nataann
บุคคลทั่วไป
|
|
« เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 18:25:12 » |
|
การปฏิบัติและขั้นตอนการแอ่วสาวของผู้ชายในอดีต การอู้สาวจะเริ่มต้นขึ้นก็เมือพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าทุกคนนั้นเสร็จจากภาระกิจการงานต่างๆ แล้ว และไม่ปรากฏว่าในตอนกลางวันนั้น จะมีการ แอ่วสาว เลย พวกสาว ๆ ก็จะหลบหน้าหลบตาไม่ยอมพบพวกหนุ่มๆ และพวกหนุ่มก็เหมือนกัน จะไม่ยอมไปเยี่ยมกรายกรายใกล้บ้านสาวเหมือนกัน ในช่วงกลางวันนั้น พวกหนุ่ม ๆ ก็จะไปทำงาน อาจจะเป็นการทำไร่ ทำนา หรือพวกที่เป็นช่างฝีมือ ก็จะไปทำงานตามแนวที่ถนัดของแต่ละคน หนุ่มล้านนาในสมัยก่อนนั้น ไม่นิยมที่จะมา “อู้สาว” ในเขตละแวกหมู่บ้านเดียวกัน เพราะเคยเห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ เคยเล่นหัวด้วยกันมา มีความนับถือกันเหมือนญาติพี่น้องแต่ก็อาจจะมีบางรายซึ่งเป็นส่วนน้อย อีกประการหนึ่งนั้นการที่จะมา “อู้สาว” หมู่บ้านเดียวกันนั้นมักจะถูกล้อเลียนว่า “แอ่วสาวบ้านเดียวเหมือนเตียวไปขี้” (จีบสาวบ้านเดียวกันเหมือนเดินไปหาส้วม) ค่ำลงแล้วพวกหนุ่ม ๆ ก็จะผัดหน้าทาแป้ง หวีผมเสียเรียบแปร้ ผู้ที่มีนิสัยรักดนตรี ก็จะ “สปายซึง” ไปด้วย หรือ บางคนถนัด “สะล้อ” ก็จะถือสะล้อติดมือไปด้วย เมื่อได้เวลาก็จะเกาะกลุ่ม ดีดซึงสีสะล้อ เดินไปจนกว่าจะถึงบ้านสาว ซึ่งเป็นหมู่บ้านอื่นไม่ใช่หมู่บ้านเดียวกัน การไปแอ่วสาวมักจะไปกันเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 2-3 หรือ 3-5 คน การแอ่วสาว มักจะนิยมแอ่วกันหลังจากฤดูการเก็บเกี่ยวผ่านไปแล้ว ซึ่งจะเป็นช่วงกลางฤดูหนาว เพราะช่วงนี้งานภารกิจต่าง ๆ ก็ทำเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงมีเวลาว่างพอที่จะให้หนุ่ม ๆ ออกแสวงหาคู่ครอง การแอ่วสาวนี้จะมีตั้งแต่หมดฤดูเก็บเกี่ยวเรื่อยไปจนถึงหลังปี่ใหม่เมือง(วันสงกรานต์) หลังสงกรานต์แล้วก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนนี้มักจะไม่มีใครไปแอ่วสาว นอกเสียจากคนที่เป็นคนรักกันเท่านั้น ที่ยังไปมาหาสู่กันจนกว่าจะตกลงปลงใจอยู่กินร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน ส่วนฝ่ายสาว เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็จะแต่งตัวอย่างประณีต นั่งอยู่บน “เติ๋น” (กลางบ้าน) มักจะหางานจุกๆ จิกๆ มาทำพอแก้เขิน บางรายก็จะเอา “เผี่ยน” มานั่งปั่นฝ้าย หรือบางรายก็อาจจักตอกทำเครื่องจักสาน ซึ่งงานประเภทนี้ก็ขึ้นแต่ละบ้านว่า ในละแวกนั้นมีงานประเภทใดทำเป็นหัตถกรรมในครัวเรือน สาวๆ ก็จะเอาของสิ่งนั้นๆ มาทำรอพวกหนุ่ม ๆ ที่มาแอ่ว การ แอ่วสาว นี้จะไม่นิยมไปกันตั้งแต่หัวค่ำ เพราะเกรงว่าการไปในช่วงนี้จะไป “ย้ำถ้วยน้ำพริก” ซึ่งหมายถึง การไปบ้านสาวแล้ว ไปเจอเวลาอาหารเย็นของบ้านสาวเข้านั่นเอง เพราะคนเมืองเรานั้น ส่วนใหญ่มักจะ รับประทานอาหารเย็นกันในเวลาประมาณ 19.00-20.00 น. การแอ่วสาวจึงมักจะไปกันหลังเวลาดังกล่าว ล่วงเลยไปแล้ว และการแอ่วสาวนี้จะมีไปถึง ตี 2 ตี3 และพวกที่แอ่วสาวกลับมาในช่วงนี้ ก็จะมีการ “จ๊อย” (โคลงกลอนคนล้านนา) ไปตาม “กอง” (ถนน) ในหมู่บ้าน โดยมีเสียงสะล้อสีคลอไปตามทำนองของจ๊อย ถ้อยคำของจ๊อยนั้นอาจจะกล่าวถึงผู้หญิงในเชิงตัดพ้อต่อว่า หรือออดอ้อนขอความเห็นใจจากสาวๆ ก็ได้ ตามแต่ผู้ที่ขับร้องจ๊อยนั้น จะเลือกบทร้อยกรองบทไหนออกจากจ๊อย การ “แอ่วสาว” นี้ มีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งคือ ในตอนหัวค่ำนั้น บ่าวผู้เป็น “ตั๋วป้อ” ของสาวๆ นั้น จะไม่มาหา “ตั๋วแม่” ของตนเลย คงปล่อยโอกาสให้พวกบ่าวต่างบ้านที่มาแอ่วขึ้นไปเกี้ยวคู่รักของตน ส่วนตนเองนั้นก็ไป “แอ่วสาว” ที่บ้านอื่นก่อน และบ่าวๆ ในสมัยนั้น ไม่มีการนแสดงอาการหึงหวงต่อกันเลย และบางครั้งก็อาจจะพาเอาเพื่อนต่างบ้านไป “แอ่วสาว” อันเป็นคนรักของตนก็มี และไม่เคยปรากฏว่ามีการทำร้ายกันถึงเลือดตกยางถึงในในเชิงหึงห่วงผู้หญิงอีกด้วย และทำให้เห็นว่าจิตใจของบ่าวๆ ในสมัยนั้นมีความใจกว้างและแฟร์พอในเรื่องอย่างนี้ สำหรับบ้านของสาวนั้น จะต้องมีหิ้งกระจก มีแป้งผัดหน้า มีหวี เตรียมเอาไว้สำหรับให้บ่าวๆ ที่มาแอ่วหานั้น ไปผัดหน้า หวีผม ส่วนสาวนั้นก็นั่งบน “เติ๋น” ใกล้ๆกับประตูห้องทั้งนั้นก็เพื่อที่จะเอาไว้ป้องกันพวกบ่าวมือเร็วที่มาแอ่ว กระทำการล่วงเกิน เมื่อมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น สาวก็จะได้หลบเข้าไปในห้อง ไปปลุกบิดามารดาให้รู้ถึงการล่วงเกินของพวกบ่าวเหล่านั้น