ประเพณีการบวชพระเจ้าที่ผู้เขียนจะกล่าวต่อไปนี้มิได้หมายถึงการอุปสมบท หรือบรรพชาสามเณรแต่อย่างไร หากแต่เป็นพิธีกรรมการในการบวชพระพุทธรูป หรือกล่าวแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือพิธีพุทธาภิเษกและพิธีเบิกเนตรนั่นเอง แต่ความแตกต่างอยู่ที่ความความเชื่อ จารีตประเพณีและวิธีปฏิบัติ ชาวล้านนามีความเชื่อกันว่าพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมานั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้นจึงถือว่าพระพุทธรูปที่จัดสร้างขึ้นก็มีจิตวิญญาณ เฉกเช่นเดียวกับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง ดังนั้นชาวล้านนาจึงให้ความสำคัญกับการประกอบพิธีบวชพระเจ้า หรือพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปเป็นอย่างยิ่ง พิธีพุทธาภิเษกนี้มีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการอบรมสมโภชพระพุทธเจ้าปิมปา(ภาษากลางอ่านออกเสียงพิมพา) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลเดชะอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์วุฒิเจริญ เพื่อให้เกิดความรุ่งเรืองในบวรพระพุทธศาสนา อีกทั้งเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้มากราบไหว้บูชาอีกด้วย โดยในการประกอบพิธีนั้นค่อนข้างมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย เพราะจะมีการจำลองเอาสถานการขณะที่พระพุทธเจ้าทรงออกผนวช เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งรายละเอียดนั้นผู้เขียนจะได้นำมาอธิบายให้เกิดความเข้าใจถึงขั้นตอนและพิธีกรรม ตลอดจนพิธีกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับพิธีบวชพระเจ้านี้ต่อไป
ในการจัดพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูป หรือพิธีพุทธาภิเษกแบบล้านนานั้น ปัจจุบันได้มีการผสมผสานเอาพิธีแบบภาคกลางเข้ามา รวมถึงพิธีพราหมณ์ด้วยซึ่งแทบจะแยกกันไม่ออกเลยก็ว่าได้ พิธีที่เกี่ยวข้องอาทิ พิธีขึ้นท้าวทั้งสี่ พิธีเชิญพระอุปคุต พิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์เป็นต้น ซึ่งในการจัดพิธีดังกล่าวจะมีการจัดเตรียมความเรียบร้อยต่างๆ ค่อนข้างมาก รวมไปถึงมณฑลพิธีซึ่งต้องมีการประดับประดาตุงไชยช่อชั้น ขัดราชวัตร ฉัตร ธง ต่างๆ รวมทั้งปลูกต้นกล้วยต้นอ้อยตามแบบโบราณประเพณีด้วย ซึ่งการประกอบพิธีกรรมดังกล่าวถ้าจะให้สมบูรณ์แบบแล้ว ต้องอาศัยผู้มีประสบการณ์และผู้รู้หลายๆด้านมาช่วยกันจัดพิธีดังกล่าว ทั้งนี้การจัดพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปในแต่ละท้องถิ่นก็มีความแตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องของพิธีการ การจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมของวัดหรือผู้จัดพิธีนั้นๆ พิธีจะเล็กหรือใหญ่ก็มีความแตกต่างกันออกไปเช่นกัน แต่ด้วยความแตกต่างทั้งหลายทั้งปวงนี้ ท้ายสุดแล้ววัตถุประสงค์ของการประกอบพิธีก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันก็เพื่อความเป็นสิริมงคลนั่นเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญมากนั่นคือประเพณีและพิธีกรรมเหล่านี้ นับวันจะมีผู้รู้และรู้ลึกเหลือน้อยไปทุกขณะ สาเหตุหลักก็คือการละเลยจากคนรุ่นใหม่ และไม่มีการถ่ายทอดหรือบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้ให้ได้ศึกษากันอย่างจริงจังนั่นเอง
ผู้เขียนได้มีโอกาสพบเห็น เคยร่วมเป็นกรรมการจัดพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูป หรือพิธีพุทธาภิเษกนี้มาหลายครั้งและหลายแห่ง จึงได้สังเกตเห็นพิธีกรรมและรายละเอียดต่างๆ ที่มีความเหมือนและความแตกต่างกันหลายประการ และได้มีโอกาสเป็นผู้จัดพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูปพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป็นการจัดพิธีครั้งที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งก็ว่าได้ ผู้เขียนจึงได้นำเอาประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้เคยร่วมและจัดมาจากหลายที่หลายแห่ง ผสมผสานให้เกิดความสมบูรณ์และความศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด อาจกล่าวได้ว่าการจัดพิธีครั้งนี้เป็นการจัดพิธีที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเองประสบมา ดังนั้นรายละเอียดต่างๆ ที่ได้เขียนขึ้นในครั้งนี้จึงเป็นประสบการณ์ตรง และมีรายละเอียดค่อนข้างแตกต่างจากตำราหรือเอกสารอื่นๆ ที่เคยบันทึกไว้ก่อนหน้านี้
ในการจัดเตรียมสถานที่ประกอบพิธีอบรมสมโภชพระพุทธรูป หรือพิธีพุทธาภิเษก โดยส่วนใหญ่แล้วมักประกอบพิธีในอุโบสถหรือวิหารของวัดต่างๆ หรือสถานที่อันสมควรแก่การประกอบพิธี กรณีที่ไม่สามารถจัดขึ้นภายในวัดได้ เช่นการอบรมสมโภชพระพุทธรูปพระประธานองค์ใหญ่ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้าย หรือสถานที่ประดิษฐานนั้นอยู่ห่างไกลไม่สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายได้ หลังจากที่ได้กำหนดสถานที่แล้วต้องจัดทำแท่นเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปที่จะประกอบพิธี รวมไปถึงพระเหรียญหรือพระพุทธรูปจำลองขนาดต่างๆ ตามแต่ละวัดหรือผู้เป็นเจ้าภาพได้จัดสร้างขึ้น ขนาดแท่นมีขนาดพอที่จะสามารถรองรับพระทั้งหมดได้ และต้องมีความแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักได้ด้วย บริเวณโดยรอบมีการจัดทำรั้วราชวัตร ประดับด้วยฉัตร ธงทิว ตุงไชยช่อชั้นต่างๆ ให้สวยงาม