เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 28 เมษายน 2024, 09:43:44
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  “ปาฏิหาริย์แห่งพระจักษุธาตุ”
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน “ปาฏิหาริย์แห่งพระจักษุธาตุ”  (อ่าน 2949 ครั้ง)
เด็กอินเตอร์
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,302


« เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2011, 04:14:01 »


คมชัดลึก : พระบรมสารีริกธาตุนั้นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พระพุทธศาสนามาหลายพันปี มักจะบรรจุในยอดเจดีย์ ส่วนยอดขององค์พระพุทธรูป เราจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุมากมายในสากลจักรวาลและในโลกมนุษย์ มีหลากหลายสีสันและรูปทรง แสดงให้เห็นถึงการนิพพานแห่งพระศาสดาและพระสาวกพระอรหันต์เจ้า พระปัจเจก ฯลฯ


กล่าวกันว่าเมื่อใดเสด็จ มาคราวละมากๆ ในโลกมนุษย์ ณ ถิ่นที่ใด ย่อมหมายถึงความสุขสงบร่มเย็น และความรุ่งเรืองแก่ดินแดนนั้นๆ การเสด็จมาโดยปาฏิหาริย์ สำหรับผู้เขียนนั้นยังไม่เคยเห็นครั้งใดเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะพระจักษุธาตุที่มิเคยปรากฏมาช้านาน หลายพันปีแล้วเสด็จสู่สถูป ณ ประเทศเนปาล ดินแดนแห่งที่ประสูติขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครั้งนี้ก็เสด็จ ณ วัดสัมพันธวงศ์ นำความปลาบปลื้มใจแก่สาธุชนถ้วนหน้า และยังมีพระธาตุต่างๆ เสด็จมาไม่ขาดสายจำนวนมหาศาล

ผู้เขียนเองได้ไปนั่งกราบที่กุฏิพระอาจารย์ประจักษ์ และพุทธศาสนิกชนอีกมากมายที่เห็นมาปรากฏ โดยบริเวณรอบกายอย่างอัศจรรย์ จึงขอกล่าวถึงความเป็นมาของพระบรมสารีริกธาตุนั้นหมายถึง กระดูกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่า “พระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ” นี้ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Relic” ซึ่งตรงกับภาษาละตินว่า “Reliquiae” แปลว่า ส่วนที่เหลืออยู่ (Remains)

นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่า “ทีปังกร” มาจนถึงพระพุทธเจ้านามว่า “โคดม” การเก็บกระดูก (อัฐิ หรือเป็นกระดูกของคนบริสุทธิ์ ก็นิยมเรียกว่าพระธาตุบ้าง พระสารีริกธาตุบ้าง พระบรมสารีริกธาตุบ้าง) ไว้บูชาสักการะ ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ข้อความในคัมภีร์กล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องระลึกถึงพระ พุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว 4 อย่าง คือ ธาตุเจดีย์ คือพระบรมสารีริกธาตุและเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริโภคเจดีย์ คือ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ธรรมเจดีย์ คือ จารึกข้อพระธรรม และ อุเทสิกเจดีย์ คือ พระพุทธรูป ธรรมจักร รอยพระพุทธบาท พระแท่นวัชรอาสน์ หรือ สัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า

สิ่งที่ควรบูชาสักการะสูงสุดของชาวพุทธคือ เจดีย์ 4 ประเภทดังกล่าว โดยเฉพาะธาตุเจดีย์นั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง การหายไปของพระธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุเป็นเครื่องแสดงถึงความเสื่อมของศาสนาอย่างหนึ่งเรียก ว่า “ธาตุอันตรธาน” พระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุนั้นหายไปจากโลกนี้ เป็นเพียงการหายไปจากที่หนึ่งที่คนไม่นิยมปฏิบัติธรรมแล้วไปปรากฏในอีกที่ หนึ่งที่คนนิยมปฏิบัติธรรม หรืออาจไม่ปรากฏในที่ไหนเลย จนกว่าจะมีคนปฏิบัติธรรมจึงจะปรากฏ

สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระจักษุธาตุนั้น ดังเดิมพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ได้เชิญพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเมล็ดข้าวสารหัก มาบูชาเพียงอย่างเดียว โดยที่พระอาจารย์ประจักษ์ท่านก็ได้บูชาไว้ประมาณปีกว่าๆ ซึ่งท่านก็ได้เพ่งพิศพิจารณาเฝ้าดูพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในผอบนั้น อยู่ทุกวันๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กระทั่งในวันศุกร์ที่ 16 มกราคม 2552 หลังจากที่พระอาจารย์ประจักษ์ลุกจากจำวัดในตอนใกล้สว่าง ท่านก็ได้ตรวจตราไปยังที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเหมือนอย่างเคย พระบรมสารีริกธาตุที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่มีแสงเจิดจ้าระยิบระยับเกิดขึ้น ทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก

ปรากฏว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเพชรใสวาบวับ น้ำงามบริสุทธิ์ราวกับถูกเจียระไนมาเป็นอย่างดี เสด็จมาอยู่ใจกลางของผอบ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหักได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ผอบนั้นถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีถึง 2 ชั้น และไม่มีผู้ใดแตะต้องเลย ซึ่งเป็นความอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นแก่ท่านมาก่อน จากนั้นท่านจึงกราบและจุดธูปเทียนสักการะองค์พระบรมสารีริกธาตุด้วยความปีติ สุขเป็นอย่างมาก ท่านได้อธิษฐานจิตถามต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“พระบรมสารีริกธาตุได้เสด็จมาประทับ ณ ผอบใบนี้นั้น เป็นพระสรีระส่วนใดของพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์ทรงตอบมาในนิมิตหรือความฝันอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเถิด”

จากนั้นพระอาจารย์ประจักษ์จึงนั่งภาวนาต่อไป และสิ่งที่ปรากฏให้ได้รับรู้ในจิตก็ได้บ่งบอกว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับนั้น เป็นส่วนของพระจักษุ หรือนัยน์ตานั่นเอง ซึ่งเป็นพระจักษุทั้งซ้ายและขวา รวมพุทธานุภาพเป็นหนึ่งเดียว”

ด้วยความปลื้มปีติที่เปี่ยมล้น ท่านจึงอดไม่ได้ที่จะบอกกล่าวถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์แก่บรรดาลูกศิษย์ ลูกหา รวมทั้งพระภิกษุที่นับถือ แต่แล้วบางคนกลับสงสัยว่าพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จนั้นเป็นพระจักษุ หรือนัยน์ตาไปได้อย่างไร และเมื่อมีคนสงสัยกันมากๆ เข้า พระอาจารย์ประจักษ์เกรงว่ากลายเป็นการปรามาส และเกิดเป็นปาบกรรมขึ้นได้ ทว่าท่านก็มิอาจที่จะห้ามความคิดและความสังสัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้

กระทั่งในเดือนกันยายนนี้เอง มีลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน ถ่ายภาพพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุเอาไว้ ปรากฏว่าภาพที่ถ่ายมองเห็นเป็น “ดวงตา” หรือ “พระจักษุ” อย่างชัดเจนและอัศจรรย์เกินกว่าที่จะบรรยาย ลองดูได้ ณ กุฏิพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ ตึกมงคลวิทยา ชั้น 3 วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

สำหรับความอัศจรรย์ของพระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่องค์ท่านเสด็จมาปรากฏได้ไม่นาน พระบรมสารีริกธาตุส่วนต่างๆ ก็เสด็จหลั่งไหลตามกันมาอย่างไม่ขาดสาย นับวันก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้สถานที่ประดิษฐานในทุกวันนี้มองดูคับแคบลงไปถนัดตา

ทางวัดป่าศรีคุณารามจึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการก่อสร้างพระมหาเจดีย์มงคล พระบรมสารีริกธาตุ เพื่อที่จะเชิญองค์พระจักษุธาตุและพระอรหันต์ธาตุไปประดิษฐานยังสถานที่ที่ เหมาะสม ควรค่าแก่การสักการะบูชา เพื่อจะได้เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป

ด้วยอานิสงส์ของท่านทั้งหลาย เพียงอธิษฐานจิต ท่านอาจจะได้พบกับเหตุการณ์มหัศจรรย์ อันเป็นมงคลแก่ชีวิตที่ได้เห็นพระธาตุเสด็จมาให้เห็น เบื้องหน้ารอบกาย เหมือนอย่างเช่นผู้เขียน และพุทธศาสนิกชนได้ประสบมาแล้ว เป็นเครื่องยืนยันว่าผู้ประพฤติกรรมในดินแดนนี้ยังมิสูญสิ้น และพระศาสนาจะยืนยาวด้วยความเจริญรุ่งเรืองชั่วกัลป์ 
(เขียนและเรียบเรียง โดย ป๊อก เชลซี ถวายเป็นพุทธบูชา)

เขียนและเรียบเรียง โดย ป๊อก เชลซี
ถวายเป็นพุทธบูชา
IP : บันทึกการเข้า

คำเตือน : ระวังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โปรดตรวจสอบประวัติผู้ขายและสินค้า ก่อนโอนเงิน
เด็กอินเตอร์
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,302


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2011, 04:15:24 »

ประวัติพระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นมีความเป็นมาอย่างไร.?

