เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 18 กันยายน 2025, 10:30:07
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  บอร์ดกลุ่มชมรม
| |-+  ชมรมนักกลอน
| | |-+  >> .. " เพลงแรก..ก่อนสุดท้าย " ..<< เรื่องสั้นเศร้าซึ้งสะเทือนอารมณ์โดย สิติยะ ป
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์
ผู้เขียน >> .. " เพลงแรก..ก่อนสุดท้าย " ..<< เรื่องสั้นเศร้าซึ้งสะเทือนอารมณ์โดย สิติยะ ป  (อ่าน 6785 ครั้ง)
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« เมื่อ: วันที่ 01 พฤษภาคม 2011, 22:18:16 »

          ลักษณะสังคมไทยในปัจจุบัน  มีเรื่องที่น่าแปลกรอบตัวเราอย่างนับไม่ถ้วน
แต่...คุณรู้ไหมว่า  เรื่องที่เราคิดว่าแปลก ๆ ทั้งหลายเหล่านี้  มันเกิดมีมาแต่ครั้งบรรพกาลแล้ว  มันปะปนระคนอยู่กับสังคมรอบตัวเรานี่เอง  เพียงแค่ว่าเรายังไม่ทันได้คิด  ยังไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพินิจพิจารณาเท่านั้นเอง  แต่ เมื่อเราได้หยิบยกขึ้นมาพินิจพิจารณาแล้วดังว่า  ความรู้สึกนึกคิดของเราก็ยังคงเป็นอยู่ในระดับเดิมนั้นคือ...มันก็เท่านั้นเอง
          บางครั้งยาสิฟันที่เราใช้อยู่ทุกวัน เราก็เห็นเป็นแต่เพียงยาสีฟันตามปรกติ  ครั้นหยิบหลอดขึ้นมาอ่านดูส่วนผสม  จึงได้รู้ว่ามันมีส่วนผสมอย่างนี้ ๆ แล้วก็วางเก็บไว้ที่เดิมพร้อมกับความคิดที่ว่า...มันก็เท่านั้นเอง
          เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้  เป็นชีวิตจริงของบุคคลท่านหนึ่งที่ไม่ประสงค์ออกนาม  ผู้เขียนได้รับทราบจากการบอกเล่าของท่านเอง  และได้เรียนท่านแล้วว่าจะนำเอาเคร้าโครงเรื่องมาแต่งเป้นนิยายเรื่องสั้น  ขอให้ทุกท่านอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะครับ  อย่าได้มีอคติกับท่านผู้เป็นเจ้าของ หรือแม้แต่ตัวผู้เขียนเอง
          สิ่งที่ผู้เขียนปรารถนาเป็นที่สุดเมื่อท่านได้ติดตามอ่านจนจบ  นั่นคือความรู้สึกที่ว่า...มันก็เท่านั้นเอง  คือความปล่อยวาง  เหมือนท่านเจ้าของเรื่องนี้ครับ ณ บัดนี้ ท่านได้ปล่อยวางแล้ว
ด้วยรัก
สิติยะ ป
1 พค. 2554
22.20 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 01 มิถุนายน 2011, 07:59:49 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
♡♡<Fairy>♡♡
นางฟ้า...ราตรี
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,585


เทพธิดา...ไร้ปีก


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 01:08:58 »




..มาเฝ้ารอ..เฝ้าคอย..
คอยอ่าน...จ้า...
ชอบ..ชอบ..น่าอ่านดีค่ะ...


 ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม ยิ้มกว้างๆ ยิงฟันยิ้ม ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

>>>>>....หากหัวใจไม่เข้มแข็ง    อย่าหวัง "แรง" จากสวรรค์....<<<<<
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 13:08:07 »

ป. 1
          ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง  ผู้รู้ตื้นลึกหนาบาง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนในโลกนี้ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนสนิทของเธอเองทั้งสิ้น พวกเขาเหล่านี้ต่างเรียกและขนานนามเธอว่า
 " นังตั้ม "
          นังตั้ม เป็นบุคคลพิเศษในกลุ่มที่มีอยู่ 4 - 5 คน เวลาจะเรียกขานเธอภายในกลุ่มสมาชิกทั้งหมด  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง  คอยชะมดชม้ายชายหางตา ดูตาม้าตาเรือเสียก่อน มิให้ใครบังอาจมาได้ยินข้อความสนทนาเพื่อให้เกียรติเธอและมัน...
          แต่เกียรติที่ได้รับจากเพื่อนฝูงเธอไม่ค่อยจะพึงพอใจเท่าใดนัก...เพราะพฤติกรรมอีกคำพูด...หล่อนช่างสรรหาแต่ ที่สวมเท้า! เสียทุกคราไป
          ทว่า...เพื่อนทุกคนต่างก็รู้และซาบซึ้งในคุณลักษณะนิสัยอันดีงามของมันข้อนี้ดีจึงไม่มีใครถือสาหาความหรือไส่ใจมากนัก
          เมื่อได้สบสายตาผู้ชายหล่อ ๆ หน่อย มันร่านจนสุดระงับ บังเอิญมันร่านแต่ภายในกลุ่มเท่านั้น...เก็บมาตาลอย มาเพ้อพร่ำรำพันทั้งติทั้งชมต่าง ๆ นา ๆ จนเพื่อน ๆ จะกลายเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วตามมันไปด้วย ต่อหน้าคนอื่นมันหาได้มีพฤติกรรมเช่นนี้ไม่...หล่อนคงเกรงว่าความจะแตกนั่นเอง
          จะดีหน่อยก็ตรงที่มันมีแม่เป็นผู้เรียบร้อยสมกุลสตรีอยู่ พวกเราเคยไปเที่ยวบ้านมันบ่อย ๆ ในวันเสาร์ อาทิตย์ วันหนึ่ง เป็นเช้าของวันเสาร์ เมื่อเราย่างกรายเข้าบ้านตอนแปดโมงเช้า  เจ้าตั้มคงยังไม่ตื่น  ส่วนแม่กำลังทำกับข้าวในห้องครัว
" แม่...สวัสดีครับ "
" เออโว๊ย! ดีก็ดี แล้วจะพากันไปไหนอีกล่ะนี่..อย่ากลับค่ำนักนะ ใครแหลมหน้าเข้ามาตอนดึก แม่จะเอาตะหลิวตีกบาลเสียให้หลาบจำ "
          นั่นเป็นปิยะวาจา  ที่แม่เปล่งออกมาอวยชัยให้พรพวกเราแต่เช้า  จนในที่สุดเราก็ชินไปเอง  สมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้วจริง ๆ
        
....๐๐๐๐๐....
         ส่วนครอบครัวผมนั้นไม่ต้องพูดถึง  เราอยู่กันอย่างสันติ  สมานฉันท์ ไม่มีทะเลาะเบาะแว้งให้ชาวบ้านร้านตลาดเขารำคาญ  บ้านเปิดร้านขายของชำขนาดกลางครับ
"  ก็อก! ๆ ๆ ก็อก! ๆ ๆ ก็อก! ๆ ๆ "
อุ๊ย..! เสียงเคาะประตูน่ะ  เดี๋ยวนะ เดี๋ยวมาต่อ
" สบายจริงนะเราน่ะ...ไม่รู้จักช่วยกันทำมาหากินเลยนะ...คุณชาย... "
หางเสียงสุดท้าย เหมือนจะประชดประชัดไหมนะ?...คงเป็นความผิดของผมเองที่เปิดเสียงเพลงในห้องดังไปหน่อย เลยไม่ได้ยินเสียงข้างนอก
" โธ่! พี่รินทร์ ช่วงเช้าให้ปอพักนะ...หลังเที่ยงจะควบกะเอง..นะ ๆ "
ผมรวบตัวพี่สาวสุดที่รักมากอดซะแน่น จะอ้อนเอาใจเสียหน่อย ก็พี่สาวเราสวยนี่นา
" พี่สาวปอเนื่ย นับวันยิ่งสวย สวยไม่สร่างจริง ๆ "
" บ้า!...ตาบ้านี่ปากหมา..เอ้ย หวานซะไม่มี... "
พี่รินทร์เอามือทุบอกผมแรง ๆ เอียงแก้มหลบจูบเป็นพัลวัล
" อะไรกันรินทร์ ปอ เอะอะโวยวายเสียงดังแต่เช้า เล่นอะไรกันอีกล่ะ ? "
พ่อเดินลงบรรไดชั้นสองมาพร้อมกับกระเป๋าเอกสาร....พี่รินทร์รีบวิ่งไปเกาะแขนพ่อเพื่อประจบประแจง
" ก็ไอ้ปอซิคะพ่อ มันเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกมาช่วยรินทร์ขายของหน้าร้านเลย..รินทร์ไม่ยอมนะคะ... "
" เออน่า...แบ่งกันคนละครึ่งวันเหมือนที่เจ้าปอมันว่าก็ดีนะ "
" รินทร์กลัวมันจะเบี้ยวนะคะพ่อ "
พี่รินทร์โปรยปรายสายตาอันน่าพิศวาสฆาตกรรมมาทางผม
" ถ้ามันเบี้ยว ตอนเย็นพ่อกลับมาบอกพ่อก็แล้วกัน "
พ่อพูดเป็นเชิงวางอำนาจ
" เจ้าปอ...พ่อบอกกี่ครั้งแล้วอย่ากอดพื่เขาอย่างนั้น...โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วอายเขาบ้าง "
พ่อหันมาเล่นงานผมเต็ม ๆ
" แล้วแม่ไปไหน..เงียบเชียว? ."
" ทำกับข้าวในครัวค่ะ "
" พ่อไม่กินข้าวก่อนหรือครับ "
" ไม่หรอกเดี๋ยวไม่ทันงาน "
พูดจบ พ่อก็คว้ากระเป๋าเอกสารเดินออกจากบ้านไป
 " แล้วอย่าลืมภาคบ่ายล่ะ ฉันจะได้มีเวลาทำงานบ้านช่วยแม่บ้าง...สมน้ำหน้า...อยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี.."
ผมจะเข้าไปกอดหอมแก้มหอม ๆ ทำโทษสักที แต่เธอรีบวิ่งไปหน้าร้านเสียก่อน
เอ๊ะ!...นี่พี่สาวเราเป็นสาวแล้วหรือนี่...ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?? งง
" ฉันละสมน้ำหน้าเหลือเกิ๊น! "
เสียงแม่นั่นเอง แหม..ปรากฏตัวเต็มประตูห้องครัวเลยนะแม่เรา
" แม่หวัดดีครับ "
เสียงเจ้าตั้มนั่นเอง มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?..แล้วมันเห็นเหตุการณ์หรือเปล่า..ถ้าเห็นคงอายมันแย่..
" ตั้ม...มาแต่เช้าเลยนะลูก..กำลังจะบ่นถึงพอดี มา..มะ มาให้แม่ชื่นใจหน่อย ไม่ได้เจอเสียนาน "
เจ้าตั้มรึก็ว่าง่าย มันรีบวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดอันเหี่ยว ๆ ของแม่ในทันที อย่างไม่รังเกียจ
ผมเลยกลายเป็นสุนัขตัวน้อย ๆ หัวมีแต่แบคทีเรียไปเลย ( หมาหัวเน่า..กลัวจะไม่เข้าใจกันง่ะ )
" วันนี้มาช่วยแม่ทำกับข้าวนะ...คนแถวนี้...คงหิวจนหน้ามืดแล้วมั๊ง "
ทั้งคู่เดินเคลียคลอหายเข้าไปในครัว...คนหน้ามืดอย่างผม เลยจำต้องนำหน้าอันบาง ๆ ที่จวนจะไหม้เกรียมเดินคอตกเข้าห้องไป
          เจ้าตั้มนี่ก็แปลกคนพิลึก! ผู้หญิงมีออกจะยั๊วเยี๊ยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มันไม่รัก...แต่ดันอุตริมารักหนุ่มน้อยหน้ามนคนรูปหล่อแถมน่ารักอย่างผม...มันทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะทัศนียภาพรอบข้าง เพื่อไต่และเขี่ยเต้าให้มาถึงผมให้จงได้...แต่ผมคงจะไม่ใจง่ายเช่นนั้นหรอกนะ..เจ้าตั้มเอ๋ย! ผมยังเดาไม่ถูกว่า..ถ้าพ่อ แม่ พี่รินทร์ รู้ความนัยของพฤติกรรมของมันเช่นนี้...อะไรจะเกิดขึ้น!? ว๊าววววววว...!





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 13:12:47 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 23:11:36 »

ป. 2
          แม่เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนผมเป็นเด็ก แม่วี..ซึ่งเป็นผู้ชายมีลูกกระเดือกดี ๆ นี่แหละ มาขอผมไปเลี้ยงในตอนเช้า ตอนเย็นก็จะอุ้มมาส่ง เป็นอย่างนี้อยู่หลายปีดีดัก...แม่ก็สนับสนุนเพราะเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักมักจี่กันมานานแสนนาน ต่อมา พ่อก็เริ่มเคือง...เตือนแม่สารพัด
" คุณก็...พูดเรื่อยเปื่อย เขาน่าสงสารออกอย่างนั้น...บุญแล้วที่เขารักเอ็นดูตาปอน่ะ "
แม่พยายามคัดค้านความคิดของพ่อ
" ก็...จะไปรู้รึคุณ นักจิตวิทยาเขาว่ามาอย่างนั้น "
พ่อคงเป็นห่วงว่าผมจะกลายพันธ์เป็นชะนี หรือเสือโคร่งไป
แต่พอนานวันเข้าพ่อสืบรู้ว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง พ่อก็วางใจและเห็นด้วยในเวลาต่อมา คงเพราะสงสารแม่วี ที่ลูกหลานของแกต่างก็ไปเรียน ไปทำงานอยู่ต่างถิ่น นาน ๆ จะกลับมาครั้ง
          แม่วี จะดีใจจนน้ำตาไหลทุกครั้งที่เห็นผมนำดอกไม้ธูปเทียน น้ำอบ น้ำหอม ขมิ้น ส้มป่อยไปขอขมาดำหัวท่านตามประเพณีของชาวเหนือ แต่น่าเสียดาย...ที่ร่างกายสังขารของแม่วี..แก่ชราผมขาวโพลนเนื้อหนังมังสาชำรุดทรุดโทรมไปตามอายุ
แม้จะมีหลาน ๆ ของแกคอยปรนนิบัติไม่ห่างแต่แกก็ไม่เคยลืมหลานปอคนนี้ของแกเลย...บางครั้งผมแอบมองแม่วี...ดูความเปลี่ยนแปลงของสังขารที่โรยรา..ก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ เพราะแม่วี มีความรักความเมตตาสมกับเป็นผู้ใหญ่ให้หลานปอคนนี้อย่างมากมายและสม่ำเสมอ
          ไม่เพียงแต่เพศที่สามเท่านั้น แม้แต่ผู้หญิงแท้ ๆ บางคนเขาก็มีความรู้สึกเหมือนแม่วี เช่น เมื่อพ่อจอดรถแวะซี้อเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ระบบเอเอ็ม ที่ตลาดแห่งหนึ่ง ตอนนั้นผมเรียนอยู่ป. 5 ทันทีที่เจ้าของร้านคงจะมีอายุไร่เรี่ยกับพ่อเธอมองเห็นผม เธอก็รีบเดินออกมาจากหน้าเค้าเตอร์ มาอุ้มผมไปชี้วิทยุเครื่องที่อยากจะได้ทั้งกอดทั้งหอม
" คุณพี่โชคดีจังเลยนะคะ "
เธอหันไปพูดกับพ่อที่เอาแต่ยิ้มอยู่...ส่วนผมตอนนั้นคงเข้าใจหรอกนะ...
          เป็นอันว่า วิทยุก็ไม่ได้เสียเงินซื้อ แถมขากลับเดินออกจากร้านทั้งขนมนมเนย หอบหิ้วกันพะรุงพะรัง...เป็นปริศนาที่ผมเองก็หาคำตอบไม่ได้จนป่านนี้ เจ้าตั้มก็คงอีกคน...ผมไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรจริง ๆ
           ผมแง้มประตูเปิดออกแล้วเดินออกไปหน้าร้าน เพราะไม่อยากสบสายตาอันหื่นกระหายของมัน
" ฮั่นแน่!...คุณชาย หิวเหมือนกันใช่ไหมล่า..."
น้ำเสียงของพี่รินทร์ยังคงแสดงออกแบบก้ำกึ่งกัน ระหว่างบ้า กับ บอ
" คนสวย..มีอะไรกินรองท้องบ้างไหมครับ? "
ผมก็ใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ พี่รินทร์ยิ้มหน้าบาน ก่อนที่จะหยิบแซนวิสให้ 2 ชิ้น
" ถามจริง ๆ เถอะคุณชายเจ้าขา  อุดอู้อยู่แต่ในห้องไม่เบื่อไม่เซ็งบ้างหรือเจ้าค๊ะ! "
นี่ก็อีกราย...อยากจะบอกนักว่า แม่กับลูกสะใภ้คนใหม่กำลังคุยกันถูกคอ...ฝันไปเถอะว่าจะได้กินข้าวเช้า
....๐๐๐๐....