รวมไปถึงกล้วย-อ้อยตามมุมราชวัตร เพื่อกำหนดให้เป็นเขตมณฑลพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ยอดฉัตรที่ปักไว้โดยรอบนั้นวนด้วยด้ายสายสิญจน์ การเวียนต้องเวียนรอบไปทางขวาและโยงไปยังที่ที่ประธานสงฆ์นั่ง นอกจากนั้นด้านบนเหนือศีรษะในเขตราชวัตนั้น ก็ต้องโยงด้ายสายสิญจน์ให้เป็นรูปตารางลักษณะคล้ายพิธีสืบชะตาหลวง หรือที่ภาษาล้านนาเรียกว่า“การสานตาด” พร้อมกับโยงด้ายสายสิญจน์จากองค์พระพุทธรูปทุกองค์ที่นำเข้าประกอบพิธี และโยงไปยังบริเวณที่พระเถราจารย์นั่งอธิษฐานแผ่เมตตาจิตปรกด้วย
ในแต่ละมุมของราชวัตรนั้นจัดอาสนะสำหรับพระเถราจารย์นั่งอธิษฐานจิตปรก ทั้งนี้จำนวนอาสนะที่จัดเตรียมต้องเพียงพอกับพระเถระที่นิมนมา การจัดพิธีบวชพระเจ้าหรือพุทธาภิเษกนี้แต่ละแห่งจะนิมนพระไม่เท่ากัน บางแห่งอาจเป็นพิธีปรกเดี่ยว หมายถึงมีพระเถราจารย์นั่งอธิษฐานจิตปรกเพียงรูปเดียว บางแห่งอาจนิมนต์พระ ๘ รูป ๑๐ รูป แล้วแต่กำลังศรัทธา ซึ่งในพิธีมหาพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีนั้น ผู้เขียนได้มีโอกาสเป็นคณะกรรมการจัดงานได้นิมนพระเถราจารย์นั่งอธิษฐานจิตปรกถึง ๘๐ รูป ดังนั้นการจัดอาสนะสงฆ์จึงจัดไว้ทั้ง ๘ ทิศของมณฑลพิธี และจัดชุดพระเถราจารย์ขึ้นนั่งอธิษฐานจิตปรกเป็นชุดๆ สลับกันไปตลอดพิธีการ นอกจากอาสนะพระเถราจารย์นั่งอธิษฐานจิตปรกแล้ว ต้องจัดเตรียมอาสนะสำหรับพระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ด้วย ซึ่งส่วนมากแล้วจะนิมนต์พระ ๙ รูป แต่บางแห่งจะนิมนต์มากกว่านั้นก็สามารถทำได้ ซึ่งการจัดสถานที่ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานที่และจำนวนพระสงฆ์ จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้จัดมาจะจัดเพียง ๙ รูป แต่นิมนต์พระจำนวนหลายชุดเพื่อเจริญพระพุทธมนต์ สวดมนต์ตั๋นแบบล้านนา หรือสวดมนต์เจ็ดตำนาน และสิบสองตำนานเป็นต้น ซึ่งพระสงฆ์แต่ละชุดสลับหมุนเวียนกันสวดไปตลอดพิธีที่เรากำหนดไว้ว่าพิธีจะเริ่มต้นและสิ้นสุดเวลาใด
ในการจัดพิธีบางแห่งได้นำเอาแบบแผนและรูปแบบพิธีพุทธาภิเษกของภาคกลางเข้ามาผสมผสานด้วยเช่น พระพิธีธรรม และมโหรีปี่พาทย์ต่างๆ ดังนั้นต้องมีการจัดเตรียมเตียงสำหรับพระพิธีธรรมด้วย ซึ่งพระพิธีธรรม ๑ ชุดนั้นจะประกอบไปด้วยพระพิธีธรรมจำนวน ๔ รูป และด้านหน้าเตียงพระพิธีธรรมต้องจัดเตรียมตู้พระธรรมและดอกไม้ ธูป-เทียน ไว้ด้วย
