เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 16 กันยายน 2025, 07:22:46
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 พิมพ์
ผู้เขียน กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)  (อ่าน 24419 ครั้ง)
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #60 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 07:49:40 »

ถ้าพูดเรื่อง "หนี้สิน" ในความเห็นส่วนตัวผมนะครับ (มุมมองด้านสินเชื่อ)

คนจนส่วนมาก             คือลูกหนี้ส่วนมากเป็นลูกหนี้ชั้นดี หนี้เสีย ถึงมีก็น้อยมาก ความรับผิดชอบสูง
                                พอสมควร กลัวความผิดทางสังคม กลัวคนรอบข้างจะเดือดร้อน

คนฐานะปานกลาง       คือกลุ่มลูกหนี้ที่ต้องคอยดูแล ส่วนมากบางคน บางกลุ่ม เป็นพวกมึนตาใส พวกดัดจริตรวย  
                               เรียนแบบปิดบังฐานะได้เนียนสุดๆ ชอบแยกชั้นทางสังคม เห็นแก่ตัว ชอบ                        
                               เอาเปลียบทางสังคม (ที่เห็นชัดๆ ก็เช่นไม่ชอบที่จะรอคิว ชอบฝ่าฝืนกฏ ฯลฯ  
                               สรุป...ดูเหมือนดี แต่ส่วนมากเป็นหนี้เลว

คนรวย                     คือกลุ่มคนที่แยกหนี้สินได้ง้าย ดูเหมือนว่าจะดี แต่ขอบอกครับ พร้อมที่ฆ่าน้อง ฟ้อง
                               นาย ขายเพื่อน เืพื่อเอาตัวรอด คนอื่นฉิบหายช่างมัน (บางส่วนนะครับ) คนในกลุ่มนี้
                               แยกแยะ คนดี คนเลว ได้ชัดเจนมาก "พิมพ์ผิดครับ หมายถึงหนี้ดี หนี้เลว"

****** หนี้ดี หนี้เลว ไม่ได้อยู่ที่ฐานะ แต่น่าจะดูที่ตัวบุคคล สังคม การศึกษา ความรู้ ความรับผิดชอบ ********

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 08:30:21 โดย สมพร1962 » IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,940


Experience is the best teacher.


« ตอบ #61 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 08:27:33 »

ในความรู้สึกของเรา เจ้าของกระทู้ คงจะหมายความถึง กับดักชีวิต ของการเริ่มต้นชีวิตหรือเปล่า หรือพูดง่ายๆก็คือ การเริ่มต้นดำเนินชีวิต หรืออีกในหนึ่งก็คือการเริ่มทำงาน ถ้าติดกับดักสามอย่าง ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
เช่น
1.รถยนต์ ในภาวะทางอารมณ์ สังคม และ อะไรหลายๆๆอย่าง ของเด็กที่เพิ่งเรียน จบมาใหม่ๆๆ เหมือนที่ เจ้าของกระทู้พูดถึง สิ่งแรก ที่ต้องการที่ของคนในกลุ่มและวัยนี้คือรถยนต์ สตารท์ทำงานเงินเดือน 8500 บาท (สมมุติ)ผ่อนรถแน่นอน แถมไม่พอเหลือใช้แล้ว บางคน อยู่บ้านพ่อแม่ก็ คิดว่าเงินแค่นี้ สบาย ผ่อนรถรุ่นเล็กก็ยังเหลือเงินเติมน้ำมันกินข้าว แต่ในความเป็นจิง มันก็ไม่ค่อยพอเท่าไหร่หรอก ในระยะยาวมันจะทำให้เราไม่มีเงินเก็บ กว่าจะผ่อนรถหมดก็ปาไป ห้าปี อายุก็25 อย่างต่ำเข้าไปละ มันเลยเสียจังหวะหนึ่งของการ เป็นคนรวยไป
(ประสบการณ์) มีเพื่อนได้เงินเดือน12000บาท บ้านไม่ต้อง ซื้อรถ รุ่นxxxx ขนาด1.6 ผ่อนเดือนละ 8000นิดๆๆ เหลือ4000 ค่าน้ำมัน ไปกลับทำงาน มันก็แทบจะไม่พอแล้ว กลายเป็นว่า มันคือรถ ภาระ ที่หนักเอาการ สุดท้ายก็ต้องจอดทิ้งไว้ที่บ้าน ขึ้นรถเมย์ไปทำงานเหมือนเดิม เพราะงั้น มันคงหมายถึงว่า ยังไม่ถึงวัยที่ควรจะซื้อรถ
2.บ้าน
ฟังดูก็คงดูออกว่ามันก็คงหมายถึงที่อยู่อาศัย เห็นข้อนี้คนคอมเม้นกันมากมาย ในส่วนตัวบ้าน มันต้องมาให้ถูกเวลาและความเหมาะสม ถ้าสมมุติอย่างที่ มีคนยกตัวอย่าง บอกว่าเช่าอยู่ก็แพงซื้อเลยดีกว่า มันก็คุ้ม เพิ่มมานิดหน่อยก็ถือว่าได้บ้านสุดท้ายก็ยังได้บ้าน ไม่พอใจก็ขายได้ราคาด้วย อีกคนก็บอกว่าไปทำงานในที่ต่างแดน ซึ่งเงินเดือนก็อาจจะพอที่จะสามารถซื้อได้ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานยังถิ่นที่ตัวเองเลือกใหม่ จะขายก็ขายไมไ่ด้จะเช่าก็ไม่อยากให้เช่า มันเลยเป็นภาระผูกพัน เพราะบ้านมันไมไ่ด้ซือ้แค่ปีสองปีบางคนผ่อนกันยาวนาน สามสิบปี ซื้อแล้วไม่ใช่ว่าจะขายได้เลยวันนี้พรุ่งนี้ การเลือกบ้านก็จะมีหลายองค์ประกอบ ทำเล หรือจังหวัด หรือ ฮวงจุ๋ย อะไรก็แล้วแต่ มันคือองค์ประกอบทั้งนั้น แต่ในที่นี้ต้องสนใจที่ความคุ้มทุน หรือ ภาระ ความเหมาะสมของความจำเป็น อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า การซื้อบ้านก็เหมือนกานลงทุน ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ซื้อในราคาที่เหมาะสม ขายในเวลาที่สมควร (แต่เป็นการเกงกำไรที่ยาวนานมากกกก ) เพราะงั้นเจ้าของกระทู้ คงอยากจะสือว่า ถ้าหากพลาดซื้อผิดที่ผิดเวลา มันจะทำให้เราขาดต่อช่วง ของการเป็นคนรวยได้เช่นเดียวกัน เพราะงั้นการลงทุนซื้อบ้านก็ต้องแล้วแต่ละบุคคล ดูสถาณการณ์ รายได้และอนาคตไปด้วย ว่ามันคุ้มไหม ที่จะเสี่ยงกับมันตั้ง30ปี
3.ลูก
มีคนเคยบอกว่า มีลูกก็เหมือนจนไป25ปี (ส่งเรียน จน20พอเรียนจบ ซื้อรถเงินไม่พอขอพ่อแม่เพิ่ม5ปี ผ่อนรถหมด พ่อแม่ถึงสบายได้ เหมือนวัฐจักรเลย)
ลูก ในส่วนตัวคิดว่ามันก็เป็นกับดักชีวิตเหมือนกัน แต่...การมีลูกก็คือการมีครอบครัว เพราะงั้น มันไม่ได้แปลว่า เราจะต้องรับภาระเพียงคนเดียว แต่ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่เสียจังหวะชีวิตไป กับสองสิ่งแล้วไม่ส่งผลดี ลูกก็คงเป็นกับดักชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคุณเหนื่อยล้าอย่างมากมาย การมีลูกไม่เหมือนบ้านกับรถที่ไม่พอใจก็ขายก็ทิ้งได้ แต่ลูกเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เราไม่สามารถทอดทิ้งได้ มันเป็นอะไรที่เราต้องทุ่มเทและสร้างมันมากมาย แต่มันก็ไม่เชิงที่จะเป็นกับดักชีวิตที่เลวร้ายมากมายเหมืิอนสองสิ่งแรกนักเพราะ สมัยนี้เรียนก็ฟรี แถมนมด้วย ค่าใช่จ่ายเรื่องลูก มันน่าจะน้อยกว่าการผ่อนกับรถด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเราเลือกให้เหมาะสมกับฐานะ
(ประสบการณ์)มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นลูกคุณนางเก่า ขอยกตัวอย่างแค่นามสกุลนะคะ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ท่าเรียนจบการศึกษาจากเมืองนอก ผ่านช่วงเวลาที่แสนสบายมาตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าประสบณ์ความสำเร็จมากมาย พ่อถึงจุดหนึุ่งที่ท่านต้องลงสู่ทุนเดิม คือความไม่มี ท่านก็สามารถดำรงชีวิตอย่างสมาถะ (อยู่ตึกแถวเก่า)ท่านให้ลูกชายของท่านเรียน รรวัด ย้ำ รรวัดธรรมดาๆ แต่ทุกเย็นท่านจะพร่ำสอน อบรม สังสอน ลูกของท่าน เด็กแค่ประถม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ฉะฉาน กวาดบ้านได้สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน ปรนนิบัติพ่อเขาได้อย่างน่าชื่นชม เรียนคุณพ่อคุณแม่ ทุกคน เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่งเลยละ
ในส่วนตัว เรื่องลูก และเวลา มันคงอยู่ที่ตัวบุคคลว่าสามารถแยกแยะและแบ่งเวลาได้มากน้อยเเค่ไหน ลูกคงไม่ทำให้เราจนลงได้หรอก ถ้าหากแล้วขาดความขยัน และความอดทน และมีใจที่จะสู้ มองโลกในแง่ดี

การลงทุนมีความเสี่ยง การใช้ชีวิตก็คือความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะงั้นกับดักชีวิตของทุกคนมันก็คือความเสี่ยง ที่กล้าลงทุนหรือเปล่า

อิอิไมไ่ด้ป่วนนะคะ แค่อยากแชร์บ้าง ในส่วนของความคิดผู้หญิงนะคร้าาา

เจ้าของกระทู้จะเจตนาให้หมายความถึง กับดักชีวิต ของการเริ่มต้นชีวิต เช่นบทวิเคราะห์นี้หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ

แต่ขอเรียนว่าบทวิเคราะห์ของท่าน ตรงใจผมครับ



IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,940


Experience is the best teacher.


