เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 23 กรกฎาคม 2025, 14:38:22
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  ประทับใจ หนังเรื่องไหน...
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน ประทับใจ หนังเรื่องไหน...  (อ่าน 2794 ครั้ง)
คนเมือง ณ กว่างกรุง
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 553


กำหนดชีวิตตัวเอง หรือรอให้คนอื่นมากำหนดชีวิตเรา..


« เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:12:34 »

ใครเป็นชอบดูภาพยนต์บ้าง....

จำได้หรือเปล่า ภาพยนต์เรื่องแรกที่ดู เรื่องอะไร  (ดูกะใคร)

...  แล้วยังจำเนื้อเรื่องได้อยู่หรือเปล่า..

... หนังไทย ผมชอบ ตำนานสมเด็จฯ  (รอดูภาคต่ออยู่ เห็นว่าจะเข้าปีนี้)
..  หนังเทศ  อามาคอนดอม  ไม่ใช่ครับ  อามาเกดดอน  (เก่ามากๆ)

...  แล้วคุณ...  หละ  ชอบเรื่องไหน...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:45:09 โดย คนเมือง » IP : บันทึกการเข้า

"กว่างเจียงของ"
Freedom
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 608


ห้องสมุดบิดคิด


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:20:59 »


ใครเป็นชอบดูภาพยนต์บ้าง....

จำได้หรือเปล่า ภาพยนต์เรื่องแรกที่ดู เรื่องอะไร  (ดูกะใคร)

...  แล้วเรื่องไหนที่ดูแล้วยังจำเนื้อเรื่องได้อยู่

... หนังไทย ผมชอบ ตำนานสมเด็จฯ  (รอดูภาคต่ออยู่ เห็นว่าจะเข้าปีนี้)
..  หนังเทศ  อามาคอนดอม  ไม่ใช่ครับ  อามาเกดดอน  (เก่ามากๆ)

...  แล้วคุณ...  หละ  ชอบเรื่องไหน...

หนังเรื่องแรกที่ดูในโรงฯ คือ หนังเรื่อง ไททานิค ( ดูกะเพื่อนสนิท )

.... เรื่องที่ยังจำเนื้อเรื่องได้อยู่ คือ AVATAR

( เพราะพึ่งดูไปไม่นาน และ ซัดไป 3 รอบ ที่เมเจอร์ เชียงใหม่ .... จำไม่ได้ก็บ้าแล้ว )

.... หนังไทย ผมชอบ แฟนฉัน

.... หนังเทศ ณ ตอนนี้ ( เป็นเพียงความชอบ และ ความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ) ผมยกให้ AVATAR

ให้เป็นหนังที่ดีที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ( 2009 ) ครับ

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:24:46 โดย Freedom » IP : บันทึกการเข้า

•แอ้บแบ๊วคุง•
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 180


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:37:11 »

หนังเรื่องแรกที่ดูในโรง เรื่อง ผีสามบาทครับ ผีอะไรไม่รู้ขึ้นรถเมย์ก็ไม่ได้ ขาดอีก 50ตังค์ ฮาๆ

เรื่องที่ประทับใจหรอ ก็ เซฟวิ่ง ไพรเวท ไรอั้น เป็นหนังสู้รบที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ดูมา
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 05 กุมภาพันธ์ 2010, 23:42:40 »

ความจำสั้นแต่รักฉันยาวครับ  และเพื่อนสนิท
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
oyoyo *^_^*
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,011



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 00:51:55 »

บุญชู ครับ ดูที่เอเธนท์ครับราคาตั๋ว 40 บาทสมัยนั้นโรงหนังมีไม่กี่แห่ง จะดูหนังเรื่องนึงต้องจองล่วงหน้าเป็นเดือน..ส่วนหนังที่ประทับใจก็หลายเรื่องครับ ปกติเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว หนังอะไรเข้าโรงหนังจะกวาดเกือบทุกเรื่อง ถ้าเอาราคาค่าตั๋วที่ซื้อหนังไปทั้งหมดมารวมกันก็คงได้วีโก้คันนึงล่ะครับ.. ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

"มนุษย์ใช้เหตุผลทางความคิด
ในการตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
ขณะที่ธรรมชาติใช้ความจริงทางจิต
ในการตัดสินว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป"

วาทะดังตฤณ "ด้วยความเป็นห่วง"
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 03:38:42 »

Blood Diamond อยู่ในความรัก

มีแหวนวงหนึ่งเคยอยู่กับนิ้วนางข้างซ้ายของหญิงสาวที่บริสุทธิ์ทั้งกายและใจ และพอถึงวันหนึ่งมันก็หักเป็นสองท่อน ด้วยว่าเป็นแหวนหยก วันนั้นถ้าแหวนวงนั้นไม่หัก นิ้วน้อยๆ ก็คงหักแทนด้วยแรงกระแทกของโต๊ะที่หล่นลงมาทับนิ้วของเธอ สิ่งสำคัญอันเป็นตัวแทนของความรักคงไม่ได้อยู่ที่แหวนวงนั้นจะอยู่กับเธอตลอดไป แต่น่าจะอยู่ที่มันได้ช่วยปกป้องเธอคนนั้น

..เสมือนเป็นตัวแทนความรักจากคนอีกคน

Blood Diamond เป็นภาพยนตร์ที่เดินทางไปไกลมากว่าความหมายของเพชรหลายกะรัตบนนิ้วนางแห่งความรักของหญิงสาวทั่วโลก โดยที่หนึ่งในสามเป็นหญิงสาวอเมริกัน ความรักไม่เคยเป็นเรื่องผิดร้าย แม้แต่ให้ดำรงอยู่ในความต่างสุดขั้ว คนบูชารักก็ไม่ใช่คนคลั่งบ้า แต่เหนือกว่าการให้สัญญาเป็นคู่ของกันและกันด้วยแหวนเพชรอมตะ มันก็เหมือนเรื่องราวของสิ่งอื่นๆ ในโลกนี้ ทุกอย่างแม้งดงามหยดย้อยยังต้องมีฉากหลังที่เรามองไม่เห็น

หนังเล่าถึงเรื่องของการต่อสู้ของกลุ่มอำนาจเถื่อนในแอฟฟริกา ทวีปแห่งโลกที่สามอันล้าหลัง และความตายเป็นเรื่องที่มีมูลค่าไม่กี่ดอลล่าร์ ขณะเดียวกันทวีปแห่งนั้นกลับซุกซ่อนความงามระยิบระยับที่แพงยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์หรืออื่นใดในโลกไว้ใต้ผืนดิน

เพชร !

ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าระหว่างเพชรดิบเม็ดเล็กๆ สักก้อน กับชีวิตชาวแอฟริกันคนหนึ่ง อย่างในจะถูกละทิ้งไว้ใต้ผืนดินที่คาวคลุ้งด้วยกลิ่นเลือด

มันไม่ใช่เฉพาะแต่ฉากหลังของเพชรเท่านั้นที่หนังเรื่องนี้เปิดเปลือยออกมา แม้แต่กับนักล่าเพชรหนังก็พยายามสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้ต่างจากมนุษย์คนอื่นใดในโลก คือทุกคนมีที่มา และในลึกทุกคนบนโลกต่างปรารถนาจะเป็นคนดีด้วยกันทั้งสิ้น ต่างว่าเรามีแรงผลักดันให้ความดีงามมันงอกเงยขึ้นมาอย่างไร

ดังนั้น อย่าคิดว่าเราดีกว่าคนอื่นนักหนาแล้ว เพียงเพราะเราไม่ได้แนะนำทางที่ดีให้กับเขา

เพชรสีเลือดในระดับหนึ่งร้อยกะรัตคือเงื่อนปมของการดำเนินเรื่อง และนำไปสู่การค้นหาและค้นพบของชายสองคนที่มาผูกพันกันด้วยเพชรเม็ดนั้น ชายพื้นเมืองผิวดำคนหนึ่งยอมพาชายผิวขาวผู้เก่งกาจในการเอาตัวรอดแต่เต็มด้วยความละโมบ ไปตามหาเพชรที่เขาซุกซ่อนไว้ในป่า นั่นเพื่อว่าชายผิวขาวจะได้พาเขาไปตามหาลูกชายที่ถูกกลุ่มกบฏจับตัวไป แลกกัน-ระหว่างเพชรกับลูกชาย

หนังพาเราไปสู่เรื่องราวแห่งการต่อสู้และเผชิญอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ความรักต่อลูกชายของชายพื้นเมืองค่อยๆ กล่อมเกลาชายผิวขาวผู้ละโมบให้รู้จักรักคนอื่นเป็นทีละน้อย ขณะเดียวกันหนังก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในความรักที่พ่อคนหนึ่งมีต่อลูกชาย มันเป็นรักที่บริสุทธิ์อันไม่อาจถูกสั่นคลอน โดยเฉพาะตรงที่ชายผิวดำมักบอกอยู่เสมอว่า ..เขายอมตายเสียดีกว่า ถ้าต้องอยู่ต่อโดยไม่สามารถช่วยให้ลูกกลับมาอยู่กับเขาและเป็นเด็กดีเช่นเดิมได้

นอกเหนือจากการกล่อมเกลาคนอีกคนที่รู้จักแต่ความรักตัวเองด้วยรักที่แท้แล้ว หนังยังสะท้อนถึงมุมหนึ่งซึ่งเป็นสะพานความรักระหว่างหญิงและชาย ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นนักข่าว เก่งกาจ มีเสน่ห์ และเป็นมิตรพอๆ กับความกระหายใคร่รู้ตามแบบวิชาชีพ เมื่อเธอและเขาได้พบกัน มันไม่ใช่รักแรกพบ ออกจะเกลียดขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเหตุการณ์และก้นบึ้งที่สัมผัสถึงกันก็ค่อยๆ ถักร้อยความรักให้เกิดกับคนทั้งสอง

สะท้อนให้เห็นว่า แม้คนที่ดีที่สุด ก็อาจรักคนที่ไม่รักดีเอาเสียเลยได้เหมือนกัน แต่เมื่อความรักเกิดขึ้น เราทุกคนล้วนอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดี

ที่สำคัญ เธอรักเขาโดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าเขามีเพชรอยู่ในครอบครองมากขนาดไหน

ฉากจบของหนังคือความตายของนักล่าเพชรผิวขาว และการที่เขาได้ละทิ้งเพชรร้อยกะรัตให้กับเพื่อนผิวดำ ขณะเดียวกัน เขากลับไม่ยอมละทิ้งโอกาสที่จะได้สารภาพรักเป็นครั้งสุดท้าย

ในส่วนของหญิงสาว เมื่อสิ้นชีวิตของชายคนรัก เธอก็ช่วยเหลือเพื่อนของเขาเป็นอย่างดีดังที่ได้รับปากกับเขาไว้ เธอเขียนถึงเขาในชิ้นงานสำคัญของเธอ และแม้ไม่ได้เขียนถึงเขา ใครจะเชื่อบ้างเล่าว่าเธอลืมเขาได้ เพชรมันงดงามอาจถึงเป็นอมตะได้ก็จริง แต่ความรักเท่านั้นที่สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจนิจนิรันดร์ได้

