ป. 3 เจ้าตั้ม...มีชื่อจริง ๆ จัง ๆ อย่างน่าฟังในสำมะโนครัวว่า ปฐวี ผมยังนึกแปลกใจว่าใครเป็นคนตั้งให้มัน หรือว่ามันไปชิงใครเขามา แต่ก็ไม่ได้ถาม มันเกิดในตระกูลที่ค่อนข้างจะมีฐานะทางการเงินที่เหลือเฟือ เหตุที่เป็นลูกผู้ชายคนเดียวในท่ามกลางพี่สาวแสนสวยทั้งสองคน แต่น่าเสียดายที่คุณเธอได้แต่งการแต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว มันถูกเลี้ยงแบบตามใจมาตั้งแต่เล็กจนเคยตัว ติดเป็นนิสัยหรืออีกนัยหนึ่งเรียก กมลสันดาน
พ่อแม่มันพาย้ายถิ่นฐานยกโขยงครอบครัวมาอยู่ใกล้บ้านผม ห่างกันแค่ไม่ถึงกิโลตั้งแต่ผมเรียนหนังสืออยู่ชั้นป. 4 เราจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตลอด มันรักผมมาก และผมก็รักมันมากเช่นเดียวกันในฐานะเพื่อนที่สนิทที่สุด มีความเอื้อเฟื้อเผี่อแผ่ซึ่งกันและกัน ที่โรงเรียนส่วนมากมันจะเป็นฝ่ายเลี้ยงผม จึงเป็นเหตุให้ผมสามารถเก็บเงินที่ไม่ได้จ่ายในแต่ละวันได้มากโข
ช่วงชีวิตของมันเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อครั้งม. 2 มันเริ่มตีตัวออกห่างผมเพราะติดเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาเอาการ ผมมาทราบภายหลังว่า...มันคบกันเป็นแฟน...ผมหลับตานึกภาพแล้วเกิดความสยดสยองและสยิวขึ้นในใจ เกิดความครางแครงใจสงสัยในพฤติกรรมของมัน มันทำเข้าไปได้อย่างไร? มันไปทำกันตอนไหน? และมันทำกันอย่างไร? ผมชักจะเริ่มออกนอกเรื่องอีกแล้ว...
วันหนึ่ง มันซมซานกลับมาหาผม พร้อมด้วยน้ำหูน้ำตาที่หลั่งไหลเจิ่งนองเต็มปฐวี ผมถึงบางอ้อในตอนนั้นว่า เหตุใดเขาจึงตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น ครับ! มันมาสารภาพบาปกับผมจนหมดใส้หมดพุง
เจ้าตั้มถูกทิ้งอย่างไม่แยแสจากคู่ขารุ่นพี่ ผมยินดีรับฟังอย่างตั้งใจในความสูญเสียของมัน ทั้งหมดนี้รู้เฉพาะในกลุ่มไม่กี่คน มันจึงรอดตัวจากคำครหานินทาไป
นับจากวันนั้น มันเริ่มมองผมด้วยท่าทีแปลก ๆ และแล้วมันก็สาภาพว่ามันรักผมไม่ใช่แบบเพื่อน
ความตกใจ! ของผม ไม่สามารถทำให้ไอ้ตั้มมันมีสภาพจิตที่ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย มันรู้ว่าผมเริ่มระวังตัวแจ การเล่นการหัว การพูดการจาผมก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นการใกล้ชิดชนิดถึงเนื้อถึงตัวเหมือนที่ผ่านมา หากมันพลั้งเผลอ ทำเป็นกอด ทำเป็นมานั่งใกล้ สิ่งที่เจ้าตั้มได้รับอยู่เสมอนั่นคือ ฝ่ามืออรหันต์ กำปั้นรวมมิตร ศอกพิชิตมาร หรือแม้แต่ ถีบ!สะท้านพิภพ สารพัดวิธีที่จะงัดออกมาต่อกรกับมัน แต่ รู้ไหม? ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งเจ็บเหมือนยิ่งได้ใจ เสมือนคนเคยเจ็บ รึไม่ก็ เจ็บไม่เคยจำอะไรทำนองนั้น เอ๊ะ! รึมันซาดิส
มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันกระเถิบเข้ามาใกล้จะกอด ผมก็ขยับหนีถอยห่างอยู่เรื่อยไปจนมันอ่อนใจแต่ผมสิ..ไม่ใจอ่อน อิอิ
" ปอ...เราน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ...? "
มันถามเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องให้
" อืม! "
ผมตอบแบบไม่ต้องคิด มันจ้องหน้าผมอยู่นานก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ผมโล่งอก แต่โล่งอยู่ได้ไม่นานเพราะ...
