เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 16 กันยายน 2025, 09:25:32
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 พิมพ์
ผู้เขียน กับดักชีวิต ที่ติดกับแล้วยากจะรวย ( เสียดายคนเชียงรายไม่ได้อ่าน)  (อ่าน 24420 ครั้ง)
katoot
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 148



« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 22 มกราคม 2012, 13:11:53 »

กาก

ฉีเหิงกงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง หลุนเปี่ยนกำลังเหลาไม้ทำล้อรถ
อยู่ในห้องโถง เขาวางเครื่องมือที่ใช้ทำล้อลงแล้วเดินเข้าไปถามฉีเหิงกงที่ใน
ห้องโถงว่า "ผู้น้อยขอหาญถามว่า ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นั้นบอกกล่าวสิ่งใดไว้บ้าง"

     ฉีเหิงกงตอบว่า "เป็นถ้อยคำของเมธี"
     หลุนเปี่ยนถามว่า "เมธีนั้นยังมีชีวิตอยู่ไหม"
     ฉีเหิงกงตอบว่า "เสียชีวิตไปแล้ว"
     หลุนเปี่ยนกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ท่านอ่านก็เป็นแต่เพียงกากของคนโบราณ"

     ฉีเหิงกงกล่าวว่า "ข้าอ่านหนังสือ คนทำล้ออย่างท่านไยจึงหาญมา
วิพากษ์วิจารณ์ หากมีเหตุผล ข้าจะอภัยโทษให้ แต่หากว่าท่านกล่าวไปโดย
ไร้เหตุผล ข้าก็จะสั่งลงโทษประหารชีวิตเสีย"
     หลุนเปี่ยนกล่าวว่า "ข้าจะเปรียบเทียบจากงานที่ข้าทำ อันศิลปะใน
การทำล้อนั้น หากเหลาเดือยนานไป ก็จะทำให้หลวมโพรก ไม่แน่นหนาแข็งแรง
เมื่อสวมกับล้อ แต่หากเหลาเดือยเร็วก็จะทำให้เดือยฝืดคับไม่อาจสวมเข้ากันได้
มือและจิตใจจึงจะสามารถประสานกันพอดี ซึ่งการนี้ไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยวาจาได้
มันมีเคล็ดลับอันลึกซึ้งซ่อนไว้ภายใน ข้าไม่อาจบอกเล่ามันกับบุตรหลานของข้า
ทำให้บุตรหลานของข้าไม่อาจสืบทอดศิลปะวิทยาของข้าได้ ดังนั้น แม้ว่าข้าจะเป็นช่างทำล้อรถ
ซึ่งมีวัยถึง 70 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงต้องลงมือทำล้อด้วยตนเองก็ด้วยเหตุฉะนี้ อันว่าคนโบราณ
และสิ่งที่เขาไม่อาจถ่ายทอดสืบต่อมาได้ ล้วนแต่ตายไปแล้วทั้งสิ้น ดังนั้น ที่ท่านอ่านอยู่นี้
ไยจะมิใช่กากที่เหลือมาจากผู้คนในสมัยโบราณเล่า"

จวงจื่อ
ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ.
จากหนังสือปรัชญานิพนธ์แห่งเมธีจีนโบราณ
สำนักพิมพ์สมิต
เรืองรอง รุ่งรัศมี
แปลและเรียบเรียง

     ดังนั้นเราผู้ศึกษาการลงทุน ควรแยกแยะให้ออกว่าความรู้แบบไหนคือกาก แบบไหนคือ แก่น
อย่างที่ผมว่าปรัชญาความจริงหรือ แก่นแท้ ของการลงทุนนั้น ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไป สถานการณ์จะ
ผันแปลไปอย่างไรนั้น แก่นแท้นี้ ก็จะยังเป็นความจริงอยู่เสมอ ต่างจากกากมันมักจะใช้ดีกับสถานการณ์
ในอดีต หรือ บางสถานการณ์ และไม่มีความแน่นอน อีกอย่างมันมักจะไม่ค่อยมีประโยนช์มากนักที่ควรจดจำมันจริงจัง
หรือ ให้ความสนใจมันว่าจะต้องอย่างไรแบบไหน เพราะวิธีการนั้นมันมักเปลี่ยนไปเสมอตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นับถือ นับถือ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 22 มกราคม 2012, 13:40:13 »

  ช่างเป็นอะไรที่เข้ากับเทศการนี้จริงๆ นะท่าน

ว่างๆ ก็เอาแนวคิดของขงจื้อ เล่าจื้อ มาลงบ้าง

ผมก็เป็นบุคคลนึงที่หลงไหลในวิชาปรัชญาตะวันออก... ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Teanchanapanya
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496



« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 22 มกราคม 2012, 19:05:42 »

ไม่ได้เข้ามาดูนาน ยังมีอะไรดีๆให้ศึกษาตรอด ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

"Ton" SHOP  0846112929 ต้นครับ
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 09:28:00 »

ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความจริง
     จากตัวผมที่ใช้แนวปรัชญาในการนำการลงทุนและในชีวิต  ทุกครั้งที่ผมศึกษาแนวการลงทุนผมมักจะแสวงหาแก่นแท้ของความคิดหรือแนวทางการลงทุนว่ามันคืออะไร เพราะ ปรัชญา คือ ความรู้ที่เป็นหลักแห่งความจริง
ดังนั้น แนวความคิดในการลงทุนที่ผมจะนำมาใช้ต้องเป็นความคิดที่เป็นจริง ไม่ว่าเวลาจะผ่าน สถานการ์จะผันแปล แต่ ความจริงในการลงทุนก็จะคงเป็นแบบนี้เสมอและตลอดไป

     สารจากประธานบริษัทที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ เขียนถึงผู้ถือหุ้นในรายงานประจำปีของเบิร์กไชร์ บทเรียนที่กะทัดรัดและมีพลังจากรายงานปี 1996  
"เป้าหมายของคุณในฐานะนักลงทุนควรจะเป็นเพียงการซื้อในราคาที่สมเหตุผล ในส่วนหนึ่งธุรกิจที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งกำไรค่อนข้างจะแน่นอนเกือบ 100% ว่าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 5,10 และ 20 ปีจากวันนี้เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะพบบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่เข้ามาตรฐานเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อคุนเห็นบริษัทที่มีคุณสมบัติดังกล่าว คุณควรที่จะซื้อหุ้นนั้นในจำนวนที่มีความหมาย"
ไม่ว่าคุณจะมีเงินระดับไหนเพื่อใช้ในการลงทุน ไม่ว่าอุตสาหกรรมหรือบริษัทไหนที่คุณสนใจ คุณไม่สามารถที่จะหาหลักคำสอนที่ดีกว่านี้ได้

โรเบิร์ต แฮกสตรอม
จากหนังสือ The Essential Buffett แก่นแท้ของ บัฟเฟตต์
สำนักพิมพ์ ฟิเดลลิตี้