สำหรับ พระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุนั้น ดั้งเดิมพระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหัก มาบูชาเพียงอย่างเดียว และผอบเดียวเท่านั้น โดยที่พระอาจารย์ประจักษ์ ท่านก็ได้บูชาไว้ประมาณปีกว่าๆ เห็นจะได้ ซึ่งท่านก็ได้เพ่งพิศพิจารณาเฝ้าดูพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในผอบนั้น อยู่ทุกวันๆ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระทั่ง...!! ในวันศุกร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๒ หลังจากที่พระอาจารย์ประจักษ์ได้ลุกจากจำวัดในตอนใกล้สว่าง ท่านก็ได้ตรวจตรา และเฝ้ามองไปยังที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่เป็นเหมือนอย่างเคย พระบรมสารีริกธาตุที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ ณ แท่นบูชานั้น ได้มีแสงเจิดจ้าระยิบระยับเกิดขึ้น แล้วยังส่องสว่างอย่างแปลกประหลาด กำลังเปล่งประกายออกมาจากผอบ ทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากว่า... ลำแสงที่เห็นนั้นเป็นแสงอะไร

จากนั้นท่านก็เดินเข้าไปส่องดูในผอบด้วย ความฉงนอย่างที่สุด ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?? ปรากฎว่ามีพระบรมสารีริกธาตุสัณฐานเพชรใสวาบวับ ที่มีน้ำงามบริสุทธิ์ราวกับถูกเจียรไนมาเป็นอย่างดี เสด็จมาอยู่ใจกลางของผอบที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสารหักได้อย่างอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ผอบนั้นได้ถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีถึง ๒ ชั้น และไม่มีผู้ใดแตะต้องเลยนับตั้งแต่ท่านได้บูชามา
นับว่าเหตุการณ์นี้ได้ สร้างความประหลาดใจแก่พระอาจารย์ประจักษ์เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นความอัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับท่านมาก่อน จากนั้นท่านจึงกราบ และจุดธูปเทียนสักการะองค์พระบรมสารีริกธาตุด้วยความปิติสุขเป็นอย่างมาก และเมื่อท่านได้ทำพิธีเสร็จสิ้นแล้วท่านก็ได้อธิษฐานจิตถามต่อองค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับ ณ ผอบใบนี้นั้น เป็นพระสรีระส่วนใดของพระพุทธองค์ ขอพระพุทธองค์ทรงตอบมาในนิมิต หรือความฝันอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยเถิด”

จากนั้นพระอาจารย์ประจักษ์จึง ได้นั่งภาวนาต่อไป และสิ่งที่ปรากฎให้ได้รับรู้ในจิตก็ได้บ่งบอกว่า “พระบรมสารีริกธาตุที่ได้เสด็จมาประทับนั้น เป็นส่วนของพระจักษุ หรือนัยน์ตานั่นเอง ซึ่งเป็นพระจักษุทั้งซ้าย และขวา รวมพุทธานุภาพเป็นหนึ่งเดียว” เมื่อพระอาจารย์ประจักษ์ได้รับรู้ดังนั้น ความปลื้มปิติก็ได้บังเกิดขึ้นกับท่านอย่างไม่มีอะไรเทียมได้

ด้วยความ ปลื้มปิติที่เปี่ยมล้น ท่านจึงอดไม่ได้ที่จะบอกกล่าว ถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งพระภิกษุที่นับถือกัน ให้ได้รับรู้ถึงพระพุทธานุภาพของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุ ที่ได้เสด็จมาปรากฎให้เห็น ซึ่งหลายต่อหลายคนก็เชื่ออย่างสนิทใจกับเหตุการณ์นี้

โดยที่พระอาจารย์ ประจักษ์ท่านก็ยินดีที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งประชาชนที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้เข้ามาสักการะองค์ท่านถึงที่ประดิษฐานอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสามารถเก็บภาพความมหัศจรรย์ขององค์ท่าน เพื่อนำไปบูชาต่อไปได้อีก
แต่ แล้วบางคนกลับสงสัยว่า พระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมานั้นจะเป็นพระจักษุ หรือนัยน์ตาไปได้อย่างไร และเมื่อมีคนสงสัยกันมากๆ เข้า พระอาจารย์ประจักษ์ท่านก็เกรงว่าจะกลายเป็นการปรามาส และเกิดเป็นบาปกรรมขึ้นได้ ทว่าท่านก็มิอาจที่จะห้ามความคิด และความลังเลสงสัยของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้

