยก้องออกมาแล้วเข้าไปอยู่ในหีบแทน ครบกำหนดเจ็ดวัน เพชฌฆาตก็มาโค่นต้นไม้ เงี้ยวตาย ส่วนก้องพ้นตายไปได้ แล้วก็ไปเฝ้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองแปลกใจว่าเหตุใดก้องตากน้ำแล้วยังไม่ตาย ก้องจึงกุเรื่องขึ้นเล่าว่า "ตกน้ำไปจริงแต่ไม่ตาย ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค เมืองนั้นสนุกสนานมาก มีแต่ผู้หญิงงาม ๆ ทั้งเมือง ไม่มีผู้ชายเลย" แล้วขยายเรื่องจนเจ้าเมืองอยากไปบ้าง ขอให้ก้องช่วยจัดการให้ได้ไปเที่ยวถึงเมืองพญานาค ก้องจึงเอาเจ้าเมืองใส่หีบทิ้งน้ำ เป็นอันว่าพญาเจ้าเมืองไม่ได้กลับมาครองบ้านเมืองอีกต่อไป ส่วนก้องกลับมาเฝ้านางเทวี ชายาเจ้าเมือง เล่าว่าเจ้าเมืองไปอยู่เมืองพญานาค มีความสุขสนุกสนาน ไม่ยอมกลับบ้านเมืองอีกแล้ว มอบให้ก้องเป็นพญาแทน ส่วนเจ้านางเทวีนั้น พญาสั่งว่าอย่าให้เอาผู้ใดเป็นผัวนอกจากก้อง อ้ายก้องขี้จุ๊ก็ได้เป็นพญาแต่นั้นมา 555555
                   ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ขยิบตา ฮืม ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า

ไม่หล่อแต่จน....
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!