      เวลาที่นับจากรายงานนี้ปี 1996 จนถึงปัจจุบันก็เกือบ 16 ปีแล้ว ผมเห็นว่าความคิดนี้เป็นหลักความจริงที่ผมจะนำไปใช้ในการลงทุน และ คิดว่าตราบใดที่ยังมีการลงทุนแนวความคิดนี้จะยังคงเป็นความจริงที่อยู่คู่กับการลงทุนไปเสมอในความคิดของผม ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปนานสักเท่าใด สถานการณ์จะแปลผันไปแบบไหน จะยึดมั่นในแนวคิดนี้อย่างมั่นคงจะไม่อ่อนไหวไปกับแนวคิดที่ทำกำไรไม่แน่นอนและไม่มั่นคง

     ราคาหุ้นเราควบคุมไม่ได้ แต่ตัวเราควบคุมได้จงหาหลักยึดให้มั่น จะไม่โดนลงไปลงทุนในธุรกิจที่คุณไม่เข้าใจ เพียงเพราะเห็นว่าราคามันลงมามากแล้ว

บนธรรมวิถีนั้นแสนจะเรียบ
แต่ผู้คนรักจะเหออกทางแยกข้าง
    
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 12:12:24 »

ตอบคุณ  Mutant
     สิ่งที่ผมรับรู้ได้จากการสื่อสารของคุณก็คือ  คุณต้องการบอก  "แก่น"  ในการลงทุนและการใช้ชีวิต  ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณบอกนั้นก็คือ  อยากให้ตัวเราควบคุมรายจ่ายและไม่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย  สะกดกลั้นความอยากไว้ไม่ให้เราต้องเสียเงินไปกับสิ่งที่เห็นว่าไม่จำเป็น  เพื่อที่เราจะได้นำเอาเงินส่วนที่เหลือนั้นมาลงทุนให้ได้เต็มประสิทธิภาพของเงิน  เพื่ออนาคตจะได้มั่งคั่ง  ถูกต้องไหมครับ

     แต่ทีนี้ประเด็นแรกจากกระทู้แรกที่คุณได้นำมาลงนั้นคุณบอกว่าการซื้อบ้านหรือซื้อรถนั้นไม่จำเป็น  อยากให้ทุกคนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน  นำเงินไปลงทุนให้มันงอกออกมาก่อน  ถูกต้องไหมครับ  ตามความเห็นของผมแล้ว  ผมว่าของทุกอย่างเป็นได้ทั้งทรัพย์และหนี้  มีเพียงความรู้ทางการเงินเท่านั้นที่ช่วยตรงจุดนี้ได้  เพราะฉะนั้น  สิ่งที่คุณแนะนำมาว่าอย่าเพิ่งซื้อบ้านและรถนั้น  มันจึงเป็นกฏที่ไม่ตายตัวอย่างที่คุณก็ได้บอกเองว่า  ให้ลงทุนตามถนัด  ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงคุณก็ผิดตรงที่บอกว่าบ้านและรถนั้นไม่จำเป็น  เพราะบางคนอาจจะทำได้ดีกับบ้านและรถ  อันนี้เราน่าจะมีความเห็นที่สอดคล้องกันนะครับ  และอีกประเด็นที่ผมอยากท้วงคุณก็คือ  คุณยกตัวอย่างการลงทุนทบต้น  30  %  มาอ้างอิงเพื่อให้เห็นภาพว่าการทบต้นมันดียังไง  ผมก็เข้าใจนะครับว่ามันเป็นสิ่งที่ดี  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ตัวอย่างที่คุณยกมามันไม่เห็นภาพว่าต้องทำอะไร  ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นจริงไม่ได้  บางคนอาจจะทำได้มากกว่านี้  ผมก็เลยถามคุณไปว่า  แล้วจะแนะนำให้ไปลงทุนในอะไรดีล่ะ  ซึ่งคุณก็บอกว่าตอบไม่ได้  มันแล้วแต่ความถนัด  เมื่อคุณออกมาบอกแนวนี้ก็ทำให้ผมเห็นว่า  มันไม่สอดคล้องกับกระทู้แรกที่คุณได้เอามาลงว่าอย่าซื้อบ้านและรถ  เพราะถ้าเขาถนัดเรื่องบ้าน  และเขาสามารถสร้างผลตอบแทนจากบ้านได้จริง  คุณก็คงจะผิดตั้งแต่กระทู้แรกแล้วล่ะ  ถูกต้องไหมครับ

     และท้ายนี้ผมก็มีความเข้าใจตรงกันกับคุณนั่นแหละว่า  คนเราควรอดออมและนำเงินไปทำให้มันงอกออกมา  ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดีที่ผมเห็นด้วยกับคุณเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งทุกวันนี้ผมก็เป็นอย่างนั้นอยู่  แต่ในท้ายที่สุดแล้ว  ความสุขนั้นก็สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด  ผมว่าถ้าเขาอยากมีบ้าน  เขาก็ควรซื้อบ้าน  ถ้ามันจำเป็นและทำให้มีความสุขนะครับ  ถ้าเราคิดจะประหยัดอย่างเดียวโดยไม่สนใจเรื่องความสุขแล้ว  เราจะมีเงินมากๆไปทำไมกัน  ในเมื่อมีไปแล้วก็ไม่มีความสุข  และบ้านก็ถือเป็นทรัพย์อย่างหนึ่งด้วยเวลาที่เราต้องการเงินหรือนำไปค้ำประกัน  แต่ถ้าเป็นหุ้นแล้วมันไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะยังอยู่ที่ราคานั้นตลอดไป  เพราะฉะนั้นการลงทุนในหุ้นก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน  หวังว่าเราคงจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันนะครับ  เพราะคุณก็เป็นคนหนึ่งที่มีความรู้มากมาย  ดีใจที่ได้รู้จักและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 12:42:26 »

ขอบคุณท่านวายุมากครับ และน้อมรับมิตรภาพที่ดีครับ
IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 13:03:53 »

บทที่ 9 เต๋าเต็กเก็ง

ดำรงอนุรักษ์ให้สมบูรณ์          มิสู้ปล่อยวางไว้อย่างนั้น
ลับคมให้คมจนกริบคม           ก็มิอาจจะคงคมไว้ได้นาน
ทองคำรัตนชาติเต็มหอห้อง     มิอาจจ้องคุมอยู่ตลอดกาล
มีทรัพย์ล้นสง่าศรีสูงศักดิ์        ก็อาจจักนำภัยมาสู่ตน
เสร็จการแล้วปลีกตัวออกห่าง   นั้นแลคือวิถีแห่งโลกหล้า