กระทั่งวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๒ ก็ได้มีลูกศิษย์ลูกหาที่นับถือท่าน ได้เข้ามาสักการะพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุอย่างเช่นปกติ ซึ่งก็ได้ถ่ายภาพพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุเอาไว้ และด้วยปาฎิหาริย์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงให้ประจักษ์แก่สายตาลูกศิษย์ลูกหารวมทั้งสาธุชนโดยทั่วไป เพื่อที่หลายๆ คนจะได้หมดไปซึ่งความคลางแคลงสงสัยกันเสียที
ปรากฎว่าภาพ ที่ถ่ายได้นั้นมองเห็นเป็น “ดวงตา” หรือ “พระจักษุ” อย่างชัดเจน และอัศจรรย์เกินกว่าที่จะบรรยายได้หมด นี่คือพระพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฎขึ้นเป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุอย่างไม่ต้องสงสัยอีกต่อ ไป
ซึ่งปัจจุบันองค์จริงของพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระจักษุธาตุนั้น ได้ประดิษฐานอยู่ ณ กุฏิ พระอาจารย์ประจักษ์ ภูริปัญโญ ตึกมงคลวิทยา ชั้น ๓ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จังหวัดกรุงเทพมหานคร

สำหรับความอัศจรรย์ของ พระบรมสารีริกธาตุ (ส่วนพระจักษุธาตุ) นั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่องค์ท่านเสด็จมาปรากฎได้ไม่นาน พระบรมสารีริกธาตุส่วนต่างๆ อาทิ ส่วนแกนพระสมอง, ส่วนพระโลหิต, ส่วนพระเกศา, ส่วนพระอุรังคธาตุ, ส่วนพระอุณหิสะ รวมทั้งพระธาตุของพระอรหันต์ และสาวกองค์อื่นๆ ก็ได้เสด็จหลั่งไหลตามกันมาอย่างไม่ขาดสาย
จาก ๑ ผอบก็ทวีเพิ่มขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน ราวกับว่าท่านเสด็จมาอย่างไม่มีวันหมด แม้ว่าพระอาจารย์ประจักษ์จะแจกจ่ายให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มาขออาราธนาไปบูชา เอง หรือว่าจะนำไปประดิษฐานตามวัดต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้วก็ตาม แต่พระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งพระอรหันต์ธาตุกลับเสด็จมาเพิ่มเรื่อยๆ นับวันก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้สถานที่ประดิษฐานในทุกวันนี้ มองดูคับแคบลงไปถนัดตา
ทางวัดป่าศรีคุณารามจึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการ ก่อสร้าง พระมหาเจดีย์มงคลพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อที่จะอัญเชิญองค์พระจักษุธาตุ และพระอรหันต์ธาตุไปประดิษฐานยังสถานที่ที่เหมาะสม ควรค่าแก่การสักการะบูชา เพื่อจะได้เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป ให้ชนรุ่นหลังได้กราบสักการะบูชา จะได้เป็นการเพิ่มกองบุญกองกุศลเพื่อสวรรค์ พรหม และพระนิพพานตลอดไป เพื่อที่บวรพระพุทธศาสนาจะได้ดำรงถึง ๕,๐๐๐ ปี

ดังนั้นจึงขอเชิญชวนพุทธ ศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันสร้างมหากุศลในครั้งนี้ ทางผู้จัดทำจึงขออนุโมทนาบุญกุศลในการสร้างมหากุศลในครั้งนี้ด้วย และขอให้ทุกท่านมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ ตลอดกาลนานเทอญ

Last Updated on Wednesday, 02 March 2011 04:57
IP : บันทึกการเข้า

คำเตือน : ระวังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โปรดตรวจสอบประวัติผู้ขายและสินค้า ก่อนโอนเงิน
เด็กอินเตอร์
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,302


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 11 มีนาคม 2011, 04:17:39 »

http://www.phrachuksuthath.com/home/

โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่านและการคอมเม้นต์ด้วยนะครับ

ในส่วนตัวผมนั้นคิดว่าจะศรัทธาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่แต่ละบุคคล และ

ควรมองที่ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจักดีนักแล
IP : บันทึกการเข้า