 " นี่นายตั้ม!...ฉันไม่ใช่คนพิการนะยะ...ตักอยู่นั่นแหละ "
พี่รินทร์คงนึกรำคาญเหมือนผมที่เห็นอากัปฯของเจ้าตั้มที่คอยตักกับข้าวรสชาดห่วย ๆ ของมันให้คนโน้นทีคนนี้ที ส่วนแม่นะเหรอ!...นั่งหน้าบานเป็นจานชามเมื่อถูกเอาอกเอาใจโดยเฉพาะจากเจ้าตั้มด้วยแล้ว
" กินเถอะตั้ม...ไม่ต้องไปสนใจพวกปากหอยปากปู "
น่าน...ดูแม่ว่าเข้า
" เออแล้วเรียนจบแล้วจะไปต่อที่ไหนล่ะลูก แม่ลืมถาม "
" คงไปอยู่กับอาชายที่กรุงเทพน่ะครับ...คงคิดถึงคุณแม่แย่เลย.."
มันทำเสียงเศร้า แต่หางตาโปรยปรายมาทางผมเหมือนจะบอกเป็นความนัย ผมไม่ได้สนใจหรอกนะ ยังแสร้งก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารมื้อเช้าที่วางอยู่ต่อหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง
" แม่ได้ได้เจออาชายตั้งหลายปี ลูก ๆ ของเค๊าคงโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วซินะ "
" ลูกชายเขาอ่อนกว่าตั้มไปแค่ 3 ปีเองครับ "
" อืม...! อยากไปเที่ยวซะแล้วซิ คงได้ไปสักวันนะตั้มนะ "
          แม้ครอบครัวของเราจะไม่สนิทกันสักเท่าไร แต่ก็พอรู้จักและจำหน้ากันได้
" ผมไม่ชอบนิสัยของยัยกนกกแนกนั่นเลยนะคุณ...ปากตลาดแท้ ๆ "
พ่อออกความเห็นเมื่อแม่เอ่ยถึงแม่ของเจ้าตั้ม
" เขาชื่อกนกอรน่ะคุณ...มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล..ไปว่าเขาทำไมล่ะ "
แม่ค้าน เพราะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอ
" นี่ถ้าไอ้ตั้มมันเป็นอย่างนั้นนะคุณ...ผมคงต้องให้ลูกเลิกคบ "
พ่อไม่เคยยอมในเรื่องนี้ แต่ก็ให้ความรักเจ้าตั้มไม่น้อยกว่าแม่เพราะมันชอบมาคลุกคลีอยู่กับครอบครัวผมเกือบทุกเสาร์อาทิตย์ และที่สำมะคัญ...มันช่างเอาอกเอาใจ..และมันก้อ..มันก้อ..ตอแหล!
" กับข้าวคงอร่อยนะครับพี่รินทร์ ดูพี่ตั้งหน้าตั้งตากินจนไม่ยอมพูดยอมจาเลย..ไอ้ปอก็อีกคน "
มันคงทนไม่ไหวละมั๊งจึงต้องลงที่ผมทุกครั้งไป ก็เปิดห้องสนทนากันเพียงสองคนแบบถึงพริกถึงขิงอย่างนั้น ใครที่ไหนเขาจะไปพูดด้วยได้ล่ะ มันพูดไม่คิด!
" อืม!...ก็...ไม่ถือว่าอร่อยเท่าไหร่หรอกนะ..รสชาดมันจะดีกว่าโดนได้ดีดปากอยู่นิดเดียว "
พี่รินทร์จีบปากจีบคอพูด แต่ผมนี่สิ จะสำลักน้ำที่กำลังดื่มตาย...เกิดแนวคิดใหม่ขึ้นมาทันควัน หากพี่รินทร์เรียนจบวันไหน จะขอพ่อให้พาพี่รินทร์ไปฝากกับตลกสักคณะ คงจะดังทะลุทะลวงทะลายหมด...ทั่วฟ้าเมืองไทย
....๐๐๐๐.
...
 " ปอ!...ตอนเด็กนายน่ารักเนอะ... "
ผมนอนให้ท่า..เอ๊ย!...ผมนอนพักผ่อนบนเตียงเพื่อเรียงเมล็ดข้าวให้เป็นแถวมากที่สุดหลังจากเขมือบอาหารอันโอชะจากฝีมืออันห่วย ๆ ของเจ้าตั้มกับแม่
          รสชาดไหนที่มันอร่อยเป็นปกติเช่นทุกวัน ผมถือว่าเป็นฝีมือแม่ ส่วนรสชาดไหนที่แปลกพิศดารไป ก็คงไม่พ้นสูตรของเจ้าตั้มมัน
" อ้าว!...แล้วตอนนี้ล่ะ?...อัปลักษณ์เชียวเหรอ... "
ผมตีหน้าเศร้า
" เปล่า! ตอนเล็กน่ารัก...แต่ตอนโตนี่ซิ...น่ากัดชะมัดยาด "
ไม่...ผมไม่ได้อายม้วนจนน่าแดงอย่างที่คุณคิดหรอกนะ เพราะประโยคนี้เคยได้ฟังจากปากของมันจนชาชิน...เมื่ออยู่สองต่อสองมันมักจะใช้สายตาและการกระทำที่ละลาบละล้วงผมน่าดู ทำให้ผมหวลคิดถึงคำเปรียบเปรยที่ว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...แต่เดชะบุญ! ผมหาได้เป็นหินไม่...ผมเป็นเหล็ก เหล็กที่ถูกน้ำหยดบ่อยเข้า ๆ ก็เกิดสนิม...นั่นคือ สนิมอารมย์ ที่ไม่อยากให้มันมีความคิดเช่นที่มันกำลังคิด ให้เกิดขึ้นกับผม มันไม่ได้พูดเปล่า สายตาที่แสดงออกมานั้น มันเยิ้มฉ่ำ แยกเขี้ยวยักคิ้วหลิ่วตา นัยตาดูเหมือนจะนับวันจะยิ่งกรุ้มกริ่มมากขึ้น
.......
          เมื่ออยู่ในห้อง...ไม่เคยมีใครที่ถือวิสาสะเหมือนเจ้าตั้ม มันจะคอยรื้อคอยค้นข้าวของภายในห้องเหมือนจะจับผิดอะไรบางอย่าง...ไม่เว้นแม้แต่ตู้เสื้อผ้า เอ...รึว่ามันค้นหากุงเกงในมาดมเหมือนที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์กันนะ ผมผงกหัวขึ้นดูพฤติกรรมของมัน  มันวางอัลบั้มรูป...ก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดค้นหาจนพอใจ นั่นปะไร ว่าไว้ไม่มีผิด
" นายค้นหาอะไรว๊า..ไอ้ตั้ม! "
ไม่ตอบ...หันมามองหน้าผมเหมือนกับเป็นเจ้าของห้องซะเอง
" หากางเกงในเหรอ? นี่..เรานุ่งอยู่นี่ มาดมซิ "
ได้เรื่อง...ปากคนเรามักจะพาให้เจ้าของเกิดความลำบากอยู่เสมอหากพูดพร่อย ๆ ไม่ระมัดระวัง...มันหันมามองเป้ากางเกงขาสั้นสีครีมของผมทำตาลุกวาวอ้าปากค้าง ไม่เชื่อหูของตัวเอง แลบลิ้นเลียริมฝีปากไปมา...มันคงเคยดูหนังมาเสียอย่างโชกโชนจนตาแฉะจึงมองไม่เห็นเท้าที่ผมกำลังเงื้อ เตรียมตั้งท่ารอรับมันอยู่ สักครู่มันจึงล้มตัวลงนอนจ้องหน้าผมนิ่ง
" อยากมองอย่างนี้ตลอดชีวิต "
มันคงเพ้อ...แต่ดูเศร้า ๆ
          เจ้าตั้มเคยเล่าประวัติของตัวมันเองให้ผมฟัง...ก่อนหน้าที่มันจะหันมาชอบและรักผู้ชาย...เมื่อฟังแล้วเกิดความสงสารมันขึ้นมาจับใจ เรื่องทั้งหมดเป็นอย่างนี้...ฟังนะ




IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
♡♡<Fairy>♡♡
นางฟ้า...ราตรี
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,585


เทพธิดา...ไร้ปีก


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 02 พฤษภาคม 2011, 23:58:41 »



...รอค่ะ...รอ...อ่านต่อ... ยิงฟันยิ้ม ยิ้มกว้างๆ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

>>>>>....หากหัวใจไม่เข้มแข็ง    อย่าหวัง "แรง" จากสวรรค์....<<<<<
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 03 พฤษภาคม 2011, 15:08:58 »

ป. 3
          เจ้าตั้ม...มีชื่อจริง ๆ จัง ๆ อย่างน่าฟังในสำมะโนครัวว่า ปฐวี ผมยังนึกแปลกใจว่าใครเป็นคนตั้งให้มัน หรือว่ามันไปชิงใครเขามา แต่ก็ไม่ได้ถาม  มันเกิดในตระกูลที่ค่อนข้างจะมีฐานะทางการเงินที่เหลือเฟือ เหตุที่เป็นลูกผู้ชายคนเดียวในท่ามกลางพี่สาวแสนสวยทั้งสองคน แต่น่าเสียดายที่คุณเธอได้แต่งการแต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว  มันถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เล็กจนเคยตัว  ติดเป็นนิสัยหรืออีกนัยหนึ่งเรียก กมลสันดาน
          พ่อแม่มันพาย้ายถิ่นฐานยกโขยงครอบครัวมาอยู่ใกล้บ้านผม  ห่างกันแค่ไม่ถึงกิโลตั้งแต่ผมเรียนหนังสืออยู่ชั้นป. 4 เราจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตลอด มันรักผมมาก และผมก็รักมันมากเช่นเดียวกันในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด มีความเอื้อเฟื้อเผี่อแผ่ซึ่งกันและกัน ที่โรงเรียนส่วนมากมันจะเป็นฝ่ายเลี้ยงผม  จึงเป็นเหตุให้ผมสามารถเก็บเงินที่ไม่ได้จ่ายในแต่ละวันได้มากโข
          ช่วงชีวิตของมันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อครั้งม. 2 มันเริ่มตีตัวออกห่างผมเพราะติดเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง  หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ผมมาทราบภายหลังว่า...มันคบกันเป็นแฟน...ผมหลับตานึกภาพแล้วเกิดความสยดสยองและสยิวขึ้นในใจ เกิดความครางแครงใจสงสัยในพฤติกรรมของมัน  มันทำเข้าไปได้อย่างไร?  มันไปทำกันตอนไหน? และมันทำกันอย่างไร?  ผมชักจะเริ่มออกนอกเรื่องอีกแล้ว...
          วันหนึ่ง  มันซมซานกลับมาหาผม พร้อมด้วยน้ำหูน้ำตาที่หลั่งไหลเจิ่งนองเต็มปฐวี  ผมถึงบางอ้อในตอนนั้นว่า  เหตุใดเขาจึงตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น  ครับ! มันมาสารภาพบาปกับผมจนหมดใส้หมดพุง
          เจ้าตั้มถูกทิ้งอย่างไม่แยแสจากคู่ขารุ่นพี่  ผมยินดีรับฟังอย่างตั้งใจในความสูญเสียของมัน ทั้งหมดนี้รู้เฉพาะในกลุ่มไม่กี่คน มันจึงรอดตัวจากคำครหานินทาไป
          นับจากวันนั้น มันเริ่มมองผมด้วยท่าทีแปลก ๆ และแล้วมันก็สาภาพว่ามันรักผมไม่ใช่แบบเพื่อน
          ความตกใจ! ของผม ไม่สามารถทำให้ไอ้ตั้มมันมีสภาพจิตที่ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย  มันรู้ว่าผมเริ่มระวังตัวแจ การเล่นการหัว การพูดการจาผมก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นการใกล้ชิดชนิดถึงเนื้อถึงตัวเหมือนที่ผ่านมา หากมันพลั้งเผลอ ทำเป็นกอด ทำเป็นมานั่งใกล้  สิ่งที่เจ้าตั้มได้รับอยู่เสมอนั่นคือ  ฝ่ามืออรหันต์ กำปั้นรวมมิตร ศอกพิชิตมาร หรือแม้แต่ ถีบ!สะท้านพิภพ สารพัดวิธีที่จะงัดออกมาต่อกรกับมัน  แต่ รู้ไหม? ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ  ยิ่งเจ็บเหมือนยิ่งได้ใจ เสมือนคนเคยเจ็บ รึไม่ก็ เจ็บไม่เคยจำอะไรทำนองนั้น  เอ๊ะ! รึมันซาดิส
          มีอยู่ครั้งหนึ่ง  มันกระเถิบเข้ามาใกล้จะกอด  ผมก็ขยับหนีถอยห่างอยู่เรื่อยไปจนมันอ่อนใจแต่ผมสิ..ไม่ใจอ่อน อิอิ
" ปอ...เราน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ...? "
มันถามเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องให้
" อืม! "
ผมตอบแบบไม่ต้องคิด มันจ้องหน้าผมอยู่นานก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป  ผมโล่งอก แต่โล่งอยู่ได้ไม่นานเพราะ...
" ไอ้ปอ!! นายไปทำอะไรไอ้ตั้มมัน บอกมา! "
เอาละซิ ผมโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว
" โธ่...พี่รินทร์ ปอจะไปทำอะไรมันได้ล่ะ "
" โกหก! บอกมา!"
พี่รินทร์ตะคอกเสียงแข็ง...ทำตัวเป็นทนายที่กำลังไต่สวนคดีความ  โดยมีผมเป็นโจทย์ ส่วนท่านที่หลวมตัวเข้ามาอ่านเป็นจำเลย
          แขนผมโดนบิดเป็นรอยเขียวช้ำ  ยิ่งไม่เคยผ่านมือหญิงมาด้วยแล้วยิ่งเจ็บไปกันใหญ่
" ก็...ด่ามันแรง ๆ ไปนิดเดียวเองอ่ะ "
ขณะนั้นผมรู้แต่เพียงว่า น้ำขุ่นอยู่ที่ไหน ผมจะพยายามตะเกียกตะกายไป
" ชั้นว่าแล้ว...ไม่งั้นมันไม่วิ่งร้องให้ออกไปหรอก...ใครถามก็ไม่พูดด้วย...อย่างนี้นี่เอง...แม่กลับมาชั้นจะฟ้องแม่ "
ไม่รู้พี่รินทร์แอบไปแปรพรรคตั้งแต่เมื่อไร  ยังเคยเข้าข้างเราอยู่หลัด ๆ ทำไมเจ้าตั้มจึงต้องมีอิทธิพลต่อใจใคร ๆ ได้เช่นนี้นะ...หรือจะเป็นที่เสน่ห์ ปลายจวัก! ไม่ได้ซินะ...คำนี้ต้องใช้กับผู้หญิงยิงเรือเท่านั้นจึงจะถูกต้อง ส่วนผู้ชายพายเรือคงใช้ไม่ได้  เอ...รึได้หว่า...งง
          สองสัปดาห์ผ่านไป  ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าตั้มจะย่างกรายเข้ามาในบ้าน ที่โรงเรียนมันก็คอยหลบหน้าหลบตาผม ผมสอบถามจากไอ้บีกับไอ้ชิดเพื่อนสนิท มันทั้งสองคาบข่าวมาบอกผมว่า ไอ้ตั้มเปลี๊ยนไป๋!
          เสาร์ อาทิตย์ไม่ว่าจะทำอะไรในห้องครัว...แม่มักจะออกมาสอดส่ายสายตาไปทางหน้าร้านอยู่บ่อย ๆ ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ พลัน ก็ให้นึกถึงบทกลอนที่เคยท่องครั้งยังเด็ก
" ฯ ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก...แม่กาก็หลงรัก...นึกว่าลูกในอุทร ฯ "
จนในที่สุด  วันเสาร์ในสัปดาห์ที่สาม แม่และพี่รินก็ไปรับเจ้าตั้มกลับมา ผมนี่เชื่อเขาเลย!
" นี่!นายปอ..."
พี่สาวผมสวมบทนางเอก! หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับ
" ดูแลกันให้ดีล่ะ...คืนนี้ไอ้ตั้มต้องนอนที่นี่! ห้องนี้! ชั้นขอแม่เขาแล้ว...นายอย่าทำตัวให้มีปัญหาโดยเด็ดขาด! มิฉะนั้น..."
ชีวิตคนเรานี่ก็แปลก  ครั้นถึงบทจะซวยก็ซวยจนแทบมอดม้วยม้วยมรณังซวยไม่เลิก...เอ้า! เอากันเข้าไป...คงได้เป็นสามีนังตั้มก็อีคราวนี้แหละกรู!
          เกือบ 2 ชั่วโมง ที่เจ้าตั้มนั่งเงียบอยู่บนขอบเตียง มันทำตัวเหมือนหุ่นไล่กาที่ชาวนานำไปตั้งไว้เพี่อไล่นก ผมนั่งที่โต๊ะทำงานไม่ได้ให้ความสนใจมัน เปิดเพลงเบา ๆ ทำอะไรต่อมิอะไรของผมไปเรื่อย เข้าออกนอกห้องบ้างตามสมควรแต่ก็ไม่วายที่จะหันไปมองมันเป็นบางคราว  พรางคิดในใจว่ามันจะมาไม้ไหนอีกนะ?
          สุดยอดของความมาราธอน  จนบางครั้งผมก็อยากจะแกล้งมันเหมือนกัน อยากจะตะโกนบอกมันซะเหลือเกินว่า...เฮ้ย! นกมาเป็นฝูงไล่ให้หน่อย...แต่ก็เพียงแค่คิด เพราะน่าตาท่าทางมันเอาจริง  โถ..เจ้าหุ่นไล่กา
          ผมรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับล้มตัวลงนอน...มันยังไม่ตายนี่หว่า!...ยังคงมีชีวิตอยู่
" ไอ้ตั้ม ไอ้ปอ ไปกินข้าวแม่ให้มาตาม "
" ฉันละเบื่อไอ้พวกนายห้องจริง ๆ "
พี่รินทร์แสยะแยกเขี้ยวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อมองเห็นเจ้าตั้มนอนอยู่บนเตียง คงคิดวางใจว่าไม่มีอะไร  ใช่ซินะ  ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ
          บนโต๊ะอาหาร ดูมันสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นกรณีพิเศษ สงบปากสงบคำสงบอากัปกิริยาอย่างเลือดเย็น ทั้งแม่และพี่รินทร์ต่างคะยั้นคะยอเอาอกเอาใจ...ตักโน่นตักนี่ใส่ลงในจานข้าวมัน ปากก็พูดเหมือนต่อยหอย...ส่วนเจ้าตั้มได้แต่ยิ้ม ปากของมันเงียบเหมือนเป่าสาก...จะพูดบ้างเป็นบางครั้ง
          ที่ผมสังเกตุเห็นก็คือ  รอยยิ้มของมัน...มันพยายามฉีกยิ้มอย่างจืด ๆ ดูเศร้า ๆ พิกล  ผมเดาไม่ออกว่ามันอกหัก  รึว่ามันคิดถึงผัวเก่าของมัน!
          เมื่ออาหารมื้อกลางวันถูกพิจารณาสะสางเป็นที่เรียบร้อย  เจ้าตั้มเลือกที่จะอยู่หน้าร้านกับพี่รินทร์ ส่วนผมก็ขอตัวไปทำการบ้านต่อในวิมานของผม
          ครู่ต่อมา...เจ้าตั้มก็โดนขับไล่ใสส่งให้กลับมาหาผม  มันล้มตัวลงนอน ณ ที่เก่าเวลาเดิมของมัน  สมองของมันขณะนี้คงคิดได้อย่างเดียวคือนอน...
ผ่านไปอีกนานสองนาน...ผมลุกจากโต๊ะล้มตัวลงนอนข้างมัน มันรีบขยับหนี!
ผมพึ่งเข้าใจว่าการที่ถูกปฏิเสธเป็นเช่นไร...ผมรีบรวบตัวมันเข้ามากอดจ้องหน้ามันนิ่ง
" ที่รัก เป็นอะไรไปจ้ะ..? "
มันจ้องหน้าผมเช่นกัน ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาให้เห็น
" จะจูบแล้วนะ.. "
ผมประทับรอยจูบที่พวงแก้มของมันเป็นครั้งแรกในชีวิต มีความรู้สึกที่แปลก แตกต่างจากแก้มของแม่และพี่รินทร์ อย่างน้อยก็คงจะเป็นการแสดงออกแทนคำขอโทษได้เป็นอย่าดี เจ้าตั้มมันหลับตาเพื่อจะปิดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลแต่ก็ยังเล็ดรอดออกมาเป็นทางยาว...
" คนไม่รักกัน...มาทำอย่างนี้ทำไม..."
แม้มันจะเบือนหน้าหนี แต่คงยากที่จะหนีให้พ้นเงื้อมมือของผม  ผมจับหน้าเจ้าตั้ม บิดคอหมุนกลับมา
" ทำไมเราจะไม่รักนายล่ะ..."
ผมพูดขณะจ้องหน้า สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ ...แล้วมันก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้งหนึ่ง
ทุกอย่างดูเงียบสนิท บรรยากาศช่างขมุกขมัวเสียนี่กะไร...ผมนอนกอดเจ้าตั้มไม่รู้ว่านานเท่าได...แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมันเผลอหลับไปแล้ว..ไม่หรอก! อย่าคิดว่าผมจะลักหลับ..ไม่มีทางผมเป็นสุภาพบุรุษ
          จะทำอย่างไรดีนะ ผมคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในลักษณะนี้อย่างไม่เข้าใจจะดีหน่อยก็คือผมไม่โกรธไม่เกลียดพวกเขาเหล่านี้...อาจจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังที่ดีจากแม่วีก็อาจเป็นได้...กลับเกิดความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ หากแต่ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
" งัย! รูปหล่อ...คู่หูไปไหนซะล่ะ? "
" หลับอยู่ในห้องครับ "
" ฮืม..ก็ดี แล้วเข้าใจกันแล้วใช่ไหม ? "
พี่รินทร์สวมบทบาทวางอำนาจเพื่อแสดงตนเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีที่ติ
" ครับ! "
...๐๐๐...