อ่านเต๋าบทนี้ทีไร ได้แต่ถอดทอนใจรู้ว่าความจริงมันเป็นเช่นไร แต่ต้องทำเพราะยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ลูกคนนี้จะขอตอบแทนพระคุณ 2 ท่านให้ท่านได้อยู่สุขสบาย เมื่อเสร็จการนี้แล้วจะขอปลีกตัวออกห่างจากสังคมที่วุ่นวาย
IP : บันทึกการเข้า
11lee
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 495


« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 18:22:26 »

 
     อยากสอบถามคุณ  11lee  นิดหนึ่งนะครับว่า  กำไร  200  %  ต่อเดือนนี่ขายอะไรครับ  ทุกวันนี้ผมก็ค้าขายเหมือนกัน  แต่เท่าที่คำนวณแล้วก็ยังไม่ถึง  2  เท่าตัวเลย  ที่ถามนี่สนใจนะครับ  ไม่ใช่กวน

     ส่วนเรื่องการลงทุนนั้น  อันนั้นมันเป็นอาชีพของเงินเฉยๆน่ะครับ  ถ้าเราสามารถทำให้มันงอกออกมาได้มากกว่าการฝากเงินธรรมดา  แต่เจ้าของกระทู้ท่านทฤษฏีมากไปหน่อย  ท่านคำนวณแบบทบต้นมากเกินไป  ซึ่งจากประสบการณ์ของผม  ผลตอบแทนแบบนั้นมันไม่สามารถคาดการณ์ได้หรอกครับ  ผมก็เลยถามท่านไปว่าให้แนะนำการลงทุนให้หน่อยได้ไหม  แต่ท่านก็หายไปเลย
สวัสดีครับท่านวายุและทุกท่าน ที่กระผมว่ากำไร 200% ต่อเดือนนี่ผมเทียบจากเงินลงทุนครับ ถ้าเราขายซาลาเปาใช้ทุนต่อวัน 2000 บาท กำไรวันละ 200 บาท เดือนนึงได้กำไร 6000 บาท ต่อเงินหมุนเวียน 2000 บาท ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า แต่ถ้าพ่อค้าซาลาเปามีเงิน 2 ล้านบาท ผมคิดว่าเค้าก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรให้งอกออกมา 200% ได้หรอกครับ (ความถนัดมันต่างกัน)
ส่วนตัวอาชีพผมก็ค้าขายครับ ผมมาอยู่เชียงรายเข้า 13 ปีนี้ครับ มาด้วยเงิน 1700 บาท งานแรกที่ทำที่เชียงรายวันละ 120 บาท ต้นทุนผมต่ำครับผมถือว่าที่ได้มาเกิน 1700 คือกำไร เพราะบางคนเป็นลูกจ้างมา 10 ปีทุกอย่างยังเหมือนเดิม (อาจได้รถเครื่องใหม่)

IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2012, 21:31:56 »

ตอบคุณ  11lee
     ผมว่าคุณใช้ตัวเลขไม่ถูกน่ะครับ  คุณน่าจะบอกว่า  กำไร  10  %  ของเงินลงทุนน่าจะเหมาะกว่า  นี่ผมเกือบหลวมตัวไปขายซาลาเปาแล้วนะ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
11lee
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 495


« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 05:30:58 »

 ผมคิดว่าเงินลงทุนก้อนเท่าเดิม(หมุนเวียน) กำไรเดือนละ 30 รอบ เพราะบางท่านรับผลประโยชน์เป็นรายเดือนหรือรายปีครับ ผมขอโทษที่ทำให้ท่านเข้าใจผิดครับ ผมคิดว่าคนเราชอบคิดผลตอบแทนเป็นเดือนครับ เลยเฉลี่ยเป็นเดือนครับ งั้นผมคงต้องไปประเมินรายได้ผมใหม่ครับ ผมขายของ(ขายส่งอุปกรณ์ก่อสร้าง)กำไร 4-6% ต่อวันหักค่าน้ำมันแล้ว/เงินลงทุนก้อนเดิม อาทิตย์นึงผมส่งของ 11 เที่ยว ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน(คิดกำไรทุกวัน) แต่ผมสรุปยอดทุกสิ้นเดือนว่ายอดขายเดือนนี้เท่าไหร่กำไรเท่าไหร่คิดเป็นกี่%ของยอดขาย แต่ผมใช้ทุนก้อนเดิม(ซื้อสดขายสด) ท่านคิดว่าผมน่าจะคิดว่าตัวเองมีรายได้จากเงินก้อนเดิมหรือจากยอดขายครับ...


IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 12:27:48 »

เสี่ยง

   พูดถึงความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นนั้นหลายๆท่านก็คงบอกว่ามันมีความเสี่ยงสูงเพราะราคามันขึ้นลงไม่แน่นอน ดังนั้นคนเราส่วนใหญ่จึงพุ่งเป้าไปที่ราคาของตัวหุ้นและคิดว่านั้นแหละคือความเสี่ยงสำคัญ
แต่ในมุมมองหนึ่งทำให้ผมได้คบคิด เข้าบอกว่า "ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของราคาแต่อยู่ที่การคำนวณมูลค่าที่แท้จริงผิดพลาด"  
   ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะลงทุนนั้นควรให้ความสำคัญไปที่ตัวธุรกิจที่จะลงทุนเป็นอันดับแรกศึกษาตัวธุรกิจให้เข้าใจ แล้วค่อยดูราคา
บางทีเส้นแบ่งระหว่างการลงทุนกับการเก็งกำไรก็เป้นเส้นบาง ๆ  แยกแยะให้ออกว่าอันไหนสำคัญกว่ากัน
   นิยามการลงทุนและการเก็งกำไรของ เกรแฮม
"การลงทุนที่แท้จริงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจะสามารถรักษาเงินต้นให้ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ อะไรที่น้อยกว่านี้คือการเก็งกำไร"
   ดังนั้นก่อนที่เราจะลงทุนอะไรนั้นควรคิดวิเคราะห์ให้ดีทำความเข้าใจกับตัวธุรกิจ ถ้าเราเห็นว่าเป็นธุรกิจที่เราเข้าใจแล้วและมีกำไรแน่นอนและจะเติบโตในอนาคต จึงค่อยดูว่าราคานั้นเหมาะสมหรือไม่ที่จะซื้อ ถ้าราคาไม่เหมาะสมก็จงรอและอดทน
"วิธีที่ดีที่สุดที่จะตีโฮมรัน คือ อย่าตีทุกครั้ง จงรอลูกที่สวยที่สุด วิธีที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะตลาด คือ อย่าเก็บหุ้นเป็นร้อยๆตัว จงรอโอกาสที่โดดเด่นเพียงไม่กี่ตัว"
   พูดถึงการวิเคราะห์มูลค่าธุรกิจมันก็แปลก เหมือนที่ ปีเตอร์ ลินซ์ พูดอยู่เสมอว่า คนจะวิเคราะห์ในการซื้อตู้เย็นราคา 1,000 เหรียญ มากกว่าที่เขาจะทำก่อนเขาจะใช้เงิน 10,000 เหรียญในตัวหุ้น
ดังนั้นความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นที่สำคัญมันมักจะไม่ได้เกิดมาจากราคาของหุ้น แต่มันมักจะมาจากตัวเราเองที่ขาดหลักความรู้ความเข้าใจในการลงทุนและขาดวินัยที่จะไม่ข้ามเส้นแบ่งระหว่างการลงทุนและการเก็งกำไร
 