คำเตือน : ระวังตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โปรดตรวจสอบประวัติผู้ขายและสินค้า ก่อนโอนเงิน
ลุงหนาน
ผู้ดูแลบอร์ด
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 249



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2011, 18:34:32 »

ครั้งหนึ่งเคยไปกราบ หลวงปู่ขาน..พระสายหลวงตามหาบัว สายพระป่า.. ท่านอยู่เชียงรายเรานี่แล่ะ ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว  เมื่อสิบกว่าปีก่อน ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่าน..พอดีท่านถามว่า ไปไหนมา.เราก็ตอบว่า ไปกราบพระธาตุสำคัญในเชียงรายมาครับ..ท่านเทศน์ชุดใหญ่เลยว่า.. ไปใหว้ทำไมพระธาตุ  เป็นแค่อิฐแค่ปูน.. ท่านบอกว่า ธาตุสี่ ดินน้ำ ลมไฟ ในตัวนั่นแล่ะ ให้ดูตลอดทุกอิริยาบท.กำหนดไป แล้วจะเกิดปัญญา.. ใหว้พระธาตุตลอดชีวิต ก็เข้านิพพานไม่ได้..  เรานี่เจอปั๋งเลย..พิจารณาตามท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความศรัทธาของคน กราบไหว้อะไร ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก เป็นเรื่องของศรัทธา..เพียงแต่ว่า อย่าลืมปฏิบัติด้วยก็แล้วกัน. เพราะศาสนาพุทธเราไม่ใช่ศาสนาเทวนิยม.ที่ต้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วท่านจะช่วยเหลือ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาว่าด้วยเหตุและผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว.. ก่อนกลับเพื่อนผมคนหนึ่ง ขอเหรียญท่าน บอกว่าจะเก็บไว้บูชา.เพราะเป็นคนกลัวผี... หลวงปู่ท่านตอบเต็มๆ เลยว่า  "บ้านคุณมีหมาไหม.. คนนั้นก็ตอบว่า " มีครับ"  หลวงปู่บอกว่า "หมาบ้านคุณกลัวผีไหม" ท่านเลยกระหน่ำต่อ ว่า " เราเกิดเป็นคนแต่ยังกลัวผี.. อายหมา.."  555 พูดไม่ออกเลย..
IP : บันทึกการเข้า

อย่ายึดมั่นกับสิ่งใดๆ เพราะอะไรๆ ก็ไม่แน่นอน
wsan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2011, 13:49:31 »

....ห่างจากแก่นพระพุทธศาสนาไปไกลลิบ.....
....ผมไม่เคยบวช...แต่ได้อ่านมา 
....เพียงสติปัญญา ของตน...พอรู้ว่า... 
.... กาลามสูตร เป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อเพราะ
          ๑. ด้วยการฟังตามกันมา
          ๒. ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
          ๓. ด้วยการเล่าลือ
          ๔.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
          ๕. ด้วยตรรก
          ๖. ด้วยการอนุมาน
          ๗. ด้วยการคิดตรึกตรองตามแนวเหตุผล
          ๘. ด้วยเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
          ๙. ด้วยเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ
          ๑๐. ด้วยเพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
  .....มุ่งถึงศรัทธาอันเกิดจากความรู้ในธรรมของพระองค์ที่เกิดจาก “วิมังสา ความสอบสวนพิจารณา”
......พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า พระธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ภายหลังที่พระองค์ล่วงลับไปแล้วพระไตรปิฎกจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์ และเป็นที่ที่ชาวพุทธสามารถเข้าเฝ้าพระศาสดาของตน  พุทธศาสนิกชนสามารถศึกษาปริยัติศาสน์จากพระไตรปิฎก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป
......น่าเสียดาย น่าเสียใจ ที่พระสงฆ์ ผู้ที่ได้ปวารณาตนเข้าบวชในพระพุทธศาสนา ย่อมมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้พระธรรม มากกว่าผู้ที่ยังไม่ได้บวช
.......กลับไม่นำสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์มาเป็นแก่น เป็นหลัก ในการเผยแผ่พระศาสนา ล้างอวิชชาในมวลมนุษย์
......กลับสร้างกรอบภาพลวงตาลวงใจ เอาอวิชชาแห่งตน แอบอ้างพระพุทธศาสนา
.........หากินกับศรัทธา ปุถุชนผู้เปี่ยมด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ....
..........ให้งมงายกับวัตถุ ที่ตนโฆษณาขึ้น....
.............ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้า ให้สงฆ์พึงปฏิบัติแม้ นาโนเดียว.....
IP : บันทึกการเข้า
wsan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2011, 14:02:21 »