« ตอบ #62 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 08:36:49 »


รถยนต์,มอเตอร์ไซด์,บ้าน,ธุรกิจ ฯลฯ

หรืออะไรก็ตามที่เรามีภาระผูกพันธ์ ต้องควักเงินออกจากกระเป๋า "เรา" เพื่อที่จะต้องจ่ายไป ในทุกๆสิ้นเดือน ในมุมมองส่วนตัว ผมเรียกสิ่งต่างๆเหล่านี้ว่า = หนี้สิน

แต่ถ้าหากสิ่งต่างๆที่กล่าวไปเหล่านี้ แม้จะอยู่ในสภาพ "หนี้สิน" แต่ถ้าหากมันสามารถที่จะนำพาและสร้างรายได้ให้กับเราได้ ( ทั้งทางตรง/ทางอ้อม )

หนี้สินเหล่านั้นก็จะอยู่ในสถานะ "หนี้ดี" ที่สมควรมี... ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับ "หนี้เลว"

ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจ

มอเตอร์ไซด์ ( กับดักชิ้นแรกๆ ) :

มอเตอร์ไซด์เด็กแว๊นซ์ อ้อนแม่ดาวน์ถูกออกมา เอามาขี่เล่นกวนเมืองอวดสาวไปวันๆ = หนี้เลว

แต่ถ้ามอเตอร์ไซด์(คันเดียวกัน) เอาไปใช้สมัครงานเป็นพนักงานส่งพิซซ่า,ไก่ทอด ได้เงินเดือน 4,500 ( หักค่าผ่อนรถ 2,000 ค่าใช้จ่ายต่างๆ 500 ...มีเงินเหลือเก็บ ) = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

รถยนต์ ( กับดักชั้นดี ) :

ดาวน์รถใหม่ป้ายแดง ออกมาเพื่อเอาไว้จีบสาว,อวดเพื่อนบ้าน,เพื่อนที่ทำงาน,เพื่อนร่วมรุ่น = หนี้เลว

แต่ถ้าดาวน์รถออกมา เพื่อที่จะขับไปรับงานไกลๆต่างจังหวัด ทำให้สามารถรับงานได้เพิ่มมากขึ้นจากที่เคย ( จากรายได้เดือนล่ะประมาณ 10,000 ได้เพิ่มมากขึ้นมาอีก 3-4 เท่า ) = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

บ้าน ( กับดักชิ้นโต ) :

ไม่อยากเช่า อยากมีบ้านหลังงาม ใหญ่โต เป็นของตัวเอง...ใครมาเที่ยวหาจะได้ไม่อาย เลยกู้ซื้อ/ทำบ้าน ผ่อนนานน..น 30 ปี = หนี้เลว

เห็นบ้าน(มือสอง)สภาพดีประกาศขาย เลยเอาข้อมูลไปคุยกับแบงค์ได้บ้านมาปล่อยเช่า จ่ายให้แบงค์แล้วยังมีพอเหลือเก็บ ทำเลดีใช้ได้เผลอๆมีคนมาขอซื้อให้ราคาดี  = หนี้ดี

หรือ ปรับหน้าบ้านให้เป็นร้านกาแฟหรือร้านขายของชำสร้างยอดขาย/กำไรได้มากกว่าที่จะต้องผ่อนให้กับธนาคาร = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

คนรัก ( ลูก,แฟน,สามี หรือ ภรรยา )

อยู่ที่มุมมองว่าจะมองแบบไหน ( สามารถมองได้ทั้งสองแบบ )

บางคนอาจมองว่าเป็นหนี้สินจากคำพูดที่ได้ยินกันบ่อยๆอาทิเช่น มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี ฯลฯ

ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าเขาเหล่านั้นเป็น

"ศูนย์กลางของความรัก" หรือ "แหล่งพลังงานของกำลังใจ"

ทำให้สามารถออกไปทำงานกันได้แบบหามรุ่งหามค่ำ หรือหาช่องทาง 108 เพื่อที่จะสามารถดูแลพวกเค้าให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุข ยิ้ม

เรามองแบบไหน(ส่วนใหญ่)ก็มักจะได้และเป็นแบบนั้น ....อยู่ที่มุมมองของแต่ล่ะบุคคล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สรุปตอนท้าย


ทุกอย่างมีสองด้าน...หนี้ก็มีอยู่ 2 ประเภท...คือหนี้ดี กับ หนี้เลว

คนจน คือคนที่สะสม,แสวงหา และรอบกายเต็มไปด้วย...หนี้เลว

คนฐานะปานกลาง คือคนที่อยู่ทางสายกลาง คือมีทั้ง หนี้ดี หนี้เลว ปะปนกันไป

คนรวย คือ คนที่สามารถแยกแยะออกระหว่าง หนี้ดี กับ หนี้เลว ... รู้ความแตกต่างระหว่าง ทรัพย์สิน กับ หนี้สิน  ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม


Credit by : ความรู้ที่ได้จากหนังสือชุด พ่อรวย สอนลูก + ประสบการณ์,ความคิดเห็นส่วนตัว ยิ้มเท่ห์

ขออนุญาตกด



และขออนุญาตเรียนเพิ่มเติมตามที่เคยได้ยินมา

หนี้ดี ก็คือ หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้

หนี้เลว คือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #63 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 19:29:16 »

"ไม่มีสูตรลับอะไรหรอก  มีแต่ตัวเรา"
                                                          อาโป จากกังฟูแพนด้า

   ดูหนังการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องนี้แล้วตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีความรู้อะไรที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการลงทุนเลย แต่ตรงกันข้าม กับทำให้ได้ข้อคิดหลายๆอย่างนำมาปรับใช้ในการลงทุนและในหลายๆด้านในชีวิต
           จากเมื่อก่อนเป็นคนที่แสวงหาความรู้ต่างๆมากมาย คิดว่ามันต้องมีสูตรลับอะไรสักอย่างที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ และในการลงทุนก็เช่นกันก็คิดว่ามันต้องมีสูตรสำเร็จที่จะทำให้เราได้กำไรมากๆด้วยวิธีการง่ายๆ หลงทางไปพักใหญ่แต่สุดท้ายก็พบว่าสุดท้ายก็พบว่าจริงๆแล้วไม่มีสูตรลับอะไรหรอก มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องสร้างสูตรนั้นขึ้นมาเอง เหมือนอาโป ที่สร้างกังฟูแบบแพนด้า เพื่อให้เข้ากับสภาพของตัวเขาเอง

 
IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #64 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 21:17:00 »

"ไม่มีสูตรลับอะไรหรอก  มีแต่ตัวเรา"
                                                          อาโป จากกังฟูแพนด้า

   ดูหนังการ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องนี้แล้วตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีความรู้อะไรที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการลงทุนเลย แต่ตรงกันข้าม กับทำให้ได้ข้อคิดหลายๆอย่างนำมาปรับใช้ในการลงทุนและในหลายๆด้านในชีวิต
           จากเมื่อก่อนเป็นคนที่แสวงหาความรู้ต่างๆมากมาย คิดว่ามันต้องมีสูตรลับอะไรสักอย่างที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ และในการลงทุนก็เช่นกันก็คิดว่ามันต้องมีสูตรสำเร็จที่จะทำให้เราได้กำไรมากๆด้วยวิธีการง่ายๆ หลงทางไปพักใหญ่แต่สุดท้ายก็พบว่าสุดท้ายก็พบว่าจริงๆแล้วไม่มีสูตรลับอะไรหรอก มีแต่ตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องสร้างสูตรนั้นขึ้นมาเอง เหมือนอาโป ที่สร้างกังฟูแบบแพนด้า เพื่อให้เข้ากับสภาพของตัวเขาเอง
 

ชัดเจนมากครับ จริงครับเห้นด้วยอยากมาก สุดท้าน สูตรลับ แต่ไม่ลับอยู่ที่ตัวเราเอง เป็นบ้าคิดตามคนอื่น ทำตามคนอื่นที่ประสบผลสำเร็จมาพักใหญ่ แต่พอกลับย้อนคิดถึงที่มา.....คนที่ประสบผลสำเร็จจริงๆ ก็มาจากความคิดของตัวเองเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ ที่ต่อกิ่งก้านใหม่ ไม่ได้ไปคิดต่อยอดใคร

จุ๊ๆๆๆๆ ที่จริงผมก็โพสไปงั้นแหละครับท่าน สูตรลักคือผมชอบรูปที่โพสน่ะครับ..... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #65 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 23:57:13 »