เหมือนหนึ่งในบทความของเต๋า ที่ว่า "บนธรรมวิถีนั้นแสนจะเรียบ แต่ผู้คนรักจะเหออกทางแยกข้าง" เมื่อเปรียบกับการลงทุนก็เหมือนกับมีคนบอกทางให้คุณว่าเดินทางไปตามเส้นตรงนี้นะแล้วคุณจะเจอจุดหมาย แต่ในระหว่างทางคุณก็ไม่สามารถจะควบคุมตัวเองได้ที่จะเดินไปตรงๆจึงหาทางลัดเพื่อจะให้เร็วขึ้นแต่ทางนั้นคุณไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบไหนไม่สามารถคาดเดาได้ บางทีโชคดีหน่อยอาจจะทำให้ไปถึงจุดหมายเร็วขึ้น บางคนโชคร้ายติดกับวนเวียนหาทางออกไม่เจอ
ดังนั้นจงอย่าเสี่ยงโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 24 มกราคม 2012, 12:30:13 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2012, 15:30:31 »

ผมคิดว่าเงินลงทุนก้อนเท่าเดิม(หมุนเวียน) กำไรเดือนละ 30 รอบ เพราะบางท่านรับผลประโยชน์เป็นรายเดือนหรือรายปีครับ ผมขอโทษที่ทำให้ท่านเข้าใจผิดครับ ผมคิดว่าคนเราชอบคิดผลตอบแทนเป็นเดือนครับ เลยเฉลี่ยเป็นเดือนครับ งั้นผมคงต้องไปประเมินรายได้ผมใหม่ครับ ผมขายของ(ขายส่งอุปกรณ์ก่อสร้าง)กำไร 4-6% ต่อวันหักค่าน้ำมันแล้ว/เงินลงทุนก้อนเดิม อาทิตย์นึงผมส่งของ 11 เที่ยว ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน(คิดกำไรทุกวัน) แต่ผมสรุปยอดทุกสิ้นเดือนว่ายอดขายเดือนนี้เท่าไหร่กำไรเท่าไหร่คิดเป็นกี่%ของยอดขาย แต่ผมใช้ทุนก้อนเดิม(ซื้อสดขายสด) ท่านคิดว่าผมน่าจะคิดว่าตัวเองมีรายได้จากเงินก้อนเดิมหรือจากยอดขายครับ...




สงสัยผมตอบไม่ชัดเจน  คำตอบที่ผมควรตอบก็คือกำไรต่อครั้งครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
~pong03~
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 899



« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 25 มกราคม 2012, 07:32:16 »

กาก

ฉีเหิงกงนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถง หลุนเปี่ยนกำลังเหลาไม้ทำล้อรถ
อยู่ในห้องโถง เขาวางเครื่องมือที่ใช้ทำล้อลงแล้วเดินเข้าไปถามฉีเหิงกงที่ใน
ห้องโถงว่า "ผู้น้อยขอหาญถามว่า ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นั้นบอกกล่าวสิ่งใดไว้บ้าง"

     ฉีเหิงกงตอบว่า "เป็นถ้อยคำของเมธี"
     หลุนเปี่ยนถามว่า "เมธีนั้นยังมีชีวิตอยู่ไหม"
     ฉีเหิงกงตอบว่า "เสียชีวิตไปแล้ว"
     หลุนเปี่ยนกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ท่านอ่านก็เป็นแต่เพียงกากของคนโบราณ"

     ฉีเหิงกงกล่าวว่า "ข้าอ่านหนังสือ คนทำล้ออย่างท่านไยจึงหาญมา
วิพากษ์วิจารณ์ หากมีเหตุผล ข้าจะอภัยโทษให้ แต่หากว่าท่านกล่าวไปโดย
ไร้เหตุผล ข้าก็จะสั่งลงโทษประหารชีวิตเสีย"
     หลุนเปี่ยนกล่าวว่า "ข้าจะเปรียบเทียบจากงานที่ข้าทำ อันศิลปะใน
การทำล้อนั้น หากเหลาเดือยนานไป ก็จะทำให้หลวมโพรก ไม่แน่นหนาแข็งแรง
เมื่อสวมกับล้อ แต่หากเหลาเดือยเร็วก็จะทำให้เดือยฝืดคับไม่อาจสวมเข้ากันได้
มือและจิตใจจึงจะสามารถประสานกันพอดี ซึ่งการนี้ไม่อาจอธิบายด้วยถ้อยวาจาได้
มันมีเคล็ดลับอันลึกซึ้งซ่อนไว้ภายใน ข้าไม่อาจบอกเล่ามันกับบุตรหลานของข้า
ทำให้บุตรหลานของข้าไม่อาจสืบทอดศิลปะวิทยาของข้าได้ ดังนั้น แม้ว่าข้าจะเป็นช่างทำล้อรถ
ซึ่งมีวัยถึง 70 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงต้องลงมือทำล้อด้วยตนเองก็ด้วยเหตุฉะนี้ อันว่าคนโบราณ
และสิ่งที่เขาไม่อาจถ่ายทอดสืบต่อมาได้ ล้วนแต่ตายไปแล้วทั้งสิ้น ดังนั้น ที่ท่านอ่านอยู่นี้
ไยจะมิใช่กากที่เหลือมาจากผู้คนในสมัยโบราณเล่า"

จวงจื่อ
ประมาณ 300 ปีก่อน ค.ศ.
จากหนังสือปรัชญานิพนธ์แห่งเมธีจีนโบราณ
สำนักพิมพ์สมิต
เรืองรอง รุ่งรัศมี
แปลและเรียบเรียง