.....การทำสังคายนาครั้งแรก เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 3 เดือน
......มูลเหตุในการทำสังคายนาครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อพระมหากัสสปเถระทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน บรรดาลูกศิษย์พระมหากัสสปเถระ เมื่อได้ทราบข่าวต่างพากันร้องไห้คร่ำครวญ แต่มีภิกษุอยู่รูปหนึ่งชื่อสุภัททะ ซึ่งเป็นภิกษุแก่ กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะร้องไห้กันไปทำไม เมื่อสมัยที่พระพุทธเจ้ายังอยู่ พระองค์ทรงเข้มงวดกวดขัน คอยชี้ว่านี่ถูก นี่ผิด นี่ควร นี่ไม่ควร ทำให้พวกเราลำบาก บัดนี้พระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พวกเราจะได้ทำอะไรตามใจชอบเสียที เมื่อพระมหากัสสปเถระได้ฟังดังนี้ก็รู้สึกสลดใจ ดำริว่าแม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปใหม่ๆ ยังปรากฏผู้มีใจวิปริตจากธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ถ้าปล่อยไว้นานเข้า คำสอนทางพระพุทธศาสนาอาจถูกบิดเบือนไปได้ จึงทำสังคายนา

IP : บันทึกการเข้า
wsan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2011, 14:08:24 »

การสังคายนาครั้งที่สอง
.....ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ พระยสะ กากัณฑกบุตร พบเห็นข้อปฏิบัติย่อหย่อน 10 ประการทางพระวินัยของภิกษุวัชชีบุตร เช่น ควรเก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์เพื่อรับประทานได้ ควรฉันอาหารยามวิกาลได้ ควรรับเงินทองได้ เป็นต้น พระยสะ กากัณฑกบุตรจึงชวนพระเถระต่างๆ ให้ช่วยกันวินิจฉัย แก้ความถือผิดครั้งนี้

การสังคายนาครั้งที่สาม
.........ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ มีพวกเดียรถีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา พระโมคคลีบุตร ติสสเถระ จึงได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อกำจัดความเห็นของพวกเดียรถีย์ออกไป
IP : บันทึกการเข้า
nazha
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 156


เหนือกว่ากฏหมาย คือ กฏแห่งกรรม


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 18 มีนาคม 2011, 20:12:34 »

เจตนาดี แต่วิธี..........ผิด
IP : บันทึกการเข้า

ณชารีย์  ชินวรสิริวัชร (เพื่อนคอม)
240 หมู่18 ต.อ่างทอง อ.เมือง กำแพงเพชร 62000 T.0815308963 /บัญชี ธ.กรุงไทย 6200080178
©®*
cr-nettech ltd.,part.
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 18 มีนาคม 2011, 21:24:51 »

ข้อหาอวดอุตริฯ
มติสงฆ์วัดสัมพันธวงศ์ ให้ขับ “พระครูพันธกิจประจักษ์”  เจ้าของจักษุธาตุเจ้าปัญหาออกจากวัดหลังไม่ยินยอมให้ตรวจพิสูจน์ว่าเป็นของ จริงหรือของปลอม แถมยึดตำแหน่งฐานานุกรมคืนวัด ด้วย เตรียมปรึกษานักกฎหมายจัดการดำเนินคดีตามขั้นตอน ขณะที่พระครูต้นเหตุไม่ยี่หระ ยังยืนยันความบริสุทธิ์ เหน็บเป็นแค่พระบ้านนอกไม่มีสิ่งเคลือบแฝง โอ่เงินค่าก่อสร้างเจดีย์บรรจุจักษุธาตุ 600 ล้านบาทเรื่องจิ๊บๆ

อ่านต่อคลิกไปเลย http://ssc.onab.go.th/?p=724
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 มีนาคม 2011, 21:28:55 โดย เมรัย มัชจุราช » IP : บันทึกการเข้า

Patu
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 236


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 19 มีนาคม 2011, 15:25:26 »

