เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 14 กันยายน 2025, 17:17:19
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ห้องนั่งเล่น
| | |-+  เชิญเข้ามาอ่าน แล้วแวะพักสายตา
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เชิญเข้ามาอ่าน แล้วแวะพักสายตา  (อ่าน 1835 ครั้ง)
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 12:54:23 »

คุณเชื่อหรือเปล่าครับว่า “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นได้หลายครั้ง

สมัยโออิชิประสบความสำเร็จด้วยแคมเปญแรงๆ ก้าวกระโดดสูงๆ หลายปีติดต่อกัน ทุกปีจะมีคนถามเสมอว่าปาฏิหาริย์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้อีกไหม

ผมบอกว่า ทิศทางธุรกิจขึ้นอยู่กับความเชื่อ เมื่อมี “ปาฏิหาริย์” ครั้งแรก ครั้งที่สองก็ต้องมีอีก สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องเชื่อว่า “เราทำได้”

ความเชื่อเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของความสำเร็จ เชื่ออย่างไร คิดอย่างไร เราจะเดินไปอย่างนั้น คนกำหนดคือตัวเรา

เพราะเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ผมจึงไม่เคยล็อกความคิด ติดกรงขังอยู่กับคำว่า “เป็นไปไม่ได้”


แต่ไม่ได้หมายความว่าจะบุ่มบ่ามโดยไม่ล็อกความเสี่ยง

ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ และไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราคิด

การตัดสินใจทุกครั้งของผมจะใช้ “แว่นขยาย” ส่องขยายธุรกิจทั้งหมดให้เห็นชัด ขั้นเลวร้ายที่สุดผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร

เพียงแต่เพราะผมไม่ได้มีต้นทุนชีวิตมากมายเหมือนกับคนอื่น ผมจึงไม่ค่อยกลัวความล้มเหลวและความผิดพลาดสักเท่าไหร่

อย่างมากถ้ากลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์อีกครั้ง ถึงกลับเป็นเจ้าของแผงขายหนังสือเล็กๆ ผมก็มีความสุขได้ในแบบของผม

ถึงรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนมาน้อย แต่เพราะเชื่อว่าคนเราประสบความสำเร็จได้หลายวิธี

ปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับผมจึงเกิดขึ้นได้ในชีวิต

เพราะผมเชื่อ..ผมถึงกล้า

เราฝันใหญ่ๆ ได้ไม่มีข้อจำกัด ถึงแม้จะเริ่มเล็กๆ ก็ไม่เป็นไร

เป้าหมายมีไว้ให้เรากล้าตั้ง ที่เหลือจากนั้นต้องไปควานหาหนทางทำให้มันเป็นไปได้

ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปกว่าความกลัวในใจเรา

ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน มีดีก็มีเสีย บางอย่างรู้มากคิดมากไปก็ไม่ได้ทำหรือทำไม่ทัน

เพราะโอกาสมักจะอยู่กับเราเพียงไม่นาน บางจังหวะต้องอาศัยความกล้าหาญ ฉกฉวยโอกาสไว้ให้มั่น ถ้าคิดจะเดินหน้าแล้ว ผมเลือกจะมองข้ามปัญหาไว้ทีหลัง

ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นปัญหา แต่ผมอยากใช้สมองไปสนใจวิธีทำให้ประสบความสำเร็จมากกว่า

ถ้าเอาแต่มองปัญหา ความกล้าในใจเราจะฝ่อ เอาแต่กลัว ไม่กล้าลงมือทำ

วิธีปลุกความกล้าของผม คือ ชอบกระโดดเข้าใส่ เรื่องปัญหาเดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไงก็หนีไม่พ้น

ผมมองปัญหาเหมือนกับการเผชิญหน้าหมาน้อยที่คอยวิ่งไล่

ถึงมันจะตัวเล็กพันธุ์ไม่ดุ แต่ถ้าเรายิ่งหนี มันจะยิ่งวิ่งไล่

แต่ถ้าเราวิ่งเข้าใส่ เผลอๆ หมาตัวใหญ่กว่านี้ยังต้องกลัวจนวิ่งหนีเรา

ผมเชื่อว่ามนุษย์เรามีพลังซ่อนเร้นในตัวเองอีกมากมาย เรี่ยวแรงมหาศาลเหล่านี้มักจะถูกดึงมาใช้ก็ต่อเมื่อยามวิกฤติ เหมือนกับคนที่กลายร่างเป็นจอมพลังแบกโอ่ง แบกสมบัติ หนีไฟไหม้

มองอีกด้าน ปัญหาเฉพาะหน้าและแรงกดดันจึงมีค่า เพราะทำให้เราเกิดแรงฮึดได้มากกว่าปกติหลายเท่า