     ดังนั้นเราผู้ศึกษาการลงทุน ควรแยกแยะให้ออกว่าความรู้แบบไหนคือกาก แบบไหนคือ แก่น
อย่างที่ผมว่าปรัชญาความจริงหรือ แก่นแท้ ของการลงทุนนั้น ถึงแม้เวลาจะเปลี่ยนไป สถานการณ์จะ
ผันแปลไปอย่างไรนั้น แก่นแท้นี้ ก็จะยังเป็นความจริงอยู่เสมอ ต่างจากกากมันมักจะใช้ดีกับสถานการณ์
ในอดีต หรือ บางสถานการณ์ และไม่มีความแน่นอน อีกอย่างมันมักจะไม่ค่อยมีประโยนช์มากนักที่ควรจดจำมันจริงจัง
หรือ ให้ความสนใจมันว่าจะต้องอย่างไรแบบไหน เพราะวิธีการนั้นมันมักเปลี่ยนไปเสมอตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นับถือ นับถือ  ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
ข้อนี้ผมเห็นด้วยนะครับ อย่าเอาตำราเล่มใดเล่มหนึ่งมายึดเหนี่ยว
เป็นกฎเกณฑ์ เพราะภาคทฤษฏี มันยังมีช่องโหว่เล็กๆที่มองไม่เห็น ชึ่งต่างกับภาคปฏิบัติ
โดยสิ้นเชิง และ ซึ่งภาคปฏิบัติ เราจะต้องทำเอง ทดลองเอง และชอบสิ่งๆนั้น
จะสำเร็จหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะสู้หรือจะถอย และหาวิธี จะสู้แบบไหน และยอมรับในสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงเสมอที่จะเกิดขึ้นเกิดกับตัวเรา และจดบันทึก เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เราได้รับรู้ว่า สิ่งที่เราทำมันเดินทางถูกหรือไม่ ส่วนตำราเล่มอื่นๆ ก็สมควรนำมาอ่าน อ่านเพื่อเป็นแนวทาง อ่านเพื่อเป็นองค์ประกอบในบางจุด ในเชิงปฏิบัติของเราเอง แต่อย่านำมาเป็นจุดยึดเหนี่ยว หากนำมาเป็นจุดยึดเหนี่ยว เราก็จะได้เพียง คำตอบแต่ไม่ตรงกับโจทย์คำถาม
ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

Facebook -https://www.facebook.com/pin.manora
Line Pin manora
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 25 มกราคม 2012, 13:15:51 »

กลยุทธ์ม้าแข่ง
   รัฐฉีมีกีฬายอดนิยม คือ แข่งม้า ฉีเวยอ๋องโปรดปรานการแข่งม้ามาก จึงมักจัดให้มีการประลองฝีเท้าอยู่เสมอ
เถียนจี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ก็มีม้าแข่งฝีเท้าดีอยู่หลายตัว ก็นำไปแข่งกับม้าของฉีเวยอ๋องเสมอ และมักเป็นฝ่ายแพ้
ครั้งล่าสุดก่อนที่เถียนจี้จะได้ซุนปินมาเป็นที่ปรึกษา เถียนจี้เสียพนันม้าแข่งให้แก่ฉีเวยอ๋องไป 500 ตำลึง
   ซุนปินเมื่อมาเป็นที่ปรึกษาของเถียนจี้ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะได้ไปไหน เพราะ พิการไม่มีขา จึงให้คนหามไปดูม้าแข่งของเถียนจี้
ซุนปินพิจารณาม้าแข่งแล้ว จึงแนะนำให้เถียนจี้ไปท้าพนันกับฉีเวยอ๋อง โดยรับรองว่าจะต้องชนะแน่ และให้เพิ่มเงินรางวัลเป็น 1000 ตำลึง
   ซุนปินบอกให้เถียนจี้ทูลเสนอกติกาในการแข่งขันคราวนี้ โดยให้จัดแข่งม้าเป็น 3 เที่ยว ฝ่ายใดชนะ 2 ใน 3 จึงเป็นผู้ชนะ
เถียนจี้ไม่แน่ใจนักว่าจะชนะ เพราะแพ้มาตลอด แต่ก็คิดว่า "ถ้าชนะได้เงินพนัน แต่ถ้าแพ้ก็ได้น้ำใจนาย"
   ฉีเวยอ๋องเห็นหมูมาท้าแข่งม้าอีก จึงรีบตอบรับทันที การแข่งม้าจึงเริ่มขึ้น

เที่ยวที่ 1 ซุนปินจัดม้าระดับ C ลงแข่งกับม้าระดับ A ของฉีเวยอ๋อง ผลปรากฏว่าม้าของฉีเวยอ๋อง ชนะไป 1 ครั้ง
เที่ยวที่ 2 ซุนปินจัดม้าระดับ A ลงแข่งกับม้าระดับ B ของฉีเวยอ๋อง ผลปรากฏว่าม้าของเถียนจี้ ชนะไป 1 ครั้ง
เที่ยวที่ 3 ซุนปินจัดม้าระดับ B ลงแข่งกับม้าระดับ C ของฉีเวยอ๋อง ผลปรากฏว่าม้าของเถียนจี้ ชนะไป 1 ครั้ง

ผลสรุป ม้าของเถ้ยนจี้ชนะ 2 ใน 3 จึงเป็นผู้ชนะจึงได้รับเงินรางวัล 1000 ตำลึงไป

   ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทั้งสองฝ่ายมีม้าที่เหมือนกันคือ ม้า ระดับ A B C แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างและทำให้ได้เปรียบจนชนะคู่แข่งได้ คือ กลยุทธ์
กลยุทธ์ที่จะเป็นกลยุทธที่ดีได้ก็ต้องกลั่นกรองมาจากการคิดวิเคราะห์ที่ดีอย่างรอบคอบแล้วว่ามีโอกาสชนะมากกว่าแพ้
   ในความคิดผมนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน หรือ การใช้ชีวิต ถ้าเรามีการวางแผนที่ดีแล้วก็จะทำให้เรามีโอกาสเป็นผู้ชนะมากกว่าแพ้ โดยแผนที่ดีก็ต้องมาจาก
การคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ เราจะได้ไม่ติดกับดักที่เราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองโดยไม่มีการคิดวิเคราะห์วางแผนให้ดี
   

IP : บันทึกการเข้า
Mutant
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 101


คนรักไก่ไข่


« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 02:12:06 »

