ลองอ่าน บทวิเคาระห์..หุ้นของเมเจอร์ โดย : บล.กสิกรไทย
ด้านล่างครับ..
ถ้ามีภาค 5 อีก คิดว่าอย่างไร ครับ..
////////////////
โดยส่วนตัว..ไม่ได้ชี้นำความคิดนะครับ..ตนเองมองว่าน่าจะจบภาคนี้ได้แล้ว เพราะดูหนังมันยืดๆ ยังไงไม่รู้

ดูไม่สนุก..เท่าที่คาดหวังไว้ครับ..
////////////////
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 19 เมษายน 2554
MAJOR : กำไรไตรมาสแรกจุดเริ่มต้นปีทอง
โดย : บล.กสิกรไทย
เราได้รายงานไปในบทวิเคราะห์ฉบับก่อนหน้า (7 ม.ค.54) ถึงจังหวะที่ควรกลับเข้าลงทุนในบริษัทเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR)
เพราะปี 2554 คาดว่าจะเป็นปีทองของบริษัท เห็นได้จากแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ เม็ดเงินโฆษณา รวมทั้งรายได้ค่าเช่า ส่งผลให้ราคาเป้าหมายอิงวิธี DDM เพิ่มขึ้นจาก 17.00 บาทเป็น 19.50 บาท เราจึงคงคำแนะนำ Buy หุ้น MAJOR
ผลประกอบการ 1Q54 เป็นจุดเริ่มต้นปีทองของ MAJOR
๐เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ MAJOR 7.3-14.7% และเงินปันผลต่อหุ้น 3.9-11.0% สำหรับปี 2554-2556 เพื่อสะท้อนยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งจาก line-up ภาพยนตร์ที่น่าสนใจและเม็ดเงินโฆษณาในโรงภาพยนตร์
๐MAJOR จะเปิดดำเนินงานสาขา Metropolis อีกครั้งหลังปิดให้บริการเป็นเวลานาน แต่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่เป็นโรงภาพยนตร์กลายเป็นพื้นที่เช่าสำนักงาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่เช่าของ MAJOR อีก 15% และอาจทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นมากถึง 70 ล้านบาทในปี 2554
นอกจากนี้ การที่ภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรอาจมีการฉายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งภาค (ภาค 5) ในเดือนธันวาคมจะกลายเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันทั้งกำไรและราคาหุ้น เนื่องจากเราคาดว่าภาคต่อ (ภาค 3-5) ของภาพยนตร์เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับสองภาคก่อนหน้านี้ที่ทำรายได้ถึงภาคละ 250 ล้านบาท และอาจทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรอีกครั้ง
ผลประกอบการ 1Q54 เป็นจุดเริ่มต้นปีทองของ MAJOR
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจทั้งหมดของ MAJOR มีผลประกอบการดี และเราเชื่อว่ายอดขายบัตรชมภาพยนตร์ เม็ดเงินโฆษณาและรายได้ค่าเช่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันผลกำไรในปี 2554 ของบริษัท เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไร 7.3-14.7% และประมาณการเงินปันผล 3.9-11.0% ในปี 2554-2556 เพื่อสะท้อนยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งใน 1Q54 รวมถึงพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาเป้าหมายของเราอิงวิธี DDM เพิ่มขึ้นจาก 17 บาทเป็น 19.50 บาทหรือเพิ่มขึ้น 14.7% เราจึงคงคำแนะนำ Buy หุ้น MAJOR ทั้งนี้จากยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ เม็ดเงินโฆษณาและแนวโน้มรายได้พื้นที่เช่าที่ยังแข็งแกร่ง อาจทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 2554 ขึ้นอีกได้
ยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น 16% YoY จะผลักดันกำไร 1Q54
แม้ว่ายอดขายบัตรชมภาพยนตร์ในเดือนม.ค.2554 จะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยอดขายในเดือนก.พ.และมี.ค.2554 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงในช่วงต้นปี นอกจากนี้ เมื่ออิงข้อมูลใน Boxofficemojo เราคาดว่ายอดขายบัตร 1Q54 ของ MAJOR จะเติบโต 16% YoY เพราะส่วนแบ่งจากภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงคือ “สุดเขต เสลดเป็ด”, “รักมันใหญ่มาก” และ “Suckseed” อีกทั้งเรื่อง “สุดเขต เสลดเป็ด” ผลิตโดย M39 ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ MAJOR ทำให้บริษัทไม่ต้องเสีย royalty fee ส่งผลให้มาร์จินจากการขายบัตรชมภาพยนตร์ไตรมาสนี้เพิ่มเป็น 20.0% และผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทอยู่ที่ 35.7% สูงกว่า 1Q53 (32.8%) และ 4Q53 (34.8%) เราจึงคาดว่า MAJOR จะรายงานกำไรแข็งแกร่งใน 1Q54 หรือ 187 ล้านบาท ลดลง 27% QoQ