ออกมาจากโรงหนัง คิดถึงแหวนหยกที่หักวงนั้น และคิดถึงเธอ ความทรงจำยังงดงามมากกว่าที่จะเอื้อนเอ่ย เรายังไม่ได้จากกันไปอยู่คนละโลก แต่ก็ไม่ได้ดำรงสถานะเช่นที่เป็นมา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นหรือ ก็อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้น ..ทุกอย่างมีเบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม ผมยังคงเก็บแหวนหยกที่แตกหักวงนั้นไว้ในสถานที่ซึ่งดีที่สุด และยังคงเก็บเธอที่เป็นเจ้าของแหวนไว้ลึกสุดใจ และจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าเรายังปรารถนาดีต่อกันและกันเสมอ ยังห่วงใยกันเสมอ

ไม่จำเป็นว่าจะมีแหวนอยู่ที่นิ้วนางของกันและกันหรือไม่

ผมเรียกสิ่งนี้ว่า “อยู่ในความรัก”
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 03:40:44 »

ผมจำไม่ได้ว่าเป็นปีไหน แต่น่าจะอยู่ในราว 8 ปีก่อนที่ผมได้ชมภาพยนตร์อิตาลีของ โรแบโต้ แบนินี่ ชื่อเรื่อง Life is beautiful การได้กลับมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งทางวีซีดีในอีก 8 ปีถัดมา ทำให้ผมสามารถเข้าใจความหมายของคำว่า “วุฒิภาวะ” ได้อย่างดี

เมื่อหลายปีผ่าน ในหลายเรื่องราว ผมรู้แล้วว่าเวลาจะสอนเราเอง

ภาพยนตร์อิตาลีไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นกระแสหลักของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับแถวหน้า ทุกวันนี้ตลาดของผู้ชมแม้จะโหยหาความโรแมนติกสไตล์เกาหลี กับสเปเชียลเอฟเฟ็กแบบฮอลลีวูด แต่รายทางเรายังพอได้เห็นผลงานของจางอี้โหมว หรือร่องรอยอันรุ่งเรืองของหนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกง กับเพลงรักอ้อมภูเขาแบบฉบับอินเดียอยู่บ้าง, การแทรกเข้ามาของภาพยนตร์อิตาลี โดยการกำกับของแบนินี่จึงนับเป็นของแปลก หากก็เป็นด้วยตัวเขาเองที่ทำให้เส้นทางเพื่อเปิดตลาดภาพยนตร์ในเอเชียและโลกล้มไม่เป็นท่า เมื่อเขากำกับเรื่องที่ 2 ออกมาชนิดไม่มีอะไรน่าจดจำ และไม่มีคนกล่าวถึง

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น Life is beautiful ก็ยังเป็นตำนาน

ผมอาจพอขยายความได้ว่า ปรากฏการณ์ “มือเทวดา” ของภาพยนตร์สักเรื่องในชีวิตผู้กำกับสักคนหนึ่งไม่ได้มีเฉพาะในกรณีของแบนีนี่ชาวอิตาเลี่ยน กับราชาผู้กำกับชาวอินเดียอีกคนซึ่งให้กำเนิด Sixth sent หนังตราตรึงตลอดกาลในระดับเขย่าขวัญหักมุม และวรรคทอง “I see death people” ก็เกิดและจบกับภาพยนตร์เรื่องต่อมาของเขาบนเวทีโลกเช่นกัน

ความน่าสนใจประการแรกของหนังอิตาลีเรื่องนี้ก็คือ การที่แบนีนี่ผู้กำกับอาสารับบทนำในเรื่อง และให้ภรรยาของเขาในชีวิตจริงได้แสดงเป็นภรรยาของตัวเองในเรื่องนี้ด้วย โดยแบนีนี่รับบทเป็นหนุ่มอิตาเลี่ยนเชื้อสายยิวชื่อกุยโด ผู้ได้พบรักกับครูสาวแสนสวยเชื้อสายผู้ดีชาวอิตาเลี่ยนชื่อดอร่า ที่กำลังจะต้องถูกจับแต่งงานอยู่รอมร่อกับข้าราชการผู้ฉ้อฉลแม้กระทั่งเวลาทำงานของตน

ความต้อยต่ำและสูงส่งที่ขัดแย้งกันของตัวละครพระ-นาง เป็นสมการสูตรสำเร็จก็จริง แต่การดำเนินเรื่องอย่างมีชั้นเชิง โดยทิ้งระยะเวลาให้รายละเอียดเล็กน้อยที่ถูกนำเสนอไปก่อน ถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้วยศิลปะของความบังเอิญที่ลงตัวในฉากต่อๆ มา โดยเฉพาะเมื่อใช้ผ่านถ้อยคำอธิษฐานของฝ่ายหญิงที่ผนวกเข้ากับความเป็นผู้มีไหวพริบและช่างสังเกตของฝ่ายชาย อาทิ ฉากฝ่ายชายชอบเปลี่ยนหมวกใบเก่าของตนกับหมวกใบใหม่ของชายผู้หนึ่ง เมื่อหมวกบนหัวเปียกและเห็นเจ้าของหมวกกำลังปั่นจักรยานมาไกลๆ เขาก็เกริ่นอยากได้หมวกแห้งๆ สักใบ เพื่อชี้นำให้หญิงสาวลองอธิษฐาน พอเจ้าของหมวกเอาหมวกใบเก่ามาเปลี่ยนคืนหมวกใบใหม่(เปียก) คำอธิษฐานก็เป็นจริง

หากแม้ภาพยนตร์จะสร้างเสน่ห์ขึ้นด้วยการเล่นกับรายละเอียดและความบังเอิญจนน่าประทับใจ แต่สิ่งที่ดีกว่าก็คือการสะท้อนความรักจริงใจที่ชายคนหนึ่งจะมีต่อหญิงสักคน กุยโด-ชายผู้ปลิ้นปล้อนและกะล่อน เป็นนักฉวยโอกาส ทั้งนี้เราสามารถเข้าใจพื้นฐานอุปนิสัยนี้ได้ในภายหลังว่าเพราะเขาเป็นยิว จึงไม่ได้รับการปฏิบัติตอบที่ดีมาก่อนนั่นเอง เช่นมีบางร้านค้าห้ามสุนัขและคนยิวเข้าร้าน ตัวเขาอยากจะเป็นกวีก็กลับเป็นได้แค่เจ้าของร้านหนังสือลดครึ่งราคา นั่นก็เพราะความเป็นยิวที่ได้ติดตัวมา