เทคนิคตกแต่งสวน ของ คุณเทพ รุ่งธนาภิรมย์
     ยกตัวอย่างว่า ต้องการมีรายได้เดือนละ 50,000 บาท หรือเท่ากับปีละ 600,000 บาท ถ้าได้แล้ว พอกิน พอใช้  จะไม่ทำงานเต็มเวลาก็ได้
สินทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดรายได้ประจำมีหลายอย่างเช่น
     เงินฝากธนาคาร
     หุ้นกู้
     พันธบัตร
     คอนโด ให้เช่า
     หุ้นปันผล เป็นต้น
เอาเป็นว่าเลือกหุ้นปันผลแบบคุณเทพนะครับ
เมื่อเลือกหุ้นที่ดีได้แล้วลองมาดูว่าถ้าจะได้ผลตอบแทนปีละ 600,000 บาท ต้องใช้เงินเพื่อลงทุนเท่าใด?
     คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนต่อปี ดังนี้ครับ
 1. อัตราผลตอบแทน  10%   เงินลงทุนที่ต้องใช้  6,000,000 บาท
 2. อัตราผลตอบแทน  20%   เงินลงทุนที่ต้องใช้  3,000,000 บาท
 3. อัตราผลตอบแทน  50%   เงินลงทุนที่ต้องใช้  1,200,000 บาท
 4. อัตราผลตอบแทน  100%   เงินลงทุนที่ต้องใช้  600,000 บาท
      หมายความว่า ถ้าเลือกสินทรัพย์ที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำ ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง กลับกัน ถ้าเลือกสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเงินลงทุนก็ต่ำ
เช่นในกรณีที่ 1 ถ้าเลือกหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทน (Yield) ที่ 10% ต้องใช้เงินลงทุนถึง 6,000,000 บาท
     ดูแล้วเหนื่อย ถามว่าจะไปหาเงินมากขนาดนี้ได้จากไหน ข่าวดีคือกลยุทธ์หุ้นห่านทองคำได้เสนอทางออกด้วยเทคนิคการตกแต่งสวน
กลับไปในกรณีที่ 1 อีกครั้ง สมมติว่ามีเงินลงทุนเพียง 600,000 บาท เท่านั้น เพราะฉะนั้นเงินปันผลได้ 10% เท่ากับ 60,000 บาท ยังเกษียณไม่ได้
     แต่หุ้นก็คือหุ้น บางทีราคาก็วิ่งขึ้นไปอย่างไม่มีเหตุผล เอาให้สุดๆไปเลยคือ สมมติว่าราคาขึ้นไป 100% ชาวหุ้นห่านทองคำเสนอให้ขายหุ้นออกไปครึ่งหนึ่ง
จะได้เงินสด 600,000 บาทมาเก็บไว้ คอยซื้อหุ้นตอนราคาอ่อนลงมา แต่อย่าลืมครับว่ายังมีหุ้นอีกจำนวนอีกครึ่งหนึ่งเหลืออยู่ ด้วยการถือฟรี แถมมีปันผล 30,000 บาท
ตรงนี้ห้ามงงครับ ถ้าอยากรวย
     ทีนี้หุ้นก็คือหุ้น มีข่าวร้าย ทำให้ราคาหุ้นตกลงมาเท่าเดิม รีบครับรีบใช้เงิน 600,000 บาทซื้อหุนกลับทันที พอซื้อแล้วจะมีหุ้นเพิ่มเป็น 150%
ความมหัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้นเพราะด้วยเงิน 600,000 บาท เท่าเดิม แต่เงินปันผลที่ได้ไม่ใช้ 60,000 บาทแล้ว กลายเป็น 90,000 บาท อัตราผลตอบแทนกลายเป็น 15% ทันที
     กลับไปดูที่ตารางอีกทีนะครับ จะเห้นว่าถ้าเราสามารถทำให้อัตราผลตอบแทนสูงขึ้นๆ ด้วยกลยุทธ์การตกแต่งสวน จำนวนเงินลงทุนที่ต้องใช้จะน้อยลงๆ
ตรงนี้ ถ้าทำความเข้าใจดีๆ ทำด้วยความมีสติ ไม่โลภเกิน ไม่กลัวจัด ทำไปๆ โอกาสเป็นไททางการเงินต้องมีอย่างแน่นอนครับ

    ในความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่าบทความนี้เป็นบทความและกลยุทธ์ที่ดีมากครับเป็นวิธีการที่ทำให้นักลงทุนรุ่นหลังเห็นได้อย่างชัดเจนถึงการจะสร้างผลตอบแทนได้อย่างไรจากหุ้นและให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้อย่างไร
     ส่วนการที่จะใช้เทคนิคตกแต่งสวนนี้ต้องมีการเลือกหุ้นที่ดีก่อนตามแนวความคิดของคุณเทพที่เรียกว่าหุ้นห่านทองคำ และเราก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างดีในหุ้นตัวนั้นหรือธุรกิจนั้นว่าเป็นอย่างไร ข่าวดี ข่าวร้าย ไหนที่ไม่สมเหตุสมผลทำให้ราคาหุ้นขึ้นลงอย่างไร้เหตุผล
และต้องรู้ว่าอย่างไหนถึงจะเรียกว่าถูก และว่าแพง สำหรับ ตัวหุ้นตัวนั้น เมื่อเรามีความเข้าใจที่ดี เมื่อโอกาสมาก็ทำกำไรกับมันซะ
IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #66 เมื่อ: วันที่ 08 กุมภาพันธ์ 2012, 19:34:49 »

นวัตกรรมปลาฝูงใหญ่ แบบ 7-11

ปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล
พยุงศักดิ์ วิริยะบัณฑิตกุล
เรื่อง พยุงศักดิ์ วิริยะบัณฑิตกุล
ปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล
 “การเปลี่ยนแปลงต้องให้เกิดสมดุล เปลี่ยนเร็วไปก็มีต้นทุน เปลี่ยนช้าตลาดก็เป็นของคนอื่น”

 ประเทศไทยมีประชากร 66 ล้านคน มี Convenient Store 9 พันกว่าสาขา เท่ากับ 1 สาขาครอบคลุมประชากร 6 พันกว่าคน แต่ญี่ปุ่นมีคนอยู่ 130 ล้านคน มี Convenient Store 42,000 ร้าน หมายถึง 1 สาขา ครอบคลุมประชากร 2 พันคน จากข้อมูลนี้ทำให้คุณปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) สรุปว่า 7-Eleven ในเมืองไทยยังเปิดได้อีก 3 เท่า และถ้าอนาคตเศรษฐกิจไทยเติบโตดี เกษตรกรจะเป็นลูกค้าของ 7-Eleven เหมือนอย่างในแดนซากุระ
 7-Eleven ในเมืองไทยนับว่าเติบโตแบบ Aggressive โดยมีจำนวนสาขาในปัจจุบันประมาณ 6,000 สาขา เปิดเพิ่มปีละ 500 สาขา เรื่องจำนวนสาขาอยู่อันดับ 5 ของโลก รองจากญี่ปุ่น, ไต้หวัน, เกาหลี โดยมีลูกค้าเข้าร้าน 7 ล้านคน/วัน คิดเป็น 1.3 พันคน/วัน/สาขา สินค้าในร้านแบ่งสัดส่วนเป็น Grocery (Non-Food) 29% อาหาร 71% และมียอดขายเฉลี่ย 55 บาทต่อบิล
เบื้องหลังตัวเลขมหัศจรรย์ข้างต้น หลายคนคงอยากรู้ว่าปัจจัยความสำเร็จของ 7-Eleven ประกอบด้วยอะไรบ้าง เหตุใด 7-Eleven เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว, สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็น Customer Centric อย่างไร, ปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมีอะไรบ้าง, แนวทางในการบริหารต้นทุน?
 ท่ามกลางตัวอักษรที่มากมาย Key Word ของบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้มีคำเดียว คือ Change

7-Eleven กับ 7 ปัจจัยความสำเร็จ
 เราเริ่มด้วยคำถาม Key Success Factors ของ 7-Eleven
 คุณปิยะวัฒน์ กล่าวว่า มี 7 ปัจจัยที่ทำให้ 7-Eleven ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย หนึ่ง ทำเล สอง การบริหารจัดการ ทีมงานมีทีมเวิร์คที่ดี สาม การหาสินค้าที่ลูกค้าอยากได้ (Merchandise) สี่ ลอจิสติกส์ที่สนับสนุนให้ร้านเข้มแข็ง ห้า ระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดการเรื่องข้อมูล หก ทีมพัฒนาเรื่องบุคคล และเจ็ด การวางระบบ System เพื่อสนับสนุนลูกค้า
 ทั้ง 7 ปัจจัยมีความสำคัญ แต่พิเศษของความสำเร็จใน 7-Eleven เกิดจากทำเลและทีมงาน (คน) ที่มีทีมเวิร์ค
 “7-Eleven เลือกทำเลที่เป็น Prime Area เรียกว่าจุดเอ ทำเลทุกที่มีจุดเดียว ไม่มีจุดที่สอง ใครได้ไปคนนั้นชนะ มี Traffic เยอะสุด คู่แข่งมาเปิดจุดบีก็สู้เราไม่ได้ สมมติว่าเป็นแอเรียของสีลม ต้องเปิดที่นี่ เปิดห้องถัดไปก็ไม่ได้ ฉะนั้นจุดเอเป็นจุดของความสำเร็จทั้งสั้นและยาว จุดเอทำให้เราทิ้งคู่แข่ง เพราะคู่แข่งมาเปิดจุดบีก็สู้เราไม่ได้ แบรนด์สู้เราไม่ได้ไม่พอ ตำแหน่งก็สู้เราไม่ได้ จุดเอเป็นจุดยุทธศาสตร์ความสำเร็จที่ 7-Eleven ยึดเป็นหัวหาด วันนี้เรากล้าเปิดเผยเพราะยึดเรียบร้อยแล้ว
 อีกปัจจัยที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ คือ การบาลานซ์ผลประโยชน์ให้ Stakeholder การบริหารให้เกิดสมดุล ทุกพาร์ตเนอร์ ไม่ใช่ไปเอาใจผู้ถือหุ้นมาก แต่คนอื่นแย่ อย่างนี้ได้สั้นๆ ในระยะยาว ไม่ยั่งยืน หรือเอาเปรียบลูกค้าก็ได้สั้นๆ ลูกค้าไม่โง่ ไม่ซื้อซ้ำก็จบ แต่ถ้าเอาใจลูกค้าผู้ถือหุ้น ละเลยพนักงาน พนักงาน คนเก่งก็ลาออก บริษัทก็ทรุดลงไปได้ การบาลานซ์สำคัญมากทำให้เกิดความยั่งยืน”
 เนื่องจากจำนวนสาขาของ 7-Eleven มีประมาณ 6,000 สาขา และลูกค้าวันหนึ่ง 7 ล้านคน 7-Eleven จึงมีโครงการปลาฝูงใหญ่ เพื่อสร้างนวัตกรรม คอนเซ็ปต์คือสนับสนุนให้ลูกค้าพอใจ พัฒนาเรื่องหนึ่งก็จะทำให้ลูกค้า 7 ล้านคนมีความสุข ทำให้บริษัทได้ยอดขายเพิ่มขึ้น โดยมีหลักคือยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งบริษัทต้องขับเคลื่อนเพื่อสนับสนุนและสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
“ร้านเรามีทั้งหมด 6,000 กว่าสาขา เราต้องสนับสนุนลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกค้าพอใจ  สมมติได้เพิ่ม 1 บาท 6,000 กว่าสาขาก็ 6,000 บาท เราถือคอนเซ็ปต์ปลาฝูงใหญ่ คือ สาขามาก และลูกค้าเยอะ”
 เราถามต่อถึงแนวทางการสร้าง Customer Centric ให้เกิดขึ้นในองค์กร
คุณปิยะวัฒน์ กล่าวว่า พนักงานทุกคนต้องมุ่งไปที่ลูกค้า ทุกหน่วยงานที่อยู่ออฟฟิศต้องมา Support ที่ร้าน และร้านก็ Support ลูกค้า และต้อง Integrate กันด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง ข้อมูลมาจากลูกค้า ไม่ใช่มาจากหลักกู หลักทั้งหมดทำเพื่อลูกค้า
 หาก Process ยาวก็ทำให้สั้น ยุ่งยากก็ทำให้ง่าย มาจากกระบวนการของลูกค้าเป็นตัวตั้ง โดยอาศัยข้อมูล และปรับปรุงในเชิงระบบ เช่น เวลาเราประชุมกัน เราเอาข้อมูลของลูกค้าเป็นตัวตั้ง ถ้าขัดแย้งกันก็เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง แน่นอนทำงานต้องมีความขัดแย้ง ฝ่ายนี้มีข้อมูลลูกค้า Back Up ดีกว่า บริษัทก็ต้องตอบโจทย์ลูกค้า จริงๆ ตอบโจทย์ลูกค้าทำยาก เพราะเพิ่มต้นทุน ยุ่งยาก ลำบาก ระยะสั้นเหมือนเราเสียหาย แต่ระยะยาวแล้วยอดขายดีขึ้น ทำให้กระบวนการที่มีอยู่ถูกต้อง
 ฉะนั้นเวลาทำงาน ทะเลาะเถียงกันในออฟฟิศ ต่างคนต่างมีคอก Silo ของตัวเอง ถ้าเอาหลักกู สั้นๆ เหมือนง่าย-ชนะ แต่ระยะยาวแพ้ เวลาทะลวง Silo ต้องมาดูที่ร้าน ดูลูกค้า แล้วทั้งคู่กลับไปแก้กระบวนการให้สั้นและง่าย เพื่อให้ลูกค้าพอใจเพิ่มขึ้น คุณปิยะวัฒน์ย้ำว่าต้องให้ทุกคนไปดูตลาด เข้าใจตลาดด้วยกัน และไม่ต้องเถียงกัน แต่ถ้าทุกคนไม่เข้าตลาด ออฟฟิศเถียงกันตายเลย และเวลาเถียงกันเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง ผู้ที่เอาลูกค้าเป็นตัวตั้งผู้นั้นเป็นผู้ชนะ เพราะองค์กรอยู่ได้ด้วยลูกค้า
 “หัวใจคือองค์กรเราต้องหมุนปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง เพราะลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นองค์กรต้องปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของลูกค้า องค์กรไหนปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการลูกค้าได้ก็จะไปสู่ความยั่งยืน แต่เปลี่ยนเร็วไปก็ไม่ได้ เปลี่ยนเร็วไปมีต้นทุน ลูกค้าไม่ต้องการ แต่เปลี่ยนช้าไปตลาดนี้ก็เป็นของคนอื่น ต้องเปลี่ยนให้เกิดความสมดุล วันนี้ผมคิดว่า Consumer Centric ในองค์กรทำได้ 70% ยังมีโอกาสปรับปรุงอีก 30% กระบวนการนี้ยาก ถ้า 100% สู่ความเป็นเลิศที่สุด”

