ฝากติ-ชมด้วยครับ

ผมเข้ามาในห้องนี้เป็นครั้งแรก ดูภาพตั้งแต่ต้นจนถึงหน้ากระทู้นี้ พอจะสรุป...ให้ได้ว่า...
นักถ่ายภาพต้อง..รู้จักกล้อง. รู้จักแสง. รู้จักธรรมชาติ.รู้จักใช้โปรแกรมตบแต่งภาพ.
1. ถ้าท่านวางองค์ประกอบภาพในตาราง 9 ช่อง หรือตาราง 3 ส่วนถูกต้อง ภาพจะสวยแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือคือ เรื่องราวของภาพว่า ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ถ้าเนื้อหาในภาพ ระบุได้ คะแนนจะเกือบเต็ม ที่เหลือคือ ความชัดเจน แสง สี มุมกล้อง
2. ภาพทิวทัศน์ ไม่วางเส้นขอบฟ้าไว้กึ่งกลางภาพ ต้องหาพระเอก พระรองในภาพ เช่น ภาพท้องทุ่ง ต้องหาสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวในภาพให้ได้ คน สัตว์ จะทำให้เกิดเรื่องราวในภาพขึ้้นมา
3. ภาพต้นไม้ ใต้ต้นไม้ ต้องมีสัตว์ เช่น ในป่า มีกวางตัวหนึ่งเล็มหญ้าอยู่ แทนที่จะถ่ายใต้ต้นไม้เฉยๆ ภาพจะไม่มีคุณค่าพอ เพราะใครๆ ก็ถ่ายภาพนี้ จุดนี้ได้ แต่กวางหายไปแล้ว
4. ภาพดอกไม้ ที่ไหนๆ ก็ถ่ายเหมือนกัน ไม่เกิดเรื่องราว แต่ถ้าหากมีสิ่งมีชีวิตพวกแมลง จะทำให้เรื่องราวจบในภาพเดียว หรืออย่างน้อยมีหยดน้ำ(พกเครื่องพ่นละอองน้ำติดตัวนะ)บนกลีบดอกไม้
5. สิ่งเคลื่อนไหวในท้องทะเล น้ำตก ต้องให้เห็นความรุนแรงของน้ำ รถยนต์เห็นความเร็วของรถ
6. ถ่ายภาพบุคคล ไม่ควรให้เส้นขอบฟ้าตัดคอ ลำตัว เท้า หรือวัตถุโผล่กลางศีรษะ หรือถ่ายภาพนางแบบอย่าตัดกรอบภาพตรงข้อต่อของร่างกาย เช่นข้อไหล่ ข้อศอก ข้อมือ ข้อขาตะโพก ข้อหัวเข่า ข้อเท้า ตัวอย่างรูปถ่ายติดบัตร ขอบภาพจะตัดระหว่างข้อไหล่กับข้อต่อของข้อศอก ก็คือขอบล่างภาพจะอยู่กึ่งกลางหน้าอก เป็นต้น
...การรอคอยเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ภาพมีคุณค่ามากขึ้น เช่น รอแมลงผสมเกษร รอชาวนากลับจากท้องนา รอสัตว์ป่าออกมาจุดที่เราจะถ่าย รอพระอาทิตย์ขึ้น-ตก รอสายฟ้าผ่า รอๆๆๆๆ สิ่งที่ปรากฎแวบเดียวแล้วหายไป ยิ่งเป็นเสี้ยววินาทีเราจับภาพได้ ภาพนั้นจะมีคุณค่ามหาศาล ซึ่งเราจะกลับมาถ่ายอีกครั้งไม่ได้อีกแล้ว นี่คือคุณค่าของภาพ
...ภาพที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ ไม่เกิดเรื่องราว หาข้อสรุปไม่ได้ ถือว่าเป็นภาพที่นิ่ง ส่วนใหญ่นิยมนำภาพไปทำแบลคกราวด์โฆษณา ปฏิทิน วอลเปเปอร์ เป็นต้น ซึ่งผู้ถ่ายภาพต้องเว้นช่องว่างกรอบข้างซ้ายหรือข้างขวา เพื่อวางตัวหนังสือ