เลือกหุ้นที่สัมผัสได้ใกล้ตัวเราและเข้าใจง่าย
     คุณลองสำรวจรอบๆตัวคุณดูว่าในชิวิตประจำวันมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่คุณใช้อยู่ และบริการอะไรที่คุณใช้อยู่เสมอ คุณอาจจะพบบริษัทหรือกิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคุณอย่างไม่รู้ตัว เผลอๆบางคนก็อาจทำงานในบริษัทนั้นอยู่ก็ได้
     มันคงจะดีกว่าถ้าเราได้เป็นเจ้าของกิจการที่เราทำงานอยู่ ก็เหมือนกับว่าทุกหยาดเงื่อที่เราทุ่มเทไปก็เพื่อสร้างมูลค่าให้กับเราและองค์กรด้วยเราก็จะทำงานอย่างมีความสุข และเราก็เข้าใจด้วยว่ากิจการมีการทำงานแบบไหนคือเราสามารถเข้าใจในตัวธุรกิจได้ดีเพราะสัมผัสมันได้(สำหรับคนที่บังเอิญทำงานในกิจการนั้นไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปทำงานบริษัทที่คุณจะซื้อหุ้นนะครับ)
     อีกมุมหนึ่งการที่เราเป็นเจ้าของกิจการที่เราใช้บริการหรือใช้ผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำนั้น เราก็จะมีความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเรายังสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจนั้นได้ในระดับหนึ่ง เช่น เราสังเกตุว่ากิจการมีการให้บริการเป็นแบบไหน ดีรึป่าว มีคนใช้บริการเยอะไหม ส่วนใหญ่เป็นคนเพศไหนวัยไหนเป็นต้น ถึงไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ทำให้เราเห็นการดำเนินงานของกิจการที่เราสนใจจะลงทุนได้ดีในระดับหนึ่ง
    และอีกทางหนึ่งหากว่าคุณเป็นเจ้ากิจการที่คุณใช้บริการอยู่คุณก็สามารสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่คุณเป็นเจ้าของกิจการอยู่ เช่น แนะนำสินค้าและบริการให้กับคนไกล้ตัวคุณและเพื่อนคุณใช้ เพราะตัวคุณเองก็ใช้และคุณรู้ว่ามันดีตรงไหน หรือเรียกว่ามีความเข้าใจ ก็สามารถแนะนำได้ดี และอีกอย่างคุณต้องมองว่านี่คือบริษัทที่เราเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของกิจการอยู่  เมื่อมีคนใช้บริการมากขึ้น บริษัทก็ได้กำไรมากขึ้น คุณในฐานะของผู้ถือหุ้นก็ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น หากนักลงทุนส่วนใหญ่ช่วยกันสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่คุณลงทุนกันแบบนี้ทุกคนคุณลองคิดดูว่า กิจการหรือตัวคุณก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว
     ดังนั้นสำหรับคนที่คิดซื้อหุ้นแค่เก็งกำไรก็คงจะไม่ได้นึกถึงจุดนี้  ส่วนตัวผมแล้ว ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นนักลงทุน และเป็นนักลงทุนที่ดี ที่ต้องช่วยกันสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่เราต้องการเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่ บัฟเฟต บอกว่า การเลือกหุ้นเหมือนการเลือกคู่ชีวิต ว่าเราจะสามารถอยู่กับธุรกิจนั้นไปได้ตลอดชีวิต ดั้งนั้นธุรกิจที่เราเลือกต้องมีอนาคตสดใสสามารถอยู่ต่อไปได้อีกนานและมั่นคง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 02:17:42 โดย Mutant » IP : บันทึกการเข้า
:i3abyzeed::
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


086-440-8577


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 02:43:22 »

เลือกหุ้นที่สัมผัสได้ใกล้ตัวเราและเข้าใจง่าย
     คุณลองสำรวจรอบๆตัวคุณดูว่าในชิวิตประจำวันมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่คุณใช้อยู่ และบริการอะไรที่คุณใช้อยู่เสมอ คุณอาจจะพบบริษัทหรือกิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคุณอย่างไม่รู้ตัว เผลอๆบางคนก็อาจทำงานในบริษัทนั้นอยู่ก็ได้
     มันคงจะดีกว่าถ้าเราได้เป็นเจ้าของกิจการที่เราทำงานอยู่ ก็เหมือนกับว่าทุกหยาดเงื่อที่เราทุ่มเทไปก็เพื่อสร้างมูลค่าให้กับเราและองค์กรด้วยเราก็จะทำงานอย่างมีความสุข และเราก็เข้าใจด้วยว่ากิจการมีการทำงานแบบไหนคือเราสามารถเข้าใจในตัวธุรกิจได้ดีเพราะสัมผัสมันได้(สำหรับคนที่บังเอิญทำงานในกิจการนั้นไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปทำงานบริษัทที่คุณจะซื้อหุ้นนะครับ)
     อีกมุมหนึ่งการที่เราเป็นเจ้าของกิจการที่เราใช้บริการหรือใช้ผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำนั้น เราก็จะมีความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจและผลิตภัณฑ์ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเรายังสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจนั้นได้ในระดับหนึ่ง เช่น เราสังเกตุว่ากิจการมีการให้บริการเป็นแบบไหน ดีรึป่าว มีคนใช้บริการเยอะไหม ส่วนใหญ่เป็นคนเพศไหนวัยไหนเป็นต้น ถึงไม่ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดก็ตาม แต่ก็ทำให้เราเห็นการดำเนินงานของกิจการที่เราสนใจจะลงทุนได้ดีในระดับหนึ่ง
    และอีกทางหนึ่งหากว่าคุณเป็นเจ้ากิจการที่คุณใช้บริการอยู่คุณก็สามารสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่คุณเป็นเจ้าของกิจการอยู่ เช่น แนะนำสินค้าและบริการให้กับคนไกล้ตัวคุณและเพื่อนคุณใช้ เพราะตัวคุณเองก็ใช้และคุณรู้ว่ามันดีตรงไหน หรือเรียกว่ามีความเข้าใจ ก็สามารถแนะนำได้ดี และอีกอย่างคุณต้องมองว่านี่คือบริษัทที่เราเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าของกิจการอยู่  เมื่อมีคนใช้บริการมากขึ้น บริษัทก็ได้กำไรมากขึ้น คุณในฐานะของผู้ถือหุ้นก็ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น หากนักลงทุนส่วนใหญ่ช่วยกันสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่คุณลงทุนกันแบบนี้ทุกคนคุณลองคิดดูว่า กิจการหรือตัวคุณก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารเพียงอย่างเดียว
     ดังนั้นสำหรับคนที่คิดซื้อหุ้นแค่เก็งกำไรก็คงจะไม่ได้นึกถึงจุดนี้  ส่วนตัวผมแล้ว ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นนักลงทุน และเป็นนักลงทุนที่ดี ที่ต้องช่วยกันสร้างมูลค่าให้กับกิจการที่เราต้องการเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนกับที่ บัฟเฟต บอกว่า การเลือกหุ้นเหมือนการเลือกคู่ชีวิต ว่าเราจะสามารถอยู่กับธุรกิจนั้นไปได้ตลอดชีวิต ดั้งนั้นธุรกิจที่เราเลือกต้องมีอนาคตสดใสสามารถอยู่ต่อไปได้อีกนานและมั่นคง

กด Like!!  โดนใจ...เพราะเป็นวิธีการเลือกหุ้นที่ใช้มาหลายปี

ปล. เรียบง่าย แต่ได้ผลดีชะมัด

อ่านแล้วก็พาลทำให้นึกไปถึงตอนที่รีบไปหาซื้อชาเขียวโออิชิมาชิมใหม่ๆ ...ช่างหอมหวานชื่นใจยิ่งนัก... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า

สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #56 เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2012, 21:17:54 »

อ่านๆ ดูแล้วมันครึกครื่น คึกคักยังไงไม่รู้ วันพรุ่ง จะไปวางป้าย "เซ้ง ร้าน" ขายขนมครกหน้าตลาด เอาเงินไปลงทุนในหุ้น เพื่ออีก 10 ปีข้างหน้าจะได้มีเงิน 100 ล้านกับเค้าบ้าง