ความเปลี่ยนแปลง 7 ประการ
 ผู้บริโภคมีพลวัตที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยภายนอกที่กระทบการดำเนินงานขององค์กรไม่หยุดนิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ สรุป 7 ปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ประกอบด้วย
 หนึ่ง อายุลูกค้าเปลี่ยนแปลง เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนแก่ สำหรับเด็กต้องสินค้าอย่างหนึ่ง วัยรุ่นต้องการอีกแบบ คนทำงานอยากได้สินค้าอีกประเภทหนึ่ง
 สอง เศรษฐกิจดีกับเลว เศรษฐกิจดีลูกค้าก็ใช้เงินเยอะ เอาบัตรเครดิตรูด กู้เงินก็คล่อง เพราะตอนเศรษฐกิจดี มีเงิน 120 บาท ใช้ 100 บาท อีก 20 บาท ทิ้งก็ยังได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มี 100 บาท ใช้ 80 บาท อีก 20 เก็บไว้
 สาม ฤดูกาลทำให้เปลี่ยนแปลง ลูกค้าซื้อสินค้าไม่เหมือนกันในแต่ละฤดูกาล
 สี่ ไอทีทำให้ลูกค้ามีความรู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่พฤติกรรม
 ห้า ครอบครัวในอดีตเป็นครอบครัวใหญ่ ปัจจุบันเป็นครอบครัวเล็ก ผู้หญิงสมัยก่อนไม่เรียนหนังสือ ตอนนี้เรียนหนังสือ ผู้หญิงผู้ชายเท่ากัน แต่งงานก็แยกครอบครัว  ไม่จำเป็นต้องอยู่ในครอบครัวใหญ่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลงในแง่วิถีชีวิตและการบริโภค
 หก รถไฟฟ้า คนจำนวนมากอยู่คอนโดมีเนียม ต้องการความรวดเร็ว กลุ่มนี้ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
 เจ็ด คู่แข่ง การแข่งขันจากคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นหรือกลยุทธ์อื่นๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนให้เร็ว
 “สิ่งแวดล้อมและสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ลูกค้าก็เปลี่ยนแปลง ผมสรุปว่าลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ถ้าเรายังซื่อบื้อ เป็น Silo อยู่กับที่ เราก็ล้าหลัง สุดท้ายตลาดนี้ก็เป็นของคนอื่น แต่การปรับตัวเปลี่ยนแปลงให้ทันกับลูกค้าเปลี่ยนแปลง องค์กรต้องเป็น Customer Centric ออฟฟิศเราต้องปรับตัว การเปลี่ยนแปลงอาศัยข้อมูลจากลูกค้าเป็นตัวตั้ง
 สินค้าของเราจาก Week ละ 10 ตัว (ปีละ 520 ตัว) เป็น Week ละ 50 ตัว (ปีหนึ่ง 2,500 ตัว) สินค้าก็หมุนเวียนเร็วมาก เพราะต้องให้ทันกับลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง เพราะโปรดักต์มี Life Cycle และเด็กเดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนแปลงดูทีวีมีความรู้ มีการศึกษาดี ต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพ ฉะนั้นโลกโลกาภิวัตน์ไอทีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้เป็นหัวใจ”
 เราถามต่อถึงวิธีการ Create Demand ในร้าน 7-Eleven 
 คุณปิยะวัฒน์ กล่าวว่า การ Create Demand ต้องเริ่มจากดูว่ากลุ่มลูกค้าของ 7-Eleven เป็นใคร ลูกค้าเราคือ กลุ่ม B และ C สองกลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่ม A มีน้อย เพราะร้าน 7-Eleven ไม่ใกล้ห้างหรือตึกแถว สิ่งที่เป็น Breakthrough ของ 7-Eleven คือการขายอาหาร และเครื่อมดื่ม สินค้าประเภทนี้เป็น High Margin ในร้านมี Ezy go, Chilled Food, ขายอาหารเป็นมื้อ และอื่นๆ
 “ตัวนี้เป็น Breakthrough เพราะคนเข้าร้าน 7-Eleven วันละ 7 ล้านคน ต้องกิน 3 มื้อ และเรายังกินมื้อรองจุกจิกอีกและเรายังมี Blue Ocean คือ 7-Eleven แคตตาล็อก ซึ่งคอนวีเนียนสโตร์ทั่วโลกไม่ทำกัน หมายความว่าตลาดเก่าเราเปลี่ยนแปลงไม่พอ เอา Food น้ำเข้ามา เพื่อให้ลูกค้ามีความภักดี และเรายังทำร้าน Book Smile ขึ้นมา Book Smile มีหนังสือ พ๊อคเกตบุ๊ค หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน เครื่องเขียน ซีดีทั้งหนังและเพลง เราเปิดตึกแถว 2 คูหา มีหนังสือพวกนี้ มีเป็นหมื่น SKU เราคัดตัวขายดีใส่ไว้ใน 7-11 สรุปว่าเราเอา Blue Ocean กับ Red Ocean มาเจอกัน ในตำราไม่มี ทำให้ Same Store เรา Growth พรรคพวกมองไม่ออก
 ตอนที่เราเพิ่ม New Product จาก 10 ตัว เป็น 20 ตัว จัดซื้อต้องเจรจา, DC ก็ต้องทำงานหนักขึ้น ลูกน้องผมบอกว่า ต้องเอาสินค้าออกไป เอาสินค้าใหม่มาเรียงเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง คุยตั้งนานกว่าจะได้ขึ้นมา เหนื่อยแทบตาย พอทำสำเร็จ เที่ยวนี้  Week หนึ่ง 30 ตัว ทุกคนขยันทำหมดเลย การเปลี่ยนสินค้าทำไม่ง่าย แต่สำเร็จแล้วมันคือยอดขายเพิ่ม Week หนึ่งจาก 30 เป็น 50 ตัว ไม่พอ ผมเอา Blue Ocean ตัวขายดีมาใส่ใน Red Ocean”
 คุณปิยะวัฒน์ สรุปว่า การ Create Demand นั้น กลุ่มลูกค้า B, C ซื้อสินค้าประเภทเครื่องเขียน หนังสือ หนังสือพิมพ์ ที่อื่นอยู่แล้ว จึงเอาสินค้าที่ขายดีมาลงในร้าน 7-Eleven ก็เท่ากับ One Stop Service เป็นการสร้างกลุ่มลูกค้าให้ใหญ่ขึ้น ผลลัพธ์ก็คือ ลูกค้าจากสัปดาห์หนึ่งเคยมา 2 ครั้ง ก็มา 3 ครั้ง อันนี้มาจากข้อมูลวิจัย จริงๆ การเปิดสาขาเยอะ ลูกค้าต้องตก แต่วันนี้ทั่วโลก เรามียอดของลูกค้าอันดับหนึ่ง
 “การที่ลูกค้ามีความรู้ ก็ต้องการความสวยงาม สุขภาพแข็งแรง เราก็มีโปรเจ็กต์ Extra คือคอนเซ็ปต์มาจากอาหารเสริม สุขภาพ และความสวยงาม เอาสินค้าพวกนี้ใส่เพิ่มเข้ามา นี่คือ One Stop Service ตอนนี้เรากำลังทดลอง ทำเรื่องขนมปัง อบเบอเกอรี่ โปรเจ็กต์นี้เราไปซื้อ Know How มาจากญี่ปุ่น แล้วก็มีกาแฟปั่น ผลไม้ปั่น มาอยู่ข้างใน ฉะนั้นเป็นการเอา Blue Ocean ที่เป็นเรื่องกระแส อาหารสุขภาพและความสวยงาม ใส่เข้ามาในร้านเพื่อสร้างดีมานด์”
 