บริเวณที่สาวนั่งนั้น จะต้องนั่งใกล้กับประตูห้อง ด้านบนประตูระหว่างวงกบนั้น จะมีแผ่นไม้สี่เหลี่ยมสลักลวดลายติดกั้นเอาไว้ ซึ่งเรียกแผ่นไม้นั้นว่า “หำยนต์” หรือ “หำโยน” ซึ่งบ้านของคนเมืองที่มีฐานะ เป็นบ้านไม้สักนั้น มักจะมีแผ่นไม้นี้ติดเอาไว้ทุกบ้าน ทั้งนี้ก็เพราะเอาไว้ป้องกันหรือเอาไว้เพื่อเป็นการ “ข่ม” ตามพิธีไสยศาสตร์ บนบ้านของฝ่ายสาวอาจจะ “ต๋ามผางมันโกม” เอาไว้ แสงสว่างนั้นไม่สว่างมากนักแบะจะนำผางมันโกมนั้นมาไว้ตรงกลางๆ “เติ๋น” ส่วนสาวนั้นก็จะนั่งบังเงาเสา ไม่ให้พวกบ่าว ๆ ที่มาแอ่วนั้นได้เห็นหน้าถนัด ซึ่งการนั้งลับเงาเช่นนี้ พวกบ่าวที่มาแอ่วหาก็จะพยายามที่จะยลโฉมหน้าให้ถนัด ๆ ก็มีการลุกขึ้นจากที่นั้งไปดื่มน้ำจากหิ้งน้ำ กลับมานั้งใหม่ก็ย้ายที่นั่งจากที่เดิมมาอยู่ใกล้ๆ สาวและทำทียกผางมันโกมขึ้นมาจุดบุหรี่ แล้วก็วางโกมนั้นให้เลื่อนไปจากที่เดิมให้แสงสว่างส่องเห็นหน้าสาวชัดๆ ฝ่ายสาวก็จะกระเถิบลับบังเงาอีก ฝ่ายหนุ่มก็จะทำทีลุกขึ้นดื่มน้ำอีก แล้วกลับมาย้ายแสงไฟอีก สาวก็จะกระเถิบเข้าไปบังเงามืดอีก นับเป็นการหยอกเย้ากัน ค่อนข้างจะสนุกสนานทีเดียว พอตกดึกกะว่าพวกหนุ่มต่างบ้านที่มาแอ่วนั้นกลับไปแล้วก็จะมาหา “ตั๋วแม่ของตน” ซึ่งจะมาหาในราวประมาณ ตี 2 ตี 3 ช่วงนี้ทั้งสองก็จะคุยกันเพียงลำพังฉันท์คนรัก จนเวลาผ่านไปจนใกล้จะรุ่งสางจึงลากลับบ้านไป และสาวนั้นก็จะเข้าครัว “นึ่งข้าว” ต่อไป การอู้สาวแบบคนที่รักกันนั้นไม่นิยมพูดกันในแบบ “กำค่าวกำเคลือ” แต่จะพูดกันในแบบธรรมดาๆนี่เอง “กำค่าวกำเคลือ” นั้นเอาไว้พูดตอบโต้กันกับพวกบ่าวต่างบ้าน หรือกับ “บ่าว” ที่เพิ่งมารู้จักกับ “สาว” เป็นครั้งแรกนั้นเอง
|
|
|
|
nataann
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 18:26:31 » |
|
การสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว หรือการอู้บ่าวอู้สาวแต่ละครั้ง มักจะค่อยเป็นค่อยไปตาม ลำดับขั้นตอน ถ้าหากหนุ่มสาวคนใดสามารถจดจำและเลือกสรรถ้อยคำได้อย่างหลากหลายและไพเราะกินใจ ก็จะทำให้อีกฝ่ายเกิดความประทับใจในถ้อยคำและความสามารถเชิงปฏิภาณไหวพริบของตนได้ ดังนั้นชายหนุ่มหญิงสาวจึงมักจะใจเย็นต่างฝ่ายต่างก็หยั่งเชิงซึ่งกันและกัน จนกว่าจะแน่ใจในนิสัยใจคอของอีกฝ่าย