สมัยหนุ่มๆ เวลาเจอปัญหาที่คิดไม่ตก ผมชอบใช้วิธีเข้าห้องเซาน่าที่ร้อนจัดๆ ใช้อุณหภูมิความร้อนเป็น"แรงกดดัน" นั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหาทางออก

เดี๋ยวนี้ก่อนนอนทุกคืน ผมจะนั่งครุ่นคิดแก้ปัญหา แต่ถ้าเลยเวลานอนแล้วยังคิดไม่ออก ผมจะปิดสวิตช์ตัวเองเข้านอนทันที

ประสบการณ์สอนผมว่าอย่าจมอยู่กับปัญหา แต่ต้องเอาตัวเองออกจากปัญหา

ทั้งปัญหาและโอกาสอยู่กับเราไม่นาน เราเองต่างหากเป็นคนที่จะฉุดยื้อหรือปล่อยมันให้หลุดลอยไป

แค่ออกไปหาของกินอร่อยๆ ไปเที่ยว ไปพักผ่อนกับครอบครัว บางทีเราอาจค้นพบคำตอบปริศนาที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติและสิ่งรอบตัว

ปัญหาจึงเหมือนภูเขา ยิ่งอยู่ใกล้ๆ เราจะรู้สึกว่าใหญ่โตมาก แต่ถ้าถอยออกมาห่างๆ ปัญหาที่เคยเห็นอาจจะเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ คว้าตะเกียบคีบกินได้เลย

ทำธุรกิจไปนานๆ ผมจึงเข้าใจคำโบราณที่บอกไว้ว่า "เรือเมื่อถึงท่า..หัวจะตรงเอง" ทุกอย่างมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด

เรือที่ลอยลำในทะเลถึงจะโซซัดโซเซอย่างไร แต่ถ้าตราบใดยังมองเห็นฝั่ง ไม่ถอดใจยอมแพ้

ไม่หยุดพายต่อไปเรื่อยๆ ยังไงสักวันก็ต้องถึง


ตราบใดที่เรามีความหวังและลงมือทำ..ทำไม "ปาฏิหาริย์" จะเกิดขึ้นไม่ได้ครับ




Tags : ตัน ภาสกรนที
ตัน ภาสกรนที
วิถีตัน

พักสายตา v



* 60210n_2l.jpg (16.48 KB, 420x265 - ดู 699 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 00:34:59 โดย แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. » IP : บันทึกการเข้า
watinta
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 24 พฤษภาคม 2011, 15:04:47 »

ตราบใดที่เรามีความหวังและลงมือทำ..ทำไม่ ปาฏิหาริย์ จะเกิดขึ้นไม่ได้  เจ๋ง
เป็นคำที่ลึกซึ่งกินใจ สุดๆๆยอดๆๆ วาทะ 8)ทางไม่มีวันตันสำหรับคนชื่อ ตัน เชื่อจริงๆครับผม  เจ๋ง ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
นายเหตุผล
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 564



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2011, 21:14:54 »

อีกวิถีหนึ่ง ของผู้ประสพความสำเร็จ
ขอบคุณสำหรับบทความดีดี
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 28 พฤษภาคม 2011, 15:35:52 »

ผมยอมเป็นถังขยะ เพราะในถังขยะเต็มไปด้วยความลับ และความรู้ ที่หาที่อื่นไม่ได้ ประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้ผมสอนลูกน้อง หลายคนว่า ถ้าคุณยังทำงานไม่เต็มที่ในวันนี้ ต่อไปเมื่อไปทำธุรกิจ ของตัวเอง ถึงจะคิดว่าเต็มที่ก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะการทำงานเต็มที่ ต้องสร้างสม จนเคยชิน จนกลายเป็นนิสัย ที่ผมประสบความสำเร็จ ในวันนี้เพราะ ตอนที่ผมทำงานให้กับคนอื่น ผมก็ทำเต็มที่ ทำจนเป็นนิสัย ถ้าคุณไม่เต็มที่ ตอนเป็นลูกน้อง วันที่คุณเป็นนายจ้าง คุณก็ไม่รู้หรอกว่าการทำงาน เต็มที่ต้องทำอย่างไร



นี่คือประโยคที่ ตัน ภาสกรนที  ใช้สอนลูกน้อง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านงานทุกแผนกของ ราชธานีเมโทร จนต้องเรียก ตัวเองว่าเป็นหน่วยงาน สสส. ซึ่งย่อมาจาก เสือกสม่ำเสมอ พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่าคนเราถ้าทำงานอยู่ อย่างเดียว แผนกเดียว ทำงานตามหน้าที่ก็รู้อยู่แค่นั้น แต่ถ้าเราไปทำงานในแผนกอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา หรือที่เรียกว่าเสือกทำนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เงิน แต่เราก็ได้ประสบการณ์ซึ่งประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่ ตันยึดปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คือ การให้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสังคมไทยที่เราไม่ควรจะละเลย โดยส่วนตัวแล้วที่สุขสบายก็จะให้ลูกน้องทุกคนมีความสุข มีความสบายให้ได้เช่นกัน หลายสิ่งหลายอย่างในความเชื่อบนโลกแห่งนี้ไม่ค่อยเชื่อหรือใส่ใจกับมันมาก นัก