ได้ไปร่วมงานทอดกฐินที่วัดป่าศรีคุณารามเมื่อปีก่อนค่ะ พระครูประจักษ์ก็ไป มีลูกศิษย์ตามไปเยอะมาก ทางวัดได้แผ้วถางที่ทางที่จะสร้างมหาเจดีย์ไว้แล้วด้วย รู้สึกว่าซื้อที่เพิ่มด้วยเพื่อมหาเจดีย์นี่แหละค่ะ หลวงปู่เจ้าอาวาสท่านชราภาพมากแล้วค่ะ ไม่ค่อยสบายด้วย วัดก็อยู่ไกลตัวเมืองมากพอดู  ก็ได้รู้เรื่องพระจักษุธาตุจากซีดีที่พระครูประจักษ์นำมาแจกนั่นเอง ไม่อาจตัดสินได้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็เพราะพระจักษุธาตุนี่แหละที่ทำให้ทางวัดได้เงินทอดกฐินกว่า 10 ล้านบาท ชาวบ้านช็อคไปเลยค่ะ ดิฉันเองก็ช็อคเหมือนกัน เพราะยังไม่เคยไปทอดกฐินที่ไหนแล้วทางวัดได้เงินเยอะขนาดนี้ ก็ขออนุโมทนาผู้ที่ได้ทำบุญด้วย หวังว่าคงไม่มีใครไปขอเงินคืนนะคะ
IP : บันทึกการเข้า
Mahasaykikung
เศรษฐกิจพอเพียง
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 466



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 30 มีนาคม 2011, 05:44:45 »

เหอะๆ
IP : บันทึกการเข้า

บัวล้านนา
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 138


ไปให้สุดแล้วหยุดที่.. "พอ"


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 10:47:20 »

ครั้งหนึ่งเคยไปกราบ หลวงปู่ขาน..พระสายหลวงตามหาบัว สายพระป่า.. ท่านอยู่เชียงรายเรานี่แล่ะ ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว  เมื่อสิบกว่าปีก่อน ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่าน..พอดีท่านถามว่า ไปไหนมา.เราก็ตอบว่า ไปกราบพระธาตุสำคัญในเชียงรายมาครับ..ท่านเทศน์ชุดใหญ่เลยว่า.. ไปใหว้ทำไมพระธาตุ  เป็นแค่อิฐแค่ปูน.. ท่านบอกว่า ธาตุสี่ ดินน้ำ ลมไฟ ในตัวนั่นแล่ะ ให้ดูตลอดทุกอิริยาบท.กำหนดไป แล้วจะเกิดปัญญา.. ใหว้พระธาตุตลอดชีวิต ก็เข้านิพพานไม่ได้..  เรานี่เจอปั๋งเลย..พิจารณาตามท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความศรัทธาของคน กราบไหว้อะไร ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก เป็นเรื่องของศรัทธา..เพียงแต่ว่า อย่าลืมปฏิบัติด้วยก็แล้วกัน. เพราะศาสนาพุทธเราไม่ใช่ศาสนาเทวนิยม.ที่ต้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วท่านจะช่วยเหลือ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาว่าด้วยเหตุและผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว.. ก่อนกลับเพื่อนผมคนหนึ่ง ขอเหรียญท่าน บอกว่าจะเก็บไว้บูชา.เพราะเป็นคนกลัวผี... หลวงปู่ท่านตอบเต็มๆ เลยว่า  "บ้านคุณมีหมาไหม.. คนนั้นก็ตอบว่า " มีครับ"  หลวงปู่บอกว่า "หมาบ้านคุณกลัวผีไหม" ท่านเลยกระหน่ำต่อ ว่า " เราเกิดเป็นคนแต่ยังกลัวผี.. อายหมา.."  555 พูดไม่ออกเลย..
    หลวงปู่ขานท่านสอนได้ดีมากครับ  เหลือแต่หลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ที่เป็นสายวัดป่าที่หลวงตามหาบัว กล่าวถึง (หลวงตามหาบัวกล่าวไว้ที่เชียงรายมีพระที่ปฏิบัติดี 2 ท่าน ในสายของท่าน
IP : บันทึกการเข้า

**-- จงฉลาดพอที่จะรู้ว่า..ลำพังเรานั้นไม่รู้ไปซะทุกสิ่ง...--**
gorilla
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 06 พฤษภาคม 2011, 15:01:27 »

คำสอนพระองค์ ให้ละให้ทิ้งขันธ์ แต่เราชื่อว่าเป็นสาวกกลับทำสวนทางพระศาสดาตัวเอง ความเป็นพระอรหันต์วัดกันที่พระธาตุเหรอ สมัยพุทธกาลพระอรหัต์ที่ไม่มีฤทธิ์มีออกมากมาย แก่นแท้พระองค์สอนอะไร ง่ายๆเลย ทุกอย่างล้วนไปสู่ทุกข์ขังๆ คือการแตกดับ ให้เราละวางให้ได้ จิตจะหลุดไปวิมุตทันที ละนันทิ จิตหลุดพ้น
IP : บันทึกการเข้า
watinta
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2011, 20:22:12 »