" ไอ้ปอ!! นายไปทำอะไรไอ้ตั้มมัน บอกมา! "
เอาละซิ ผมโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว
" โธ่...พี่รินทร์ ปอจะไปทำอะไรมันได้ล่ะ "
" โกหก! บอกมา!"
พี่รินทร์ตะคอกเสียงแข็ง...ทำตัวเป็นทนายที่กำลังไต่สวนคดีความ โดยมีผมเป็นโจทย์ ส่วนท่านที่หลวมตัวเข้ามาอ่านเป็นจำเลย
แขนผมโดนบิดเป็นรอยเขียวช้ำ ยิ่งไม่เคยผ่านมือหญิงมาด้วยแล้วยิ่งเจ็บไปกันใหญ่
" ก็...ด่ามันแรง ๆ ไปนิดเดียวเองอ่ะ "
ขณะนั้นผมรู้แต่เพียงว่า น้ำขุ่นอยู่ที่ไหน ผมจะพยายามตะเกียกตะกายไป
" ชั้นว่าแล้ว...ไม่งั้นมันไม่วิ่งร้องให้ออกไปหรอก...ใครถามก็ไม่พูดด้วย...อย่างนี้นี่เอง...แม่กลับมาชั้นจะฟ้องแม่ "
ไม่รู้พี่รินทร์แอบไปแปรพรรคตั้งแต่เมื่อไร ยังเคยเข้าข้างเราอยู่หลัด ๆ ทำไมเจ้าตั้มจึงต้องมีอิทธิพลต่อใจใคร ๆ ได้เช่นนี้นะ...หรือจะเป็นที่เสน่ห์ ปลายจวัก! ไม่ได้ซินะ...คำนี้ต้องใช้กับผู้หญิงยิงเรือเท่านั้นจึงจะถูกต้อง ส่วนผู้ชายพายเรือคงใช้ไม่ได้ เอ...รึได้หว่า...งง
สองสัปดาห์ผ่านไป ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าตั้มจะย่างกรายเข้ามาในบ้าน ที่โรงเรียนมันก็คอยหลบหน้าหลบตาผม ผมสอบถามจากไอ้บีกับไอ้ชิดเพื่อนสนิท มันทั้งสองคาบข่าวมาบอกผมว่า ไอ้ตั้มเปลี๊ยนไป๋!
เสาร์ อาทิตย์ไม่ว่าจะทำอะไรในห้องครัว...แม่มักจะออกมาสอดส่ายสายตาไปทางหน้าร้านอยู่บ่อย ๆ ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ พลัน ก็ให้นึกถึงบทกลอนที่เคยท่องครั้งยังเด็ก
" ฯ ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก...แม่กาก็หลงรัก...นึกว่าลูกในอุทร ฯ "
จนในที่สุด วันเสาร์ในสัปดาห์ที่สาม แม่และพี่รินก็ไปรับเจ้าตั้มกลับมา ผมนี่เชื่อเขาเลย!
" นี่!นายปอ..."
พี่สาวผมสวมบทนางเอก! หน้าตาถมึงทึงบอกบุญไม่รับ
" ดูแลกันให้ดีล่ะ...คืนนี้ไอ้ตั้มต้องนอนที่นี่! ห้องนี้! ชั้นขอแม่เขาแล้ว...นายอย่าทำตัวให้มีปัญหาโดยเด็ดขาด! มิฉะนั้น..."
ชีวิตคนเรานี่ก็แปลก ครั้นถึงบทจะซวยก็ซวยจนแทบมอดม้วยม้วยมรณังซวยไม่เลิก...เอ้า! เอากันเข้าไป...คงได้เป็นสามีนังตั้มก็อีคราวนี้แหละกรู!
เกือบ 2 ชั่วโมง ที่เจ้าตั้มนั่งเงียบอยู่บนขอบเตียง มันทำตัวเหมือนหุ่นไล่กาที่ชาวนานำไปตั้งไว้เพี่อไล่นก ผมนั่งที่โต๊ะทำงานไม่ได้ให้ความสนใจมัน เปิดเพลงเบา ๆ ทำอะไรต่อมิอะไรของผมไปเรื่อย เข้าออกนอกห้องบ้างตามสมควรแต่ก็ไม่วายที่จะหันไปมองมันเป็นบางคราว พรางคิดในใจว่ามันจะมาไม้ไหนอีกนะ?