6 วิธีบริหารต้นทุน
 การบริหารต้นทุนนับเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญ ยิ่งในธุรกิจรีเทลที่มีสาขาจำนวนมากแล้ว การบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพนับเป็นหนึ่งในหัวใจของธุรกิจที่จะขาดไม่ได้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ สรุป 6 วิธีบริหารต้นทุน
 หนึ่ง จำนวนพนักงาน ในอดีต 7-Eleven เคยขายทุน ร้านเคยใช้คน 20 คน/วัน/สาขา ลูกค้า 800-900 ราย พอคุณปิยะวัฒน์มาบริหารใช้คนเพียง 10 คน ลูกค้า 1,200 คน “เราใช้คน 10 คน แต่ใช้ Full Time 4-5 คน นอกนั้นใช้นักเรียนพาร์ทไทม์ 4-5 ชั่วโมง เพราะยอดขายของเราดีเป็นช่วงๆ ตอนเช้า 6-8 โมง, เที่ยงถึงบ่ายโมง, ตอนเย็นขายดีตอน 5 โมง-2 ทุ่ม ดังนั้นเราจัดพาร์ทไทม์ 4-5 ชั่วโมงมาเสริม เพื่อ Support ลูกค้าตอนเยอะๆ นี่คือการลดต้นทุน”
 สอง การคอนโทรลเรื่องค่าไฟฟ้า จากที่เคยใช้หลอดไฟจำนวนมาก ก็เปลี่ยนมาเป็นหลอดผอม หลอดประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงาน
 สาม 7-Eleven ควบคุมการใช้ถุงพลาสติก ค่าโทรศัพท์ และข้าวของจิปาถะ
 สี่ 7-Eleven เคยเซ้งกับซื้อ ค่าใช้จ่ายประมาณ 1.6 แสนบาท/สาขา (ค่าเสื่อม ค่าเช่า และดอกเบี้ย) พอทำการเช่า เฉลี่ยแล้ว 6 หมื่นบาท/สาขา ทำการประหยัดได้ 1 แสนบาท/เดือน/สาขา ปีละ 1.2 ล้านบาท/สาขา หากคูณด้วย 6 พันสาขา เท่ากับ 7-Eleven ลดต้นทุนไปได้ 7,200 ล้านบาท/ปี
 ห้า Economy of Scale ยอดขายเคยอยู่ 3.3 หมื่นบาท เพิ่มมาเป็น 6 หมื่นบาท ค่าใช้จ่ายก็ถูกลง
 หก การบริหารจัดการ เคยขาดทุนระดับร้านอยู่ครึ่งเปอร์เซ็นต์ ถ้าตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ระดับร้านกำไร 4-5% มา Cover ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและดอกเบี้ย
 สำหรับทิศทางธุรกิจของ 7-Eleven จะเน้นเรื่องอาหาร ปัจจุบันสัดส่วน Grocery (Non-Food) 29% อาหาร 71% ต่อไป Grocery จะเหลือ 23% และอนาคตสัดส่วนอาหารจะเป็น 77% นอกจากนี้ 7-Eleven ยังจะเน้นระบบแฟรนไชส์ ปีนี้สัดส่วนบริษัท 50 และแฟรนไชส์ 50 แต่ในอีก 3 ปีข้างหน้า แฟรนไชส์จะเป็น 65% บริษัทเหลือ 35% โดยทุกปีแฟรนไชส์จะเพิ่มขึ้น 5% บริษัทจะมีสัดส่วนถอยลง   
 “การที่เราเน้นแฟรนไชส์เพราะขยายเร็ว ถ้าเราเป็นเจ้าของ เราเองจะช้าเพราะมองกำไร แต่แฟรนไชส์เป็นการกระจายสร้างเถ้าแก่ กำไรน้อยแต่มากสาขา และคุมตลาด หากเราเปิดร้านเอง อย่างมากก็ได้ 200-300 สาขา แต่ถ้าเป็นแฟรนไชส์เปิดได้ปีละ 500 สาขา เราค้นหาความต้องการลูกค้าตลอดเวลา โดยในต่างจังหวัด เราจะเน้นธุรกิจที่อีสาน เราพบว่ายอดขายที่อีสานเราโตมาก อาจจะมาจากเรื่องยางพารา ปาล์ม สินค้าเกษตร อนาคตเราอาจจะมองเรื่อง TV Shopping ค้าขายผ่านมือถือ และอีคอมเมิร์ซ  รวมถึงการทำ CRM และ Loyalty Program เชื่อมต่อลูกค้า”
 คุณปิยะวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า องค์กรต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ถ้าองค์กรนี้มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลง เกิดนวัตกรรม เป็น Learning Organization องค์กรจะมีนวัตกรรมเล็ก และใหญ่ ตอบโจทย์ความยั่งยืน แต่ถ้าองค์กรมัวแต่ซื่อบื้อ ก็จะชราภาพในที่สุด

IP : บันทึกการเข้า
tfgc2007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,873


สมบัติพญามังราย ต้องรักษาไว้


« ตอบ #67 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 11:52:44 »

บ้าน กับ รถ มันเป็นหนี้สิน... ไม่ใช่ทรัพย์สิน ยิ่งกรณีซื้อผ่อน เป็นทรัพย์สินในบัญชีของเจ้าหนี้เรา....ส่วนลูก เป็นเจ้าหนี้ตลอดกาลของพ่อแม่ 555
IP : บันทึกการเข้า

รักษ์กำเมือง....ร่วมส่งเสริมละอ่อนเหนือ อู้กำเมือง....
เชียงรายสถาปนิก'97 รับ ออกแบบ เขียนแบบบ้าน อาคาร รับบริหารงานก่อสร้างและงานระบบทุกประเภท ตรวจสอบอาคาร โดยสามัญวิศวกร สามัญสถาปนิก และ จป.วิชาชีพ
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #68 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 20:07:18 »

มารู้จัก Same Store Sale Growth
     Same Store Sale Growth คือ การเติบโตของยอดขายในสาขาเดิม
ในธุรกิจที่เป็นแฟรนไชส์ หรือ ธุรกิจกิจที่มีการขยายสาขา การเติบโตของธุรกิจจะเติบโตได้ก็ด้วยการขยายสาขา ก็จะทำให้ธุรกิจมีรายได้เข้ามามากขึ้น แต่ในการขยายสาขาใหม่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง
     ดังนั้น Same Store Sale Growth ก็เป็นดัชนีตัวหนึ่งที่สำคัญในธุรกิจประเภทนี้ เพราะ การที่เราสามารถทำให้ร้านเดิมมียอดขายเพิ่มขึ้นก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น ก็เป็นการเติบโตแบบลงทุนน้อย แต่ต้องใช้ความสามารถทางด้านการบริหารและการตลาดสูงด้วย
     ในฐานะผู้ลงทุนหากสนใจธุรกิจประเภทแฟรนไชส์ ก็ต้องให้ความสำคัญกับ ดัชนีตัวนี้ด้วย ธุรกิจที่ขยายสาขาจะเติบโตได้ดีต้องมีรายได้ที่เติบโตจากการเพิ่มจำนวนสาขา และมาจาก Same Store Sale Growth ด้วย
IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #69 เมื่อ: วันที่ 09 กุมภาพันธ์ 2012, 21:44:44 »