ตัน บอกว่า วันนี้ได้ค้นพบสัจธรรม ๒ เรื่อง คือ จากความเชื่อที่ว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ไม่กี่วันจากนั้น ตนเองก็ได้ค้นพบสัจธรรมใหม่ ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราคิด ดังนั้นทุกอย่างเป็นไปได้หากเรามุ่งมั่น ระมัดระวังแต่ไม่ระแวง ด้วยความเชื่อที่ว่า ปัญหา ในโลกนี้มีไว้ แก้ไข

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เป็นคนแขวนพระเครื่องเหมือนกับชาวพุทธทั่วไป คือ พระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ กับพระเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ที่ได้แขวนติดตัวมาแล้วกว่าสิบปี การแขวนพระเครื่องจริงๆ เป็นการแขวนเหมือนชาวพุทธคนอื่นๆ ที่เป็นเครื่องประดับประจำตัวก็ไม่ผิด แต่ไม่ได้แขวนเพราะต้องการให้เกิดปาฏิหาริย์ แคล้วคลาดใดๆ ทั้งสิ้น และด้วยเป็นคนที่เหงื่อออกง่าย การแขวนพระเครื่องจึงไม่ค่อยสะดวกมากนัก ทำให้ทุกวันนี้ได้นำพระเครื่องสององค์เก็บไว้ในเซฟมาหลายปีแล้วเหมือนกัน

หลวง ปู่ทวด หรือท่านเจ้าคุณนรฯ ผมถือว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระที่ผมเคารพนับถือศรัทธาท่านเช่นเดียวกับชาวพุทธทั่วไป ในใจแม้จะไม่ได้แขวนองค์ท่านก็ตาม แต่ก็มีท่านอยู่ในใจตลอดเวลา ผมไม่ได้แขวนองค์ท่านแล้วต้องให้ท่านคุ้มครองความปลอดภัย และผมก็ไม่ได้คาดหวังให้หลวงปู่ทวดหรือท่านเจ้าคุณนรฯ มาดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์อะไร ผมมีท่านในใจอย่างน้อยมันก็ย้ำเตือนให้ผมเป็นคนดี ทำแต่ความดีเท่านั้น นี่คือจุดประสงค์การแขวนพระของตัน

แม้จะเป็น คนที่ไม่ค่อยเชื่อเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับหรือสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเฉียดตาย แต่อย่างน้อยก็ยังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนชื่อสกุลเช่น กัน เมื่อครั้งหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแซ่ตั๊ง ก็ได้เดินทางไปกับภรรยา (สุนิสา สุขพันธุ์ถาวร) ไปหาหมอดูเพื่อให้ตั้งชื่อสกุลให้ ระหว่างนั้นหมอดูก็ได้ดูดวงประกอบกันแล้ว ก็ได้นำชื่อสกุลตัวอย่างมาให้ดูประมาณ ๔-๕ ชื่อ ในที่สุดก็เลือกชื่อ ภาสกรนที

นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อใน เรื่องของภาษาจีนที่อ่านว่า ฮก ที่มีคนบอกว่า หากนำมาติดไว้ที่บ้านก็จะทำให้โชคดี มีวาสนา และทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง จึงได้นำมาติดไว้บริเวณประตูเข้าบ้าน

ตัน บอกว่า ความเชื่อเหล่านี้เป็นการทำให้เราเกิดเป็นความสบายใจ สุขใจที่ได้เข้ามาในบ้านมากกว่า และชีวิตส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ยึดติดกับศาสตร์ที่เป็นฮวงจุ้ย ฤกษ์ยามใดๆ อย่างเปิดร้าน เปิดบริษัทก็ไม่เคยดูฤกษ์ แต่จะใช้ฤกษ์สะดวกบวกกับตัวเลขสวย เช่น วันที่เก้าเดือนเก้า วันที่ห้าเดือนห้า ฯลฯ

ขณะเดียวกันก็มี ความเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมด้วย พร้อมกับยืนยันว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง แม้ไม่อาจจะพิสูจน์ ได้ในทุกกรณีเราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร เพราะเมื่อคนเราเชื่อมั่น ในกฎแห่งกรรม ทำให้เชื่อว่าคนเราเชื่อที่จะพยายามสร้างแต่กรรมดี หลีกหนีกรรมชั่ว แม้จะไม่มีใคร รู้เห็นก็ตาม แต่หากเราได้ตั้งใจสะสมแต่ความดีเอาไว้มากเท่าไร ก็จะทำให้เราได้ช่วยกัน จรรโลง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น และความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา

ชีวิต คนเราไม่มีอะไรแน่นอน มีทั้งดีและร้าย เช่น โอกาสจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เข้ามาแล้ว คนเราจะไขว่คว้ากันได้มาก หรือนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายๆ ที่ต้องเข้ามาสลับกันไปกับชีวิตคนเราเหมือนผ่านภูเขาลูกหนึ่งไปแล้วก็จะพบ ภูเขาที่สูงกว่าเดิม ไม่ต่างจากฟ้าหลังฝนที่จะพบกับความสดใส แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่ฟ้าหลังฝนอาจเจอพายุที่ใหญ่กว่าเดิมก็ได้ ดังนั้นเราจึงจะเห็นว่าชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน และสิ่งสำคัญเราอย่าไปยอมแพ้กับอุปสรรคต่างๆ เท่านี้ก็น่าจะเป็นเพียงพอ

ผม อยากให้ทุกคนมีความหวังเพราะความหวัง จะทำให้ชีวิตของเราเดินหน้าอย่างมีพลัง การถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ของผมที่ออกมาเป็นหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตันครั้งนี้ นอกจากต้องการถ่ายทอดกรณีศึกษาทางธุรกิจ ให้กับคนที่เริ่มต้นหรืออยู่ระหว่างการทำธุรกิจแล้ว ผมอยากให้ทุกคนมี กำลังใจ ในการต่อสู้ มีความหวัง เชื่อมั่นว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ อย่าเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของชีวิตจะเป็นคำตอบว่า ปลายทางของชีวิตจะเป็นเช่นไร เรากำหนดจุดเริ่มต้นไม่ได้ แต่เส้นทางชีวิตนับจากจุดเริ่มต้นเป็นต้นไป เราสามารถเลือกได้ ตัน กล่าวทิ้งท้าย


เรื่อง สุทธิคุณ   กองทอง

พักสายตา V
               V
               V



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 00:35:27 โดย แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. » IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 14:58:55 »

 เจอทุกข์ แต่ไม่ทุกข์

เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล

คนเราจะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักทุกข์ ถ้าเรารู้จักทุกข์แล้วจะพ้นทุกข์ได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ ก็ไม่มีทางที่จะเกิดปัญญาพาใจให้พ้นทุกข์ได้เลย แล้วเราจะรู้จักทุกข์ได้อย่างไร? (ก็ต้องเจอทุกข์บ่อยๆ) เหมือนเราเล่นฟุตบอล เราเจอคู่ต่อสู้ที่เก่งและแกร่งมาก วิธีที่เราจะเอาชนะทีมนี้ได้คือต้องเล่นกับเขาบ่อยๆ เล่นบ่อยๆ จนรู้ทางและรู้จุดอ่อนของเขา

ความทุกข์ไม่ว่าจะมีจุดแข็งแค่ไหน? ก็ต้องมีจุดอ่อนที่เราสามารถจะรู้ได้ หรือสามารถจะรู้ทางกันได้ เมื่อเรารู้ทางแล้วก็สามารถเอาชนะได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญา ใหม่ๆ ก็ต้องยอมแพ้ สู้เขาไม่ได้ก็แพ้ไป เมื่อแพ้แล้วก็ไม่ได้คร่ำครวญ แต่มาใคร่ครวญว่าแพ้เพราะอะไร จนกระทั่งรู้ว่าเป็นเพราะเรามีจุดอ่อนอย่างนี้ ๆ และใคร่ครวญจนเห็นจุดอ่อนของเขาด้วย ความทุกข์ก็มีจุดอ่อน ถ้าเรารู้จักจุดอ่อนของมัน เราก็สามารถจัดการเป็นนายความทุกข์ ไม่ใช่เป็นทาสของความทุกข์

