ศาลตัดสินแล้ว ต้องจ่ายตามที่ศาลสั่งครับ
บริษัทจะมีหนังสือทวงเงินโดยอ้างคำตัดสินของศาล
ถ้าไม่จ่ายภายใน15วันหลังจากรับ จม. บริษัทจะบังคับยึดทรัพย์ เท่าจำนวนเงินที่ศาลตัดสินครับ
มาถึงตอนนี้ต้องไกล่เกลี่ยกับบริษัท ขอผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ (ถ้าไม่มีเงินก้อน)
ซึ่งบริษัทอาจคิดดอกเบี้ยได้อีกร้อยละ7.5/ปี
แต่หากเห็นว่าไม่เป็นธรรม เช่นเราผ่อนจ่ายเป็นเงินพอๆกับเงินต้นแล้ว ส่วนที่บริษัทฟ้องเป็นส่วนที่คิดจากดอกเบี้ย หรือมีช่องอื่นที่พอแย้งได้ เช่นยึดรถไปขายได้ราคาต่ำกว่าท้องตลาดมากๆ ก็ควรอุทรธ์ครับ ตอนนี้ควรปรึกษาผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย
สู้ๆครับ ผมเองก็อยู่ในชั้นอุทรธ์เหมือนกัน(แต่บริษัทเป็นผู้อุทรธ์) เศรษฐกิจแย่ๆ
จากทีอ่านดู ผมก็ยึดทรัพย์บังคับคดีบ่อยนะครับ ผมเข้าใจว่าเจ้าของกระทู้ ตอนโจทก์ฟ้อง วันไกล่เกลี่ยวันสืบพยาน เจ้าของกระทู้ไม่ไปขึ้นศาล หากไปขึ้นศาลก็สามารถไกล่เกลี่ยเจรจาขอชำระเท่านั้นเท่านี้ได้ เพราะการเจรจาตอนนั้นตัวเลขสามารถยืดหยุ่นได้ครับ
เจ้าของกระทู้ไม่สู้เรื่องราคารถ โจทก์ยึดไปแล้วขายได้เท่าไหร่ ขายต่ำเกินไปหรือไม่ ราคาจริงขายได้ประมาณเท่าไหร่ ก่อนจะขายได้ส่งใบแจ้งการประมูลรถมาให้เราหรือไม่ (หากไม่มีศาลยกฟ้องได้ครับ เจอมาแล้ว) รวบรวมข้อมูลวิเคราะให้ศาลดู
ตอนนี้ศาลตัดสินมีคำพิพากษา ในคำพิพากษามีค่าขาดประโยชน์ เท่าน้้นเท่านี้ตามที่โจทก์อ้าง แต่อยู่ในดุลพินิจของศาลอีกทีจะให้เท่าไหร่ ดอกอีก
ถึงจุดนี้แล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ครับ หากไม่มีคนค้ำ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่ได้มีเงินเดือน ให้ยึดก็ไม่ต้องสนใจครับเป็นคดีแพ่ง สิบปีจบกัน
ประเด็นของเจ้าของกระทู้ จะขอไกล่เกลี่ยที่บังคับคดี เหตุเพราะไฟรนก้น อยู่ที่เจ้าหนี้จะไกล่เกลี่ยหรือไม่ประสงค์ไกล่เกลี่ยก็ได้ เพราะถือว่าข้ามขั้นตอนนั้นมาแล้วครับ
ถึงขั้นขอไกล่เกลี่ยบังคับคดีเข้าใจว่าเจ้าหนี้ดำเนินการยึดทรัพย์แล้ว คงไม่กำขี้ดีกว่ากำตด มีทรัพย์ให้ยึดแล้ว อยู่ที่เจ้าหนี้ครับ จะเห็นใจเราหรือเปล่า ยอมหรือไม่ยอม