เลือดยิวไม่ได้ทำร้ายเฉพาะแต่กุยโด หากนั่นยังกระทำกับลูกชายและเมียของเขาด้วย บ่ายวันหนึ่ง ทหารเยอรมันที่จับมือกับมุสโสลินีแห่งอิตาลีบุกมาจับกุยโดและลูกชายของเขาไป ดอร่ากลับมาเห็นบ้านที่ถูกรื้อกระจุยและไม่เหลือทั้งแก้วตา-ดวงใจ เธอวิ่งตามไปหาสามีกับลูกที่สถานีรถไฟ รถไฟขบวนหนึ่งจอดอยู่ บรรทุกยิวเต็มทุกโบกี้ควบคุมโดยทหารเยอรมัน แน่นอนว่าสามีกับลูกชายของเธออยู่บนรถไฟขบวนนั้น กับชะตากรรมสถานีถัดไปชื่อทุกข์ยากและความตาย แต่ดอร่าเลือดผู้ดีอิตาเลี่ยนขอขึ้นโดยสารร่วมชะตากรรมไปกับลูกและสามีเชื้อสายยิวของเธอด้วย

นั่นช่างสมแล้ว ที่กุยโดมักจะเรียกภรรยาของเขาว่า “เจ้าหญิง” เขาย่อมเห็นมงกุฏในหัวใจอันงดงามของเธอ บรรทัดต่อจากนี้ มาติดตามถึงการถนอมรักที่ชายสักคนควรจะให้ได้ต่อภรรยาและลูก

ผมเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าค่ายนรก ชาวยิวหญิงและชายถูกแยกออกจากกัน ที่เหมือนกันคือต่างถูกบังคับให้ทำงานหนัก และได้รับอาหารเพียงเศษขนมปังจืดชืด กุยโดอยู่กับลูกชาย เขาปลุกปลอบและพยายามทุกวิธีเพื่อให้ลูกเชื่อว่าสถานการณ์ที่ปรากฏตรงหน้าคือเกมฉลองวันเกิดของเด็กน้อย โดยผู้ชนะในเกมนี้จะได้รถถังเป็นของรางวัล

การที่บทภาพยนตร์ถูกเขียนขึ้นด้วยวิธีที่ให้กุยโดแสดงท่าทางชวนขบขันทุกครั้งต่อหน้าลูกชาย ภายใต้ฉากที่รายล้อมด้วยความสลดหดหู่ของชีวิตเชลยสงครามชาวยิวและกองซากศพรมแก๊ซ ขับอารมณ์ของผู้ชมให้ตื่นตะลึงงันในแบบร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก บอกได้แต่ว่ามีเพียงเด็กผู้บริสุทธิ์เท่านั้น จึงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่าสถานการณ์รอบด้านยังมีความสนุกสนานซุกซ่อนอยู่

ไม่เฉพาะกับลูกชาย ในทุกโอกาสที่เป็นไปได้ กุยโดยังพยายามจะสื่อสารกับภรรยาตลอดเวลาเพื่อให้คลายกังวลว่าตนและลูกยังไม่ได้ถูกรมแก็ซรวมกับศพยิวกองพะเนินเทินทึก เขาเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ยอมรับสถานการณ์อันเลวร้ายแล้วกลับแปลงมันออกมาเป็นแบบชวนหัว นั่นทำให้ผมต้องย้อนไปกล่าวถึงฉากหนึ่งที่กุยโดอาสาเป็นล่ามแปลภาษาของทหารเยอรมันให้บรรดาเชลยชาวยิวรับฟัง ทั้งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจภาษาเยอรมันมาก่อนเลย เหตุผลเดียวที่กุยโดทำเช่นนั้น คือเขาอยากจะพูดในสิ่งที่อยากให้ลูกได้ยิน แล้วเขาก็ทำมันสำเร็จเสมอ

ภาพยนตร์เรื่องนี้กุยโดเสียชีวิตลงในวันสุดท้ายก่อนสงครามยุติ ทหารอเมริกันขับรถถังมารับตัวเด็กชายหลังคืนที่พ่อของเขาหายตัวไปพร้อมกับเสียงปืนของทหารนาซีเยอรมัน เหตุการณ์คืนนั้นกุยโดสั่งให้ลูกชายซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ ห้ามออกไปไหนจนกว่าจะไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นอีก แล้วตัวเขาก็ปลอมเข้าไปตามหาภรรยาที่เกรงว่าจะถูกทหารนาซีขนขึ้นรถยีเอ็มซีไปสังหาร นั่นเป็นคราวเคราะห์ที่แท้จริงของกุยโด เพราะนอกจากจะตามหาภรรยาไม่เจอแล้ว ตัวเขาเองยังถูกทหารนาซีจับได้ ผลลัพธ์ก็อย่างที่ได้กล่าวแล้ว เขาถูกสังหาร

ในภาพยนตร์ ความโหดร้ายของสงครามถูกลดทอนเป็นความบันเทิงด้วยฉากจบที่แม่กับลูกได้กลับมาเจอกัน ดูจบแล้วผมคิดถึงกุยโด คิดถึงอุดมคติที่ผู้ชายสักคนหนึ่งจะสามารถเป็นทั้งพ่อและสามีแบบเขาได้ อันที่จริง ประสบการณ์ถัดจากการดูครั้งแรกเมื่อ 8 ปีก่อน ทำให้ผมแลเห็นหลายอย่างซึ่งเป็นสาระซุกซ่อนอยู่ในภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเยาะเย้ยอัตตาในเรื่องชาติพันธุ์ของมนุษยชาติ การทำงานของพวกข้าราชการต่อประชาชนฐานราก และการชอบคุยโตโอ้อวดของบรรดานักการเมืองทั้งหลายแหล่

