นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีพิธีกรรมอีกพิธีหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญ และเป็นเรื่องที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน และปรากฏอยู่ในหลักฐานทางพระพุทธศาสนามาอย่างยาวนาน นั่นก็คือพิธีกวนข้าวทิพย์หรือข้าวมธุปายาสนั่นเอง ส่วนรายละเอียดและขั้นตอนนั้นผู้เขียนจะขอนำมาอธิบายในส่วนท้ายเรื่องต่อไป
พิธีบวชพระเจ้าหรือพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปนั้น มีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละที่จะกำหนดจัดขึ้น ซึ่งบางแห่งอาจทำพิธีให้เสร็จภายในวันเดียว บางแห่งอาจใช้เวลา ๒ วัน หรือให้เวลาในการจัดพิธีล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ของอีกวันก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้จัดหรือผู้เป็นเจ้าภาพ ดังนั้นความสมบูรณ์ของพิธีกรรมก็แตกต่างกันออกไป ผู้เขียนจึงขอนำเอาประสบการณ์ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ดำเนินการมาอธิบาย ซึ่งคิดว่าน่าจะมีความพร้อมและสมบูรณ์มากอีกพิธีหนึ่ง นั่นคือพิธีพุทธาภิเษกและพิธีเบิกเนตรพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งได้กำหนดจัดพิธีรวม ๓ วันด้วยกัน
วันแรกจะพิธีเริ่มในช่วงบ่ายแก่ๆ หรือช่วงเย็นด้วยพิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ เพื่อบอกกล่าวท้าวจตุโลกบาลและพระแม่ธรณีถึงกาลพิธีที่จะจัดขึ้น พร้อมทั้งอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลเพื่อมารักษาพิธีให้ลุล่วงไปด้วยดี จากนั้นเป็นพิธีอัญเชิญพระอุปคุตหรือพระอรหันต์ขีณาสพ เพื่อมาปกปักรักษามณฑลพิธี ไม่ให้มีหมู่มารมาผจญขณะที่ประกอบพิธีอันเป็นการมงคลนี้ ส่วนรายละเอียดทั้ง ๒ พิธีนี้ผู้เขียนได้กล่าวมาแล้วข้างต้น หลังจากที่ได้มีพิธีอัญเชิญพระอุปคุตมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีแล้ว พิธีการต่อไปในวันแรกจะเป็นการนำเอาขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ปิดพระเนตร(ดวงตา) พระกรรณ(หู) และพระโอษฐ์(ปาก) ขณะที่พระสงฆ์ประกอบพิธีปิดขี้ผึ้งนั้นพระสงฆ์จะบริกรรมพระคาถาว่า “ทิพพะจักขุ สมันตาจักขุ พุทธจักขุ ธัมมะจักขุ สังฆะจักขุ ปะวะระทวายัง สวาหะ” เช่นนี้ไปจนครบ ๓ จบ จากนั้นนำผ้าขาวที่เตรียมไว้ทำเป็นรูปกรวยครอบพระเศียรพระพุทธรูปไว้ กรณีที่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ขณะปิดขี้ผึ้งควรหาด้ายสายสิญจน์ทาบลงไปก่อน เพื่อให้ขณะที่ประกอบพิธีเบิกเนตรนั้นจะได้ดึงออกได้ง่ายโดยไม่ต้องปีนป่ายองค์พระพุทธรูปขึ้นไปซึ่งดูแล้วจะเป็นการมิบังควร เมื่อเสร็จสิ้นการคลุมส่วนพระเศียรเพื่อปิดพระพักตร์แล้วก็ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรมในวันแรก
ในวันที่ ๒ พิธีการจะเริ่มในช่วงเช้าซึ่งจะเป็นพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์ ส่วนใหญ่แล้วเวลาที่ประกอบพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ น. เป็นต้นไปแต่จะไม่เกินเที่ยงวัน เพราะเมื่อพระอาทิตย์คล้อยบ่ายแล้วถือว่าเป็นฤกษ์ที่ไม่ดี ส่วนรายละเอียดว่าจะต้องเริ่มตั้งแต่กี่โมงนั้น หากจะให้ละเอียดจริงๆ ต้องมีการผูกดวงฤกษ์ โดยเอาวัน เดือน และปีที่ประกอบพิธี รวมไปถึง วัน เดือน ปีเกิดของผู้เป็นประธานหรือเจ้าภาพ มาทำการผูกดวงเพื่อหาฤกษ์ยามที่เหมาะสมด้วย
พิธีบวงสรวงเพื่อบูชาฤกษ์นั้นต้องจัดตั้งมณฑลพิธีด้วยการขัดราชวัตร ฉัตร ธง ปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อย เช่นเดียวกับมณฑลพิธีพุทธาภิเษกหรือสมโภชพระพุทธรูป แต่มณฑลพิธีที่บวงสรวงบูชาฤกษ์นี้กระทำบริเวณกลางแจ้ง จากนั้นให้เตรียมโต๊ะตั้งเครื่องบวงสรวงสังเวยต่างๆ อันประกอบไปด้วยผลไม้ ขนม นม เนย หมาก พลู เมี่ยง บุหรี่ ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง ถั่วคั่ว งาคั่ว น้ำ ชา กาแฟ พร้อมทั้งบายศรีต้น บายศรีตอ บายศรีเทพ บายศรีพรม บายศรีครู บายศรีปากชาม ดอกไม้ ธูป-เทียน แป้งเจิม ขันน้ำมนต์ ดอกไม้สำหรับโปรยในมณฑลพิธี มโหรีปี่พาทย์ เครื่องอัฐบริขารต่างๆ พร้อมทั้งพระพุทธรูปองค์จำลอง หรือเหรียญต่างๆ ที่จัดสร้างขึ้นจำนวนหนึ่ง
จะสังเกตได้ว่าเครื่องบวงสรวงที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้นจะไม่ปรากฏว่ามีเครื่องคาวอยู่ด้วย เครื่องคาวในที่นี้หมายถึง หัวหมู เป็ด ไก่ ปู ปลา เนื้อพล่า ปลายำต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในตำราพรมมหาชาติ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปหรือพิธีพุทธาภิเษกนี้ เป็นพิธีที่ต้องการความบริสุทธิ์ สะอาด ดังนั้นจะงดซึ่งเนื้อสัตว์และอาหารคาวต่างๆ เพื่อความเป็นการประกอบการอันเป็นกุศลในพิธีด้วย ซึ่งแตกต่างไปจากพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณบูรพกษัตริย์ หรือบวงสรวงเทพองค์อื่นเช่นพระพรหมเป็นต้น และขึ้นอยู่กับว่าเจ้าพิธีจะยึดเอาตำราไหน เพราะต่างครูต่างอาจารย์วิชาความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้น ก็ย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ดังที่คำโบราณล้านนากล่าวไว้ว่า “ลูกศิษย์ต่างครู อาจารย์ต่างวัด หนังสือก้อมต่างคนต่างมี” หมายถึงต่างครูต่างอาจารย์ ต่างตำราย่อมมีความแตกต่างกันไป
เนื่องจากพิธีสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษกนี้เป็นพิธีใหญ่ จะเห็นได้จากการจัดเตรียมขันตั้งหลวงก็ดี มณฑลพิธีก็ดี ดังนั้นในมณฑลพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์นี้ในแต่ละมุมของราชวัตร จะจัดมะพร้าว ๑ คะแนง(ทะลาย) ก้วย ๑ เครือ ไว้ทั้ง ๔ มุมด้วย นอกราชวัตรให้จัดอาหารสำรับใหญ่ไว้ ๑ สำรับ ประกอบไปด้วยอาหารคาว-หวาน ขนม ผลไม้ เหล้ายาปลาปิ้งครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อเซ่นสังเวยสรรพเวสีผีไร้ญาติทั้งหลาย เพื่อให้มารับเอาเครื่องสังเวยและรับเอาส่วนบุญส่วนกุศลทั้งหลายที่ได้ประกอบขึ้นในครั้งนี้ และจะได้ไม่มารังควาญในกาลพิธีด้วย