" อ้าว! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ "
ผมเหลือบไปมองดูเจ้าตั้ม...ที่กำลังนอนจ้องมองผมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
"...................... "
มันก็ยังคงไม่พูดกับผมอยู่ดี...ขนาดหลับไปแล้วตั้งนาน...ยังไม่ลืมอีก กิริยาท่าทางก็ไม่แสดงออกมาให้ผมได้รับรู้เลยสักนิด...ยังคงนอนจ้องผมอยู่อย่างนั้น...เฮ้อ! อึดอัด ๆ ๆ
" ตั้ม! นายเป็นกามตายด้านเหรอ? "
ผมเกิดความสงสัย เพราะไม่ว่าจะทำอะไร หรือแม้แต่บรรจงจูบบันทึกไว้ในซีเมเจอร์เสียหนักหนาปานนี้...มันก็ยังคงทำตัวเหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว อีกหน่อยก็ลืมเชื่อเห๊อะ
" งั้นเราจะไม่บังคับใจนายก็ได้...โกรธเรามากเหรอ...เราไปทำอะไรให้ล่ะ "
ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่า  ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าเพื่อนรักในขณะที่ผมและมันต่างก็จ้องตากันอยู่
" งั้นเราขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันนะ...แต่ให้นายจดจำไว้อย่างหนึ่ง "
สีหน้าผมเริ่มจริงจัง...เพราะผมไม่ใช่คนขี้เล่น ไร้สาระอะไร...ผู้อ่านทุกคนเป็นพยานได้
" จำไว้ว่านายคือเพื่อนเรา...เพื่อนที่เรารักมากที่สุด...อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย...เพราะมันคงไม่ยืดยืนยาวกว่าคำว่าเพื่อนรักไปได้ "
ผมใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไปพร้อมกับด้วยอาการที่เย็นชาของมัน
ทั้งสงสารและรักเพื่อน..แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราคงให้นายมากกว่านี้ไม่ได้หรอกนะตั้ม...เพราะตระกูลของเราไม่มีอย่างนี้แม้แต่คนเดียว...พ่อก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม...ครอบครัวเราก็เป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง...ถ้าเรามีพฤติกรรมเหมือนอย่างที่นายอยากให้ทำ อยากให้เป็น...ความรู้สึกของเราคงไม่ดีนัก...แล้วพ่อแม่ พี่ ของเราล่ะ...เขาจะทำอย่างไรเมื่อเห็นลูกชาย เห็นน้องชาย...เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด
          หากเป็นเช่นนั้น...ความรักความเอ็นดูของพ่อแม่ พี่รินทร์ ที่มีต่อนายคงจะเปลี่ยนตามไปด้วย...และแล้ว เขาจะมองนายด้วยสายตาอย่างไรนะ...เดาไม่ออกจริง ๆ เพื่อนรัก
          เจ้าตั้ม มองนัยตาของผมเหมือนจะเข้าใจ...สายตาที่พยายามสื่อถึงเพื่อน ให้รู้จักผิดชอบชั่วดีแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยไม่ต้องกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด ผมเคยพูดเป็นเชิงนี้กับมันตั้งหลายครั้ง เพื่อให้มันเปลี่ยนใจ แม่น้ำทั้งห้า ที่ผมพยายามดึงมา ล้วนแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น เช่น ตัวอย่างของแม่วี...กี่คนกี่คนล่ะที่ทิ้งแกไป...หากไม่มีลูกหลานแล้วแกจะได้พี่งพาอาศัยใครคอยฝากฝีฝากไข้...คำตอบที่ผมเคยได้รับจากเจ้าตั้มในทุกครั้ง เมื่อคิดทบทวนผมถึงกับสะอึก!
" มันสายไปแล้วละ...ปอ "


IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 03 พฤษภาคม 2011, 22:27:50 »

ป. 4
          ยิ่งนานวันคุณตั้มก็ยิ่งตีตัวออกห่างผมไปทุกที หยุดเสาร์อาทิตย์ หากพี่รินทร์ไม่ไปรับ  อย่าได้หวังเลยว่ามันจะมาเหยียบบ้านผมอีก แต่พอมามันก็แสดงกิริยาเช่นเดิมอีกจนผมนึกรำคาญ  ช่วงหลัง ๆ นี่ดีหน่อยเพราะพี่รินทร์จะดึงตัวช่วยงานหน้าร้าน ผมเองก็พลอยได้ยินเสียงหัวเราะของมันบ้าง
          ขณะอยู่โรงเรียนก็จะคอยหลบหน้าหลบตาอยู่ตลอด...แต่เท่าที่สังเกตุ ผมจะตกเป็นเป้าสายตาของมันเสมอ มันจะคอยแอบดูพฤติกรรมของผมเหมือนจะคอยจับผิดอะไรบางอย่าง  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจมันเข้าไปทุกทีเช่นกัน
" ฮั่นแน่! จับได้แล้ว "
ผมรีบคว้าข้อมือเจ้าตั้มไว้แน่น เพราะกลัวว่ามันจะวิ่งหนีผมไป
" แอบดูเขาทำไม? มีอะไรน่าดูนัก...หือ... "
เจ้าตั้มหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าผมรู้ความลับของมัน  ไม่ทันระวังตัวคงกำลังมองหาผม...เพราะจู่ ๆ ผมก็หายจากม้านั่งหินอ่อนไป
" ตั้ม! เราถามจริง ๆ เถอะ...มาโกรธมาเกลียดอะไรเรานักหนา...ลืมแล้วหรือว่าเราเป็นเพื่อนรักกัน ที่เข้าใจกันมากที่สุด "
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
" พักเที่ยงเราก็ต้องลงมากินข้าวคนเดียว  ไอ้พวกนั้นมันได้เพื่อนใหม่มันก็หายหัวไปกันหมด...นายไม่สงสารเราบ้างเหรอ? "
ผมอ้อน  เพราะไม่อยากให้ใครฉีกบัตรลงคะแนน...หากทำเช่นนั้น นั่นย่อมหมายถึงการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่เด่นชัดที่สุด ผมเริ่มออกนอกเรื้องอีกแล้ว
" เราไม่อยากเห็นหน้านาย  ปอ เราอยากลืมนาย ลืมให้หมดทุกอย่าง... "
แปลกนะ...ผมจ้องตามันครั้งใด ดูเหมือนว่ามันกำลังจะชวนผมร้องให้เสียทุกที
" แล้วที่แอบมองล่ะ? หมายความว่าอย่างไร? "
ผมก็พูดไม่คิด  ไม่รู้จักถนอมน้ำใจเพื่อน ขวานมีกี่เล่มจะขนออกมาผ่าไม้เสียหมด
เจ้าตั้มส่ายหน้าพร้อมหลับตา  เหมือนว่ากำลังพยายามกลืนสิ่งขม ๆ ที่ยังค้างคาคอ...
โธ่เอ๋ย...เจ้าตั้ม กรรมอะไรของนายนักหนานะ
" เราไม่เคยพูดเลยว่าไม่ได้รักนาย ตั้ม "
ผมพยายามปลอบ ขณะที่มันซุกกายอยู่ในอ้อมกอดของผม
" พ่อ แม่ พี่รินทร์ก็ไม่เคยพูดออกมาให้เราได้ยิน...ตรงกันข้ามเขากลับรักนายเสียยิ่งกว่าอะไรดี...จนบางทีเราเองยังแอบน้อยใจเลยว่า ระหว่างเรากับนาย  ใครเป็นลูกเป็นน้องกันแน่ "
ผมลูบผมยาว ๆ ของมันไปมา
" แต่ขออย่างเดียว...ขอให้นายกลับมาเป็นนายตั้มคนเดิมได้ไหม? "
จะมีก็แต่เพียงเสียงสะอื้นแทนคำตอบ ไม่รู้ว่าตอบรับหรือปฏิเสธ
" และขอให้นายเปลี่ยนความรักของนาย...มาเป็นพี่กับน้องเหมือนที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา...นะ "
เจ้าตั้มหรี่ตาขึ้นมองหน้าผมทั้งที่น้ำตายังไหล
...๐๐๐...