หลวงพ่อคำเขียนอุปมาเหมือนกับช้างหรือควาย ตัวมันใหญ่ แรงมันเยอะมาก มนุษย์เราสู้ไม่ได้เลยถ้าพูดถึงพละกำลัง แต่ทำไมมนุษย์เราถึงสามารถล่ามควายได้? ทำไมเราถึงสามารถควบคุมช้างได้? ช้างยอมให้เราขึ้นไปอยู่บนหลังและสามารถควบคุมมันได้เพราะเหตุใด? ควายก็มีจุดอ่อนตรงจมูก ถ้าเอาเชือกสนตะพายได้มันก็อยู่ในอำนาจของเรา ช้างก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่น่ากลัวล้วนมีจุดอ่อน ความทุกข์ก็มีจุดอ่อน จุดอ่อนอยู่ที่ไหน? จุดอ่อนอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเรารู้ทุกข์เมื่อไหร่? มันก็หมดฤทธิ์พิษสงทันที มันพ่ายแพ้ต่ออาการรู้ เหมือนกับโจรกำลังจะเข้าบ้าน ถ้าเจ้าบ้านเห็นโจร โจรก็หนีกระเจิง ความทุกข์มันมีจุดอ่อนอย่างนี้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรกลัวความทุกข์ เวลาเจอความทุกข์หรือเจอปัญหา ก็อย่าปฏิเสธผลักไส ที่จริงหากสบายมากไปก็ควรพาตัวเข้าหาความทุกข์หรือความยากลำบากบ้าง อย่าลืมว่าทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้คร่ำครวญหรือโวยวาย ทุกข์มีไว้ให้ใคร่ครวญ ทุกข์มีไว้เพื่อฝึกให้เราเข้มแข็ง แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีสติ โดยเฉพาะการหมั่นรู้ใจดูใจของเรา

คนเรามักจะมองออกไปนอกตัว ซึ่งบ่อยครั้งก็จำเป็นเพราะความทุกข์ของคนเรา มักจะมาจากสิ่งภายนอก ธรรมชาติจึงให้อายตนะมาถึง ๕ อย่างเพื่อให้เรารอดพ้นจากอันตราย ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เราเผลอได้

มีเรื่องเล่าว่ามีหัวขโมยกับเศรษฐี บังเอิญต้องมานอนพักค้างแรมในโรงเตี๊ยมเดียวกันอยู่หลายวัน ช่วงนั้นมีงานจาริกแสวงบุญ ทั้งสองคนหาที่พักไม่ได้เลยต้องมานอนอยู่ในห้องเดียวกัน หัวขโมยก็เล็งเอาทรัพย์จากเศรษฐี ทุกเย็นเมื่อถึงเวลาอาหาร หัวขโมยจะออกอุบาย บอกเศรษฐีว่าคุณลงไปกินอาหารก่อนนะ ผมขออาบน้ำก่อน พอเศรษฐีลงไปกินอาหาร หัวขโมยก็จะออกมาจากห้องน้ำและเริ่มค้นกระเป๋าของเศรษฐี รวมทั้งค้นใต้เตียง ใต้หมอน ของเศรษฐี เพราะเชื่อแน่ว่าเศรษฐีต้องซ่อนเงินเอาไว้ เนื่องจากเศรษฐีใส่ชุดลำลองออกไป ไม่น่าจะพกเงินไปได้ แต่หัวขโมยก็ไม่เจอเงิน

วันรุ่งขึ้นก็ใช้อุบายเดียวกันนี้ เศรษฐีว่าง่าย ลงไปกินอาหาร ส่วนขโมยก็ลงมือค้นหาเงินของเศรษฐีอีก ทำอย่างนี้อยู่ ๓ วันไม่เจอเงินเลย จึงกลัดกลุ้มใจว่าเป็นไปได้อย่างไร? เศรษฐีก็ไม่ได้เอาเงินลงไป เมื่อเศรษฐีจะออกจากโรงเรียน ขโมย จึงถามเศรษฐีตรงๆ ว่า ช่วยบอกทีเถอะว่า คุณเอาเงินไปซ่อนไว้ที่ไหน? พร้อมกันนั้นก็สารภาพว่าตัวเองเป็นหัวขโมย อยากจะรู้จริงๆ เศรษฐีก็เฉลยว่า “ตอนคุณเข้าห้องน้ำ ผมก็เอาเงินไปไว้ใต้หมอนของคุณ” คำตอบของเศรษฐีเป็นสิ่งที่ขโมยไม่เคยคิดมาก่อน ขโมยค้นทุกจุดเลยนะ แต่จุดเดียวที่ลืมค้นก็คือใต้หมอนใต้เตียงของตัว เป็นเพราะอะไร? มันสะท้อนธรรมชาติของคนเรา คือ เรามักจะมองข้ามสิ่งใกล้ตัว ยิ่งใกล้ตัวที่สุดก็ยิ่งมองข้าม สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไม่ได้หมายถึงสิ่งของหรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงสิ่งที่อยู่ในตัวด้วย และสิ่งที่ใกล้
ตัวเราที่สุดก็คือจิตใจ คนเรามักมองข้ามจิตใจของตัวเอง ดังนั้น เวลาเรามีความทุกข์ เราจะมองไปที่ภายนอกว่าเป็นตัวการทำให้เราทุกข์ แต่เราไม่ค่อยหันมาดูใจของเราเท่าไร ว่าใจของเราต่างหากที่เป็นตัวการ เวลาเราปวด เวลาเราเจ็บ เราก็จะโทษสิ่งภายนอก โทษถนน โทษแดด โทษคนที่อยู่ข้างๆ โทษคนที่อยู่ข้างหน้า แต่เราลืมดูใจของเราที่กำลังบ่น งอแง โวยวาย หงุดหงิด ใจอย่างนี้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราทุกข์มากกว่าอย่างอื่น