ในความรู้สึกของเรา เจ้าของกระทู้ คงจะหมายความถึง กับดักชีวิต ของการเริ่มต้นชีวิตหรือเปล่า หรือพูดง่ายๆก็คือ การเริ่มต้นดำเนินชีวิต หรืออีกในหนึ่งก็คือการเริ่มทำงาน ถ้าติดกับดักสามอย่าง ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
เช่น
1.รถยนต์ ในภาวะทางอารมณ์ สังคม และ อะไรหลายๆๆอย่าง ของเด็กที่เพิ่งเรียน จบมาใหม่ๆๆ เหมือนที่ เจ้าของกระทู้พูดถึง สิ่งแรก ที่ต้องการที่ของคนในกลุ่มและวัยนี้คือรถยนต์ สตารท์ทำงานเงินเดือน 8500 บาท (สมมุติ)ผ่อนรถแน่นอน แถมไม่พอเหลือใช้แล้ว บางคน อยู่บ้านพ่อแม่ก็ คิดว่าเงินแค่นี้ สบาย ผ่อนรถรุ่นเล็กก็ยังเหลือเงินเติมน้ำมันกินข้าว แต่ในความเป็นจิง มันก็ไม่ค่อยพอเท่าไหร่หรอก ในระยะยาวมันจะทำให้เราไม่มีเงินเก็บ กว่าจะผ่อนรถหมดก็ปาไป ห้าปี อายุก็25 อย่างต่ำเข้าไปละ มันเลยเสียจังหวะหนึ่งของการ เป็นคนรวยไป
(ประสบการณ์) มีเพื่อนได้เงินเดือน12000บาท บ้านไม่ต้อง ซื้อรถ รุ่นxxxx ขนาด1.6 ผ่อนเดือนละ 8000นิดๆๆ เหลือ4000 ค่าน้ำมัน ไปกลับทำงาน มันก็แทบจะไม่พอแล้ว กลายเป็นว่า มันคือรถ ภาระ ที่หนักเอาการ สุดท้ายก็ต้องจอดทิ้งไว้ที่บ้าน ขึ้นรถเมย์ไปทำงานเหมือนเดิม เพราะงั้น มันคงหมายถึงว่า ยังไม่ถึงวัยที่ควรจะซื้อรถ
2.บ้าน
ฟังดูก็คงดูออกว่ามันก็คงหมายถึงที่อยู่อาศัย เห็นข้อนี้คนคอมเม้นกันมากมาย ในส่วนตัวบ้าน มันต้องมาให้ถูกเวลาและความเหมาะสม ถ้าสมมุติอย่างที่ มีคนยกตัวอย่าง บอกว่าเช่าอยู่ก็แพงซื้อเลยดีกว่า มันก็คุ้ม เพิ่มมานิดหน่อยก็ถือว่าได้บ้านสุดท้ายก็ยังได้บ้าน ไม่พอใจก็ขายได้ราคาด้วย อีกคนก็บอกว่าไปทำงานในที่ต่างแดน ซึ่งเงินเดือนก็อาจจะพอที่จะสามารถซื้อได้ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานยังถิ่นที่ตัวเองเลือกใหม่ จะขายก็ขายไมไ่ด้จะเช่าก็ไม่อยากให้เช่า มันเลยเป็นภาระผูกพัน เพราะบ้านมันไมไ่ด้ซือ้แค่ปีสองปีบางคนผ่อนกันยาวนาน สามสิบปี ซื้อแล้วไม่ใช่ว่าจะขายได้เลยวันนี้พรุ่งนี้ การเลือกบ้านก็จะมีหลายองค์ประกอบ ทำเล หรือจังหวัด หรือ ฮวงจุ๋ย อะไรก็แล้วแต่ มันคือองค์ประกอบทั้งนั้น แต่ในที่นี้ต้องสนใจที่ความคุ้มทุน หรือ ภาระ ความเหมาะสมของความจำเป็น อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า การซื้อบ้านก็เหมือนกานลงทุน ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ซื้อในราคาที่เหมาะสม ขายในเวลาที่สมควร (แต่เป็นการเกงกำไรที่ยาวนานมากกกก ) เพราะงั้นเจ้าของกระทู้ คงอยากจะสือว่า ถ้าหากพลาดซื้อผิดที่ผิดเวลา มันจะทำให้เราขาดต่อช่วง ของการเป็นคนรวยได้เช่นเดียวกัน เพราะงั้นการลงทุนซื้อบ้านก็ต้องแล้วแต่ละบุคคล ดูสถาณการณ์ รายได้และอนาคตไปด้วย ว่ามันคุ้มไหม ที่จะเสี่ยงกับมันตั้ง30ปี
3.ลูก
มีคนเคยบอกว่า มีลูกก็เหมือนจนไป25ปี (ส่งเรียน จน20พอเรียนจบ ซื้อรถเงินไม่พอขอพ่อแม่เพิ่ม5ปี ผ่อนรถหมด พ่อแม่ถึงสบายได้ เหมือนวัฐจักรเลย)
ลูก ในส่วนตัวคิดว่ามันก็เป็นกับดักชีวิตเหมือนกัน แต่...การมีลูกก็คือการมีครอบครัว เพราะงั้น มันไม่ได้แปลว่า เราจะต้องรับภาระเพียงคนเดียว แต่ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่เสียจังหวะชีวิตไป กับสองสิ่งแล้วไม่ส่งผลดี ลูกก็คงเป็นกับดักชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคุณเหนื่อยล้าอย่างมากมาย การมีลูกไม่เหมือนบ้านกับรถที่ไม่พอใจก็ขายก็ทิ้งได้ แต่ลูกเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เราไม่สามารถทอดทิ้งได้ มันเป็นอะไรที่เราต้องทุ่มเทและสร้างมันมากมาย แต่มันก็ไม่เชิงที่จะเป็นกับดักชีวิตที่เลวร้ายมากมายเหมืิอนสองสิ่งแรกนักเพราะ สมัยนี้เรียนก็ฟรี แถมนมด้วย ค่าใช่จ่ายเรื่องลูก มันน่าจะน้อยกว่าการผ่อนกับรถด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเราเลือกให้เหมาะสมกับฐานะ
(ประสบการณ์)มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นลูกคุณนางเก่า ขอยกตัวอย่างแค่นามสกุลนะคะ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ท่าเรียนจบการศึกษาจากเมืองนอก ผ่านช่วงเวลาที่แสนสบายมาตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าประสบณ์ความสำเร็จมากมาย พ่อถึงจุดหนึุ่งที่ท่านต้องลงสู่ทุนเดิม คือความไม่มี ท่านก็สามารถดำรงชีวิตอย่างสมาถะ (อยู่ตึกแถวเก่า)ท่านให้ลูกชายของท่านเรียน รรวัด ย้ำ รรวัดธรรมดาๆ แต่ทุกเย็นท่านจะพร่ำสอน อบรม สังสอน ลูกของท่าน เด็กแค่ประถม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ฉะฉาน กวาดบ้านได้สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน ปรนนิบัติพ่อเขาได้อย่างน่าชื่นชม เรียนคุณพ่อคุณแม่ ทุกคน เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่งเลยละ
ในส่วนตัว เรื่องลูก และเวลา มันคงอยู่ที่ตัวบุคคลว่าสามารถแยกแยะและแบ่งเวลาได้มากน้อยเเค่ไหน ลูกคงไม่ทำให้เราจนลงได้หรอก ถ้าหากแล้วขาดความขยัน และความอดทน และมีใจที่จะสู้ มองโลกในแง่ดี

การลงทุนมีความเสี่ยง การใช้ชีวิตก็คือความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะงั้นกับดักชีวิตของทุกคนมันก็คือความเสี่ยง ที่กล้าลงทุนหรือเปล่า

อิอิไมไ่ด้ป่วนนะคะ แค่อยากแชร์บ้าง ในส่วนของความคิดผู้หญิงนะคร้าาา

     ขอบคุณ คุณ kalahari ที่ตีความและวิเคราะห์บทความของผมได้อย่างดีและใกล้แนวความคิดผมมากที่สุด เพราะในบทความผมก็บอกแล้วว่า 3 สิ่งที่พูดถึงไม่ได้บอกว่าไม่จำเป็น แต่ควรมีในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งคุณ kalahari ก็ได้วิเคราะห์ และอธิบายได้ดี
แต่ก็มีหลายท่านที่ตีความผิดไปบอกว่าสิ่งที่ผมพูดถึงนั้นบอกว่ามันไม่จำเป็น  ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับว่าถ้าท่านจะซื้อเพื่อตอบสนองความต้องการท่านก็ควรพิจารณาให้ดีให้เหมาะสมกับเวลา แต่ถ้าท่านซื้อเพื่อเกี่ยวเนื่องกับการลงทุงท่านต้องแยกออกไปคิดต่างหาก ผมถึงได้เกริ่นนำบทความว่ากับดักนี้อาจไม่เป็นอุปสรรคกับใครหลายๆคนก็ด้วยเหตุนี้
     ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการนำเงินมาลงทุนแทนที่จะนำไปซื้อรถหรือบ้านก่อนเวลาเหมาะสม เพราะผมบอกว่าเป็นกับดักของคนที่คิดอยากจะรวย สำหรับท่านใดที่เป็นพวกสุขนิยม ก็ไม่เป็นกับดักหรอก เพราะมองในมุมแบบสุขนิยม ก็ซื้อก็ซื้อสิ ถ้าเรามีความสุข ก็นั้นเป็นสุขนิยม
แต่สำหรับคนที่คิดอยากจะรวย ในความคิดของผมคือ คนที่มี ambition สูง หรือ ความ ทะเยอทะยานสูง พูดจากด้านมืดของผมเลย ผมก็เป็นคนที่มี ambition สูง ดังนั้น การที่เราจะมี ambition สูง เป้าหมายเราก็ใหญ่ ในเมื่อเป็นคนที่มีเป้าหมายใหญ่ทำไมหวังผลแค่ความสุขระยะสั้น ๆ ดังนั้นความสุขที่มากกว่านี้ต่างหากและเป็นเป้าหมายใหญ่กว่านี้ต่างหากที่เราต้องการ
ผมไม่ได้บอกว่าคุณต้องประหยัดตลอดไป อยู่อย่างมัธยัส ไม่ต้องแสวงหาความสุข เหมือนหลายๆท่านตีความ ถ้าท่านบรรลุเป้าหมายทางการเงินแล้วทำไมเราจะไม่ตอบสนองความสุขของเราละ แต่ความสุขของเราที่ได้มานั้นหลังจากที่ท่านบรรลุ ambition แล้ว มันคงเป็นความสุขที่หวานช่ำแค่ไหน หลังจากที่เราอดทนกินเปรี้ยวมาเป็นเวลานานรอจนมันสุกงอมมากคงหวานกว่าคนที่กินมันแค่จะเริ่มสุกก็กินมันซะคิดว่าแค่นั้นหวานมากพอแล้วหรือไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 10:50:16 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #70 เมื่อ: วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2012, 18:06:18 »

  ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือตระกูล "พ่อรวย พ่อจน" (พ่อรวยสอน...) ก็เลยหยิบมาเล่มนึงชื่อว่า "พ่อรวยสอนวัยรุ่น"

ซึ่งได้อ่านแล้วรู้สึกว่าดี ก็คล้ายๆ แนวคิดเจ้าของกระทู้ ว่าเราควรแยกแยะให้ได้ก่อนว่าอะไรคือ "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน"

ถ้าใครแยกไม่ได้ก็ถือว่าติดกับดักไปตลอดชีวิต แล้วก็ยากจะรวยดังว่า ผมอ่านจบแล้วก็เลยให้อดีตภรรยาไปหนึ่งเล่ม

และวันนี้ผมก็ได้ซื้ออีกเล่มเพื่อมอบให้น้องชาย กับน้องสะใภ้ เพราะเขาก็เพิ่งจะยีสิบปลายๆ และกำลังค้นหาอะไรในชีวิตเหมือนกัน

วันนี้ผมเลยอยากแนะนำให้หลายๆ ท่านที่สนใจลองหาซื้อไปอ่านดู เล่มละ ๑๑๐ บาทเองที่ Se-ed ผมไม่ได้มี่ส่วนได้เสียหนา

หุ้นร้านหนังสือนี้ก็ขายไปตั้งนานแล้ว แบบว่ามันไม่เร้าใจสำหรับขาเก็งฯ อย่างผม 55+ ผมหวังดีต่อพวกเค้าผมเลยให้ รวมทั้งทุกๆ ท่านด้วย.
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
kalahari
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #71 เมื่อ: วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012, 21:14:37 »

 ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือตระกูล "พ่อรวย พ่อจน" (พ่อรวยสอน...) ก็เลยหยิบมาเล่มนึงชื่อว่า "พ่อรวยสอนวัยรุ่น"

ซึ่งได้อ่านแล้วรู้สึกว่าดี ก็คล้ายๆ แนวคิดเจ้าของกระทู้ ว่าเราควรแยกแยะให้ได้ก่อนว่าอะไรคือ "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน"

ถ้าใครแยกไม่ได้ก็ถือว่าติดกับดักไปตลอดชีวิต แล้วก็ยากจะรวยดังว่า ผมอ่านจบแล้วก็เลยให้อดีตภรรยาไปหนึ่งเล่ม

และวันนี้ผมก็ได้ซื้ออีกเล่มเพื่อมอบให้น้องชาย กับน้องสะใภ้ เพราะเขาก็เพิ่งจะยีสิบปลายๆ และกำลังค้นหาอะไรในชีวิตเหมือนกัน

วันนี้ผมเลยอยากแนะนำให้หลายๆ ท่านที่สนใจลองหาซื้อไปอ่านดู เล่มละ ๑๑๐ บาทเองที่ Se-ed ผมไม่ได้มี่ส่วนได้เสียหนา

หุ้นร้านหนังสือนี้ก็ขายไปตั้งนานแล้ว แบบว่ามันไม่เร้าใจสำหรับขาเก็งฯ อย่างผม 55+ ผมหวังดีต่อพวกเค้าผมเลยให้ รวมทั้งทุกๆ ท่านด้วย.
ี่มาเห็นด้วยอีกคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012, 22:08:45 โดย kalahari » IP : บันทึกการเข้า
tfgc2007
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,873


สมบัติพญามังราย ต้องรักษาไว้


« ตอบ #72 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012, 23:08:37 »

 ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือตระกูล "พ่อรวย พ่อจน" (พ่อรวยสอน...) ก็เลยหยิบมาเล่มนึงชื่อว่า "พ่อรวยสอนวัยรุ่น"

ซึ่งได้อ่านแล้วรู้สึกว่าดี ก็คล้ายๆ แนวคิดเจ้าของกระทู้ ว่าเราควรแยกแยะให้ได้ก่อนว่าอะไรคือ "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน"

ถ้าใครแยกไม่ได้ก็ถือว่าติดกับดักไปตลอดชีวิต แล้วก็ยากจะรวยดังว่า ผมอ่านจบแล้วก็เลยให้อดีตภรรยาไปหนึ่งเล่ม

และวันนี้ผมก็ได้ซื้ออีกเล่มเพื่อมอบให้น้องชาย กับน้องสะใภ้ เพราะเขาก็เพิ่งจะยีสิบปลายๆ และกำลังค้นหาอะไรในชีวิตเหมือนกัน

วันนี้ผมเลยอยากแนะนำให้หลายๆ ท่านที่สนใจลองหาซื้อไปอ่านดู เล่มละ ๑๑๐ บาทเองที่ Se-ed ผมไม่ได้มี่ส่วนได้เสียหนา

หุ้นร้านหนังสือนี้ก็ขายไปตั้งนานแล้ว แบบว่ามันไม่เร้าใจสำหรับขาเก็งฯ อย่างผม 55+ ผมหวังดีต่อพวกเค้าผมเลยให้ รวมทั้งทุกๆ ท่านด้วย.
อ่านแล้วหยะหยั่งเปิ้นได้กี่%
IP : บันทึกการเข้า

รักษ์กำเมือง....ร่วมส่งเสริมละอ่อนเหนือ อู้กำเมือง....
เชียงรายสถาปนิก'97 รับ ออกแบบ เขียนแบบบ้าน อาคาร รับบริหารงานก่อสร้างและงานระบบทุกประเภท ตรวจสอบอาคาร โดยสามัญวิศวกร สามัญสถาปนิก และ จป.วิชาชีพ
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #73 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2012, 10:05:53 »

 ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือตระกูล "พ่อรวย พ่อจน" (พ่อรวยสอน...) ก็เลยหยิบมาเล่มนึงชื่อว่า "พ่อรวยสอนวัยรุ่น"

ซึ่งได้อ่านแล้วรู้สึกว่าดี ก็คล้ายๆ แนวคิดเจ้าของกระทู้ ว่าเราควรแยกแยะให้ได้ก่อนว่าอะไรคือ "สินทรัพย์" และ "หนี้สิน"

ถ้าใครแยกไม่ได้ก็ถือว่าติดกับดักไปตลอดชีวิต แล้วก็ยากจะรวยดังว่า ผมอ่านจบแล้วก็เลยให้อดีตภรรยาไปหนึ่งเล่ม

และวันนี้ผมก็ได้ซื้ออีกเล่มเพื่อมอบให้น้องชาย กับน้องสะใภ้ เพราะเขาก็เพิ่งจะยีสิบปลายๆ และกำลังค้นหาอะไรในชีวิตเหมือนกัน

วันนี้ผมเลยอยากแนะนำให้หลายๆ ท่านที่สนใจลองหาซื้อไปอ่านดู เล่มละ ๑๑๐ บาทเองที่ Se-ed ผมไม่ได้มี่ส่วนได้เสียหนา

หุ้นร้านหนังสือนี้ก็ขายไปตั้งนานแล้ว แบบว่ามันไม่เร้าใจสำหรับขาเก็งฯ อย่างผม 55+ ผมหวังดีต่อพวกเค้าผมเลยให้ รวมทั้งทุกๆ ท่านด้วย.
อ่านแล้วหยะหยั่งเปิ้นได้กี่%

 อันนั้นผมไม่ทราบครับ  ผมก็แค่จุดประกายให้เค้าด้วยความปารถนาดี เป็นการให้ด้วยความบริสุทธิใจไม่ได้หวังผลใดๆ จากเค้า

"พระพุทธองค์ไม่เคยหวัง ว่าใครจะได้อะไรจากธรรมที่พระพุทธองค์ได้แสดงไป "
ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ผมก็มีสุขใจที่ได้แบ่งบัน..ครับ.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 มีนาคม 2012, 12:45:22 โดย Temujin » IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
i-din
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 153



« ตอบ #74 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2012, 19:05:23 »

ขออนุญาตเข้ามาหาความรู้นะคะ ก่อนเคยอ่านพ่อรวยมาบ้างค่ะ และคิดว่า นี่แหละ ฉันจะทำแบบนี้ๆๆ อยู่ในหัวมาตลอด แต่พอมาเจอมรสุมชีวิต ทางด้านหุ้นส่วนชีวิต ที่มาพร้อมๆกับภาระที่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือลูก ไปไม่เป็นเลยค่ะ คิดอะไรไม่ออก คิดออกแต่ทำไม่ได้ ตอนนี้ยืนได้แล้วแต่ก้อยังต้องพึ่งพาอาศัยหลักใหญ่อยู่ ตอนนี้ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อคนๆนี้ จะคิดจะทำอะไร ปัจจัยแรกที่ต้องคิดก็คือ ลูก อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ มีกำลังใจ ได้ข้อคิดดีๆ ความเห็นมากมายทั้งที่เห็นด้วยและขัดแย้ง ทั้งแตกประเด็น ล้วนดีทั้งสิ้น มาจากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนหนาวมามากมาย อ่านหนังสือทั้งเล่มกว่าจะเข้าใจสัก 1 เรื่อง แต่นี่เพียงกระทู้เดียวก็เข้าใจแล้ว บางเรื่องก็ไม่เข้าใจค่ะ เพราะความรู้ไม่ถึง มาโพสกันเรื่อยๆนะคะจะตามมาเก็บความรู้ค่ะ ขอบคุณค่ะ(พึ่งมาเป็นคนเชียงรายได้ 5 เดือนค่ะ ยิงฟันยิ้ม)
IP : บันทึกการเข้า

ชมรมคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #75 เมื่อ: วันที่ 17 มีนาคม 2012, 15:54:14 »

ขออนุญาตเข้ามาหาความรู้นะคะ ก่อนเคยอ่านพ่อรวยมาบ้างค่ะ และคิดว่า นี่แหละ ฉันจะทำแบบนี้ๆๆ อยู่ในหัวมาตลอด แต่พอมาเจอมรสุมชีวิต ทางด้านหุ้นส่วนชีวิต ที่มาพร้อมๆกับภาระที่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือลูก ไปไม่เป็นเลยค่ะ คิดอะไรไม่ออก คิดออกแต่ทำไม่ได้ ตอนนี้ยืนได้แล้วแต่ก้อยังต้องพึ่งพาอาศัยหลักใหญ่อยู่ ตอนนี้ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อคนๆนี้ จะคิดจะทำอะไร ปัจจัยแรกที่ต้องคิดก็คือ ลูก อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกดีมากๆค่ะ มีกำลังใจ ได้ข้อคิดดีๆ ความเห็นมากมายทั้งที่เห็นด้วยและขัดแย้ง ทั้งแตกประเด็น ล้วนดีทั้งสิ้น มาจากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนหนาวมามากมาย อ่านหนังสือทั้งเล่มกว่าจะเข้าใจสัก 1 เรื่อง แต่นี่เพียงกระทู้เดียวก็เข้าใจแล้ว บางเรื่องก็ไม่เข้าใจค่ะ เพราะความรู้ไม่ถึง มาโพสกันเรื่อยๆนะคะจะตามมาเก็บความรู้ค่ะ ขอบคุณค่ะ(พึ่งมาเป็นคนเชียงรายได้ 5 เดือนค่ะ ยิงฟันยิ้ม)