ถ้ามีเงิน 100 ่ล้าน ใน 10 ปี ข้างหน้า จะขอขึ้นรถไฟเสียงตังกับเค้าบ้างเนาะ....เออ..!  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
kalahari
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 02:29:00 »

ในความรู้สึกของเรา เจ้าของกระทู้ คงจะหมายความถึง กับดักชีวิต ของการเริ่มต้นชีวิตหรือเปล่า หรือพูดง่ายๆก็คือ การเริ่มต้นดำเนินชีวิต หรืออีกในหนึ่งก็คือการเริ่มทำงาน ถ้าติดกับดักสามอย่าง ในเวลาที่ไม่เหมาะสม
เช่น
1.รถยนต์ ในภาวะทางอารมณ์ สังคม และ อะไรหลายๆๆอย่าง ของเด็กที่เพิ่งเรียน จบมาใหม่ๆๆ เหมือนที่ เจ้าของกระทู้พูดถึง สิ่งแรก ที่ต้องการที่ของคนในกลุ่มและวัยนี้คือรถยนต์ สตารท์ทำงานเงินเดือน 8500 บาท (สมมุติ)ผ่อนรถแน่นอน แถมไม่พอเหลือใช้แล้ว บางคน อยู่บ้านพ่อแม่ก็ คิดว่าเงินแค่นี้ สบาย ผ่อนรถรุ่นเล็กก็ยังเหลือเงินเติมน้ำมันกินข้าว แต่ในความเป็นจิง มันก็ไม่ค่อยพอเท่าไหร่หรอก ในระยะยาวมันจะทำให้เราไม่มีเงินเก็บ กว่าจะผ่อนรถหมดก็ปาไป ห้าปี อายุก็25 อย่างต่ำเข้าไปละ มันเลยเสียจังหวะหนึ่งของการ เป็นคนรวยไป
(ประสบการณ์) มีเพื่อนได้เงินเดือน12000บาท บ้านไม่ต้อง ซื้อรถ รุ่นxxxx ขนาด1.6 ผ่อนเดือนละ 8000นิดๆๆ เหลือ4000 ค่าน้ำมัน ไปกลับทำงาน มันก็แทบจะไม่พอแล้ว กลายเป็นว่า มันคือรถ ภาระ ที่หนักเอาการ สุดท้ายก็ต้องจอดทิ้งไว้ที่บ้าน ขึ้นรถเมย์ไปทำงานเหมือนเดิม เพราะงั้น มันคงหมายถึงว่า ยังไม่ถึงวัยที่ควรจะซื้อรถ
2.บ้าน
ฟังดูก็คงดูออกว่ามันก็คงหมายถึงที่อยู่อาศัย เห็นข้อนี้คนคอมเม้นกันมากมาย ในส่วนตัวบ้าน มันต้องมาให้ถูกเวลาและความเหมาะสม ถ้าสมมุติอย่างที่ มีคนยกตัวอย่าง บอกว่าเช่าอยู่ก็แพงซื้อเลยดีกว่า มันก็คุ้ม เพิ่มมานิดหน่อยก็ถือว่าได้บ้านสุดท้ายก็ยังได้บ้าน ไม่พอใจก็ขายได้ราคาด้วย อีกคนก็บอกว่าไปทำงานในที่ต่างแดน ซึ่งเงินเดือนก็อาจจะพอที่จะสามารถซื้อได้ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องกลับมาทำงานยังถิ่นที่ตัวเองเลือกใหม่ จะขายก็ขายไมไ่ด้จะเช่าก็ไม่อยากให้เช่า มันเลยเป็นภาระผูกพัน เพราะบ้านมันไมไ่ด้ซือ้แค่ปีสองปีบางคนผ่อนกันยาวนาน สามสิบปี ซื้อแล้วไม่ใช่ว่าจะขายได้เลยวันนี้พรุ่งนี้ การเลือกบ้านก็จะมีหลายองค์ประกอบ ทำเล หรือจังหวัด หรือ ฮวงจุ๋ย อะไรก็แล้วแต่ มันคือองค์ประกอบทั้งนั้น แต่ในที่นี้ต้องสนใจที่ความคุ้มทุน หรือ ภาระ ความเหมาะสมของความจำเป็น อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า การซื้อบ้านก็เหมือนกานลงทุน ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ซื้อในราคาที่เหมาะสม ขายในเวลาที่สมควร (แต่เป็นการเกงกำไรที่ยาวนานมากกกก ) เพราะงั้นเจ้าของกระทู้ คงอยากจะสือว่า ถ้าหากพลาดซื้อผิดที่ผิดเวลา มันจะทำให้เราขาดต่อช่วง ของการเป็นคนรวยได้เช่นเดียวกัน เพราะงั้นการลงทุนซื้อบ้านก็ต้องแล้วแต่ละบุคคล ดูสถาณการณ์ รายได้และอนาคตไปด้วย ว่ามันคุ้มไหม ที่จะเสี่ยงกับมันตั้ง30ปี
3.ลูก
มีคนเคยบอกว่า มีลูกก็เหมือนจนไป25ปี (ส่งเรียน จน20พอเรียนจบ ซื้อรถเงินไม่พอขอพ่อแม่เพิ่ม5ปี ผ่อนรถหมด พ่อแม่ถึงสบายได้ เหมือนวัฐจักรเลย)
ลูก ในส่วนตัวคิดว่ามันก็เป็นกับดักชีวิตเหมือนกัน แต่...การมีลูกก็คือการมีครอบครัว เพราะงั้น มันไม่ได้แปลว่า เราจะต้องรับภาระเพียงคนเดียว แต่ถ้าเราเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่เสียจังหวะชีวิตไป กับสองสิ่งแล้วไม่ส่งผลดี ลูกก็คงเป็นกับดักชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคุณเหนื่อยล้าอย่างมากมาย การมีลูกไม่เหมือนบ้านกับรถที่ไม่พอใจก็ขายก็ทิ้งได้ แต่ลูกเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เราไม่สามารถทอดทิ้งได้ มันเป็นอะไรที่เราต้องทุ่มเทและสร้างมันมากมาย แต่มันก็ไม่เชิงที่จะเป็นกับดักชีวิตที่เลวร้ายมากมายเหมืิอนสองสิ่งแรกนักเพราะ สมัยนี้เรียนก็ฟรี แถมนมด้วย ค่าใช่จ่ายเรื่องลูก มันน่าจะน้อยกว่าการผ่อนกับรถด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเราเลือกให้เหมาะสมกับฐานะ
(ประสบการณ์)มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นลูกคุณนางเก่า ขอยกตัวอย่างแค่นามสกุลนะคะ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ท่าเรียนจบการศึกษาจากเมืองนอก ผ่านช่วงเวลาที่แสนสบายมาตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าประสบณ์ความสำเร็จมากมาย พ่อถึงจุดหนึุ่งที่ท่านต้องลงสู่ทุนเดิม คือความไม่มี ท่านก็สามารถดำรงชีวิตอย่างสมาถะ (อยู่ตึกแถวเก่า)ท่านให้ลูกชายของท่านเรียน รรวัด ย้ำ รรวัดธรรมดาๆ แต่ทุกเย็นท่านจะพร่ำสอน อบรม สังสอน ลูกของท่าน เด็กแค่ประถม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ฉะฉาน กวาดบ้านได้สะอาดสะอ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน ปรนนิบัติพ่อเขาได้อย่างน่าชื่นชม เรียนคุณพ่อคุณแม่ ทุกคน เป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่งเลยละ
ในส่วนตัว เรื่องลูก และเวลา มันคงอยู่ที่ตัวบุคคลว่าสามารถแยกแยะและแบ่งเวลาได้มากน้อยเเค่ไหน ลูกคงไม่ทำให้เราจนลงได้หรอก ถ้าหากแล้วขาดความขยัน และความอดทน และมีใจที่จะสู้ มองโลกในแง่ดี