เวลามีอะไรมากระทบใจ หรือกระทบกาย ไม่ใช่ว่าเราทุกข์ทันที มันจะมีข้อต่อตรงกลางที่เป็นสะพานให้ความทุกข์เข้ามาถึงใจ เวลาเจอแดด เจอฝน เจอเสียงดัง เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องผ่านข้อกลางหรือสะพานก่อน ข้อกลางหรือสะพานนั้นคืออะไร ถ้าพูดอย่างง่ายๆ คือความหลงลืม ความไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ เวลามีอะไรมากระทบมันก็แล่นตรงไปถึงใจทันที ทำให้ทุกข์

เคยเล่าเรื่องหลวงปู่บุดดา ถาวโรแล้ว มีเสียงดังจากห้องข้างเคียง ทำให้ลูกศิษย์รำคาญ หงุดหงิด เพราะรบกวนหลวงพ่อที่กำลังจำวัด ลูกศิษย์จึงบ่นออกมาว่า เดินเสียงดังจัง หลวงพ่อแม้จะหลับแต่ก็ได้ยิน จึงพูดเบา ๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง” เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเพราะอะไรเพราะเราไม่มีสติ เมื่อเสียงเกี๊ยะมากระทบหู เราไม่ได้ทุกข์ทันที มันต้องมีความหลงลืมเกิดขึ้นก่อน ความทุกข์ถึงจะเดินไปถึงใจได้ แต่ถ้าเรามีสติ ก็เหมือนกับเรากำลังชักสะพานออก เหมือนกับว่าข้อตรงกลางมันหลุด เสียงที่มากระทบก็ไม่สามารถกระเทือนไปถึงใจได้ เมื่อสะพานถูกชักออกแล้ว มันก็ไม่สามารถเข้ามาถึงใจได้

สตินั้นสำคัญมาก สติก็คือใจของเรานี่แหละ เราต้องหัดมาดูใจของเรา แล้วชีวิตเราจะง่ายขึ้น จะทุกข์น้อยลง การดูใจเป็นสิ่งที่ทำกันได้ ฝึกฝนกันได้แม้แต่เด็กๆ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อปลาวาฬอายุแค่ ๔ ขวบ วันหนึ่งถูกแม่ดุ ธรรมดาเด็กเวลาถูกแม่ดุก็มักเถียงแม่หรือแสดงอาการฮึดฮัด แต่ปลาวาฬไม่ทำอย่างนั้น พอถูกแม่ดุ ปลาวาฬก็เดินออกไปทันที แม่สงสัย ถามปลาวาฬว่าจะไปไหน ปลาวาฬตอบว่า “ไปสงบสติอารมณ์”
ปลาวาฬรู้ดีว่าตอนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี ถ้าคนปกติเมื่ออารมณ์เสีย ก็ไม่คอยรู้หรอกว่าอารมณ์เสีย คิดแต่จะระบายอารมณ์ใส่คนอื่น เช่นระบายใส่แม่ แต่ปลาวาฬรู้ว่าตอนนี้ใจกำลังโกรธ และรู้ด้วยว่าความโกรธไม่ดี ก็เลยเดินหนีเพื่อไปสงบสติอารมณ์ แสดงว่าเขาเห็นแล้วว่าตัวการอยู่ที่ใจ ความโกรธนั่นแหละที่ทำให้ใจทุกข์ ก็เลยพยายามจัดการที่ใจของตน แทนที่จะไปโวยวายใส่แม่

น้องไอซ์อายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบวิ่งไปชนประตูกระจกอย่างแรง เสียงดังไปถึงหูของแม่ที่กำลังทำครัวอยู่ แม่ตกใจรีบวิ่งไปหาลูก พอจะเข้าไปโอบกอดปลอบใจน้องไอซ์ น้องไอซ์กลับบอกว่า “แม่ไม่ต้องๆ น้องไอซ์นั่งสมาธิก่อน เดี๋ยวก็หาย” ธรรมดาเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามเวลาเดินหรือวิ่งชนกระจก อย่างแรกที่เรามักทำคือโวยวายว่า ใครปิดประตูอย่างนี้ โทษคนโน้นโทษคนนี้ แล้วก็ระบายความโกรธ หากไม่รู้จะระบายใส่ใคร ก็ระบายใส่กระจก อาจจะเตะกระจกให้หายแค้น แต่น้องไอซ์ไม่ได้ทำอย่างนั้น กลับนั่งสมาธิ เพราะรู้ว่าถ้าทำสมาธิแล้วความปวดจะทุเลาลง