...มือใหม่มีกล้องมือถืออยู่แล้ว ลองหัดถ่ายการวางองค์ประกอบภาพดังกล่าวมาข้างบน หากสนใจถ่ายภาพ ซื้อกล้องจริงๆ ควรซื้อกล้อง DSLR มือ 1 หรือมือ 2 ก็ได้ เพราะสามารถบันทึกภาพถ่ายด้วยไฟล์ RAW ในขณะกล้องนอกเหนือจากนี้บันทึกไม่ได้ และมียังเลนส์ให้เปลี่ยนมากมาย
...ไฟล์ RAW สำคัญอย่างไร สรุปง่ายๆ คือ สามารถแปลงภาพได้นาๆ นับประการจนกล้องคอมเพคสู้ไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่อง น้อยด์(จุดขยะในภาพ) การตัดภาพ(Crop) ขยายภาพ 100% ปรับแสง สี ฯลฯ โดยไม่มีผลเสียต่อภาพ เพราะไฟล์ RAW เป็นไฟล์ดิบ กล้องมองเห็นอย่างไรก็บันทึกมาอย่างนั้น ไม่เหมือนไฟล์ JPG ที่ตัดแต่งในกล้องก่อนแสดงผล ทำให้ภาพสวยกว่า DSLR แต่ไฟล์ RAW เมื่อผ่านการตบแต่งแล้ว ทิ้งไฟล์๋ JPG อยู่ข้างหลัง
...ไฟล์ JPG ภาพสวยก็เพราะมี...ขอเรียกว่า Photoshop
...เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้นใส่เข้าไปในกล้อง ใส่มากราคากล้องยิ่งแพง.
...อยากถ่ายภาพออกมาสวยด้วย Photoshop ต้องซื้อกล้องที่สามารถบันทึกไฟล์ RAW ได้ด้วย
...ไฟล์ RAW ไฟล์ดิบๆ Noise ตรึม ผ่านด่าน Photoshop ออกมา...Wow. w. w
...ไฟล์ RAW เสริมสร้างจินตนาการได้ไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่เสียรายละเอียดของภาพเหมือนกะ JPG
...ไฟล์ RAW เหมือนผัก พริก น้ำปลา เนื้อหมู เพื่อนำไปผัด ส่วน JPG คือ ผัดผักกาดอยู่ในจาน ปรุงรสได้อีกเพียงนิดหน่อย เช่น เติมน้ำปลา น้ำตาล เป็นต้น
....ไฟล์ RAW ตะก่อนไม่นิยมเพราะเปลืองเมมโมรี่(2G) ปัจจุบัน 64G นิยมถ่าย RAW+JPG กันพลาดไว้เสมอ
...จำไว้เสมอ อยากถ่ายภาพได้สมบูรณ์แบบ(มืออาชีพ) ต้องใช้สายลั่นชัตเตอร์กับขาตั้งกล้องเท่านั้น.(ถ่ายภาพนิ่งนะ เช่น วัดวาอาราม ทิวทัศน์ หรือใช้กับภาพเคลื่อนไหวได้ยิ่งดี)
...ฝากไว้สำหรับผู้จะเข้าประกวดภาพถ่าย ภาพ JPG ที่จบหลังกล้อง โอกาสพลาดรางวัลมากกว่าภาพที่จบจาก RAW+Photoshop นะครับ (แต่กติกาปรุงแต่งได้ไม่เกินกว่าที่คณะกรรมการกำหนดไว้) เน้นย้ำขาตั้งกล้อง และโฟกัสเข้าเป้า.
...ทั้งหมดนี้ เป็นจุดเบื้องต้นที่ผมมือใหม่เคยประสบ ท่านเจ้าของภาพคงมองเห็น จุดที่ต้องแก้ไขตนเองตรงไหนบ้างนะครับ.[/color][/color]
ตัวอย่างภาพ กล้อง Canon 60D เลนส์ EF-S18-55mm f/3.5-5.6 IS II- Crop มาจากไฟล์ RAW ต้นฉบับ
..จะเห็นว่าภาพนี้สามารถอธิบายเรื่องราวได้ ...ขอตั้งชื่อว่า ..การรอคอย..