เรื่องนี้ถูกกำหนดให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้หากคิดตามเงื่อนไขเหตุผลแล้วเวลาในเรื่องอาจไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริง แต่มันจะมีความหมายสักเท่าไร กับการที่เราต้องรับรู้ความหมายของสงครามมากขึ้นไปอีก เพราะสิ่งที่ทำให้เราตราตรึงอยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือความเป็นพ่อที่ดีและสามีที่น่ารักของกุยโดต่างหาก

พ่อแบบนี้ สามีแบบนี้ ภรรยาแบบนี้ หรือเด็กฉลาดๆ แบบนี้ สงครามพรากไปเท่าไรแล้ว?

ผมขอบคุณแบนินี่ สำหรับภาพยนตร์ที่อาจจะดีที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งได้กำกับและแสดงร่วมกับภรรยาผู้เป็น “เจ้าหญิง” ในชีวิตจริง บางทีการที่ภาพยนตร์อีกเรื่องและหลายเรื่องต่อมาของเขาไม่ประสบความสำเร็จนัก ก็คงเพราะโลกอยากจะจดจำเขาเอาไว้ในบุคลิกของผู้ชายน่ารักชื่อกุยโดก็เป็นได้

คงไม่มีใครในโลกนี้ อยากให้กุยโดตายไปจากความทรงจำ และคงมีบ้างที่ใครสักคนในโลกจะเป็นได้อย่างกุยโด เราคงรู้ๆ กันอยู่ว่ากุยโดของตัวเองเป็นใคร โดยไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสร้างภาพยนตร์ให้คุณร่วมแสดงนำ และเรียกคุณตลอดเวลาว่า “เจ้าหญิง” เหมือนแบนินี่

รูปแบบและการแสดงความรักของทุกคน นั่นแหละครับคือ Life is beautiful
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 03:41:56 »

ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ผมได้ชมก่อนเดินทางมาอยู่เชียงใหม่ชื่อเรื่อง I AM DAVID ซึ่งเข้าฉายเฉพาะที่ APEX ลิโด้ โรงเดียวเท่านั้น ทว่า-สำหรับผมแล้วยืนยันกับตัวเองได้ว่านี่คือภาพยนตร์ดีที่สุดในชีวิตที่เคยดูมา น่าเสียดายที่ต้องเดินทางขึ้นเชียงใหม่เย็นนั้น ผมจึงมิได้รู้รายละเอียดอื่นๆ นอกจากเรื่องราวในจอที่เข้าประทับอยู่ในใจ

ที่เชียงใหม่ ถ้าวัดจากระยะทางของบ้านที่พัทลุงถึงในซอยวัดอุโมงค์ หลายคนคิดว่าผมเป็นชาวซอยที่เดินทางมาไกลที่สุด เปล่าเลย ที่จริงเป็นพี่ฮัวต่างหาก พี่ฮัวที่ผมเพิ่งรู้จักไม่กี่วันก่อน เธอเกิดที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส

ผมไม่กล้าถามอายุ แต่คะเนได้ว่าพี่ฮัวน่าจะอยู่ในวัยปลาย 40 เธอเป็นเจ้าของร้านหนังสือเช่าชื่อ “ปั๊กกะตืน” ร้านเดียวกับที่จัดกิจกรรมโรงเรียนนักอ่านขึ้นในวันที่ผมเดินเคว้งอยู่ในซอย เธออีกนั่นเองที่เป็นแม่งาน จัดทำของที่ระลึกให้นักเขียน ของที่ระลึกให้ผู้ร่วมกิจกรรม และจัดเฉาก๋วยโบราณพร้อมน้ำดื่มไว้บริการทุกคน

กว่าจะถึงวันที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนนักอ่านของร้านพี่ฮัวนั้น ผมพบคนเชียงใหม่จนเริ่มชินกับการรอคอยหลังเวลานัดหมายแล้ว จึงได้อาศัยเวลานั้นพูดคุยกับพี่ฮัว กระทั่งได้ทราบว่าพี่ฮัวเองก็เป็นลูกช้างที่จบจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหมือนกับใครหลายๆ คน

ทุกปี พี่ฮัวจะกลับบ้านที่สุไหงปาดีอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง แต่ตลอดปีที่ผ่าน เป็นปีแรกที่เธอไม่กล้ากลับบ้าน นั่นไม่น่าแปลกใจ ใครหลายคนแถบสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทำงานกระจายอยู่ทั่วประเทศก็ไม่ได้กลับไปด้วยเหตุผลเดียวกันกับพี่ฮัว

เหตุผลของศพจำนวนนับพันจากระยะเวลาตลอดทั้งปี 2547-48 ราวกับเป็นเขตสมรภูมิแห่งสงคราม!