เด็กเขารู้ได้ แม้อายุไม่กี่ขวบ เขาก็รู้ว่าเวลาปวดขึ้นมา ถ้านั่งสมาธิก็หายหรือบรรเทาได้ เด็กอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเวลาปวดกายแล้ว มันยังปวดใจ ทำให้เกิดโทสะขึ้นมา ซึ่งซ้ำเติมให้ความปวดกายรุนแรงขึ้น น้องไอซ์อาจจะรู้ว่าถ้านั่งสมาธิแล้วจะช่วยระงับใจไม่ให้เกิดโทสะ ซึ่งทำให้ความทุกข์กายลดลง หรือเขาอาจจะเห็นด้วยว่าถ้านั่งสมาธิแล้วทุกข์กายก็จะเบาลงด้วย นี่เป็นสิ่งที่ฝึกกันได้ ถ้าพ่อแม่ฉลาด ก็ฝึกให้ลูกรู้อย่างนี้ได้

แต่พวกเราหลายคนโตแล้ว ก็ต้องฝึกเอง ทำอย่างไร ก็ต้องมาฝึกกันแบบนี้ ใช้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ ไม่มีใครอยากจะมาเจอความทุกข์ แต่ว่าเมื่อทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็ต้องรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น ใช้เป็นเครื่องฝึกสติ อย่างนี้เรียกว่าทุกข์เป็น ถ้าทุกข์ไม่เป็นก็แย่ พวกเราจึงอย่าไปกลัวความทุกข์ อย่าไปกลัวความยากลำบาก

เด็กสมัยนี้ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลำบากด้วย ทำไมต้องอยู่แบบเรียบง่าย ทำไมไม่อยู่แบบหรูหรา เราก็มีกินมีใช้ ทำไมไม่กินให้มันเต็มที่ สนุกให้มันเต็มที่ คำตอบก็คือ เพราะมันจะทำให้เราอ่อนแอ ทำให้เราประมาท ทำให้เราติดสบายจนกระทั่งกลายเป็นทาสของความสบาย พอไม่มีความสบายก็จะเป็นทุกข์ กลายเป็นคนทุกข์ง่าย สุขยาก เพราะได้เท่าไหร่ก็ไม่พอ สบายเท่าไหร่ก็ไม่พอ นี่คือธรรมชาติของความสะดวกสบาย คือมันไม่มีขีดจำกัด มันต้องการเรื่อยๆ ไม่เคยเกิดความรู้สึกพอสักที แต่ถ้าเราฝึกใจให้มีสติเราก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ควรพอ เมื่อไหร่ควรหยุด เราจะรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ กลายเป็นคนสุขง่าย ทุกข์ยาก



พักสายตา V
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 00:35:52 โดย แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. » IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 08:44:32 »

คำคม ขงเบ้ง....

เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว

อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม

อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3

ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ

คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว

ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ

ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น

เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต

เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้

การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น

เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี

คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้

คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม

ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน

ความรู้ คือ อำนาจ

นั่งภูดูเสือ กัดกัน

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท

น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น

ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่


พักสายตา V


* zhugeliang.jpg (33.79 KB, 300x334 - ดู 274 ครั้ง.)

* 20081225085821754.jpg (35 KB, 432x260 - ดู 269 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 00:36:16 โดย แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. » IP : บันทึกการเข้า
piriya
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 19:31:44 »

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ
และที่พักสายตา
IP : บันทึกการเข้า
n.md
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 624


อดทนเพื่อสองสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ~~~~~~~~~


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 21:07:27 »

เป็นบทความที่ดีมาก ๆ แต่ภาพประกอบไม่เหมาะสมกับบทความที่ดีๆ

แบบนี้เลย ไปคนละเรื่องกันเลย
IP : บันทึกการเข้า

>>หนึ่งก้าวแรกที่พลาดพลั้ง คือก้าวหลังที่มั่นใจ<<
>>สองก้าวหนึ่งที่พลาดไป   คือก้าวใหม่ที่มั่นคง<<
shiff2007
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,150



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 22:28:13 »

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ครับ ชอบมากมาย..
IP : บันทึกการเข้า

โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม คนเด่นต้องมีคนด่า
คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีจึงมีคนริษยา
@ไอ้อ้วน@
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,029


2 มือ ที่ดูเหมือนจะบอบบาง


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 22:31:56 »