ขณะที่กำไรปกติจะเติบโตสูงกว่าหรือ 15% QoQ และ 98% YoY ทั้งนี้เราเชื่อว่า MAJOR จะยังมีกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่องใน 2Q54 จาก line-up ภาพยนตร์ที่แข็งแกร่งประกอบด้วยเรื่อง พระนเรศวร #4 Transformer #3 และ Harry Potter #7.2 เป็นต้น
รายได้ค่าเช่าเติบโตจากการกลับมาเปิดดำเนินงาน Metropolis
สาขา Metropolis ต้องปิดให้บริการนับตั้งแต่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ช่วงที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองใน 2Q53 และเนื่องจากสาขานี้เล็กเกินไปที่จะพัฒนาให้เป็นโรงภาพยนตร์แบบ premium ประกอบกับ MAJOR ต้องการลดการแข่งขันกันเอง (cannibalization) กับโรงภาพยนตร์ Paragon Cineplex ทำให้บริษัทตัดสินใจเปลี่ยนสาขาที่ตั้งอยู่ในห้าง BigC ราชดำริแห่งนี้เป็นพื้นที่เช่า ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ถูก BigC จับจองแล้ว
ทั้งนี้การปรับปรุงสาขาดังกล่าวส่งผลให้ MAJOR มีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 44,006 ตร.ม. เป็น 50,491 ตร.ม. หรือ +14.7% โดยเราประมาณการว่าพื้นที่สำนักงานในทำเลทองอย่างราชดำริจะสร้างผลกำไรเดือนละประมาณ 6 ล้านบาท ขณะที่รายได้ค่าเช่าจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันกำไรในปี 2554 และอาจมีส่วนทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ MAJOR อีกครั้ง
เม็ดเงินโฆษณาในโรงภาพยนตร์เข้าสู่วงจรขาขึ้นรอบใหม่
แม้ว่า MAJOR จะมีรายได้โฆษณาเพิ่มขึ้น 7 ไตรมาสติดต่อกันหลังฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 101 ล้านบาทใน 2Q52 แต่ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาในโรงภาพยนตร์ยังห่างไกลจุดสูงสุดที่ 284 ล้านบาทใน 2Q50 หรือช่วงที่มีการฉายภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรภาคแรก โดยในฐานะที่ MAJOR เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80% รวมทั้งมีจอภาพยนตร์ใหม่เพิ่มขึ้น 20-30 จอต่อปี บริษัทจึงเป็นตัวเลือกแรกของผู้ซื้อสื่อโฆษณาที่มีแผนการโฆษณาในโรงภาพยนตร์ เห็นได้จากบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำสัญญา “naming sponsorships” กับ MAJOR เช่น Nokia ultrascreen, Krungsri IMAX, KrungThai digital cinemas และ Suzuki Avenue ซึ่งปกติแล้วสัญญาในลักษณะนี้จะมีอายุประมาณ 3 ปีและมีมูลค่าประมาณ 10-20 ล้านบาทต่อสัญญา ซึ่งสามารถสร้างรายได้โฆษณาให้กับ MAJOR ค่อนข้างสูงและมั่นคง
พระนเรศวรภาค 5 อาจทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรอีกครั้ง
เราปรับเพิ่มประมาณการกำไร 7.3-14.7% ในปี 2554-2556 จากแนวโน้มที่สดใสของยอดขายบัตรชมภาพยนตร์ไทยที่สูงกว่าคาดใน 1Q54 อีกทั้งกำหนดการฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จาก Hollywood อาทิเรื่อง Fast & Furious #5, Pirates of the Caribbean #4, X-Men, Transformers #3, The Twilight Saga #4 และ Mission Impossible #4 น่าจะช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทในปี 2554 เช่นกัน นอกจากนี้ เรามองว่าความเป็นไปได้ที่จะมีการฉายภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรภาค 5 จะกลายเป็น upside ต่อประมาณการของเราเมื่อดูจากความสำเร็จของสองภาคแรกที่ทำรายได้ประมาณภาคละ 250 ล้านบาท
ภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรภาค 4 มีกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 12 สิงหาคม 2554 เราจึงเชื่อว่าผู้สร้างอาจทำให้ผู้ชมภาพยนตร์ประหลาดใจด้วยการเปิดเผยบทสรุปของภาพยนตร์ทั้งหมดในภาค 5 ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในงานฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรามองว่าแนวโน้มการประสบความสำเร็จของภาพยนตร์ภาค 3-4 และโอกาสเพิ่มภาพยนตร์ภาค 5 เพิ่มโอกาสที่เราจะปรับประมาณการกำไรของ MAJOR ขึ้นอีกครั้งได้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้น