สุดยอดของความมาราธอน จนบางครั้งผมก็อยากจะแกล้งมันเหมือนกัน อยากจะตะโกนบอกมันซะเหลือเกินว่า...เฮ้ย! นกมาเป็นฝูงไล่ให้หน่อย...แต่ก็เพียงแค่คิด เพราะน่าตาท่าทางมันเอาจริง โถ..เจ้าหุ่นไล่กา
ผมรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับล้มตัวลงนอน...มันยังไม่ตายนี่หว่า!...ยังคงมีชีวิตอยู่
" ไอ้ตั้ม ไอ้ปอ ไปกินข้าวแม่ให้มาตาม "
" ฉันละเบื่อไอ้พวกนายห้องจริง ๆ "
พี่รินทร์แสยะแยกเขี้ยวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อมองเห็นเจ้าตั้มนอนอยู่บนเตียง คงคิดวางใจว่าไม่มีอะไร ใช่ซินะ ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ
บนโต๊ะอาหาร ดูมันสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นกรณีพิเศษ สงบปากสงบคำสงบอากัปกิริยาอย่างเลือดเย็น ทั้งแม่และพี่รินทร์ต่างคะยั้นคะยอเอาอกเอาใจ...ตักโน่นตักนี่ใส่ลงในจานข้าวมัน ปากก็พูดเหมือนต่อยหอย...ส่วนเจ้าตั้มได้แต่ยิ้ม ปากของมันเงียบเหมือนเป่าสาก...จะพูดบ้างเป็นบางครั้ง
ที่ผมสังเกตุเห็นก็คือ รอยยิ้มของมัน...มันพยายามฉีกยิ้มอย่างจืด ๆ ดูเศร้า ๆ พิกล ผมเดาไม่ออกว่ามันอกหัก รึว่ามันคิดถึงผัวเก่าของมัน!
เมื่ออาหารมื้อกลางวันถูกพิจารณาสะสางเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตั้มเลือกที่จะอยู่หน้าร้านกับพี่รินทร์ ส่วนผมก็ขอตัวไปทำการบ้านต่อในวิมานของผม
ครู่ต่อมา...เจ้าตั้มก็โดนขับไล่ใสส่งให้กลับมาหาผม มันล้มตัวลงนอน ณ ที่เก่าเวลาเดิมของมัน สมองของมันขณะนี้คงคิดได้อย่างเดียวคือนอน...
ผ่านไปอีกนานสองนาน...ผมลุกจากโต๊ะล้มตัวลงนอนข้างมัน มันรีบขยับหนี!
ผมพึ่งเข้าใจว่าการที่ถูกปฏิเสธเป็นเช่นไร...ผมรีบรวบตัวมันเข้ามากอดจ้องหน้ามันนิ่ง
" ที่รัก เป็นอะไรไปจ้ะ..? "
มันจ้องหน้าผมเช่นกัน ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกมาให้เห็น
" จะจูบแล้วนะ.. "
ผมประทับรอยจูบที่พวงแก้มของมันเป็นครั้งแรกในชีวิต มีความรู้สึกที่แปลก แตกต่างจากแก้มของแม่และพี่รินทร์ อย่างน้อยก็คงจะเป็นการแสดงออกแทนคำขอโทษได้เป็นอย่าดี เจ้าตั้มมันหลับตาเพื่อจะปิดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลแต่ก็ยังเล็ดรอดออกมาเป็นทางยาว...
" คนไม่รักกัน...มาทำอย่างนี้ทำไม..."
แม้มันจะเบือนหน้าหนี แต่คงยากที่จะหนีให้พ้นเงื้อมมือของผม ผมจับหน้าเจ้าตั้ม บิดคอหมุนกลับมา
" ทำไมเราจะไม่รักนายล่ะ..."
ผมพูดขณะจ้องหน้า สัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ ...แล้วมันก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้งหนึ่ง
ทุกอย่างดูเงียบสนิท บรรยากาศช่างขมุกขมัวเสียนี่กะไร...ผมนอนกอดเจ้าตั้มไม่รู้ว่านานเท่าได...แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมันเผลอหลับไปแล้ว..ไม่หรอก! อย่าคิดว่าผมจะลักหลับ..ไม่มีทางผมเป็นสุภาพบุรุษ
จะทำอย่างไรดีนะ ผมคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในลักษณะนี้อย่างไม่เข้าใจจะดีหน่อยก็คือผมไม่โกรธไม่เกลียดพวกเขาเหล่านี้...อาจจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังที่ดีจากแม่วีก็อาจเป็นได้...กลับเกิดความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ หากแต่ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
" งัย! รูปหล่อ...คู่หูไปไหนซะล่ะ? "
" หลับอยู่ในห้องครับ "
" ฮืม..ก็ดี แล้วเข้าใจกันแล้วใช่ไหม ? "
พี่รินทร์สวมบทบาทวางอำนาจเพื่อแสดงตนเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างแนบเนียนจนไม่มีที่ติ
" ครับ! "
...๐๐๐...