ผมไม่ได้ถามพี่ฮัวต่อถึงเหตุผลที่ทำร้านหนังสือเช่า ทราบจากคนเชียงใหม่ในภายหลังว่าร้านปั๊กกะตืน อยู่มานานแล้ว และการจัดกิจกรรมโรงเรียนนักอ่าน(เป็นครั้งแรกของร้าน)โดยทุนส่วนตัวของเธอเอง ก็น่าจะแปลได้ว่าความฝันของเธอยังไม่ยอมดับมอด พอๆ กับการเดินทางที่ยังไม่จบสิ้น

ในกิจกรรมของวงสนทนาเมื่อเริ่มต้นขึ้น ผมประหลาดใจทีเดียวที่ว่าทุกคนที่ร่วมอยู่ในวงต่างสามารถแสดงความคิดเห็นออกมาได้อย่างเป็นระบบ ไม่เก้อเขิน มีวิธีคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งทุกคนในที่นั้นก็คือศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบันของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งให้กล่าวตามตรง ผมไม่พบบรรยากาศเช่นนี้ง่ายๆ สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

วิธีคิดของคนทางเหนือกับคนทางใต้อาจจะแตกต่างกัน ผมสรุปกับตัวเองเพียงแค่นั้น…

ในวงสนทนา ประกอบไปด้วยพี่ฮัว,พจนาถ พจนาพิทักษ์, บอล, ภัทร, ปุ้ย, หลวง กับอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ แต่ละคนต่างแลกเปลี่ยนกันพูดถึงหนังสือที่ตัวเองชอบ ภาพยนตร์ที่ตัวเองประทับใจ รวมกึงการ์ตูนกับบทกวีอีกด้วย

ในส่วนของผม ผมเลือกหยิบหนังสือชื่อ ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน ของ เปาโล โคเอโย นักเขียนบราซิลเลี่ยนที่ประทับใจ ส่วนภาพยนตร์ก็แน่นอน I AM DAVID โดยอธิบายว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของการผจญภัยของเด็กชายคนหนึ่ง ที่หนีออกไปจากสถานกักกันนักโทษแห่งไหนสักแห่งในโลก โดยมีเพียงขนมปังครึ่งแถว กับเข็มทิศที่ชี้ไปทางเหนือ และซองพัสดุสีน้ำตาลที่ห้ามเปิดระหว่างทาง เด็กชายคนนี้แทบไม่รู้ว่าการเดินทางไปตามทิศเหนือเรื่อยๆ ของเขาจะนำไปพบเจอกับอะไร ที่จริงเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครเลยด้วยซ้ำ แต่ผู้ปรารถนาดีคนหนึ่งในเรือนจำเป็นคนชี้ทางให้เขาไป

การที่ต้องเติบโตอยู่แต่ในคุก รอบตัวมีเพียงบรรยากาศของการลงโทษที่ป่าเถื่อนและการทำงานที่หนัก นั่นทำให้เด็กชายไม่รู้จักแม้แต่วิธีที่จะยิ้ม ผมลืมถามไปทีเดียวว่าทุกคนในวงสนทนาจะรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ถ้าได้รู้จักกับเด็กชายคนหนึ่งที่เพิ่งหัดยิ้มตอนอายุ 12

การเดินทางของเด็กชายนำเขาไปเจอคนหลากหลายประเภท ทั้งคนที่ทำลายความไว้ใจของเขา และคนที่ดีกับเขาอย่างบริสุทธิ์ใจ เขาต้องผ่านด่านหลายด่าน หลายประเทศ ในหลายๆ รูปแบบ บางด่าน เขาต้องขุดดิน ซุกตัวลอดใต้ลวดหนาม และหนีทันในระยะพอดีกับที่เจ้าหน้าที่ไล่หลังตามติดๆ พร้อมยิงปืนส่องแสงขึ้นฟ้า

บางด่าน เด็กชายต้องลอยคออยู่กลางทะเล เคว้งคว้างอยู่กับกลางคืน รอเพียงคลื่นจะซัดร่างเขาเข้าหาฝั่ง ในขณะที่บางด่าน เพียงอาศัยไหวพริบปฏิภาณของคนที่อยู่บนโลกนี้มาก่อน บวกเข้ากับความปรารถนาดีของเธอ เด็กชายก็สามารถผ่านด่านเข้าไปโดยง่าย

ภาพยนตร์เรื่องนี้สอนอะไรหลายอย่าง ซุกซ่อนสัญลักษณ์มากมาย ภายใต้แก่นหลักที่ว่าในการจะเอาตัวรอดไปในวันๆ หนึ่งนั้น คุณต้องรู้จักทำอย่างไรบ้าง ต้องรู้จักเอาอะไรแลกกับอะไรบ้าง

หลังจบจากวงพูดคุยเรื่องหนังสือ ซึ่งที่จริงก็อย่างที่พจนาถเกริ่นไว้ในวันนั้นตั้งแต่ต้น ว่าเป็นเพียงวันที่พวกเรามาทำความรู้จักกัน มาอ่านกันและกันมากกว่าที่อยากจะรู้ว่าใครอ่านหนังสืออะไร ผมนึกยิ้มตอนที่เขาพูดอย่างนั้น เพราะพาลให้เห็นสมไปถึงบทบาทที่เขาเป็นคนเขียนเพลงให้กับรายการโทรทัศน์ “ฅนค้นคน”

หลังรู้จักกัน ผมจึงทราบต่อมาว่าภัทรกำลังมีโครงการจะทำ-“กาดละอ่อน” ซึ่งเป็นที่รวมของคนหนุ่มสาว บอลกำลังจะไปอยู่กับเสี้ยวจันทร์ แรมไพร ที่กรุงเทพฯ ส่วนผม ด้วยความที่มาใหม่ พี่ฮัวกับปุ้ยจึงชวนไปชมนิทรรศการภาพถ่ายเพื่อดอยหลวงเชียงดาวที่คุ้มกลางเวียง(เมือง) ในอีก 2 วันข้างหน้า

จึงมาถึงวันที่ผมได้ไปชมนิทรรศการภาพถ่าย ซึ่งพี่ฮัวกับปุ้ยเองก็สารภาพว่าเพิ่งได้เข้าไปที่คุ้มกลางเวียงครั้งแรก เพราะเพิ่งเปิดไม่นานหลังเจ้าของยกให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นผู้ดูแล ถือเป็นการให้เปล่าเพื่อสาธารณะประโยชน์ในมูลค่า 50 ล้านบาท …แต่ก็คุ้มค่า

