ประวัติพระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นมีความเป็นมาอย่างไร.?
สำหรับ พระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุนั้น ดั้งเดิมพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหัก มาบูชาเพียงอย่างเดียว และผอบเดียวเท่านั้น โดยที่พระอาจารย์ประจักษ์ ท่านก็ได้บูชาไว้ประมาณปีกว่าๆ เห็นจะได้ ซึ่งท่านก็ได้เพ่งพิศพิจารณาเฝ้าดูพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในผอบนั้น อยู่ทุกวันๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระทั่ง...!! ในวันศุกร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ หลังจากที่พระอาจารย์ประจักษ์ได้ลุกจากจำวัดในตอนใกล้สว่าง ท่านก็ได้ตรวจตรา และเฝ้ามองไปยังที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่เป็นเหมือนอย่างเคย พระบรมสารีริกธาตุที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ แท่นบูชานั้น ได้มีแสงเจิดจ้าระยิบระยับเกิดขึ้น แล้วยังส่องสว่างอย่างแปลกประหลาด กำลังเปล่งประกายออกมาจากผอบ ทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่า... ลำแสงที่เห็นนั้นเป็นแสงอะไร
จากนั้นท่านก็เดินเข้าไปส่องดูในผอบด้วย ความฉงนอย่างที่สุด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?? ปรากฎว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเพชรใสวาบวับ ที่มีน้ำงามบริสุทธิ์ราวกับถูกเจียรไนมาเป็นอย่างดี เสด็จมาอยู่ใจกลางของผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหักได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ผอบนั้นได้ถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีถึง ๒ ชั้น และไม่มีผู้ใดแตะต้องเลยนับตั้งแต่ท่านได้บูชามา
นับว่าเหตุการณ์นี้ได้ สร้างความประหลาดใจแก่พระอาจารย์ประจักษ์เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับท่านมาก่อน จากนั้นท่านจึงกราบ และจุดธูปเทียนสักการะองค์พระบรมสารีริกธาตุด้วยความปิติสุขเป็นอย่างมาก และเมื่อท่านได้ทำพิธีเสร็จสิ้นแล้วท่านก็ได้อธิษฐานจิตถามต่อองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับ ณ ผอบใบนี้นั้น เป็นพระสรีระส่วนใดของพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์ทรงตอบมาในนิมิต หรือความฝันอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเถิด”
จากนั้นพระอาจารย์ประจักษ์จึง ได้นั่งภาวนาต่อไป และสิ่งที่ปรากฎให้ได้รับรู้ในจิตก็ได้บ่งบอกว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับนั้น เป็นส่วนของพระจักษุ หรือนัยน์ตานั่นเอง ซึ่งเป็นพระจักษุทั้งซ้าย และขวา รวมพุทธานุภาพเป็นหนึ่งเดียว” เมื่อพระอาจารย์ประจักษ์ได้รับรู้ดังนั้น ความปลื้มปิติก็ได้บังเกิดขึ้นกับท่านอย่างไม่มีอะไรเทียมได้
ด้วยความ ปลื้มปิติที่เปี่ยมล้น ท่านจึงอดไม่ได้ที่จะบอกกล่าว ถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งพระภิกษุที่นับถือกัน ให้ได้รับรู้ถึงพระพุทธานุภาพของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุ ที่ได้เสด็จมาปรากฎให้เห็น ซึ่งหลายต่อหลายคนก็เชื่ออย่างสนิทใจกับเหตุการณ์นี้
โดยที่พระอาจารย์ ประจักษ์ท่านก็ยินดีที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งประชาชนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้เข้ามาสักการะองค์ท่านถึงที่ประดิษฐานอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสามารถเก็บภาพความมหัศจรรย์ขององค์ท่าน เพื่อนำไปบูชาต่อไปได้อีก
แต่ แล้วบางคนกลับสงสัยว่า พระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมานั้นจะเป็นพระจักษุ หรือนัยน์ตาไปได้อย่างไร และเมื่อมีคนสงสัยกันมากๆ เข้า พระอาจารย์ประจักษ์ท่านก็เกรงว่าจะกลายเป็นการปรามาส และเกิดเป็นบาปกรรมขึ้นได้ ทว่าท่านก็มิอาจที่จะห้ามความคิด และความลังเลสงสัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้
กระทั่งวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒ ก็ได้มีลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน ได้เข้ามาสักการะพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุอย่างเช่นปกติ ซึ่งก็ได้ถ่ายภาพพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุเอาไว้ และด้วยปาฎิหาริย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงให้ประจักษ์แก่สายตาลูกศิษย์ลูกหารวมทั้งสาธุชนโดยทั่วไป เพื่อที่หลายๆ คนจะได้หมดไปซึ่งความคลางแคลงสงสัยกันเสียที
ปรากฎว่าภาพ ที่ถ่ายได้นั้นมองเห็นเป็น “ดวงตา” หรือ “พระจักษุ” อย่างชัดเจน และอัศจรรย์เกินกว่าที่จะบรรยายได้หมด นี่คือพระพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฎขึ้นเป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อ ไป
ซึ่งปัจจุบันองค์จริงของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุนั้น ได้ประดิษฐานอยู่ ณ กุฏิ พระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ ตึกมงคลวิทยา ชั้น ๓ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จังหวัดกรุงเทพมหานคร
สำหรับความอัศจรรย์ของ พระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่องค์ท่านเสด็จมาปรากฎได้ไม่นาน พระบรมสารีริกธาตุส่วนต่างๆ อาทิ ส่วนแกนพระสมอง, ส่วนพระโลหิต, ส่วนพระเกศา, ส่วนพระอุรังคธาตุ, ส่วนพระอุณหิสะ รวมทั้งพระธาตุของพระอรหันต์ และสาวกองค์อื่นๆ ก็ได้เสด็จหลั่งไหลตามกันมาอย่างไม่ขาดสาย
จาก ๑ ผอบก็ทวีเพิ่มขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน ราวกับว่าท่านเสด็จมาอย่างไม่มีวันหมด แม้ว่าพระอาจารย์ประจักษ์จะแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มาขออาราธนาไปบูชา เอง หรือว่าจะนำไปประดิษฐานตามวัดต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้วก็ตาม แต่พระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระอรหันต์ธาตุกลับเสด็จมาเพิ่มเรื่อยๆ นับวันก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้สถานที่ประดิษฐานในทุกวันนี้ มองดูคับแคบลงไปถนัดตา
ทางวัดป่าศรีคุณารามจึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการ ก่อสร้าง พระมหาเจดีย์มงคลพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อที่จะอัญเชิญองค์พระจักษุธาตุ และพระอรหันต์ธาตุไปประดิษฐานยังสถานที่ที่เหมาะสม ควรค่าแก่การสักการะบูชา เพื่อจะได้เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป ให้ชนรุ่นหลังได้กราบสักการะบูชา จะได้เป็นการเพิ่มกองบุญกองกุศลเพื่อสวรรค์ พรหม และพระนิพพานตลอดไป เพื่อที่บวรพระพุทธศาสนาจะได้ดำรงถึง ๕,๐๐๐ ปี
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนพุทธ ศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันสร้างมหากุศลในครั้งนี้ ทางผู้จัดทำจึงขออนุโมทนาบุญกุศลในการสร้างมหากุศลในครั้งนี้ด้วย และขอให้ทุกท่านมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ตลอดกาลนานเทอญ
Last Updated on Wednesday, 02 March 2011 04:57