ครั้งหนึ่งเคยไปกราบ หลวงปู่ขาน..พระสายหลวงตามหาบัว สายพระป่า.. ท่านอยู่เชียงรายเรานี่แล่ะ ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว  เมื่อสิบกว่าปีก่อน ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการท่าน..พอดีท่านถามว่า ไปไหนมา.เราก็ตอบว่า ไปกราบพระธาตุสำคัญในเชียงรายมาครับ..ท่านเทศน์ชุดใหญ่เลยว่า.. ไปใหว้ทำไมพระธาตุ  เป็นแค่อิฐแค่ปูน.. ท่านบอกว่า ธาตุสี่ ดินน้ำ ลมไฟ ในตัวนั่นแล่ะ ให้ดูตลอดทุกอิริยาบท.กำหนดไป แล้วจะเกิดปัญญา.. ใหว้พระธาตุตลอดชีวิต ก็เข้านิพพานไม่ได้..  เรานี่เจอปั๋งเลย..พิจารณาตามท่าน เป็นอย่างนั้นจริงๆ ความศรัทธาของคน กราบไหว้อะไร ไม่ใช่เรื่องผิดหรอก เป็นเรื่องของศรัทธา..เพียงแต่ว่า อย่าลืมปฏิบัติด้วยก็แล้วกัน. เพราะศาสนาพุทธเราไม่ใช่ศาสนาเทวนิยม.ที่ต้องอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วท่านจะช่วยเหลือ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาว่าด้วยเหตุและผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว.. ก่อนกลับเพื่อนผมคนหนึ่ง ขอเหรียญท่าน บอกว่าจะเก็บไว้บูชา.เพราะเป็นคนกลัวผี... หลวงปู่ท่านตอบเต็มๆ เลยว่า  "บ้านคุณมีหมาไหม.. คนนั้นก็ตอบว่า " มีครับ"  หลวงปู่บอกว่า "หมาบ้านคุณกลัวผีไหม" ท่านเลยกระหน่ำต่อ ว่า " เราเกิดเป็นคนแต่ยังกลัวผี.. อายหมา.."  555 พูดไม่ออกเลย..
....ห่างจากแก่นพระพุทธศาสนาไปไกลลิบ.....
....ผมไม่เคยบวช...แต่ได้อ่านมา 
....เพียงสติปัญญา ของตน...พอรู้ว่า... 
.... กาลามสูตร เป็นสูตรหนึ่งในคัมภีร์ติกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสสอนชนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคมในแคว้นโกศล ไม่ให้เชื่อถืองมงายไร้เหตุผล ตามหลัก ๑๐ ข้อ คือ อย่าปลงใจเชื่อเพราะ
          ๑. ด้วยการฟังตามกันมา
          ๒. ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
          ๓. ด้วยการเล่าลือ
          ๔.ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
          ๕. ด้วยตรรก
          ๖. ด้วยการอนุมาน
          ๗. ด้วยการคิดตรึกตรองตามแนวเหตุผล
          ๘. ด้วยเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
          ๙. ด้วยเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อ
          ๑๐. ด้วยเพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
  .....มุ่งถึงศรัทธาอันเกิดจากความรู้ในธรรมของพระองค์ที่เกิดจาก “วิมังสา ความสอบสวนพิจารณา”
......พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า พระธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ภายหลังที่พระองค์ล่วงลับไปแล้วพระไตรปิฎกจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์ และเป็นที่ที่ชาวพุทธสามารถเข้าเฝ้าพระศาสดาของตน  พุทธศาสนิกชนสามารถศึกษาปริยัติศาสน์จากพระไตรปิฎก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนให้พ้นจากความทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป
......น่าเสียดาย น่าเสียใจ ที่พระสงฆ์ ผู้ที่ได้ปวารณาตนเข้าบวชในพระพุทธศาสนา ย่อมมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้เรียนรู้พระธรรม มากกว่าผู้ที่ยังไม่ได้บวช
.......กลับไม่นำสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์มาเป็นแก่น เป็นหลัก ในการเผยแผ่พระศาสนา ล้างอวิชชาในมวลมนุษย์
......กลับสร้างกรอบภาพลวงตาลวงใจ เอาอวิชชาแห่งตน แอบอ้างพระพุทธศาสนา
.........หากินกับศรัทธา ปุถุชนผู้เปี่ยมด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ....
..........ให้งมงายกับวัตถุ ที่ตนโฆษณาขึ้น....
.............ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้า ให้สงฆ์พึงปฏิบัติแม้ นาโนเดียว.....

นี้สิของจริง สาธุ เจ๋ง
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!