การนำสิ่งที่เกินจำเป็นมาบรรจุสิ่งจำเป็นลงไป ทำให้เมืองนี้ยิ่งมีความหมาย

ผมไม่ได้นับดูว่าในนิทรรศการมีภาพถ่ายดอยหลวงเชียงดาวจำนวนทั้งหมดกี่รูป รู้แต่ว่าบนดอยนั้นมีพันธุ์ไม้อยู่ถึง 1,722 ชนิด ซึ่ง 40 กว่าชนิดเป็นพันธุ์ไม้เฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะบนดอยหลวงเชียงดาวเท่านั้น

…และนั่น รวมไปถึง “เอื้องศรีเชียงดาว” กล้วยไม้พันธุ์ใหม่ของโลกที่ ปิยเกษตร สุขสถาน นักพฤกษศาสตร์ชาวไทยค้นพบเมื่อปี 2546 บริเวณกิ่วลม ใกล้ๆ ยอดดอย ซึ่งต่อมา สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ ประทานอนุญาตให้ใช้พระนามตั้งเป็นชื่อวิทยาศาสตร์ Sirindhornia pulchella

ทั้งพี่ฮัวและปุ้ย ดูมีความสุขดีกับการชมนิทรรศการ หลังจากนั้น พี่ฮัวจึงพาผมนั่งรถผ่านสถานที่ต่างๆ ในเมืองเชียงใหม่พร้อมคำบรรยาย โดยมีปลายทางของทริปอยู่ที่ร้านหนังสือขนาดใหญ่ สุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์

ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถ เมื่อผ่านร้านหนังสือเช่าต่างๆ ที่ฮัวจะแนะนำว่าแต่ละร้านมีอะไรน่าสนใจบ้าง และอย่างไม่หวงลูกค้า เธอว่าบางร้านมีหนังสือมากกว่าร้านของเธออย่างเทียบกันไม่ได้ ชนิดที่ว่าร้านสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์มีเล่มไหน ร้านนั้นก็มีทุกเล่ม

ไม่กี่วันที่รู้จักกัน แต่ผมก็มองเห็นพี่ฮัวหลายมุม เธอเป็นนักแสวงหาที่เดินทางมาไกล ทั้งยังมีมุมมองของหัวใจที่ระบบธุรกิจแทรกซึมเข้าไปไม่ถึง ผมเชื่อว่าคนวัยปลายสี่สิบที่ความคิดยังไม่เปลี่ยนไปจากความฝันแบบฉบับหนุ่มสาว สิ่งนั้นจะดึงดูดให้เธอและร้านของเธอมีอะไรน่าสนใจใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกเสมอ ในด้านที่งดงาม

ผ่านไปค่อนเดือนแล้วหลังผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง I AM DAVID ผมเพิ่งมารู้เอาว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงนวนิยายชื่อเดียวกันของ แอนนี่ โฮล์ม นักเขียนชาวเดนมาร์ก โดยตัวผู้เขียนเองมีเจตนาจะเขียนนวนิยายนี้ขึ้นเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้ผู้อ่านวัยเยาว์ ที่ต้องเจอกับเรื่องจริงอย่างเช่น สงคราม ผู้อพยพ ความสำคัญของการเชื่อใจ และหน้าที่ของอิสระภาพ

ผมเพิ่งรู้ทีหลังว่าฉากสถานกักกันในเรื่อง คือสภาพของคุกในยุโรปตะวันออก และเพิ่งรู้อีกเหมือนกันว่าภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องการเดินทางข้ามทวีปของเด็กชายวัย 12 มีชื่อไทยว่า “เดวิด เด็กชายหัวใจไม่เคยแพ้”

ข้อมูลที่ได้ทั้งหมดในภายหลัง มาจากแฮนด์บิลที่ซึ่งแถมมากับหนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์ฉบับหนึ่งที่ร้านพี่ฮัวเป็นสมาชิก และเธอตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ผม ในวันที่ไปเช่าหนังสือที่ร้าน

ถึงผมจะชอบดูหนัง แต่คงไม่มีใครรู้ว่าแฮนด์บิลใบนี้เป็นแฮนด์บิลเพียงใบแรกที่ผมมีและพร้อมจะเก็บไว้ ไม่ใช่เพื่อระลึกถึงเดวิด แต่เพื่อระลึกถึงการเดินทางมาเจอพี่ฮัว

นึกขึ้นได้ว่าผมยังไม่ได้บอกถึงสิ่งที่อยู่ในซองพัสดุสีน้ำตาลของเด็กชายนักเดินทางผู้นั้นเลย ในซองนั้นคือประวัติการเกิด หรืออย่างที่เราเรียกกันว่าสูติบัตรของเด็กชายเดวิด ซึ่งภายหลังด้วยหลักฐานนั้นเอง ที่นำพาเด็กชายไปพบกับแม่ของเขา คล้ายกับหนังจะบอกว่าที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ ก็คือการค้นหาตัวตนของใครคนหนึ่งที่ชื่อเดวิดนั่นเอง

ผมไม่รู้ว่าในวันแรกที่พี่ฮัวเดินทางขึ้นมาตามทิศเหนือเหมือนอย่างเดวิด เธอมีเข็มทิศมาด้วยหรือเปล่า แต่ ณ ร้านหนังสือเช่า “ปั๊กกะตืน” ในวันนี้ ผมมั่นใจว่าเธอจะหาตัวตนของเธอพบแล้ว

ยินดีที่ได้รู้จักครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
salao
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 266



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 03:43:11 »

ขอสักสามเรื่องข้างบนก่อนก็แล้วกันนะครับ หวังว่าที่เขียนคงไม่รกรุงรังเกินไป
IP : บันทึกการเข้า