ลำดับขั้นตอนและเนื้อหาคำอู้บ่าวอู้สาว จึงมีลำดับขั้นตอน ๓๓ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. ชายหนุ่มขับจ๊อยทำนองเสนาะเดินทางไปหาหญิงสาวที่ตนพึงพอใจ ๒. ชายหนุ่มทักทายก่อนขึ้นไปบนบ้านหญิงสาว ๓. หญิงสาวกล่าวเชิญชายหนุ่มขึ้นมาบนบ้าน ๔. ชายหนุ่มกล่าวขออนุญาตนั่ง ๕. หญิงสาวกล่าวเชิญชายหนุ่มนั่ง ๖. ชายหนุ่มกล่าวขอเคี้ยวหมาก ๗. หญิงสาวกล่าวเชิญชายหนุ่มเคี้ยวหมาก ๘. ชายหนุ่มเริ่มการคุยโดยกล่าวชมความน่าอยู่ของบ้านหรือหมู่บ้านของหญิงสาว ๙. หญิงสาวกล่าวออกตัวว่าบ้านของตนเองไม่น่าอยู่ ๑๐. หญิงสาวถามนำการสนทนา ๑๑. ชายหนุ่มกล่าวถึงสาเหตุในการมาเยือนบ้านหญิงสาว ๑๒. ชายหนุ่มทักว่าคนรักของหญิงสาวไปที่ไหน ๑๓. หญิงสาวกล่าวตอบว่าไม่มีคนรัก ๑๔. หญิงสาวออกตัวว่า ตนเองเป็นคนต่ำต้อย ๑๕. ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าหญิงสาวไม่มีคนรัก ๑๖. หญิงสาวยืนยันว่าพูดความจริง ๑๗. ชายหนุ่มกล่าวยกยอความสวยงามของหญิงสาว ๑๘. หญิงสาวปฏิเสธคำยกยอของชายหนุ่ม ๑๙. หญิงสาวกล่าวว่ากลัวถูกชายหนุ่มหลอก ๒๐ หญิงสาวออกตัวว่าอายุมากแล้ว ๒๑. ชายหนุ่มกล่าวถ่อมตัวหรือใช้โวหารเรียกร้องความสนใจ ๒๒. หญิงสาวทักว่าชายหนุ่มมีคนรักแล้ว ๒๓. ชายหนุ่มปฏิเสธว่ายังไม่มีคนรัก ๒๔. ชายหนุ่มเอ่ยเสนอความรัก ๒๕. หญิงสาวไม่เชื่อว่าชายหนุ่มพูดความจริง ๒๖. ชายหนุ่มยืนยันในน้ำใจรัก ๒๗. หญิงสาวกล่าวทอดไมตรี ๒๘. หญิงสาวไม่ไยดีน้ำใจจากชายหนุ่ม ๒๙. ชายหนุ่มกล่าวคำอำลา ๓๐. หญิงสาวไม่ยอมให้ชายหนุ่มกลับ ๓๑. หญิงสาวกล่าวคำอำลา ๓๒. ชายหนุ่มขับจ๊อยแก้เหงาตอนเดินทางกลับบ้าน ๓๓. บทเบ็ดเตล็ด
|
|
|
|
|
|
|
oishibenz07
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 20:54:15 » |
|
สาวสมัยใหม่มันดีกว่าเก่าแต้ๆ งามขนาด
|
|
|
|
>:l!ne-po!nt:<
~: ดาบราชบุตร :~
แฟนพันธ์แท้
ออฟไลน์
กระทู้: 10,257
~>: แขกดอย :<~
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 06 เมษายน 2011, 02:29:40 » |
|
|
!!!!! กว่า ๑,๑๐๐ กม.จากยอดดอยสู่ทะเล...ตะวันออก !!!!! www.facebook.com/1100kilometer||||| ธรรมชาติสร้างอากาศบริสุทธิ์ ส่วนมนุษย์นั้นสร้างอาวุธเพื่อทำลาย |||||
|
|
|
|
|
|
|