เมื่อทุกอย่างจัดเตรียมไว้สมบูรณ์พร้อมและได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว โหรหรือพราหมณ์ผู้ประกอบพิธีก็เริ่มประกอบพิธี โดยเริ่มจากการไว้ครู และกล่าวบทอัญเชิญเทวดา ต่อด้วยการอ่านโองการเพื่อเชิญเทพไท้เทวาทั้ง ๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดิน และ ๑๗ ชั้นบาดาล เพื่อเสด็จลงมาประทับยังมณฑลพิธีเพื่อรับเครื่องบวงรสวงเหล่านี้ พร้อมทั้งช่วยปกปักรักษาให้พิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษกนี้สำเร็จลุล่วงลงด้วยดี หลังจากอ่านองค์การเสร็จสิ้นแล้วผู้ประกอบพิธีซึ่งเป็นร่างทรงสมติเทพ จะเจิมที่พระอุระขององค์พระเพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นบรรดาผู้เข้าร่วมพิธีผู้ชายจะจุดธูปหางเพื่อปักลงบนเครื่องบวงสรวงทุกชิ้น พร้อมทั้งโปรยข้าวตอกดอกไม้ในมณฑลพิธี ขณะเดียวกันพนักงานชาวพิธีจะลั่นฆ้องชัย และประโคมมโหรีปี่พาทย์ไปพร้อมกันด้วย เพลงที่ใช้บรรเลงจะเป็นเพลงมหาฤกษ์ทางไทย ๓ ชั้น จากนั้นประธานในพิธีจะจุดธูปเทียนเครื่องสังเวยสรรพเวสีที่จัดเตรียมไว้นอกรั้วราชวัตร ก็ถือว่าพิธีกรรมในการบวงสรวงบูชาฤกษ์นี้เสร็จสมบูรณ์
หลังจากที่ประกอบพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้นแล้ว ก็เป็นพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนแท่นหรือฐานที่เตรียมไว้ โดยใต้ฐานนั้นให้วางมัดหญ้าคาทั้ง ๘ กำที่ผูกติดเป็นแพรไว้ด้านล่างใต้องค์พระ แต่หากองค์พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่ก็ให้วางไว้ด้านหลังองค์พระแทน แล้วนำเอาต้นสลี(ต้นโพธิ์) ที่เตรียมไว้มาวางตั้งด้านหลังองค์พระ ด้านหน้าวางอ่างน้ำขนาดใหญ่นำรูปพญานาคที่ปั้นไว้นั้นใส่ลงไปในอ่าง แล้วนำถาดทองลอยไว้เหนือผิวน้ำ อีกด้านวางรูปม้าม้ากัณฑกะ ๑ ตัว และมีดดาบ ๑ เล่มไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีที่มาและความหมายอย่างไรในคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ผู้เขียนขออธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายต่างๆ ของสิ่งของที่เราจัดเตรียมไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นดังนี้
“ม้ากัณฑกะ” ตามทศชาติชาดกที่เราเคยได้ยินได้ฟังมา หรือในจารึกจากภาพจิตกรรมฝาผนังในวิหารหรืออุโบสถของวัดวาอารามต่างๆ นั้น มีเรื่องเล่าว่าขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสพสุขอยู่บนปราสาท ๓ ฤดูในพระราชวังนั้น อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทรงปรารถนาจะผ่อนคลายความจำเจที่มีอยู่ จึงได้ชักชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครั้งนั้นทรงพบเทวทูตทั้ง ๔ อันได้แก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เหมือนกันหมด ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแนวความคิดว่า ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เมื่อทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นสิ่งที่หาความสุขไม่มีเลย ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน พระองค์ทรงดำริว่าวิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ พระองค์จึงมีพระทัยใคร่เสด็จออกบรรพชาเป็นสมณะ ในวันที่เจ้าชายราหุลพระโอรสทรงประสูตินั้น เป็นวันเดียวกันกับที่เจ้าชายสิทธัตถะได้ตัดสินพระทัยเสด็จออกบวช ด้วยทรงเบื่อในเพศฆราวาสอันเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาต่างๆ จึงทรงเห็นว่าการดำรงตนอยู่ในสมณะเพศเท่านั้น ที่ประเสริฐและสามารถที่จะเดินไปสู่ทางแห่งการหลุดพ้นจากความทุกข์ยากทั้งปวงได้ กระทั่งคืนที่เจ้าชายสิทธัตถะตัดสินพระทัยออกบวชนั้น พระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมพระโอรสและมเหสีในกลางดึก เมื่อพระองค์เห็นพระนางพิมพาบรรทมหลับสนิทพระกรกอดโอรสอยู่ทรงดำริจะอุ้มพระโอรสขึ้นชมเชยเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็เกรงว่าพระนางพิมพาจะตื่นบรรทม เป็นอุปสรรคขัดขวางการเสด็จออกบวชของพระองค์ พระองค์จึงตัดพระทัยระงับความเสน่หาในพระโอรส และได้เสด็จออกจากปราสาทพบกับนายฉันนะสารถี ซึ่งเตรียมม้าทรง(ม้านามว่ากัณฑกะ)ไว้แล้ว ซึ่งเป็นที่มาในการจัดเตรียมรูปปั้นม้ากัณฑกะที่ใช้ในการประกอบพิธีนั่นเอง
“เครื่องกกุธภัณฑ์ ๕ ละแอ” (หมายถึงประกอบไปด้วยสิ่งของ ๕ สิ่ง เฉกเช่นที่เราเคยเห็นในพระราชพิธีต่างๆ เช่น พระแสงขันธ์ไชยศรี ธารพระกร ต่างๆ เป็นต้น) และ “มีดดาบ ๑ เล่ม” ครั้นเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกจากพระนครในราตรีใกล้รุ่งนั้นเอง หลังจากที่ทรงเสด็จออกพ้นพระราชวัง และเข้าเขตแดนแคว้นโกศลและแคว้นวัชชีแล้ว ในเวลาใกล้รุ่ง ณ ฝั่งแม่น้ำอโนมานที พระองค์ทรงม้าข้ามฝั่งแม่น้ำแล้วเสด็จลงไปประทับนั่งบนกองทราย ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลีของพระองค์เองและเปลี่ยนเครื่องทรงกษัตริย์เป็นผ้ากาสาวพัตร์ แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐานครองเพศบรรพชิต ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานั้นเอง จากนั้นพระองค์ได้นำเอาเครื่องทรงกษัตริย์ส่งนายฉันนะนำกลับไปยังพระนคร แล้วเสด็จลำพังโดยพระองค์เดียวมุ่งพระพักตร์ไปยังแคว้นมคธ เพื่อแสวงหาความสงบในการบำเพ็ญเพียร หลังจากที่พระองค์ได้ถือครองซึ่งเพศบรรพชิตแล้ว ก็ทรงศึกษาในลัทธิคณาจารย์ต่างๆ ซึ่งสมัยนั้นเป็นที่นิยมกันมากในหมู่ของผู้แสวงหาความรู้ ดังนั้น“เครื่องกกุธภัณฑ์”จึงเป็นเสมือนสิ่งที่แทนความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ เนื่องจากเจ้าชายสิทธัตถะทรงเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ในส่วนของ“มีดดาบ”นั้นเสมือนเป็นพระแสงขันธ์ ที่พระองค์ทรงตัดพระเมาลีขณะออกบวชนั่นเอง