ตามโบราณประเพณีล้านนาการอบรมสมโภชพระพุทธรูปนั้น มีการจัดเตรียมข้าวข้องที่สำคัญที่มีการจดบันทึก และได้รับการถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมีรายละเอียดและสาระสำคัญ โดยเริ่มจากการจัดเตรียมองค์พระพุทธรูปที่จะอบรมสมโภชหรือประกอบพิธีพุทธาภิเษก จากนั้นเตรียมใบลานหรือใบของต้นตาลซึ่งมีมากในภาคเหนือ พร้อมกับเขียนปัจจยาการ คืออวิชชาปัจจยาฯ อวิชชายเตวะฯ และอเนกะชาติสังสารังฯ ลงไป แล้วนำไปวางไว้บนตักของพระพุทธรูปองค์นั้น จัดเตรียมเครื่องอัฐบริขารพร้อมเครื่องกกุธภัณฑ์ มี ๕ ละแอ(หมายถึงประกอบไปด้วยสิ่งของ ๕ สิ่ง) หาต้นสลี(ต้นโพธิ์) ๑ ต้น หญ้าคา ๘ กำ ผูกติดกันเป็นแพกว้างประมาณ ๑ ศอก จัดเตรียมขี้ผึ้งอันบริสุทธิ์สำหรับปิดพระเนตร(ดวงตา) พระกรรณ(หู) และพระโอษฐ์(ปาก) ผ้าขาวสำรับหุ้มพระเศียรหรือองค์พระ จัดหาขันน้ำหรือโอ่งใส่น้ำวางไว้ทั้ง ๔ มุม และโอ่งน้ำใบใหญ่ใส่น้ำ ๑ ใบ ถาดทอง ๑ ใบ รูปปั้นพญานาค ๑ ตัว ม้ากัณฐัศ ๑ ตัว มีดดาบ ๑ เล่ม สำหรับใช้ประกอบในพิธี ซึ่งข้าวของเครื่องใช้ที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้นผู้เขียนจะได้อธิบายขยายความในลำดับต่อไป
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือเทียนที่ใช้สำหรับจุดในการประกอบพิธี ซึ่งประกอบไปด้วย
เทียนชัย ๑ เล่ม หนัก ๘๐ บาท ไส้ ๑๐๘ เส้น ความสูงเท่ากับผู้เป็นประธานในพิธี
เทียนพุทธาภิเษก ๑ เล่ม หนักเล่มละ ๓๒ บาท ไส้เทียน ๕๖ เส้น ความสูงของเทียนสูงกึ่งหนึ่งของเทียนชัย
เทียนมงคลซ้ายขวา ๒ เล่น หนักเล่มละ ๑๐ บาท ไส้เทียนเกินกว่าอายุของผู้เป็นประธานในพิธีหรือเจ้าของพิธี ๑ เส้น ความสูงของเทียนเท่ากับความยาวโดยรอบศีรษะของผู้เป็นประธาน
เทียนนวหรคุณ ๙ เล่ม หนักเล่มละ ๒ บาท ไส้เทียนเล่มละ ๙ เส้น
เทียนวิปัสสี ๑ เล่ม หนัก ๑๒ บาท ไส้เทียน ๓๒ เส้น
เทียนโสฬะสะ ๑๖ เล่ม ไส้เทียน ๓๒ เส้น
เทียนสำหรับบูชาคุณพระรัตนตรัย หนักเล่มละ ๒ สลึง ๑๐๘ เล่ม
เทียนน้ำมนต์ หนัก ๒ บาท สำหรับพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และพระเถราจารย์ที่อธิษฐานจิตปรกตามจำนวน
เทียนสำหรับจุดบูชาหน้าพระรัตนตรัย ขนาดตามความเหมาะสม แต่ควรเลือกขนาดเทียนที่สามารถจุดได้เป็นระยะเวลานานๆ ตามช่วงเวลาที่ประกอบพิธี
เทียนจุดหน้าพระพิธีธรรม(ถ้ามี)
เทียนสำหรับโยขัน ๕ โกฐากส์ จำนวน ๕ เล่ม
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเตรียมนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งประกอบไปด้วย
๑. หญ้าคามัดเป็นกำๆ สำหรับประพรมน้ำมนต์ ตามจำนวนพระเถราจารย์ที่นั่งอธิษฐานจิตปรกในแต่ละชุด และพระสงฆ์ที่เจริญพระพุทธมนต์ด้วย
๒. ตู้ใส่เทียนชัย ๑ หลัง มีกระจกป้องกันลมทั้ง ๔ ด้าน
๓. เครื่องเจิมหรือกระแจะ สำหรับเจิมเทียนชัย
๔. ทองคำเปลว สำหรับปิดเทียนชัย
๕. ใบพลู ๗ ใบ ใช้สำหรับพิธีดับเทียนชัย
๖. เทียนชนวน
๗. ขันตั้ง ขันตั้งที่ใช้ในพิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษกนี้ต้องจัดเป็นขันตั้งหลวง ซึ่งรายละเอียดของขันตั้งผู้เขียนได้อธิบายไว้แล้วในเรื่องของขันตั้ง แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในส่วนของขันตั้งหลวงประกอบไปด้วย