ติดต่ออีเมล์ jchairit@gmail.com โทร 086-5283895 ติดต่อ วิภู
Line ID: wipoochairit
https://www.facebook.com/ChiangmaiJade
AEK13@กว่างกรุง
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,990


กว่างกรุง


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 09:30:55 »

Love Actually  สำหรับหนังเทศ
องค์บาก         สำหรับหนังไทย
IP : บันทึกการเข้า

วีรบุรุษไซร้ ไร้น้ำตา ร่ำสุราหยาดโลหิตคลุกเคล้า หมื่นพันอดีตกาลแสนเศร้า ยิ้มเยาะเย้ามลายสิ้น กระบี่เดียว
GirlNextDoor
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 09:47:05 »

ของเราขอเป็นหนังต่างประเทศ 2 เรื่อง (นักแสดงนำอาจคนเดียวกัน เพราะว่าปลื้มเขามากๆ)
- Seven Pounds นำแสดงโดย will smith รับบทเป็นเบนผู้ชายที่ต้องไถ่บาปให้กับตัวเองด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนแปลกหน้าเจ็ดคน(ที่เขาขับรถชน) ด้วยการแลกกับชีวิตของตนเอง หาดูตามโรงยากมาก เพราะฉายพิเศษเฉพาะเครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, เอสพลานาด, อีจีวี และ พารากอน แต่หาซื้อที่แม่สายง่ายมาก
- The Pursuit of Happyness เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องของนักขายที่ครั้ง หนึ่งต้องแบกภาระเป็นหางเสือนำทางให้ครอบครัวพ้นจากภาวะยากจน แต่เพราะพิษเศรษฐกิจรุมเร้าเกินเยียวยา ภรรยาของคริสจึงทิ้ง เขา และลูกชายวัย 5 ขวบ คริสโตเฟอร์ (จาเดน คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ ลูกชายแท้ๆของ will smith)ให้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจติดลบเพียงลำพัง 
IP : บันทึกการเข้า
bb_underground
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 09:59:45 »

หนังทุกเรื่องของค่าย GTH

โดยเฉพาะ

แฟนฉัน - Season Change - ปิดเทอมใหญ่ - ความจำสั้น...แต่กรักฉันยาว - รถไฟฟ้ามาหานะเธอ

ถ้าเป็นหนังต่างประเทศก็ยกให้

SevenPound - Harry Potter 1-5 ภาค 6 ห่วยสุดๆ
IP : บันทึกการเข้า
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 10:00:59 »

เรื่องแรกที่ไปดูกะ"แฟนคนแรก"
คือเรื่อง"หมอเจ็บ" ครับ


IP : บันทึกการเข้า
คนเมือง ณ กว่างกรุง
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 553


กำหนดชีวิตตัวเอง หรือรอให้คนอื่นมากำหนดชีวิตเรา..


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 11:07:55 »

ขอสักสามเรื่องข้างบนก่อนก็แล้วกันนะครับ หวังว่าที่เขียนคงไม่รกรุงรังเกินไป

สุดยอดมากเลยนิ  แสดงว่าเป็นคอหนังตัวจริง

.. ส่วนตัวที่จริงชอบหลายเรื่อง

... ที่ห้องสะสมน่าจะได้เป็นร้อย.. ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 11:45:41 โดย คนเมือง » IP : บันทึกการเข้า

"กว่างเจียงของ"
modtanoy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 11:22:59 »

ชอบหนังเรือ่ง  สามชุก น่ะซึ้งดี
IP : บันทึกการเข้า
ⒷⒼ*
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,368

นิพพานคือนิรันดร์


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 11:24:23 »

ถ้าเป็นหนังเรืองแรกๆสุดจำความได้น่าจะเป็นเรื่อง E.T (โครตเก่า)
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบเรื่องแรกน่าจะเป็นเรื่อง Braveheart ตามต่อด้วย Titanic ถ้าเป็นหนังไทยมีหลายเรื่อง เอาเป็นเรื่อง บางระจันแล้วกัน  
ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
too _too11
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 359


...พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาใหม่.....


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 11:58:21 »

เท่าที่จำความได้ครับ เรื่องแรกที่ดู บ้านผีปอบครับ ทุกภาคทุกตอนครับ
IP : บันทึกการเข้า

สู้ต่อซิ......
093-2619841.......
taekeuk_poomse
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 16:17:50 »

และเรื่องต่อมาก็เป็นเรื่อง เดอะลาสซามูไร ที่ ทอมครูสแสดง เท่ห์มากๆ
IP : บันทึกการเข้า
♥ idogpom ♥(บุคคลไปทั่ว)
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,147


อินเตอร์เน็ตความเร็วศูนย์ HS7UUP


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 16:23:06 »

“วัลลี” เด็กหญิงยอดกตัญญู
ดูกับใครจำไม่ได้แล้ว เพราะหลายสิบปีแล้ว  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
bird
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 963


30+โสดออนเซล


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 06 กุมภาพันธ์ 2010, 17:12:35 »

หนังไทย สายลับจับบ้านเล็ก(ชอบนางเอกมากกกก)  และสมเด็จพระนเรศวร  สุริโยทัย ชอบแนวท่านมุ้ยครับ
หนังเทศ  ขอสามก๊ก  ไม่รู้จะมาไตรภาคเหมือนพระนเรศวรเราหรือป่าว  ดูแล้วเหมือนบังเอิญมาแข่งกันหรือป่าว
IP : บันทึกการเข้า

ลูกโป่งสวรรค์  ซุ้มลูกโป่ง ตกแต่งสถานที่ด้วยลูกโป่ง  เปิดแพรคลุมป้าย  081-9613310 Facebook อาทิตย์ บำรุงพงศ์
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!