" กู๊ด...มอนิ่ง พี่รินทร์ "
เจ้าตั้มทักขึ้นในทันทีที่จักรยานคู่ชีพ ได้หาที่จอดให้ระเกะระกะจนสาสมใจ นิสัยไม่เคยเปลี่ยน
อีกไม่กี่นาทีคงต้องเดือดร้อนผมอีก
" มอนิ่ง! "
" แหม! วันนี้มาแต่เช้าเลยนะยะ "
พี่รินทร์คงแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว  ด้วยสับดาห์หนึ่ง ๆ จะเจอหน้าเจ้าตั้มเพียงแค่ 2 วัน
" ไอ้ปอมันยังไม่ตื่นเลย...ไปถามให้หน่อย...มันจะกินทั้งบ้านทั้งเมืองใช่ ไหม? รึมันจะเอาโล่ห์อัปยศ "
" ปอ ๆ ๆ...ลุกได้แล้ว...พี่รินทร์ให้มาเรียก ลุก ๆ ๆ "
ผมคงรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนมันเปิดประตูเข้ามาแล้วล่ะ
" ทำไมนายนอนขี้เซาอย่างนี้นะ "
ผมพลิกไปมาตามแรงมือผลักของมัน...รีบหดเท้าเข้าในผ้าห่มทันทีเพราะรู้สึกว่ามันจะอุตริเอานิ้วไปเกาฝ่าเท้าผมเข้า  ไอ้บ้าเอ้ย!  ที่มีให้เกาไม่เกา
" ถ้าไม่รู้สึกตัวอย่างนี้...เราจะลักหลับแล้วนะ "
เจ้าตั้มก้มลงมากระซิบข้างหู...หอมที่แก้มสาก ๆ ของผมฟ็อดใหญ่และเนิ่นนาน...จนผมต้องใช้ฝ่ามือผลักหน้าผากของมันออกไป เพราะการกระทำเช่นนี้ขอสงวนไว้ให้เพียงแม่และพี่รินทร์ทำเท่านั้น
" ไอ้ตั้ม  อย่ากวนได้ไหมว๊า  จะไปทำอะไรก็ไปไป๊ "
" ไม่ไป  ถ้านายยังนอนอยู่เราก็จะนอนกับนาย..กอดนายด้วย...โอเค๊! "
" เออ ๆ "
ตอนนั้นผมคงง่วงจริง ๆ แหละ เพราะเมื่อคืนนอนดึก...เลยพูดตัดบทไป
" ปอ...ถ้าสมมุติวันหนึ่งนายแต่งงานไป...นายจะคิดถึงเราไหม? "
" อืมส์! "
คนจะหลับจะนอนมาถามอยู่ได้...คงได้ผลแฮะ! มันเงียบไปตั้งนาน
" อีกไม่กี่เดือน เราจบม. 6 ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ...นายจะคิดอย่างไร ? "
แขนมันยังคงกอดผมอยู่ด้านหลัง...แต่ปากมันกับหูผมเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
" อืมส์!...ไม่คิด "
" ก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน...แล้วทำไมนายถึงจะไม่คิดอะไรเลยล่ะ ปอ นายเป็นเพื่อนภาษาอะไรวะ? "
ความโกรธเคืองคงกำลังวิ่งหาเจ้าของเสียง
" ทำไมถึงจะไม่คิด...บอกมา!..."
มันเขย่าตัวผม
" โธ่เว๊ย! คนง่วงนอนมันจะไปคิดอะไรได้โว๊ย! "
ผมตึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเพราะไม่อยากฟังมัน...
คนง่วงนอนกับคนเมานี่มันคงไม่แตกต่างกันนักหรอกมันช่างไม่รู้กาละเทศะจริง ๆ
" เออ ๆ ...นอนก็นอน "
มันยิ่งกอดผมแน่นขึ้นอีก
...๐๐๐...
          และแล้ว...วันแห่งการอำลาก็มาถึง เมื่อเจ้าตั้มต้องเดินทางเข้าสู่เมืองกรุงไปอยู่กับอาชายซึ่งเป็นอาแท้ ๆ ของเธอและมันเพื่อการศึกษา
          คนที่จะเป็นจะตายมีอยู่สองคน ซึ่งคงไม่พ้นแม่กับพี่รินทร์อีกเช่นเคย ส่วนผมกับพ่อและแม่กนกอรของมันไม่เห็นจะคิดอะไรเพราะถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ได้ไปตายซะหน่อย! คุณว่ามะ  คอมเม้นท์หน่อยเส้ะ  แอบอ่านอยู่นั่นแหละ  ผมเริ่มทะเลาะกับแฟนละคร
" รักษาเนื้อรักษาตัวดี ๆ นะลูกนะ...ตั้งใจเรียนให้ได้เป็นเจ้าคนนายคน...หมั่นโทรมาหาแม่บ้างนะ "
แม่ก็คงยังหัวโบราณอยู่ดี ผมเหลือบมองหน้าแม่กนกอรที่ได้แต่ยืนยิ้มอยู่...เธอเลี้ยงดูเจ้าตั้มแต่เล็กจนโตด้วยความรักที่ค่อนข้างออกไปทางซาดิสหน่อย ๆ ตามนิสัยนักเลงของเธอ...ไม่เห็นจะต้องพิถีพิถันให้ยากลำบากเหมือนแม่
" จ้ะ...โชคดีนะตั้ม...ถ้ากลับมาเยี่ยมบ้าน อย่าลืมหิ้วหนุ่ม ๆ กรุงเทพฯมาฝากพี่ด้วยนะ "
พี่รินทร์รับไหว้และสวมกอดเจ้าตั้มอย่างรักใคร่ทนุถนอมพร้อมกับกระซิบข้างหู แต่สายตาเจ้าตั้มมันจ้องมาทางผม เป็นเหตุให้ผมต้องรีบหลบสายตาก้มลงต่ำ...เพราะมันกำลังชวนผมร้องให้
" คุณชายคะ ฝากลูกตั้มด้วยนะคะ "
แม่พูดกับอาชายคว้าเจ้าตั้มมากอดลาแล้วลาอีกพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อไหลออกจากตา
....................................

" ใจหายนะคุณนะ...ฉันรักตาตั้มเหมือนลูกแท้ ๆ คนหนึ่ง "
แม่หันไปพูดกับพ่อท่าทางเศร้า ๆ หลังจากที่รถเก๋งคันงามของอาชายวิ่งหายลับตาไป...โดยมีแม่กนกอรตามไปส่งถึงกรุงเทพฯ
          นี่แหละคือรสชาติแห่งชีวิต...นักปรัชญาบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม...สังคมจะดีขึ้นหรือเลวลงล้วนแต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทั้งสิ้น
          ส่วนในทางพระพุทธศาสนาให้ความเห็นไว้ว่า...มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง...รู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักการสืบพันธุ์...หากแต่จะแยกตัวหรือยกเกรดระดับของตัวเองให้สูงขึ้นกว่าสัตว์ชนิดอื่น ก็คงได้แก่ความมีคุณธรรม ซึ่งสัตว์เดรัจฉานไม่มี แต่สัตว์ประเสริฐเฉกเช่นมนุษย์...มี!


IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 06:20:19 »

ป. 5
" อ้าว! พี่รินทร์ เอากิ๊กที่ไหนมาเลี้ยงอีกล่ะ "
ผมทักขึ้น  กะจะมาปฏิบัติหน้าทีช่วยขายของให้สมกับเป็นน้องชายที่แสนดีของพี่สาวแสนสวยซะหน่อย
" เอ นี่พี่ปอ น้องชายพี่รินทร์เองรู้จักกันไว้ซะสิ "
ผมรับไหว้เด็กชาย  ทันทีที่ผมเห็นหน้าเจ้าเอ  ผมเกิดความคิดถึงเจ้าตั้มขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ  ได้แต่รำพึงรำพันในใจคนเดียวว่า  กรูว่าแล้ว...เพราะมันตกอยู่ในอาการตะลึงจ้องหน้าผมตาแทบไม่กระพริบ
" ไอ้ปอ...ปากหมาอีกแล้วนะ กิ๊ก ๆ ก็อก ๆ ที่ไหนเช้า ๆ อย่างนี้ให้มันมีสิริมงคลหน่อย "
ผมโดนอีกแล้วแต่เช้าเลย
" เอเรียนอยู่ที่ไหนล่ะครับ...มาเยี่ยมญาติแถวนี้เหรอ "
ผมถือโอกาสนั่งเก้าอี้แทนพี่รินทร์ที่ลุกไปขายของพร้อมทำการสัมภาษสดออกอากาศกับเจ้าเอ
" ผมพึ่งย้ายมาจากนครสวรรค์ จะมาเรียนต่อ ม. 3 ที่นี่ครับ "
เสียงเจ้าเอประหม่าไม่กล้าสบตาผมตรง ๆ
" เหรอ! แล้วมาอยู่กับใครละ? "
ผมหยิบเครื่องคิดเลขมาคิดค่าของที่พี่รินทร์นำมาวางไว้บนโต๊ะไปด้วย ส่วนพี่รินทร์เป็นคนบรรจุลงในถุงพลาสติกให้ลูกค้า
" มาอยู่กับย่า...ครับ ย่าไม่มีคนดูแลพ่อเลยให้ย้ายมาครับ "
" อ๋อ... "
ย่าของเจ้าเอผมก็รู้จักและค่อนข้างสนิทเพราะบ้านแกอยู่ไกล้บ้านแม่วีซึ่งห่างจากบ้านผมไม่ไกลนัก
" เอ...กินข้าวมารึยังล่ะลูก "
แม่เดินออกมาจากห้องครัวลูบหัวเจ้าเอเบา ๆ  นี่แสดงว่าทุกคนรู้จักเจ้าเอหมดแล้ว  แล้วผมล่ะมัวไปอยู่เสียที่ไหนล่ะเนี่ย ตกข่าว อายจัง!
          นับจากวันนั้นเป็นต้นมา  เจ้าเอก็เข้ามามีบทบาทแทนเจ้าตั้มเสียทุกอย่าง  จะเข้ากันได้ดีที่สุดก็เห็นจะได้แก่พี่รินทร์  เพราะพี่รินทร์เป็นคนหลอกเด็กเก่ง  หลอกให้ช่วยขายของ ส่วนตัวเองก็นั่งเป็นเจ้าแม่คอยกำกับ  แต่เมื่อใดที่ผมนึกสนุกไปแกล้งเจ้าเอเข้าวันนั้นผมจะต้องซวยอย่างไม่มีชิ้นดีไปทั้งวัน  เพราะโดนด่าโดนบ่นไม่รู้จักจบสิ้น พี่รินทร์หวงเจ้าเอยิ่งกว่าไข่ในหิน  แม่นะเหรอ!  โน่น  ถือหางให้พี่รินทร์ตลอด...เอ๊ะ! นี่พี่สาวเราเป็นสัตว์หรืออย่างไรจึงได้เขียนทำนองนี้วะ? บ้าจัง
          เจ้าเอถึงมันจะจบ ม. 2 จะต่อ ม. 3 ตัวเล็กกระจิดริด ขี้อ้อนละเป็นที่ 1 ผมมักชอบอุ้มมันเดินเล่นรอบบริเวณบ้านบ่อย ๆ และมักจะถูกพี่รินทร์กล่าวคำสรรเสริญเยินยออยู่บ่อย ๆ อีกเช่นกัน
" ไอ้ปอ!...โตเป็นควายแล้วยังพาน้องเล่นเป็นเด็กไปได้ "
ครั้นจะให้ไปไล่กอดไล่ปล้ำเหมือนเมื่อก่อนก็คงจะไม่ทำแล้วละ  กลัวพ่อว่าให้ จึงปล่อยเลยตามเลยทำเฉยหูทวนลมไป  ผมแอบคิดในใจคนเดียวว่า  ในโลกนี้...จะมีน้องชายน่ารัก ๆ แถมหล่ออีกต่างหากแต่อาภัพหลงเหลืออยู่ในโลกนี้เหมือนเราบ้างไหมนะ?...ก็คงได้เพียงแต่คิด...
          บางวันย่าของเจ้าเอก็มาขลุกอยู่ที่บ้านผมทั้งวันเหมือนกัน  แม่ละดีใจใหญ่ที่มีเพื่อนเกือบรุ่นราวคราวเดียวกันมาคุยด้วย  ทั้งคู่คุยกันอย่างถูกคอออกรสออกชาด
ผมนึกน้อยใจแทนเจ้าตั้ม  ที่แม่กับพี่รินทร์ทำเป็นลืมมัน...แต่คิดไปคิดมาก็นึกโกรธให้มันอยู่เหมือนกัน  หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ข่าวคาวก็ไม่ส่งมาหาเพื่อนรักคนนี้บ้างเลย  เป็นตายร้ายดีอย่างไรเราพอรู้บ้างก็คงจะดี...แอบคิดถึงมันเหมือนกันนะ...นังตั้ม!
" ปอ!...ปอเอ้ย...ปอ!..."
เสียงแม่เคาะประตูในยามเช้าตรู่  กลางคืนผมจะล็อคห้องลงกลอนอย่างดี เพราะอยากให้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากที่สุด แต่ตอนกลางวันผมจะปิดไว้เฉย ๆ ใคร ๆ จึงมีโอกาสเข้าออกได้อย่างสบายแฮ
" แม่มีอะไรครับ? "
ผมเปิดประตูให้แม่
" ไปเฝ้าหน้าร้านแทนพี่เขาหน่อย...เขาจะไปรับไอ้เอมา... "
ผมนึกเคืองนิด ๆ ทำไมจะต้องถึงกลับเอาอกเอาใจกันขนาดนั้น
" ไปรับมันมาทำไมล่ะแม่  สายหน่อยมันคงมาเองแหละ... "
" น้องไม่สบายน่ะลูก...รบเร้าจะให้ย่ามาส่ง  แต่ย่ายังทำงานบ้านไม่เสร็จ...แม่เลยจะให้พี่เราไปรับ เร็ว ๆ นะพี่เขารออยู่ "
" ครับแม่ "
ผมเกิดความอิจฉาเจ้าเออยู่ในใจ ที่จู่ ๆ มันก็ได้ความรักจากแม่และพี่รินทร์ไปแบบฟรี ๆ ตอนนั้นผมอยากจะเอ่ยปากถามแม่และพี่รินทร์ว่า สำหรับผม แม่และพี่จะมีความรักให้เหมือนเจ้าตั้มเจ้าเอบ้างไหม?  สักครึ่งของพวกมัน  ก็ยังดี  รึไม่มีเลยนะ...
" กว่าจะเสด็จมาได้นะนายปอ! " พี่รินทร์ชายหางตาทำตาเล็กตาน้อย
" ฟังพูดเข้านั่น...ดึงคำพูดสูง ๆ ลงมาต่ำ "
ผมทำหน้าบึ้งในตอนนั้น  ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง  พูดไปสองไพเบี้ย  นิ่งเสียตำลึงทอง...แล้วพี่รินทร์ก็ออกจากร้านไป
" เป็นอะไรไอ้ปอ?... "
ผมหันไปตามเสียง
" ก็พี่รินทร์กับแม่นะซิพ่อ "
ผมทำท่าจะฟ้อง  เพราะคงมีใครเข้าข้างเราสักคนซิน่า...
" เอาอกเอาใจ...โอ๋ไอ้เอจนเกินเหตุ... "
ผมคงงอนมั๊ง เลยไม่รู้ว่าแม่ยืนอยู่ข้างหลัง
" ไม่หรอกมั๊งปอ  เพราะพ่อเป็นคนรับโทรศัพท์  และให้แม่บอกพี่รินทร์ไปรับมาเอง "
อ๋อ! เป็นอย่างนี้ ต้องรวมพ่อเข้าอีกคนซินะ
" ถึงอย่างนั้นก็เถอะพ่อ... "
" เอ๊อ!...เจ้านี่คิดมากโว้ย "
" นินทาอะไรแม่กับพี่รินทร์นายปอ?... "
ผมหันไปยิ้มแห้ง ๆ กับแม่
" ถ้ารู้ว่าแม่มาแอบอยู่...คงไม่นินทาหรอกครับ "
แม่ค้อนให้ผมก่อนที่จะผละเดินเข้าครัวไป
" พี่ปอ  สวัสดีครับ... "
แม้ผมจะไม่พอใจนัก แต่ก็คงอนุโลม เพราะเจ้าเอรู้จักไปลามาไหว้  ถึงผมจะโกรธจะเกียดมันไม่ว่าน้อยหรือมาก...แต่มันก็หายเป็นปลิดทิ้งทุกทีที่มันแสดงกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน กิริยาเฃ่นนี้  คนไทยแต่ครั้งบรรพกาลเรียกรวมว่า น่ารัก แต่คนไทยสมัยปัจจุบันถือเอาคำว่าน่ารัก หมายถึงความหล่อเหลา ความหน้าใสจิ้มลิ้มพริ้มเพรา...ขัดกันนักกับอดีต
" เอเป็นอะไรล่ะหน้าซีดเชียว! "
ผมอ่อนละลายเหมือนเหล็กถูกไฟ...ถลาเข้าไปประคองร่างของมันแทนพี่รินทร์  ถึงว่า...เสียงมันดูแหบ ๆ ผมมองหน้าพี่รินทร์
" พี่พาแวะคลีนิคแล้ว...เขาให้ยามา 3 กระสอบ..เป็นนาย ๆ กินไหวไหมวะ...ปอ? "
ผมมองตามกระสอบ...เอ๊ย! ถุงยา
" เอ...ไปนอนพักในห้องพี่ปอนะลูกนะ... "
ห้องผมเป็นที่สาธารณอีกเช่นเคย แม่เอามือลูบหัวเจ้าเออีกแล้วละ  ทำไมผมถึงคิดมากอย่างนั้นนะ
เอาวะ!...น้องก็น้องซิโว้ย!...เอากะเขาหน่อย
ผมช้อนร่างของเจ้าเอ  มันกอดคอผมแน่น  อุ้มเข้าห้องไป...อย่า! อย่ามองตาม...ผมไม่ชอบกองสอดแนม
" พี่ปออยู่กับเอนะ...อย่าไปไหน "
เจ้าเอคว้าแขนผมไว้หลังจากที่วางมันลงบนเตียง...มันจะมาในรูบแบบไหนอีกล่ะ?
" เดี๋ยวพี่จะเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน...เอนอนพักผ่อนนะ..เด็กดี "
ริมฝีปากสิชมพู...แก้มที่เคยใสสะอาด...กลายเป็นซีดเผือด คงเพราะพิษไข้นั่นเอง ด้วยความสงสารทำให้ผมลืมในสิ่งที่เคยเคืองเสียสิ้น...กลับเป็นห่วงและรักมันอย่างจับใจ...ผมประทับจูบลงหน้าผากเป็นเชิงปลอบใจ
เจ้าเอพยายามฉีกยิ้มให้ผมครั้งแล้วครั้งเล่า...โถ!...เด็กน้อย
" พี่รีบเข้ามานะครับ เอจะรอ "
" จะรอทำไมล่ะ?....พี่ปอบอกให้หลับพักผ่อนไม่ใช่หรือ...เป็นเด็กดื้อซะแล้วนะเรา "
ผมเอานิ้วชี้ขยี้จมูกโด่ง ๆ ของมันเบา ๆ เหมือนกับมันเป็นเด็ก ทั้ง ๆ ที่มันโตแล้ว
" สายหน่อยย่าก็คงมา...เอหลับพักผ่อนรอย่านะครับ คนดี "
" ครับ...พี่ปอ... "
          ผมออกมาหาแม่ในห้องครัว...กับข้าวของเจ้าเอก็ถูกจัดลงสำรับเรียบร้อยแล้ว...ผมน้ำตาพาลจะไหล...มองหน้าแม่อย่างเหลืออด
" แม่เอาไอ้ตั้มไปไว้ไหน...แม่ลืมไอ้ตั้มแล้วหรือครับ??? "
" อะไรกันปอ...แม่ไม่เข้าใจ? "
" ทุกคนลืมไอ้ตั้มหมด...หลังจากที่ไอ้เอเข้ามาแทนที่ "
ผมชำเลืองสายตามองแม่อย่างตัดพ้อ  แม่เดินเข้ามากอดผมไว้เอามือลูบหัวไปมา...นานแล้วซินะ..ที่ผมไม่ได้กอดแม่ ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่นของแม่  จึงเดาไม่ถูกว่าแม่มีความคิดเป็นเช่นใด
" ปอฟังแม่นะลูก "
" คนเราเกิดมาต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปันซึ่งกันและกัน แม่มีความรัก ความหวังดีความปรารถนาดี...แม่จึงมอบสิ่งนี้ให้กับทุกคน สังคมในครอบครัวก็มีความสุข สงบ ร่มเย็น...สังคมอื่นที่แม่มีความรักให้เขาก็มีความสุขไม่แพ้เราหรอก...ปอว่าไหม? "
ผมได้แต่นิ่งฟัง...เพราะนั่นคือคำสอนของแม่ตั้งแต่เล็กจนโตที่ได้ยินมา...เป็นผลพวงให้ครอบครัวเรามีอะไรที่แปลกกว่าที่อื่น...แต่ผมก็ภูมิใจเพราะเป็นความแปลกในทางที่ดีและสร้างสรรค์
" ปอโตแล้วนะ  ยังแยกอะไรต่อมิอะไรไม่ออกอีกเหรอ? "
" ถ้าปอยังแยกไม่ออก...ก็น่าเสียดายนะ...คามรู้ตั้งม. 6...แม่ไม่มีโอกาศเรียนสูง ๆ อย่างปอ...ความคิดของแม่ก็คงได้แค่นี้แหละนะ..."
ประโยคสุดท้ายเหมือนจะประชดประชัน...เหมือนจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง...ถึงน้ำตาผมจะไหล...แต่ก็ไหลด้วยความปลื้มปิติยินดี...ยินดีที่ผมได้มีวาสนาเกิดเป็นลูกของแม่...ยินดีที่แม่ได้อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีตลอดมา...และยินดี...ที่ผมมีแม่ที่มีน้ำใจประเสริฐเช่นนี้ ผมซะอีกที่ควรพิจารณาตัวเองในสิ่งที่ทำ...ในสิ่งที่คิด...ตอนนั้นผมนี่แย่จริง ๆ
" แม่ถามความรู้สึกของเราหน่อย...ตาเอน่ารักไหม?...กิริยามารยาทเป็นอย่างไร? ...เมื่อรู้คำตอบแล้ว...ทำไมปอไม่ส่งเสริมสนับสนุนน้องล่ะลูก?
แม่ยากให้ปอมีความคิดเป็นเหมือนแม่จัง...แต่ก็นั่นแหละนะ...คงได้แค่หวัง...แม่ดีใจอยู่อย่างหนึ่งคือ...พี่รินทร์ของลูกเขาทำได้...ดูและสังเกตุพี่เขาดี ๆ แล้วปอจะรู้ "



IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 08:04:18 »

ป. 6
          ตกลงในเช้าวันนั้น...ผมก็ได้มีโอกาสดี ๆ ได้ทำตัวเป็นทาสรับใช้  ไม่ใช่ซิ เป็นขี้ข้า! เจ้าเอ  ด้วยการยกสำรับกับข้าวไปถวายมันและท่าน และคอยป้อนเหยื่อ...!
แหม...! ผมนี่ก็เหลือเกินจริง ๆ นะ แม่พึ่งสอนมาหยก ๆ ลิ้นยังไม่ทันเข้าปาก  นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ  ถูกบ้างไหมเนี่ย  ยังไม่รีบเปลี่ยนความคิดอีก  นี่กระมัง ที่เขาเรียกว่าลูกทัพพีน่ะ???
" คงลำบากพี่ปอแย่... "
มันพูดขึ้นอย่างเกรงใจ ขณะที่ผมขู่บังคับให้อ้าปากงับช้อนข้าวต้มไว้
" จะลำบงลำบากกันแค่ไหนเชียว...เรื่องแค่นี้...พี่ปอทำได้สบายม๊าก "
ผมยืดอก  คงบ้ายอน่ะ ปกติผมจะไม่ขี้โม้ หรือเอะอะโวยวายอะไร  ผมเป็นคนที่มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย  เหมือนผ้าพับไว้ทุกกระเบียดนิ้ว  ห๋า...! อะไรนะ  ไม่เชื่อเหรอ?ทำไมล่า  เชื่อหน่อยน่า นะ ๆ กิ๊ว ๆ
" พี่ปอ มีแฟนหรือยังครับ? "
" ยังหรอกครับ  ถามทำไมเหรอ? "
เจ้าเอเคื้ยวข้าวต้มอย่างเลือดเย็น 
" พี่ปอชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะครับ? "
เจ้าเอมองหน้าผมอย่างตั้งใจฟัง
" สวยมั้ง! เป็นคนดี ไม่เจ้าชู้และเปิ่น เหมือนพี่รินทร์  และที่สำคัญแม่บอกว่า ต้องรักเราจริง ๆ ด้วย "
" เอจะช่วยหาให้เอาไหมครับ? "
มันถามทีเล่นทีจริง เหมือนจะหยั่งดูว่าน้ำลึกหรือตื้น  ฉลาดรอบตัวนักเด็กคนนี้
" คนอาภัพอย่างพี่ปอ  ใครเขาจะมารัก "
ผมเก็บช้อนคำสุดท้าย  ของสุดยอดข้าวต้มฝีมือแม่ แล้วเทน้ำจากแก้วราดปากเจ้าเอโทษครับ! ผมไม่สุภาพ  เอาใหม่ ผมบรรจง  หยิบแก้วน้ำอย่างพิถีพิถัน ให้ปากแก้วแตะริมฝีปากอันซีดนั้น  ค่อย ๆ กระดกก้น...แก้วให้สูงขึ้น  เพื่อให้น้ำดื่มอันใสสะอาด  ค่อย ๆ ไหลแล้วแตกกระจายซาบซ่านในปากของเจ้าเอ  ซึ่งตำแหน่งในขณะนั้น ท่านเอเป็นเจ้านายน้อยของกระผม...ครั๊บกระผ๊ม!
ผมหายเข้าไปในห้องครัวสักครู่ก็กลับมา
" พี่ปอครับ...เออยากไปนั่งเล่นในสวนจังเลยครับ "
" เหรอ! เอ้าไปซิ "
ผมให้เจ้าเอขึ้นขี่หลังมือกอดคอไว้แน่น  เดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว  พยายามให้รอดพ้นจากสายตาพี่รินทร์
" อ้าว!  ไอ้ปอ  จะพาน้องไปไหนอีกล่ะ "
" ก็...มานั่งที่ศาลานี่แหละครับพ่อ "
" ข้างนอกลมมันแรงนะลูก  เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่พอดี "
พ่อเดินเข้ามาเอาฝ่ามือจับดูที่หน้าผากเจ้าเอเพื่อตรวจอาการ
" อืมส์!...ไม่ร้อนแล้วนี่..วันจันทร์คงไปโรงเรียนได้นะ "
หากวันไหนที่เป็นวันหยุดของพ่อ  พ่อจะเข้ามาขลุกอยู่ในสวนเกือบทั้งวัน พ่อเป็นคนรักต้นไม้มาก ชอบปลูก ชอบรดน้ำ ชอบมานั่งดูการเจริญเติบโตอันเขียวชะอุ่มของต้นไม้ใบหญ้า  ตอนนั้นดอกโป๊ยเซียนกำลังดัง ควบคู่กับต้นวาสนาที่แตกใบเป็นพุ่มที่สวยงาม  บ่อยครั้งที่ผมมาแอบนอนหลับในศาลากลางสวนแห่งนี้ เพราะบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ ลมพัดเอื่อย ๆ มากระทบกาย จุ๊ ๆ ๆ เป็นบรรยากาศที่สุดยอดจริง ๆ
" เอ...ชอบอากาศแบบนี้ไหมลูก? "
พ่อถามพร้อมกับลูบหัวมันไปมา  เอ๊ะ หัวเจ้าเอสินะ!
" ครับชอบครับสดชื่นดี ใช่ไหมครับพี่ปอ? "
เจ้าเอมองมาทางผม  แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตาของผมไปอยู่ซะที่ไหน จึงเหลือแต่หาง  เอาไว้มองมัน
" อย่าอยู่นานนักนะปอ ลมมันแรง..."
" ครับพ่อ "
พูดจบพ่อก็ตัดแต่งกิ่งไม้ต่อ
" พี่ปอโชคดีจังนะครับ มีครอบครัวที่อบอุ่น เออยากเป็นอย่างนี้บ้างจัง "
ผมมองหน้ามันอย่างสงสัย เพราะไม่เคยได้สอบถามประวัติของมันมาก่อนเลย
" แม่เสียตั้งแต่เออยู่ ป. 6 แล้วล่ะครับ ก็เลยอยู่กับพ่อ "
" แล้วไงต่อ? "
ผมคะยั้นคะยอให้มันเล่า ขณะที่มันเริ่มเหนื่อย
          ผมเริ่มสนใจเรื่องราวของเจ้าเอ  เพราะจังหวัดนครสวรรค์อยู่ติดกับจังหวัดกำแพงเพชรซึ่งเป็นบ้านปู่และย่าของผมเอง
          พ่อเคยให้ผมไปอยู่กับปู่และย่าเมื่อครั้งเรียน ม.3 - 4 ก่อนจะย้ายมาต่อที่นี่ที่เดิมอีกครั้ง  ไม่อยากบอกเลยว่า  ความรักอันอาภัพของผม  เกิดขึ้นที่นั่นเป็นครั้งแรก กับเพื่อนร่วมห้อง  ร่วมชั้นเรียน  เป็นความรักที่เกิดขึ้นแบบเถื่อน ๆ ที่ไม่ไฮโซโก้เก๋...เธอชื่อรัตน์ครับ  เป็นคนที่ไม่ค่อยพูดดูสงบเสงี่ยม งดงามทั้งกิริยาและมารยาทเกือบทุกกระเบียดนิ้ว  ความสวยไม่สวยหรอกครับแต่พอดูได้  ที่สำคัญเธอเป็นคนดี  ผมมองแล้วประทับใจ ริมฝีปากที่ปิดสนิทมองดูคล้ายปากครุฑ  เวลายิ้มเหมือนโลกทั้งโลกถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบสีขาวปนชมพู...พอ!
          ผมกะว่าจะหลีกเลี่ยงข้อนี้ไป  แต่ได้ตกปากรับคำไว้กับคุณวินทาง M ว่าจะเล่าให้ฟัง  คงขัดไม่ได้หรอกครับ (ข้อความจากเว็ปก่อน)
          แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น  ส่งผลมาถึงการดำรงชีวิตของผมในสังคมปัจจุบันอย่างสาหัส!  และคงตลอดไป อดใจรออ่านเรื่องราวนะครับ  ตอนนี้เอาเรื่องของเจ้าเอก่อน  มันคงน้อยใจ เงียบไปเลย...
" พ่อไม่มีเวลาดูแลเอ  ก็เลยส่งมาอยู่กับย่า "
" อ้าว! ทำไมมันสั้นนักล่ะ  ชีวิตคนทั้งคน "
เจ้าเอยิ้มซีด ๆ แห้ง ๆ ผมจึงไม่ซักต่อ เพราะมันแห้งแล้ว
" พี่ปอเรากลับกันเถอะครับ  เอหนาวครับ "
ผมอุ้มเจ้าเอขึ้นพาดบ่า  แขนซ้ายโอบกอดคอผมอยู่
ไม่ถึง 5 นาทีก็เข้ามาถึงเตียงในห้อง  ผมวางมันนอนลงบนเตียงอย่างพิถีพิถัน
" กินอะไรมาวะ หนักจังเลย "
" เอ้า  หลับพักผ่อนเสียนะ  ตื่นขึ้นมาจะได้มีแรงเดินเองบ้าง "
" ขอบคุณครับ "
ผมนั่งอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอนานแสนนาน  เพราะมันไม่ยอมให้ผมลุกไปไหน  เมื่อมันหลับจึงค่อย ๆ แกะมือน้อย ๆ ออกจากแขนผม
          โถ!  เด็กน้อย  คงขาดความอบอุ่น  แม่ก็ตายจากไป  พ่อก็ไม่มีเวลาให้  ด้วยอาชีพที่ต้องบริการประชาชน  จนต้องละทิ้งครอบครัวไป แล้วอะไรล่ะที่จะเป็นหลัก ที่จะเป็นตัวอย่างให้ได้ยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้เป็นคนดีในสังคม คิดแล้วก็น่าสังเวชสลดใจเป็นยิ่งนัก
          แต่ก็คงไม่เป็นไร  เพราะคนในบ้านนี้สามารถให้มันได้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่  โดยเฉพาะพี่รินทร์กับแม่  รักมันปานจะกลืน!...โธ่เอ๊ย...! วัยรุ่นเซ็งส์
" เจ้านก  หัวขวานเอ๋ย  ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก  แม่กาก็หลงรัก นึกว่าลูกในอุทร เอาเนื้อเอาหนังมาเถือ  คาบเอาเหยื่อมาคอยป้อน  คาบเอาเมล็ดข้าวลีบ ๆ นำเอามาบีบน้ำนมป้อนด้วยอานิสงส์ใจประเสริฐ  ลูกไก่ก็เลยไปเกิด  เป็นดาว..."
เอาซะหน่อย...คงถูกบ้างแหละน่า...นะ!





IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 11:26:10 »

ป. 7
          ถึงแม้ผมจะไม่ได้ไปเรียนต่อที่กรุงเทพกรุงไทเหมือนเจ้าพ่อเลี้ยงตั้มมัน...แต่ก็ภูมิใจที่ถูกพ่อขู่บังคับให้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยไกล้บ้าน...ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่พี่รินทร์เรียนอยู่  จะอยู่ในตัวเมืองก็เถอะห่างบ้านก็แค่ 20 กิโลเมตร
          ตำแหน่งใหม่ที่ผมได้รับนอกจากเป็นนิสิตของสถาบัน  นั่นก็คือ  ตำแหน่งสารถีรับและส่งคุณหญิงรินทร์เจ้าเก่าไปกลับพร้อมกัน  ผมมีความภูมิใจนักนี่...
แรก ๆ ก็ราบรื่นดีอยู่หรอก
          ย้อนไปเมื่อครั้งจบม. 3 เทอม 1 พ่อและแม่ได้ปรึกษาหารือกันว่าจะส่งผมให้ไปอยู่กับปู่และย่า  เป็นจังหวัด ๆ หนึ่งของภาคเหนือตอนล่าง ความมุ่งหวัง  เพื่อให้ผมได้เรียนรู้และสัมผัสกับภาษาเพื่อจะได้นำมาใช้ได้อย่างแนบเนียนถูกต้อง  เพราะภาษาที่ใช้ในถิ่นนั้นหลัก ๆ เลยก็คงจะได้แก่ภาษาภาคกลางไทยแท้ใช้สื่อสารซึ่งกันและกัน  แม้จะมีจำนวนมากชนเผ่า  แปลกนะครับ!...เขามีแต่ส่งลูกส่งหลานไปเรียนต่อเมืองนอก  แต่พ่อกับแม่คิดการณ์ใหญ่  ส่งผมไปเรียนต่อตั้ง  บ้านนอกแน่ะ  ดูพิลึก ๆ อยู่
          ในห้องเรียนมีเพื่อนสมาชิกรวมทั้งสิ้น 28 คน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิง...เพราะผู้ชายหาทำยายาก  ไปเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันเสียเกือบหมด  อูยยยยยย!!!!...ขอโทษครับ...เผลอจนได้ซิน่า...
          มีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งนั่งหลังห้องในกลุ่มแถวของผู้หญิง  เพื่อน ๆ ต่างให้ความเกรงใจเพราะเป็นคนเงียบมารยาทงดงามอ่อนช้อย  เธอชื่อรัตน์ และมีชื่อจริงว่า...............ครับ
          ผมชอบไปนั่งใกล้ ๆ หรือบางครั้งก็พูดหยอกเย้ากระเซ้าแหย่เพื่อให้เธอยิ้มและหัวเราะ  ผมแอบนิยมรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นอย่างมากมาย จนเราเกิดความสนิทสนมกันไปโดยปริยาย  จนเกิดกลับกลายเป็นความรักขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าความรักคืออะไร?
แต่รู้ว่า  ไม่อยากให้โรงเรียนปิดเสาร์ - อาทิตย์  เพราะนั่นย่อมหมายถึงการไม่ได้เจอหน้ากัน
          ผมมีโอกาสบอกถึงความในใจผ่านเป็นตัวอักษรหลายต่อหลายครั้งซึ่งเธอก็โอเค  ครั้นจะเอ่ยปากบอกกันตรง ๆ ใครรึจะกล้า  ไม่ใช่สมัยนี้นี่ ชิมิ ๆ
          คงเป็นฝีมือของพระพรมที่ลิขิตชีวิตมาเช่นนี้  ผมรักเธอมากด้วยเป็นความรักครั้งแรกที่ไม่เคยประสพพบเจอมาก่อน เธอเองก็คงไม่แพ้กัน...ดูจะเป็นห่วงเป็นใยผมไปเสียทุกอย่าง
          แต่แล้ว...ดังนรกชัง รือ สวรรค์แกล้ง...เมื่อเรียนจบม. 4 พ่อก็มารับตัวผมกลับพร้อมการโยกย้ายผลการเรียนให้กลับไปต่อที่เดิม ผมอำลารัตน์จากมาด้วยความห่วงหาอาวรณ์ จะมีก็แต่เพียงสัญญา  ว่าจะรักกันช้วฟ้าดินสลายและสัญญาว่า  จะติดต่อกันทางจดหมายเดือนละ 2 ฉบับ เราจะรอกันจนกว่าจะเรียนจบและมีงานการทำ
          เงียบและเศร้า  ก็ยังดีที่มีเจ้าตั้มมาคอยเป็นเพื่อน  ถึงมันจะไม่รู้เรื่องนี้ก็เถอะ
จดหมายทุกฉบับที่รัตน์ส่งมาถึงผม  จะได้รับเกียรติทำการเซนเซอร์จากพี่รินทร์แม่และพ่ออยู่เสมอก่อนที่จะถึงมือผม  เดชะบุญ! ที่เธอเขียนมาด้วยภาษาที่เรียบร้อย สุภาพและเรียบ ๆ ของผมที่ส่งไปนี่ซิ  วางปากกาทีไรเป็นมดขึ้นทุกที  ไม่มีโอกาสได้อ่านหรอก...บ่อยเข้าก็ขี้เกียจเซนเซอร์ไป
          ต่างรู้เป็นนัย ๆ และตรง ๆ ว่า  นี่คือแควนของท่านปอ  ทั้งที่ไม่เคยได้เห็นหน้าคร่าตากันมาก่อน  จะมีก็แต่เพียงพี่รินทร์เท่านั้นที่เคยเห็น  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พี่รินทร์ทำดัดจริต ลงไปเยี่ยมผม  คงจะเป็นที่ทนความคิดถึงน้องชายสุดที่รักไม่ไหวนั่นแหละ  ก็เลยถือโอกาสนั้น  แนะนำเสียเลยแต่เป็นเพียงฐานะเพื่อนเท่านั้น
          หลังจากที่เจ้าตั้มจากผมไป  จดหมายทุกฉบับ  ผมจะเสียบไว้ในกล่องบนโต๊ะเขียนหนังสือในห้อง  ไม่มีความลับอะไร
" พี่ปอโกหกว่าไม่มีแฟน..."
          เจ้าเอมองหน้าผม  ขณะที่ผมเปิดประตูห้องเข้ามา  ผมเองก็มองมันด้วยสีหน้าไม่พอใจ  เพราะมันกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแอบอ่านจดหมาย  โดยมีซองจดหมายทั้งหมดที่กองบนโต๊ะเป็นหลักฐาน
" ขอโทษครับ... "
มันประนมมือแต้  พร้อมกล่าวคำขอโทษเมื่อเกิดความรู้สึกว่าผมไม่ยินดี
" มารยาทน่ะ...รู้จักบ้างไหม? "
" ทราบครับ! "
ใจอ่อนตั้งแต่มันประนมมือไหว้ขอโทษแล้วล่ะ  แต่ต้องทำเป็นขู่ตะคอกเพราะกลัวว่าจะได้ใจ  แล้วโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดี  ไม่รู้จักกาละเทศะ  เด็กอะไรก็ไม่รู้  ถูกอบรมมาดี๊!!!!! ดี...แล้วจะไม่ให้รักและเอ็นดูได้อย่างไรล่ะ  คงผิดวิสัยแย่  คุณว่ามะ? ชิมิ ๆ
" พี่รัตน์ คงสวยนะครับ? "
" อ๋อ...แน่นอน...! "
เจ้าเอพยายามหลบสายตาผม  แสร้งเก็บจดหมายเรียงไว้ในกล่องตามเดิม
" ก๊อก!...ๆ...ๆ "
" เอ...เอ...ย่ามาแนะลูก...เข้าไปได้ไหม? "
แม่ก็อีกคน แทนที่จะขออนุญาตเจ้าของห้อง  แต่ผมก็เผลอหย่อนคำหวาน
" ครับ!...ได้ครับประตูไม่ได้ล็อค "
ย่าเจ้าเอ  ทำตัวเป็นแพทย์หญิงเคลื่อนที่  โดยมีแม่เป็นผู้ช่วยพยาบาลจับโน่นคลำนี่แล้วพยักหน้าหงึก! ๆ
" เออ  ตัวไม่ร้อนแล้วนี่หว่า "
" พี่รินทร์พาแวะหาหมอแล้วครับ "
เจ้าเอกล่าวคำรายงานด้วยอาการยืด  เพราะมันบังอาจมีพี่สาว  ชิชะ! เจ้านี่
" เองอยู่กะพี่เขานะ  ย่าจะไปช่วยแม่นวลทำกับข้าว "
" ครับ "
ผมมองตามย่าเจ้าเอกับแม่ด้วยความสงสัย  แม่เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์อันดีเยี่ยม  สุภาพอ่อนโยน  ย่าของเจ้าตั้มยังคงอนุรักษ์สมัย  คบกัน  ถูกคอกันได้อย่างไรนะ ไม่เข้าใจ
          กาลเวลาย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไป  กลืนกินสรรพสิ่งให้สูญสลายหายไป  พร้อมกับตัวของมันเอง  ผมเรียนจบ ป. ตรี  จะเหลือก็คือฝึกงานอีก 1 ปี เจ้าเอจบ ม. 6 เพราะมันไม่ชอบสายอาชีพโดยให้เหตุผลว่าขอบรรจุวิชาความรู้ให้เต็มที่ก่อน  อีกอย่างยังไม่รู้แนวทางแห่งชีวิตเพราะยังจับจุดไม่ถูก
          เมื่อ 2 ปีที่แล้วย่าของเจ้าเอป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคประจำตัวต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล  โดยมีแม่และเจ้าเอผลัดเปลี่ยนกันไปเฝ้า  จนในที่สุด  ก็ถึงแก่ชีวิตด้วยวัยและสังขารที่ร่วงโรย  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับเจ้าเอเป็นอย่างมากก่อนตายย่าได้ฝากเจ้าเอไว้กับแม่
          หลังจากเสร็จสิ้นงานฌาปนกิจทางศาสนา  นายตำรวจใหญ่พ่อของเจ้าเอขอให้มันกลับไปอยู่ด้วยแต่ไม่สมหวัง  เพราะมันไม่ยอมไป จะขออยู่ที่บ้านย่าหลังนี้ เพราะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ย่าฝากไว้ให้
          จนในที่สุด แม่ก็ยื่นมือเข้ามาจัดการเรื่องราวทั้งหมด  โดยการขอรับเจ้าเอไปอยู่ด้วย  ส่วนบ้านของย่าเปิดให้คนเช่า  เพื่อจะได้นำเงินค่าเช่ามาส่งเสียเจ้าเอให้เรียนจบสูงที่สุด  โดยไม่ต้องรบกวนเงินของพ่อมันมากนัก  ที่ขาดเหลือแม่จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด เพราะพ่อของเจ้าเอนั้น  ก็กำลังสร้างครอบครัวใหม่ได้ไม่นานเหมือนกัน จึงสร้างความยินดี  ปรีดา  ปาโมท ให้กับเจ้าเอเป็นยิ่งนักในการตัดสินใจของแม่ มันกับพี่รินทร์ต่างโปรยยิ้มหน้าบานแล้วบานอีก แต่ผมซิ...กลับคิดไม่ออกว่า  สักวันหนึ่ง  เราทั้งสามคน  จะแบ่งสมบัติพัสสถานกันอย่างไร?วะ!!?
          และแล้ว  วันเวลาที่ผมจะต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มีอยู่ทั้งหมดตามลิขิตสวรรค์  ก็มาถึง  เมื่อได้รับจดหมายที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตนี้  จากผู้หญิงที่ผมรักและเทิดทูล  ไม่เคยมีหญิงใดที่ผมรัก  หรือมีอิทธิพลในหัวใจเท่าเธอ  ไม่มีเลยจริง ๆ จวบจนบัดนี้

ถึงปอที่รัก
          รัตน์พยายามอย่างที่สุด  ที่จะตั้งสติเขียนจดหมายฉบับนี้ให้ครบและจบลงทุกตัวอักษร  ปอเองก็เหมือนกัน  ขอให้ตั้งใจฟังในสิ่งที่รัตน์จะบอกต่อไปนี้  แต่ขอให้ปอรับรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า  ปอเป็นผู้ชายคนเดียวที่รัตน์รักและคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจ  อยากขอทวงคำมั่นสัญญาที่ปอเคยให้ไว้ว่าจะไม่โกรธไม่เกลียดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับรัตน์ และปอ
          พ่อกับแม่จะให้รัตน์แต่งงาน  แต่งงานกับผู้ชายที่รัตน์ไม่เคยรู้จัก  แต่งงานกับผู้ชายที่รัตน์ไม่ได้รักแม้แต่นิดเดียว  รัตน์ขอท่าน  อธิบายให้ท่านเข้าใจแต่ก็เปล่าประโยชน์จริง ๆ ท่านให้เหตุผลว่าท่านได้หมั้นหมายเอาไว้ตั้งแต่เด็ก  รัตน์ไม่อยากเชื่อเลยว่า  สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะยังมีอยู่อีก...
          ปอยอดรัก  รัตน์ทำอะไรไม่ถูกแล้ว  ถึงจะรู้ว่าจิตใจปอจะเป็นอย่างไรเมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้  แต่ปอรู้ไหม  รัตน์ใจสลายยิ่งกว่าหลายเท่านัก
          จดหมายฉบับนี้ขอให้เป็นฉบับสุดท้ายนะปอ  รัตน์ขอโทษที่ไม่สามารถทำอะไรได้  แต่ให้ปอรับรู้ไว้เสมอว่าผู้ชายที่รัตน์รักมีคนเดียวเท่านั้นคือ ปอ
ลาก่อน ปอ ยอดรัก
วรารัตน์ ........
          ผมปล่อยให้กระดาษหลุดจากมือไป  ปล่อยโฮลั่นห้องด้วยความเหลืออด...!ซุกใบหน้าลงกับหมอนบนเตียงด้วยความคับแค้นขุ่นเคืองและข้องใจ ให้ชีวิตคนเกิดมา แล้วทำไมจึงต้องกลั่นแกล้งลงโทษทัณฑ์กันอย่างนี้  ใครกันนะช่างทำได้ถึงเพียงนี้  โหดร้ายเลือดเย็นจริง ๆ ความหวังพังทลาย! หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนใจจะขาด  เหมือนคนบ้าคลั่ง ไม่ได้สติสตัง...เหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่ถูกน้ำร้อนสาดเทเข้าอย่างจัง...เหมือนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้...เหมือนดวงใจที่ถูกเด็ดให้ขาดสะบั้นจากขวั้น! โลกที่เคยมองมันแต่ในแง่ดีมาตลอด  นี่หรือคือสิ่งตอบแทนจากมัน??!!
          เสียงเอะอะโวยวายและเสียงเปิดประตูอย่างแรง...พร้อมร่างที่กรูกันเข้ามาในห้องด้วยความตกใจ!
" ปอ!!!...เป็นอะไรไปลูก!...เป็นอะไรหรือเปล่า!!!..."
ผมผวากอดแม่แน่น  ร่ำให้ปานใจจะขาด  พูดอะไรไม่ออก...บอกอะไรไม่ถูก
พี่รินทร์คงนึกขึ้นได้  จึงส่ายสายตามองหาจดหมายที่เธอไม่ได้เซนเซอร์  พบมันวางอยู่บนพื้นติดฝาห้องจึงหยิบขึ้นมาอ่านด้วยความรวดเร็ว
" นิ่งนะลูกนะ  มีอะไรค่อย ๆ พูดกัน  ค่อย ๆ บอกแม่นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
พี่รินทร์ยื่นจดหมายให้แม่พร้อมกับน้ำตาที่พร่างพรูเธอตรงเข้ามากอดผมไว้แนบอก...จูบซับหน้าผากเป็นเชิงปลอบใจพร้อมกับน้ำตาที่รินไหล...พี่รินทร์คงมีสภาพที่ไม่แตกต่างจากผมเท่าใดนัก  เพราะเธอสามารถสัมผัสได้กับความรักที่ผมมีให้รัตน์ว่าเป็นเช่นได...
" ไอ้ปอ.."
เราสองพี่น้องต่างก็มีน้ำตาแห่งความเจ็บปวดแทนกัน
" นิ่งเสียนะปอ  พี่รินทร์ยังอยู่  แม่กับพ่อก็ยังอยู่...ไอ้เอก็อยู่...แล้วก็มีไอ้ตั้มอีกคน..."
เธอกอดผมสะอึกสอื้น
" รินทร์!!!...อย่านะลูก! "
แม่ตวาดพี่รินทร์เสียงดังด้วยความตกใจ
" ไม่มีประโยชน์หรอกคะแม่...รินทร์สงสารน้อง  รินทร์จะบอก...ถึงเวลาที่มันจะรับรู้แล้ว...อย่าห้ามรินทร์เลยนะคะแม่... "

IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 12:23:23 »