ขอบคุณ คุณ i-din มากนะครับ ที่เห็นว่ากระทู้นี้มีความสำคัญ จริงๆแล้วผมไม่ได้มีประสบการชีวิตมากมายอะไรหรอกคับ เพราะ ผมอายุเพิ่ง 24 เอง ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะผมเห็นว่าคนในวัยผม และ รุ่นหลังผม มีแนวคิดที่ค่อนข้างเสี่ยงในการดำเนินชีวิตในโลกทุนนิยม ตัวอย่างแรกจากที่ผมสัมผัสได้ก็คือเมื่อเรียนจบได้ทำงานเพื่อนผมส่วนใหญ่คนที่ยังไม่มีรถยนต์ใช้ ก็จะซื้อรถกัน เป็นความต้องการอันดับแรกที่ผมเห็น โดยไม่คำนึงถึงรายได้ที่ได้ และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเดือนร้อน พ่อแม่ แค่นี้ยังไม่พอ ยังไม่คำนึงถึงอนาคตด้วยว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้วหรือยัง เราต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่ามันจำเป็นมั๊ย หรือเรายังไม่จำเป็นต้องมีตอนนี้ก็ได้ หรือที่บ้านก็มีรถอยู่แล้วเอามาใช่ได้รึป่าว คิดให้รอบคอบแล้ว ถ้าท่านคิดรอบคอบแล้วซื้อท่านไม่เดือนร้อนใครรายได้ของท่านเหลือมากพอหลังรวมค่าใช้จ่ายในการซื้อรถ มันก็คงไม่เป็นกับดักในชีวิตท่าน
ผมจะยกตัวอย่างในการเริ่มต้นดำเนินชีวิตของผมให้ท่านพอเห็นภาพ หลังจากเรียนจบจากมหาลัยที่เชียงใหม่ ผมตัดสินใจกลับมาบ้านโดยคิดว่าการกลับมาใช้ชีวิตในบ้านเราถึงรายได้ไม่ค่อยดี แต่ค่าใช้จ่ายก็ไม่มากหักลบแล้ว มีเงินเหลือเก็บเยอะ ผมตัดสินใจทำงานที่เซเว่นแถวบ้าน โดย  ผมได้ประโชยน์หลายอย่าง 1. ได้เรียนรู้สัมผัสธุรกิจของเซเว่นจริงๆ 2.มีบริษัทมหาชนหลายธุรกิจอยู่ในเซเว่นผมสามารถสัมผัสมันได้ 3.ผมเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงที่ทำงานประหยัดน้ำมันค่าที่พัก 4.ผมอ่านเกมส์ไว้ว่าเงินเดือนเซเว่นต้องปรับก่อนที่อื่นแน่เพราะทฤษฎีสองสูงของคุณ ธนิน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ทุกวันนี้ชีวิตผมมันช่างสบายเหลือเกินมีเงินเก็บ เก็บได้ก็ไว้ใช้ในการลงทุน ไม่มีภาระมากมายให้ปวดหัว ไม่มีหนี้ ไม่มีความอยากได้อยากมี ไม่ยึดติดสิ่งสมมติที่คนเราสร้างมันขึ้นมาว่าเราต้องมี เราต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ แต่เราต้องยอมรับความจริง ว่าโลกเรามันเปลี่ยนเป็นทุนนิยมไปแล้ว เราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุนนิยมให้ได้และใช้ประโยชย์จากมันมากว่าเป็นเหยื่อของมัน การเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัวโดยไม่ติดกับดักชีวิตจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองผ่าน

วาจาข้านี้ง่ายนักที่จักรู้                            ง่ายนักที่จักดำเนิน
แต่ทั้งโลกหล้าก็ไม่มีใครสามารถรู้      ไม่มีใครสามารถดำเนิน
     ถ้อยวจีย่อมมีที่มา              กิจทั้งหลายย่อมมีที่หมาย
     ด้วยเหตุนี้ที่ไม่รู้ความ      จึงมิอาจรู้จักตัวข้าได้
     ผู้รู้จักข้านั้นน้อยหนัก      ข้าจึงมีค่าสูงส่ง
             ดังนี้ อริยมนุษย์
             ห่มครองด้วยผ้าคร่ำคร่าอันคลุมไว้ซึ่งจินดามณี
                                                                       เล่าจื๊อ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #76 เมื่อ: วันที่ 27 เมษายน 2012, 11:07:22 »

   ครับดีแล้วที่เจ้าของกระทู้มองข้ามซอร์ตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย  ผมเห็นหลายๆ คน (ส่วนมากเลยแหละ) ที่ติดค่านิยมนี้

เรียนจบหมดเงินไปหลายแสน แล้วต้องควักตังค์จ้างเข้าทำงานอีกหลายแสน (รู้ๆ กัน) แต่ถ้ามีคนแบบน้องเยอะๆ

รับรองระบบอุปภัมป์สดุดแน่ๆ  ลองคิดเล่นๆ มีเงินขนาดนั้น แล้วได้สัก 10 % ต่อเดือน แล้วนำเวลาที่เหลือไปสร้างสรรค์

สังคมรอบข้างให้ดีขึ้น  มันจะวิเศษขนาดไหน เท่าที่พี่รู้น้องก็ศึกษาวิชา"ปรัชญา"มาไม่น้อยจากที่ยกตัวอย่างมา

พี่ก็เหมือนกันวิชานี้เปลี่ยนชีวิตพี่ จากหมาก  กลายมาเป็นหมากนอกกระดาน ของสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม

ที่ใครเพรียงพร้ำแล้ว  ก็ย่อมติดกับดักอย่างว่า มีชีวิต แต่ไม่มีวิณญาณ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความศัทธา ขาดเป้าหมายในชีวิต

ยินดีด้วยที่หลุดพ้นจากบ่วงนี้ไปได้  และไม่นานน้องคงกลายเป็นผู้มีอิสระทางการเงิน จากการรู้แล้วทำ

"รู้แล้วไม่ทำสูญเปล่า  ทำโดยไม่รู้อันตราย"  ขงจื๊อ...
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
►•••   Natz.   •••◄
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,433



« ตอบ #77 เมื่อ: วันที่ 27 เมษายน 2012, 13:08:20 »

เก็บ ๆ ๆ ความรู้ทั้งนั้น  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #78 เมื่อ: วันที่ 29 เมษายน 2012, 21:44:43 »

  ครับดีแล้วที่เจ้าของกระทู้มองข้ามซอร์ตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย  ผมเห็นหลายๆ คน (ส่วนมากเลยแหละ) ที่ติดค่านิยมนี้

เรียนจบหมดเงินไปหลายแสน แล้วต้องควักตังค์จ้างเข้าทำงานอีกหลายแสน (รู้ๆ กัน) แต่ถ้ามีคนแบบน้องเยอะๆ

รับรองระบบอุปภัมป์สดุดแน่ๆ  ลองคิดเล่นๆ มีเงินขนาดนั้น แล้วได้สัก 10 % ต่อเดือน แล้วนำเวลาที่เหลือไปสร้างสรรค์

สังคมรอบข้างให้ดีขึ้น  มันจะวิเศษขนาดไหน เท่าที่พี่รู้น้องก็ศึกษาวิชา"ปรัชญา"มาไม่น้อยจากที่ยกตัวอย่างมา

พี่ก็เหมือนกันวิชานี้เปลี่ยนชีวิตพี่ จากหมาก  กลายมาเป็นหมากนอกกระดาน ของสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม

ที่ใครเพรียงพร้ำแล้ว  ก็ย่อมติดกับดักอย่างว่า มีชีวิต แต่ไม่มีวิณญาณ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความศัทธา ขาดเป้าหมายในชีวิต

ยินดีด้วยที่หลุดพ้นจากบ่วงนี้ไปได้  และไม่นานน้องคงกลายเป็นผู้มีอิสระทางการเงิน จากการรู้แล้วทำ

"รู้แล้วไม่ทำสูญเปล่า  ทำโดยไม่รู้อันตราย"  ขงจื๊อ...
     ขอบคุณครับสำหรับคำชมและคำแนะนำที่ดีจากท่านพี่เต มีหนังสืออยู่สามเล่มที่มีผลต่อระบบความคิดผม และ น่าสนใจหามาศึกษาอ่านไว้ มันสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาแนวความคิดตะวันออกได้อย่างดี
และสะท้อนความจริงแท้ของมนุษย์
เล่มที่ 1 สามก๊ก มันเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยเล่เหลี่ยมกลโกง รัก โลภ โกรธ หลง และแฝงในด้วยปรัชญา ความจริง หากแต่ต้องอ่านแล้วคิดตามและคิดเพิ่มจึงจะได้อะไรมากกว่าแต่เพียงอ่านเอาเล่เหลี่ยมกลโกง คนจึงเข้าใจผิดซะส่วนใหญ่ว่าคนอ่านสามก๊กแล้วคบไม่ได้ มีถึงกับคิดว่าได้อ่านสามก๊กมาแล้วเราฉลาดกว่าผู้อื่นก็มี
เล่มที่ 2 คือคัมภึร์หลุนอวี่ มีนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ตีค่าคัมภีร์หลุนอวี่ว่า หากแม้นได้เจนจบคัมภีร์หลุนอวี่เพียงครึ่งเล่มก็จักปกครองใต้หล้าได้อย่างง่ายได้ คัมภีร์หลุนอวี่นั้นเป็นคำภีที่รวบรวมคำสอนของขงจื่อได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด หากใครอ่านและนำไปปฏิบัติสักเพียงครึ่งเล่มก็จักประสบผลสำเร็จได้
เล่มที่ 3 คือคัมภีร์เต้าเต๋อจิง หรือ เต๋าเต็กเก็ง ของมหาปราชญ์ ท่านเหลาจื่อ ไม่มีคำบรรยายใดที่จะบรรยายถึงหนังสือเล่มนี้ได้ บอกได้แต่เพียงว่า พบสัจธรรม

และยังมีหนังสือ และ แนวความคิดของคนอื่นอีกหลายท่านที่ผมศึกษาหากแต่ยกตัวอย่างมาเพียงแค่สามเล่มนี้หากแม้นใครได้ศึกษาอย่างจริงจังและนำไปปรับใช้กับชีวิต ก็จะประสบผลสำเร็จได้

ทุกวันนี้ถึงแม้ผมจะรู้และเข้าใจในหลายสิ่ง แต่ในทางปฎิบัติ ผมก็ยังไม่อาจทำได้ดี ก็ต้องใช้ความฝึกฝนให้มากขึ้น

เหมือดั่งท่านเตยกตัวอย่าง "รู้แล้วไม่ทำสูญเปล่า  ทำโดยไม่รู้อันตราย"  ขงจื๊อ...
IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #79 เมื่อ: วันที่ 29 เมษายน 2012, 21:49:06 »

เก็บ ๆ ๆ ความรู้ทั้งนั้น  ยิ้มกว้างๆ

ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจในกระทู้นี้หากผมมีเวลาจะนำความรู้ดีๆมาให้เก็บเกี่ยวกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!