" อ้าว! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ "
ผมเหลือบไปมองดูเจ้าตั้ม...ที่กำลังนอนจ้องมองผมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
"...................... "
มันก็ยังคงไม่พูดกับผมอยู่ดี...ขนาดหลับไปแล้วตั้งนาน...ยังไม่ลืมอีก กิริยาท่าทางก็ไม่แสดงออกมาให้ผมได้รับรู้เลยสักนิด...ยังคงนอนจ้องผมอยู่อย่างนั้น...เฮ้อ! อึดอัด ๆ ๆ
" ตั้ม! นายเป็นกามตายด้านเหรอ? "
ผมเกิดความสงสัย เพราะไม่ว่าจะทำอะไร หรือแม้แต่บรรจงจูบบันทึกไว้ในซีเมเจอร์เสียหนักหนาปานนี้...มันก็ยังคงทำตัวเหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว อีกหน่อยก็ลืมเชื่อเห๊อะ
" งั้นเราจะไม่บังคับใจนายก็ได้...โกรธเรามากเหรอ...เราไปทำอะไรให้ล่ะ "
ผมค่อนข้างจะแน่ใจว่า ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าเพื่อนรักในขณะที่ผมและมันต่างก็จ้องตากันอยู่
" งั้นเราขอโทษอีกครั้งก็แล้วกันนะ...แต่ให้นายจดจำไว้อย่างหนึ่ง "
สีหน้าผมเริ่มจริงจัง...เพราะผมไม่ใช่คนขี้เล่น ไร้สาระอะไร...ผู้อ่านทุกคนเป็นพยานได้
" จำไว้ว่านายคือเพื่อนเรา...เพื่อนที่เรารักมากที่สุด...อย่าให้เป็นอย่างอื่นเลย...เพราะมันคงไม่ยืดยืนยาวกว่าคำว่าเพื่อนรักไปได้ "
ผมใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไปพร้อมกับด้วยอาการที่เย็นชาของมัน
ทั้งสงสารและรักเพื่อน..แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราคงให้นายมากกว่านี้ไม่ได้หรอกนะตั้ม...เพราะตระกูลของเราไม่มีอย่างนี้แม้แต่คนเดียว...พ่อก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม...ครอบครัวเราก็เป็นที่เคารพนับถือรักใคร่ของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง...ถ้าเรามีพฤติกรรมเหมือนอย่างที่นายอยากให้ทำ อยากให้เป็น...ความรู้สึกของเราคงไม่ดีนัก...แล้วพ่อแม่ พี่ ของเราล่ะ...เขาจะทำอย่างไรเมื่อเห็นลูกชาย เห็นน้องชาย...เป็นเกย์ เป็นตุ๊ด
หากเป็นเช่นนั้น...ความรักความเอ็นดูของพ่อแม่ พี่รินทร์ ที่มีต่อนายคงจะเปลี่ยนตามไปด้วย...และแล้ว เขาจะมองนายด้วยสายตาอย่างไรนะ...เดาไม่ออกจริง ๆ เพื่อนรัก
เจ้าตั้ม มองนัยตาของผมเหมือนจะเข้าใจ...สายตาที่พยายามสื่อถึงเพื่อน ให้รู้จักผิดชอบชั่วดีแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยไม่ต้องกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูด ผมเคยพูดเป็นเชิงนี้กับมันตั้งหลายครั้ง เพื่อให้มันเปลี่ยนใจ แม่น้ำทั้งห้า ที่ผมพยายามดึงมา ล้วนแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น เช่น ตัวอย่างของแม่วี...กี่คนกี่คนล่ะที่ทิ้งแกไป...หากไม่มีลูกหลานแล้วแกจะได้พี่งพาอาศัยใครคอยฝากฝีฝากไข้...คำตอบที่ผมเคยได้รับจากเจ้าตั้มในทุกครั้ง เมื่อคิดทบทวนผมถึงกับสะอึก!
" มันสายไปแล้วละ...ปอ "