ป. 8
          แม่พยายามห้ามพี่รินทร์  คงจะเดาเหตุการณ์และปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมายเหมือนตาเห็น  เพราะแม่รู้นิสัยผมดี
" ปอ...นายรู้ไหม?  ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา  ทำไมไอ้ตั้มมันจึงไม่กลับมา... "
พี่รินทร์ใช้มือปาดน้ำตาให้ตัวเองและให้ผม  ผมพึ่งรู้ซึ้งถึงความรัก ความห่วงใยที่พี่รินทร์มีให้  ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนปากจัดจ้าน  แต่คงแสดงออกมาให้เห็นมื่อต่อหน้าหรือเมื่อถึงคราวจำเป้นเท่านั้น  ภายในใจก็คงจะมีแต่ความรักให้อย่างเต็มเปลี่ยม  เหมือนกับที่ผมมีให้พี่รินทร์
" มันห่วงนายมาก  นายรู้ไหม ก่อนจะทำอะไร  หรือเสียใจกับอะไรให้นึกถึงมันบ้าง "
แม้จะสะอึกสะอื้นอยู่ด้วยความคับแค้น  สายตาผมเริ่มมองหน้าพี่รินทร์และแม่อย่างเคลือบแคลงสงสัยและไม่ไว้วางใจ...ทำไมจึงพูดถึงมันขึ้นมาตอนนี้นะ??? แล้วรู้บ้างไหมว่ามันเป็นคนละเรื่องกัน  ผมอยากจะบอกให้ทุกคนเข้าใจและรับรู้ไว้  สำหรับเพื่อนที่ผมรักมากที่สุด  ตั้งแต่เล็กจนโต คิดถึงมันอยู่ตลอดมันชื่อไอ้ตั้ม  แต่จะมีประโยชน์อะไร...ในเมื่อมันลืมทุกคน  ลืมทุกอย่างที่นี่เสียจนหมดสิ้น แล้วผมล่ะ?  ผมจะเป็นคนที่ทนเป็นฝ่ายถูกลืมอยู่ข้างเดียวน่ะหรือ?  คงไม่หรอกมั๊ง
          ผมมองหน้าพี่รินทร์ตาขวาง  โกรธให้พี่รินทร์ที่รื้อฟื้นชื่อของไอ้เพื่อนลืมตีนคนนี้ขึ้นมา  ใจผมอยากจะตะโกนด่ามันอย่างสาดเสียเทเสียเสียด้วยซ้ำ! แต่ในส่วนลึก ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง  เมื่อได้ยินชื่อของมัน  ผมถูกตามใจมาแต่เด็กจนเคยตัวติดนิสัย...เมื่อถูกดุถูกด่า  มีมันคนเดียวที่คอยเป็นเพื่อนปลอบใจ  แล้วมันหายไปไหนนะไอ้ตั้ม! เมื่อถึงคราทุกข์โศกอย่างนี้  แต่ก็นั่นแหละนะ..เพราะผมเองก็พยายามลืมมันอยู่  ไอ้เพื่อนเฮงซวย!
" ตลอดระยะเวลา 4 ปี...ไม่มีอาทิตย์ไหนที่ไอ้ตั้มไม่โทรศัพท์มา  คุยกับแม่ คุยกับพี่...แต่ไม่ยอมคุยกับนาย และทุกครั้ง มันจะถามถึงนายด้วยความเป็นห่วง ไอ้ตั้มมันกำชับไว้ว่า  ห้ามบอกว่ามันโทรมา...พี่และแม่จึงเก็บเป็นความลับมาตลอด..."
น้ำตาพี่รินทร์ไหลอาบแก้ม...สภาพแม่ก็ไม่แตกต่างกันนัก
" ลูกรู้ไหม...หนักเข้า ๆ เจ้าตั้มมันก็สารภาพออกมาเอง..."
" ทุกคนรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วละปอ..."
พี่รินทร์กับแม่ผลัดกันเล่าทั้งน้ำตา
" ปอไม่ได้คิดกับมันอย่างนั้นนี่แม่..."
" แม่รู้ แม่เข้าใจ ถึงไม่มีใครยอมพูดกับมันอยู่เป็นเดือน จนในที่สุด แม่ก็บอกให้พี่เขาเป็นฝ่ายโทรไป  เพราะสงสารไอ้ตั้มมันน่ะลูก..."
แม่และพี่รินทร์พยายามยกแม่น้ำทั้ง 5 มาเบี่ยงเบนความเสียใจของผม
          นี่ผมคงโง่เป็นควายละซิ  ถึงได้มีโอกาสรับรู้เป็นคนสุดท้าย  ผมไม่นึกว่าทุกคนจะมองเห็นผมเป็นคนไร้ค่า ไม่มีความหมายเช่นนี้  มีอะไรไฉนจึงไม่พูดไม่บอกให้เข้าใจ ทำไมจึงต้องทำกับผมอย่างนี้?ฮืม หรือผมเป็นตัวอะไร...ของใคร...ฮืม
          จากวันนั้นเป็นต้นมา  ผมเอาแต่เงียบ  ไม่พูดไม่จากับใครเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง...แม้แต่เจ้าเอก็ไม่อยากเข้าไกล้  กับข้าวกับปลาก็ไม่ยอมแตะต้อง หนักเข้า...พี่รินทร์ต้องมานั่งคอยบังคับให้กิน นาน ๆ ครั้ง...พ่อจะเข้ามาพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความระอา
" มันเป็นลูกผู้ชายยังไงวะ...ไม่สู้ปัญหา...อยู่อย่างนี้ไปจนตายก็แล้วกัน "
เป็นคำพูดที่มักได้ยินเสมอ  เมื่อพ่อเปิดประตูเข้ามาเห็นอาการในทุกครั้ง พ่อคงไม่พอใจนัก  เพราะทุกอย่างที่พ่อสอนให้เข้มแข็งอดทนให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเพศที่แข็งแรง...ขณะนั้น  ผมไม่ได้นำมันออกมาใช้  แม้แต่น้อย...
          ความเศร้าโศกเสียใจ  ความเหนื่อยล้าในหัวใจ เข้าครอบงำจิตใจผมอยู่เป็นเดือน ผมไม่อยากเจอหน้าหรือพูดคุยกับใคร อยากจะหลับไหลเข้าสู่นิทราแล้วไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องราวใด ๆ อีก...
          กระทั่งคืนหนึ่ง  ผมตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าประมาณ 3-4 ชุด  มีเงินติดตัวแค่ 900 บาท คงอยู่ทนรับสภาพเช่นนี้ไม่ไหวหรอกนะ...
...๐๐๐...
         ในที่สุด  ผมก็ได้มาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร  ในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง  คงมาไกลหลายร้อยกิโลแต่ก็สมควรแล้วละ  ดีเสียอีกที่ได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตา มองโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ให้กว้างขึ้น
" พ่อหนุ่ม...หลวงปู่เห็นเรามานั่งในศาลานี้ตั้งหลายชั่วโมง  มาจากไหนล่ะเราน่ะ "
ผมลืมตาขึ้นหันไปทางเสียง  คิดในใจว่าคงเป็นพระแน่นอนเพราะใช้สรรพนามแทนตัวเองอย่างนั้น
" กราบนมัสการขอรับ..."
เมื่อรู้ว่าเป็นใครผมรีบก้มลงกราบท่านสามครั้งตามบทเรียนที่ครูอาจารย์เคยสอน
" เออ ๆ จำเริญ ๆ เถอะนะพ่อ "
แม้จะอยู่ในวัยอันชราภาพ  แต่รอยยิ้มของท่านเต็มเปรี่ยมไปด้วยเมตตาผมรู้สึกถูกชะตากับท่านเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด  ส่วนท่านก็มองหน้าผมอย่างพินิจพิเคาะเช่นกัน
" เอ...เหมือนจะเคยเห็นที่ไหน  แต่ปู่ก็จำไม่ได้  เอ้า...ช่างมันเถอะว่าแต่ชื่ออะไรล่ะเรา...แล้วไปงัยมางัยล่ะ ถึงได้มาถึงที่นี่ "
ผมยังคงนั่งพับเพียบต่อหน้าท่าน  ซึ่งท่านเองก็หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้เช่นกัน
" ผมชื่อปอขอรับ "
ท่านรีบยกมือห้าม
" เออ...เอาแค่ครับก็พอ  ปู่เป็นแค่พระแก่ ๆ บ้านนอก ๆ ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากนักหรอก "
ผมได้สัมผัสถึงความอบอุ่นแฝงด้วยเมตตาของท่านอย่างประหลาด  เหมือนจะเคยรู้จักท่านมานานแสนนาน...น้ำตาผมเริ่มคลอ...
" อ้าว!...ร้องให้เสียแล้ว...เป็นอะไรวะ "
ท่านยังคงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
" ผมชื่อปอครับ...มาจากเชียงราย............................................ "
แล้วเรื่องทุกเรื่อง...ทุกซอกทุกมุม...ก็พร่างพรูออกจากปากเล่าให้ท่านฟังอย่างหมดเปลือก...ท่านส่ายหน้าไปมา
" เฮ้อ!...ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละว๊า  เองอย่าได้คิดมาก  ในโลกนี้ไม่มีแต่เองคนเดียว  ที่เขาหนักกว่านี้ก็มีอีกเยอะ  แต่ปู่ก็เห็นเขาอยู่สู้ชีวิตมาจนทุกวันนี้ก็เยอะ "
" แล้วจะไปไหนต่อละเนี่ย? "
ผมได้แต่ส่ายหน้าที่เจิ่งนองด้วยน้ำตา...แต่ก็รู้สึกใจชื้นเมื่อได้ยินท่านพูดว่า
" เออ...งั้นก็อยู่กับปู่เสียที่นี่ไปก่อนก็ได้นะ  เผื่อบางที...อาจจะหาหนทางให้ใจมันสงบเย็นลงได้บ้าง "
" ครับ "
ผมก้มลงกราบแทบเท้าในความกรุณาของท่าน
          นับจากวันนั้นเป็นต้นมา  ผมได้มีโอกาสเป็นสมาชิกใหม่ของที่นี่  ในฐานะเด็กวัด
ตื่นเช้ามา  มีหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบศาลาและกุฏิ  เมื่อภาระหน้าที่เสร็จเรียบร้อย  ก็จะลงไปรอรับบาตรหลวงปู่ที่ตีนเขาทางขึ้นวัด  ถึงท่านจะอายุสังขารมากแล้วแต่ความแข็งแรงเกินคาดหมาย
" มันชินเสียแล้วละปอเอ้ย  ปู่มาอยู่ที่นี่สิบกว่าปีได้มั้ง "
ท่านเคยบอกผม แรก ๆ ผมไม่เชื่อสายตาของตัวเอง  เพราะข้าวในบาตรของท่านมีทั้งข้าวเหนียวและข้าวจ้าวปะปนกัน  ท่านจะฉันไปได้อย่างไรกัน  แรก ๆ ผมเองก็กลืนข้าวก้นบาตรไม่ค่อยลงเหมือนกัน  ท่านก็เลยเจียดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาให้  แต่ไม่นานผมก็ตบะแตก
" การได้กินข้าวก้นบาตรพระสฆ์องคเจ้า...คนไทยเขาถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นมงคลนะ...แต่ต้องทำใจหน่อย...กินเข้าไปแล้วมันก็ออกมาเหมือน ๆ กันนั่นแหละ...ไม่ว่าจะอาหารชั้นดีหรือชั้นเลว "
หลวงปู่เคยบอกในตอนแรก ๆ ผมหารู้ไม่ว่า กำลังถูกสอนธรรมอันแยบยลอยู่อย่างไม่รู้ตัว
          ตอนบ่ายของทุกวัน  ท่านสอนให้นั่งสมาธิ จิตใจจะได้แจ่มใสเบิกบาน  ท่านจะแนะนำวิธีแล้วให้ไปฝึกเอง  แต่ครั้งใดที่อยู่เงียบ ๆ คนเดียว  น้ำตาเจ้ากรรมก็เกิดไหลทุกครั้งเมื่อคิดขึ้นมา
          รัตน์คงไม่รู้หรอกว่า  ปอได้ดั้นด้นบากหน้ามาอยู่ใกล้ ๆ รัตน์แล้ว  ถึงจะยังเหลืออีกเป็นร้อยกิโลก็ช่างเถอะ...ความรักของปอ  ปอขอแค่นี้ก็พอ  ถึงอยากจะเห็นหน้าใจแทบขาด แต่คงไม่หรอกนะคนดี สิ่งใดที่เป็นความสุขของรัตน์ ปอคนนี้จะทำ...และทำให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ขออย่างเดียว ขอให้ปอรู้ว่ารัตน์ยังอยู่...และปอเองยังอยู่ไกล้รัตน์  แค่นี้ปอก็มีความสุขแล้ว  ปอจะเป็นผู้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเอง  เพียงแค่อยากเห็นรัตน์มีความสุขและได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดีของพ่อแม่  ปอขอแค่นี้นะรัตน์นะ...น้ำตาเจ้ากรรมก็พลันร่วงพรูอีก
          เพียงแค่หนึ่งเดือนครึ่ง  จิตใจก็เริ่มเข้าสู่ภาวะแห่งความสงบ  เริ่มมองทุกอย่างให้แนบสนิทเป็นแนวเดียวกับธรรมชาติตามคำสอนของหลวงปู่
" เมื่อใดที่เรามีแนวความคิดออกจากธรรมชาติ  เมื่อนั้นความหายนะก็จะเกิดขึ้น  เพราะคนเราเป็นธรรมชาติของต้นไม้  คนเราเป็นธรรมชาติของทุกอย่างที่อยู่รอบตัว...เหมือนกับที่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นธรรมชาติของเราเอง...ทุกอย่างมีเกิดขึ้น...ตั้งอยู่...และดับไปในที่สุด "
          แม้คำสอนของหลวงปู่จะไม่หรูหราเหมือนที่เคยได้รับฟังทางวิทยุ  แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคำกล่าวที่ช่างกลมกลืนกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเสียนี่กระไร ผมชอบมองดูใบไม้ที่หล่นจากต้น  หล่นจากกิ่งก้านสาขา  หล่นจากขวั้น พลันให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่ององคุลีมาลที่เคยดู พระพุทธเจ้าให้องคุลีมาลเด็ดใบไม้มาใบหนึ่ง  ไว้ในกำมือ... แล้วให้ต่อใหม่ให้แนบสนิทดังเดิม  องคุรีมาลถึงกับอึ้ง...ใครล่ะ? ที่จะสามารถทำได้เช่นนั้น ปริศนาธรรมได้เกิดขึ้นภายในใจโดยไม่รู้ตัว ความผ่อนคลายของใจเริ่มบังเกิดขึ้นจนเกิดความรู้สึกสบาย... ไม่คิดถึงพ่อแม่และพี่รินทร์  อ๋อ เจ้าเออีกคน  แต่จะมาติดอยู่ที่เดียว  ที่พยายามสลัดตัดทิ้ง  แต่ก็ทำไม่ได้...ป่านนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่นะ? รึคงแต่งงานแต่งการไปเรียบร้อยแล้ว  คงเป็นเช่นนั้น  ก็ฟ้าลิขิตมาแล้วนี่...เลิกคิดเสียเถิด..ปอเอ๋ย...
" ความรักคือการให้...ให้ในสิ่งดี ๆ ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน...เองทำถูกแล้วละปอเอ้ย..."
หลวงปู่ก็เดาะ...มารู้เรื่องความรักกับเขาด้วย...แก่ปางตายออกอย่างนั้น
เหมือนจะเดาใจผมออกเพราะตาท่านเริ่มขวาง
" ชิชะ!...ไอ้นี่ "
ผมประณมมือกล่าวคำขอโทษ...ลืมไปว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติ...บาปนักเรา กรรมจริง ๆ
.....................................................................................
ทุกอย่างกำลังเป็นไปอย่างสะดวก...แต่...โลกทั้งโลกต้องหยุดไว้แค่นั้นเพราะชายฉกรร จำนวนสามคน  กำลังบุกรุกเดินขึ้นมาบนวัด!
ผู้ชายด้านขวา...เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ...ด้านซ้าย...ก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ...แล้วคนกลางล่ะ!!!!?ฮืม




IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 19:12:27 »