การลงทุนมีความเสี่ยง การใช้ชีวิตก็คือความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะงั้นกับดักชีวิตของทุกคนมันก็คือความเสี่ยง ที่กล้าลงทุนหรือเปล่า

อิอิไมไ่ด้ป่วนนะคะ แค่อยากแชร์บ้าง ในส่วนของความคิดผู้หญิงนะคร้าาา
IP : บันทึกการเข้า
kalahari
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 02:35:21 »

อ้อลืมไป ต้องถามตัวเองด้วยนะคะ ว่าทำอะไรลงไป มันคุ้ม หรือเปล่า ถูกป๊ะคะ หนุ่มๆๆ
IP : บันทึกการเข้า
:i3abyzeed::
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


086-440-8577


« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 04:02:43 »

รถยนต์,มอเตอร์ไซด์,บ้าน,ธุรกิจ ฯลฯ

หรืออะไรก็ตามที่เรามีภาระผูกพันธ์ ต้องควักเงินออกจากกระเป๋า "เรา" เพื่อที่จะต้องจ่ายไป ในทุกๆสิ้นเดือน ในมุมมองส่วนตัว ผมเรียกสิ่งต่างๆเหล่านี้ว่า = หนี้สิน

แต่ถ้าหากสิ่งต่างๆที่กล่าวไปเหล่านี้ แม้จะอยู่ในสภาพ "หนี้สิน" แต่ถ้าหากมันสามารถที่จะนำพาและสร้างรายได้ให้กับเราได้ ( ทั้งทางตรง/ทางอ้อม )

หนี้สินเหล่านั้นก็จะอยู่ในสถานะ "หนี้ดี" ที่สมควรมี... ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับ "หนี้เลว"

ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจ

มอเตอร์ไซด์ ( กับดักชิ้นแรกๆ ) :

มอเตอร์ไซด์เด็กแว๊นซ์ อ้อนแม่ดาวน์ถูกออกมา เอามาขี่เล่นกวนเมืองอวดสาวไปวันๆ = หนี้เลว

แต่ถ้ามอเตอร์ไซด์(คันเดียวกัน) เอาไปใช้สมัครงานเป็นพนักงานส่งพิซซ่า,ไก่ทอด ได้เงินเดือน 4,500 ( หักค่าผ่อนรถ 2,000 ค่าใช้จ่ายต่างๆ 500 ...มีเงินเหลือเก็บ ) = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

รถยนต์ ( กับดักชั้นดี ) :

ดาวน์รถใหม่ป้ายแดง ออกมาเพื่อเอาไว้จีบสาว,อวดเพื่อนบ้าน,เพื่อนที่ทำงาน,เพื่อนร่วมรุ่น = หนี้เลว

แต่ถ้าดาวน์รถออกมา เพื่อที่จะขับไปรับงานไกลๆต่างจังหวัด ทำให้สามารถรับงานได้เพิ่มมากขึ้นจากที่เคย ( จากรายได้เดือนล่ะประมาณ 10,000 ได้เพิ่มมากขึ้นมาอีก 3-4 เท่า ) = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

บ้าน ( กับดักชิ้นโต ) :

ไม่อยากเช่า อยากมีบ้านหลังงาม ใหญ่โต เป็นของตัวเอง...ใครมาเที่ยวหาจะได้ไม่อาย เลยกู้ซื้อ/ทำบ้าน ผ่อนนานน..น 30 ปี = หนี้เลว

เห็นบ้าน(มือสอง)สภาพดีประกาศขาย เลยเอาข้อมูลไปคุยกับแบงค์ได้บ้านมาปล่อยเช่า จ่ายให้แบงค์แล้วยังมีพอเหลือเก็บ ทำเลดีใช้ได้เผลอๆมีคนมาขอซื้อให้ราคาดี  = หนี้ดี

หรือ ปรับหน้าบ้านให้เป็นร้านกาแฟหรือร้านขายของชำสร้างยอดขาย/กำไรได้มากกว่าที่จะต้องผ่อนให้กับธนาคาร = หนี้ดี

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

คนรัก ( ลูก,แฟน,สามี หรือ ภรรยา )

อยู่ที่มุมมองว่าจะมองแบบไหน ( สามารถมองได้ทั้งสองแบบ )

บางคนอาจมองว่าเป็นหนี้สินจากคำพูดที่ได้ยินกันบ่อยๆอาทิเช่น มีลูกหนึ่งคนจนไปเจ็ดปี ฯลฯ

ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าเขาเหล่านั้นเป็น

"ศูนย์กลางของความรัก" หรือ "แหล่งพลังงานของกำลังใจ"

ทำให้สามารถออกไปทำงานกันได้แบบหามรุ่งหามค่ำ หรือหาช่องทาง 108 เพื่อที่จะสามารถดูแลพวกเค้าให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มีความสุข ยิ้ม

เรามองแบบไหน(ส่วนใหญ่)ก็มักจะได้และเป็นแบบนั้น ....อยู่ที่มุมมองของแต่ล่ะบุคคล

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

สรุปตอนท้าย


ทุกอย่างมีสองด้าน...หนี้ก็มีอยู่ 2 ประเภท...คือหนี้ดี กับ หนี้เลว

คนจน คือคนที่สะสม,แสวงหา และรอบกายเต็มไปด้วย...หนี้เลว

คนฐานะปานกลาง คือคนที่อยู่ทางสายกลาง คือมีทั้ง หนี้ดี หนี้เลว ปะปนกันไป

คนรวย คือ คนที่สามารถแยกแยะออกระหว่าง หนี้ดี กับ หนี้เลว ... รู้ความแตกต่างระหว่าง ทรัพย์สิน กับ หนี้สิน  ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม


Credit by : ความรู้ที่ได้จากหนังสือชุด พ่อรวย สอนลูก + ประสบการณ์,ความคิดเห็นส่วนตัว ยิ้มเท่ห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2012, 04:05:26 โดย :i3abyzeed:: » IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!