เป็นดีน่าอิจฉาแต้ บ่มีอย่างเปิ้น
IP : บันทึกการเข้า

สมองดี แกมโกง แต่เลือกที่จะเดินทางผิดเอง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นไป
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 22:37:03 »

เป็นบทความที่ดีมาก ๆ แต่ภาพประกอบไม่เหมาะสมกับบทความที่ดีๆ

แบบนี้เลย ไปคนละเรื่องกันเลย
ขอเป็นเรื่องยกเว้นนิดนึง น่อ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
นอกจากพักตาแล้ว ยังพักใจด้วยนะ ถามสุภาพบุรุษทั้งหลายดูสิ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
n.md
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 624


อดทนเพื่อสองสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก ~~~~~~~~~


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 09:18:12 »

เป็นบทความที่ดีมาก ๆ แต่ภาพประกอบไม่เหมาะสมกับบทความที่ดีๆ

แบบนี้เลย ไปคนละเรื่องกันเลย
ขอเป็นเรื่องยกเว้นนิดนึง น่อ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
นอกจากพักตาแล้ว ยังพักใจด้วยนะ ถามสุภาพบุรุษทั้งหลายดูสิ  ยิงฟันยิ้ม

ก้อได้
ยกเว้นให้นิดนึง นิดเดียวนะ  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

>>หนึ่งก้าวแรกที่พลาดพลั้ง คือก้าวหลังที่มั่นใจ<<
>>สองก้าวหนึ่งที่พลาดไป   คือก้าวใหม่ที่มั่นคง<<
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 10:35:15 »

เป็นบทความที่ดีมาก ๆ แต่ภาพประกอบไม่เหมาะสมกับบทความที่ดีๆ

แบบนี้เลย ไปคนละเรื่องกันเลย
ขอเป็นเรื่องยกเว้นนิดนึง น่อ  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
นอกจากพักตาแล้ว ยังพักใจด้วยนะ ถามสุภาพบุรุษทั้งหลายดูสิ  ยิงฟันยิ้ม

ก้อได้
ยกเว้นให้นิดนึง นิดเดียวนะ  ยิ้มเท่ห์
ไชโย  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
jodisratana
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2011, 00:13:42 »

ชอบครับ พักสายตา   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ฉันมองสิ่งที่ฉันมี ไม่มองสิ่งที่ฉันขาด ^^
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2011, 11:35:09 »

นิทานเซน
      
       ยังมีอุบาสกผู้หนึ่งหลบฝนอยู่ใต้ชายคา พอดีกับที่มีอาจารย์เซนผู้หนึ่งกางร่มเดินผ่านมา อุบาสกผู้นี้จึงร้องเรียกขอให้อาจารย์เซนพาตนไปด้วย โดยอ้างว่าตามหลักธรรม พระสงฆ์คือผู้ช่วยนำพาสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทะเลทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด
      
       ทว่าอาจารย์เซนกลับปฏิเสธคำขอของอุบาสก ทั้งยังกล่าวว่า "ประสกอยู่ใต้ชายคาซึ่งไม่มีฝน มิได้เปียกปอน ฉะนั้นอาตมาไม่จำเป็นจะต้องพาประสกออกไป"
      
       เมื่อุบาสกได้ยินดังนั้น จึงก้าวออกมานอกชายคา ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำจนร่างกายเปียกชุ่มโชก จากนั้นขอร้องอีกครั้งให้อาจารย์เซนพาเขาไปด้วย
      
       ยามนั้น อาจารย์เซนจึงเอ่ยว่า "ประสกยังคงไม่เข้าใจ แม้ว่าขณะนี้เราทั้งสองล้วนอยู่ใต้สายฝน แต่อาตมาไม่เปียกเพราะมีร่มคุ้ม ส่วนประสกกลับเปียกปอนเพราะไร้ร่มกำบัง ดังนั้นมิใช่ว่าอาตมาไม่พาประสกไป แต่ประสกต้องเสาะหาร่มคุ้มฝนของตน เพื่อข้ามผ่านไปด้วยตนเอง"
      
       ปัญญาเซน ผู้ดำเนินในกรอบแห่งศีล สมาธิ ปัญญาด้วยความเพียร จะเห็นแดนพ้นทุกข์ปรากฏขึ้นกับใจของตน


พักสายตา v


* 554000007688801.jpg (45.79 KB, 400x217 - ดู 177 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 ตุลาคม 2011, 00:36:35 โดย แชทซาโนย่า กอยุ่ง~*-. » IP : บันทึกการเข้า
kooboori
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,270



« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 17 มิถุนายน 2011, 15:59:46 »

ผมยอมรับคุณตันเขาจริงๆครับ 
IP : บันทึกการเข้า

" นกกระจอก ย่อมไม่เข้าใจ วิถีแห่ง อินทรี "
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!