อืมส์..จริงแฮะ น่าติดตาม ๆ ๆ
แม๊...เขียนได้ DDDDDDD


* vaio1] (Small).jpg (77.15 KB, 640x481 - ดู 747 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 19:15:41 โดย Siranoi » IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 21:30:01 »

ก่อนจากกันในหน้าเน็ต....
          ขอวิงวอนให้น้อง ๆ ทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน  ขอได้โปรดจดจำความผิดพลาดในชีวิตที่ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นไว้เป็นบทเรียนสอนใจ เมื่อได้กระทำสิ่งใดลงไป...นั่นย่อมหมายถึงการเรียก้คืนที่ยากแสนยาก หรือไม่ได้เลย  อยากจะกลับไปแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ในอดีตแต่ ไม่อาจสามารถที่จะทำได้
          ข่วยกันสร้างสรรค์สังคมของเราให้น่าอยู่นะครับ
จะไม่ลืมเว็บนี้หรอกครับ...นาน ๆ ครั้งจะเข้ามาดู ขอบคุณในทุกคอมเม้นท์ที่เปรียบเสมือนเพื่อนที่แสนดี  สิติยะ ป. จะขอจดจำไว้ตลอดไป  ขอกล่าวคำอำลากันตรงนี้เลยนะครับ
ด้วยรัก
สิติยะ ป.
7 ธค 50
00.20 น.
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 04 พฤษภาคม 2011, 22:39:50 »

ป. 9
" พ่อ!!! "
ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว  หน้าซีดปากสั่น ยืนตัวชา  ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พ่อวิ่งเข้ามากอดร่างผมไว้แน่น ทั้งทีตกอยู่ในอาการตะลึง...
" แทบพลิกแผ่นดินแล้ว...ลูกเอ๊ย... "
ใบหน้าพ่อแดงกร่ำ  ดวงตาท่วมท้นเกรอะกรังไปด้วยคราบน้ำตา ผมเกิดมาพึ่งเคยเห็นพ่อร้องให้ ผมกอดพ่อไว้แน่นเช่นกัน...
          นานแล้วซินะ ที่พ่อไม่เคยกอด บอกว่ารักอย่างโน้นอย่างนี้แล้วตามใจทุกอย่าง...เหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก  หรือแม้แต่กับพี่รินทร์เอง ผมรู้ผมเข้าใจดี ว่าเราไม่ใช่เด็กเหมือนอดีตที่ผ่านมา  ตัวพ่อเองจะต้องดำรงตนเป็นคนเข้มแข็งเด็ดขาดยิ่งขึ้น  เพื่อคอยกำชับและเป็นแบบอย่างที่ดี
          แต่ ตอนนี้ ท่านผู้เข้ามาแอบอ่านจะรู้บ้างใหม  ผมคงกลับมาเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ลูกของพ่อเช่นอดีตที่ผ่านมาอีกกระมัง!
          ชีวิตทั้งชีวิต  ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะได้เห็นน้ำตาของพ่อ ไม่เคยเห็นพ่อร้องให้...มาบัดนี้คงถึงขั้นที่สุดจะกลั้นแล้วจริง ๆ
          จะถือว่าเป็นบุญตา  หรือว่าบาปตรึงตราก็ไม่รู้  ที่บังอาจกระทำให้บุพพการีชั้นต้น...ตกเป็นทาสแห่งความหม่นหมองอย่างไม่ทันได้คิด
" ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะลูก  ผู้ที่แย่ที่สุดในขณะนี้  ก็คีอแม่ของลูก  รู้ไหม? "
...๐๐๐...
          ผมกล่าวคำอำลาหลวงปู่  ผู้เป็นที่เคารพและให้ชีวิตใหม่แก่ผม  ผมสัญญาว่าจะกลับมาหาท่านอีกอย่างแน่นอน  แต่ไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อใด  อดทีจะน้ำตาไหลไม่ได้...ซาบซึ้งในความมีเมตตาของท่าน  ซาบซึ้งในความดีงามของท่าน  ซาบซึ้งในจิตที่คิดผูกพันธ์กับท่านอย่างประหลาดท่านช่างมีกลวิธีการสอนที่แยบยลนัก  สิ่งใดที่เข้าใจยากไม่เคยเป็นปัญหาให้ขบคิดจนเนิ่นนาน
          ผมตั้งคำถาม ๆ ตัวเองว่า  ในโลกนี้ยังจะมีหลงเหลืออยู่บ้างไหมสำหรับบรรพชิตที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นแบบอย่างที่ดีเหมือนหลวงปู่... แม้จะเห็นเป็นผ้ากาสาวพัตร...อยู่ในสังคมปัจจุบันอย่างล้นหลาม...ผ้ากาสาวพัตรสำรับนั้น...ห่มอะไรอยู่นะ?
" เออ  ไปเถอะลูกเอ้ย  ไปปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์มากที่สุด  ให้สมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์  ปู่ขอเตือนเจ้าก่อนนะ  สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว  หรือกำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า  สืบเนื่องมาแต่กรรมทั้งสิ้น  อย่าได้ท้อถอย  จงก้มหน้ารับมัน  ชดใช้มันให้หมดสิ้นโดยเร็ว แล้วเจ้าจะเป็นสุข "
ผมก้มกราบแทบเท้าท่านด้วยความเลื่อมใสศรัทธา  แม้ข้อความที่ท่านสอนในขณะนี้จะไม่ค่อยได้ใส่ใจและเข้าใจนัก คำพูดทุกคำทุกประโยคของท่าน  เหมือนไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด  เหมือนไม่แคร์กับการจากลา...เหมือนไม่เคยมีผมที่ซัดเซพเนจรมาเป็นศิษย์ก้นกุฏิของท่านเลย  ผมเสียวแป๊ลบ! ถึงขั้วหัวใจ..แอบน้อยใจตัดพ้อท่านเงียบ ๆ ท่านคิดอย่างไรของท่านนะ...ทำได้อย่างไร?
          รถของพ่อเริ่มวิ่งห่างออกมาทุกที...ทุกที...ผมน้ำตาคลอมาตลอดทาง...ผมได้หลายอย่างจากที่นี่  ได้จิตใจที่สงบเย็นลง  ได้มีวาสนารู้จักหลวงปู่ผู้เมตตาแก่สัตว์ผู้ยาก ได้สัมผัสกับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าธรรมชาติโดยเนื้อแท้...
          ผมหันกลับไปมองดูมวลหมู่เมฆที่ล่องลอยละเล่นบนสันเขา  ใจอยากจะมองให้ทะลุปรุโปร่งภูเขาลูกมหึมานี้ให้ไกลแสนไกล  ลาก่อนนะรัตน์  แม้อยากจะอยู่ต่อให้ถึงที่สุดแต่  คงเป็นไปไม่ได้  ไม่ได้จริง ๆ รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะคนดี  ปอต้องไปอีกแล้วละ...
...๐๐๐...
          เมื่อกลับมาถึงบ้าน  ทันทีที่ก้าวลงจากรถ  แม่ตบหน้าผมฉาดใหญ่จนเซถลา...ผมมองหน้าแม่จ้องดูสายตาคู่นั้นอย่างน้อยใจ  ความผิดที่ก่อขึ้นคงใหญ่หลวงนัก  ก็คงเป็นการสมควรแล้ว  แม่คงโกรธและลำบากใจยิ่งกว่าผมหลายเท่า...แต่การกระทำนี้น่าจะเป็นฝีมือพ่อ  เกิดจากน้ำมือพ่อแล้วจะดูน่าเหมาะสมกว่า...พ่อทำไมไม่ทำนะ?
          ผมก้มลงกราบที่ตักแม่ด้วยความสำนึกผิด...แม่ก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดในทันทีด้วยน้ำตาที่นองหน้า  เปล่า!...ท่านไม่ยอมพูดอะไรสักคำคงได้แต่สะอื้น...ผมรู้จักนิสัยของท่านดีว่าเวลาโกรธหรือเกลียดอะไร  จะไม่ยอมพูดยอมจากับใคร...ครั้งหลังสุดไม่ยอมพูดกับพ่อเกือบ 10 วัน  ผมกับพี่รินทร์เคยทำตัวเป็นสะพานให้แต่ไม่ได้ผลอยู่ดี  จนความโกรธเคียดแค้นชิงชังนั้นผ่อนคลายไปเอง
          ไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียว  เพราะนิสัยเช่นนี้พี่รินทร์กับผมคอยซึมซับและสืบทอดมาไว้ในสันดาน  ตั้งแต่เป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน ไม่ถึง 30 นาทีสิ่งที่ผมเคยตั้งตารอคอยก็มาถึง
" ไอ้ปอ  ทำไมนายทำอย่างนี้  รู้ไหม..ใคร ๆ เขาก็เป็นห่วง...ยุ่งวุ่นวายกันไปหมด "
เสียงที่ผมได้ยินทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา...ผมจำได้!...ผมหันไปมองหน้ามันด้วยดวงตาที่ฉายแววแห่งความปิติอย่างตะลึง ตัวสูงขึ้นและขาวขึ้นนะพ่อ...คงอยู่แต่ในห้องแอร์ละซิ...หล่อเหลาเอาการ...หน้าตาหมดจดสะอาดสะอ้าน  สะโอดสะอง โธ่เอ๊ย!...ไอ้หนุ่มไฮโซ...นังตั้ม!
          น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของมันกับของผมคงไม่แพ้กันนัก ผมแหงนมองหน้าพี่รินทร์ที่ยืนยิ้มแฉ่งทั้งน้ำตานองหน้าอยู่ข้างมัน อ๋อ!...คงเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการไปอัญเชิญมันมาละซิ...แม่คู๊น! ผมผละจากทุกคนเดินเลี่ยงเข้าห้องไป
          ภายในห้องถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเดิม  แต่จดหมายทั้งหมดในกล่องบนโต๊ะ หายไป!
          แต่ก็ช่างเถอะนะ...คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วหละสำหรับชีวิตอันน่าเวทนาและน่าสมเพชอย่างผม
" พี่ให้ไอ้เอมันมานอนในห้องนี้ทุกคืน..."
ผมไม่รู้ว่าพี่รินทร์เดินตามเข้ามา  เมื่อถามถึงจดหมายก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ สักครู่ก็เดินออกไป ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงที่เคยจากมันไปด้วยความเหนื่อยล้าห่อเหี่ยวใจอย่าง บอกไม่ถูก  พยายามหลับตาเน้นกระตุ้นให้แมมเมอรี่ภายในสมองได้ลบสิ่งต่าง ๆ ออกไปเสียบ้างเพื่อตื่นจากภวังค์กลับมาสู่โลกปัจจุบัน  หลังจากกลับมาผมรู้สึกตัวเองว่าเหมือนแขกคนหนึ่งของบ้านหลังนี้  ทำไมจึงคิดเช่นนั้นนะ  ความรู้สึกนึกคิด  ความยินดียินร้ายหายไปไหนหมด?
" ปอ  นายอย่าทำอย่างนี้อีกนะ  รู้ไหมเราเป็นห่วงแทบแย่  เราบอกนายตรง ๆ ก็ได้ เราไม่เคยห่วงใครเท่านายเลยในชีวิตนี้ "
เจ้าตั้มนอนกอดผมไว้แน่น โธ่เอ๊ย...เพื่อนรัก จะกี่ปี กี่ปีนายก็ยังไม่เคยลืมบ้างเลยหรือ?...หากไม่พยายามลืม  นายก็คงต้องทนความเจ็บปวดเหมือนเรา  จริงสิ!  ต้องทนความเจ็บปวดเหมือนเรา...ผมทบทวนความคิดกลับไปกลับมา...นี่ผมก็ต้องพยายามลืมเหมือนกันหรือนี่?
" รู้ว่ากลับมาแล้วเราก็ดีใจ...เย็นนี้เราก็จะกลับแล้ว..."
ผมใจหาย  มันจ้องหน้าผมเหมือนจะอาลัย  ผมปิดเปลือกตาลงเพราะสะท้อนใจในคำพูดของมัน
" เรารู้ว่านายโกรธและเกลียดเรา  แต่สักวันหนึ่ง  นายจะต้องรักเรา...ปอ"
ผมหลับตานิ่งทั้งอยากฟังและไม่อยากฟังในขณะเดียวกัน
" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...จำไว้นะ  เราจะจดจำชื่อของปอไว้ตลอดไป..."
...๐๐๐...
          ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งตอนหกโมงเย็น  โดยมีเจ้าเอนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง คงกลัวผมคิดหนีอีกกระมัง? ผมเอาฝ่ามือขยี้หัวมันไปมาและยิ้มให้ ผมไม่นึกว่าจะได้เจอน้องชายของผมคนนี้อีกเสียแล้ว
" ไอ้ตั้มมันกลับไปแล้วละปอ  ร้องให้จะเป็นจะตาย เฮ้อ!...สงสารจริง ๆ ว่ะ "
พี่รินทร์รายงานสดผ่านดาวเทียมเมื่อผมเดินออกมาหน้าร้าน
" พี่รินทร์ไปพักก่อนก็ได้ครับ  เดี๋ยวปอจะจะเฝ้าให้ "
" ไม่เป็นไร  เดี๋ยวไอ้เอมันก็มาช่วย  เห็นว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ไปเรียน "
พี่รินทร์ก็ยังคงเป็นพี่รินทร์คนเดิม  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ผมสิ!...ไม่รู้สึกสนิทสนมอย่างแน่นแฟ้นเหมือนเดิม...ผมเป็นอะไรไปนะ? 

โปรดติดตามตอนอวสาน






IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 05 พฤษภาคม 2011, 08:43:57 »

ป. 10  อวสาน
          5 วันต่อมาหลังจากนั้น  เมฆหมอกแห่งความทุกข์ตรม เศร้าหมอง ยังไม่ทันจางทุกคนต้องตกอยู่ในภาวะที่คาดไม่ถึง  ตกตลึง!  ไปตาม ๆ กัน
          เจ้าตั้ม  กินยานอนหลับเกินขนาด  อาชายนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน  และในที่สุด  มันก็จากโลกนี้ไป...อย่างไม่มีวันกลับ!
          ผมกับพี่รินทร์กอดกันร้องให้ปริ่มว่าจะขาดใจ...ชีวิตของมันที่โน่น...มันเป็นอยู่อย่างไร?...ทำไม?...มันจึงมีความคิดเช่นนั้น?...ผมไม่เข้าใจจริง ๆ
          ผมเสียใจที่เสียเพื่อนดี ๆ ที่เคยเล่นหัวกันมาแต่น้อยไป...ผมเสียใจที่การพบกันครั้งสุดท้าย...ผมไม่ยอมพูดกับมัน...สู่สุคติเถอะนะตั้ม...เพื่อนรัก!
อโหสิกรรม
.................................................. อวสาน .........................................
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,940


Experience is the best teacher.


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 05 พฤษภาคม 2011, 09:43:26 »


ชีวิต

มีพบ  มีพลัดพราก
มีลำบาก  มีสบาย
มีหัวใจ  มีร่างกาย
มีฉิบหาย  มีได้ดี

มีดีใจ  มีโศกเศร้า
มีหงอยเหงา  มีเดินหนี
มีคุณธรรม  มีราคี
มีทุกที่  มีวายวาง เศร้า


* พระจันทร์ตกน้ำ (Small).gif (36.46 KB, 416x314 - ดู 692 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 08 พฤษภาคม 2011, 14:55:56 »

แอบ up กลัวหลุดเฟรม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 11 พฤษภาคม 2011, 12:06:38 »

โปรดแสดงความคิดเห็นด้วยนะครับ
เพื่อเป้นเหตุผลประกอบในการเขียนเรื่องต่อไป
เกิน 100 คอมเม้นท์เมื่อใด เรื่องใหม่  " ความรัก ... ในฝักไม้ " 
นิยายเรื่องสั้นสะท้อนสังคม  สนุกสนานเฮฮา, เบาสมอง
บทประพันธ์และ กำกับการแสดง โดย  สิติยะ ป  (เจ้าเก่า)
จะลงสู่จอทันทีครับ
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 11:19:38 »

อ๊บ! อ๊บ! อ๊บ! ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
Siranoi
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,101


เฒ่า! สดใส วัยซน..


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 05:07:27 »

 ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

" ... ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละ ของบรรพบุรุษไทย ... "
๘ นาฬิกา และ ๑๘ นาฬิกา Sitiya_por@hotmail.com
หน้า: [1] 2 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!