เบี้ย ๑๓๐๐ หมาก ๑๓๐๐ ข้าวเปลือกหมื่น(๑๐ ลิตร) ข้าสาร ๑๐๐๐ ผ้าขาวรำ ผ้าแดงรำ(พับหรือม้วน) เทียนหนักบาท ๑ คู่ หนักเฟื้อง ๑ คู่ เทียนเล็ก ๔ คู่ สวยพลู ๔ สวย หมาก ๔ ขด(๔ มัด) ๔ ก้อม(๔ ชิ้น) เสื่อ ๑ ผืน หมอน ๑ ใบ หม้อน้ำพร้อมกระบวย ๑ ชุด มะพร้าว ๑ คะแนง(๑ ทลาย) กล้วย ๑ เครือ อ้อย ๔ เล่ม เงิน ๓๐๐ แถบ(เงินโบราณ) ปัจจุบันนั้นหาได้ยากจึงใช้เหรียญ ๑ บาทแทน บางแห่งจะมีสวยดอกไม้ ๑๐๘ สวย
บางแห่งมีการจัดเตรียมเครื่องศัตราวุธเพื่อใช้ในการประกอบพิธีด้วย โดยผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานพุทธาภิเษกพระรอดลำพูนที่วัดป่ายางหลวง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูนเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้เห็นทางวัดจัดเตรียมเครื่องศัตราวุธนิดต่างๆ อาทิ ดาบ ธนู หน้าไม้ ปืน มีด ขวาน เป็นต้น สำหรับวางใต้ฐานพระพุทธรูปและเหรียญต่างๆ ที่จัดสร้างขึ้น โดยมีความเชื่อว่าขณะที่ประกอบพิธีกรรมนั้น พระพุทธคุณจะสามารถข่มศัตราวุธทั้งหลายได้ ซึ่งเป็นที่มาของความเชื่อของคนโบราณที่ว่าพระเครื่องแต่ละประเภทให้คุณต่างกัน เช่นให้คุณทางด้านเมตตามหานิยม หรืออยู่ยงคงกระพันธ์ เป็นต้น ดังนั้นผู้เขียนจึงได้นำเอาประสบการณ์ และสิ่งที่เรียนรู้มาจากคนสมัยก่อนมาใช้ในพิธีพุทธาภิเษกพระเจ้าล้านทองฯ ด้วย
นอกจากขันตั้ง และสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในการประกอบพิธีต้องจัดเตรียมขันห้า หรือขั้นห้าโกฐากส์ เพื่อใช้ขอขมาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ตลอดจนครูบาอาจารย์ต่างๆ ส่วนรายละเอียดนั้นผู้เขียนจะขออธิบายในลำดับต่อไป แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นผู้เขียนได้อธิบายไว้ในส่วนเริ่มต้นว่าปัจจุบันนั้นมีการผสมผสานทั้งพิธีกรรมแบบล้านนา พิธีแบบภาคกลาง รวมไปถึงพิธีพราหมณ์ด้วย ดังนั้นก่อนการเริ่มต้นพิธีอบรมสมโภชหรือพิธีพุทธาภิเษกนั้น ต้องมีประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยเทพไท้เทวาเพื่อเป็นการบอกกล่าว ตลอดจนอัญเชิญเทพไท้เทวามาปกป้องรักษาพิธีให้สำเร็จลุล่วง และป้องกันมารภัยทั้งหลายที่จะมารบกวนพิธี รวมถึงพระแม่ธรณีที่ทำหน้าที่เป็นสักขีพยานในการประกอบพิธีงานบุญงานกุศลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องของท้าวทั้งสี่ ซึ่งต้องมีการจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงสังเวยที่มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกจำนวนมาก ซึ่งผู้เขียนจะได้นำไปอธิบายในส่วนของพิธีบวงสรวงต่อไป