เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 00:30:22
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  เรื่องล้านนา ภาษากำเมือง
| | |-+  บรรพบุรุษของ ล้านนา , ลาว, ไทย , พม่า ,เขมร, แกว ต้นตระกูลไหนใกล้ชิดกันมากที่สุด
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน บรรพบุรุษของ ล้านนา , ลาว, ไทย , พม่า ,เขมร, แกว ต้นตระกูลไหนใกล้ชิดกันมากที่สุด  (อ่าน 6178 ครั้ง)
Red Shirts
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 16:40:21 »

ขอผู้รู้กรุณาเล่าถึงความเป็นมา (โครตเหง้าเหล่ากอ)
ด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม สังคม ว่าใกล้ชิด โยงใยกันมาอย่างไรบ้างครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 23 มกราคม 2010, 16:47:59 โดย Red Shirts » IP : บันทึกการเข้า
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2010, 17:25:47 »

เป็นคำถามที่ทำให้ผมปวดหัวม๊ากมากครับ
เรื่องนี้มีคนถามตั้งแต่เว็บนี้ยังใช้บอร์ดเก่า
เรื่องชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน พูดยากอ่ะนะ
หาข้อสรุปตายตัวไม่ได้ซะด้วย
ถ้าถามโจทย์คณิตศาสตร์ยังพอว่า


อ้อ คำว่าล้านนา เป็นชื่อ ดินแดน ครับ บ่แม่นชื่อชาติพันธุ์
ถ้าบอกว่าคนล้านนา ก็หมายถึง ทุกชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินล้านนา
ถือว่าเป็นคำกลางๆอ่ะนะ ซึ่งมันเหมารวมไปหมด
ทั้งไทยวน ไทลื้อ ไทใหญ่ ลัวะ ฯลฯ

ส่วนคำว่า ไทย (มี ย.ยักษ์) อันนี้ คงต้องให้เฮีย ป. ตอบ
เพราะมันเกี่ยวพันธุ์ถือการสร้างความเป็นไทยอ่ะครับ
พูดไปจะโดนด่าว่าไม่รักชาติเปล่าๆ
ลองไปหาหนังสืออ่านดูดีกว่าครับ
คือว่า ไม่อยากให้กระทู้คุณเร้ดฯโดนลบอ่ะ

ส่วน ลาว ถ้าหากเป็นไปตามที่คนในพระราชอาณาจักรแห่งนี้รับรู้
เราจะบอกว่าลาวกับ ไท มีเชื้อสายเดียวกัน
แต่นักวิชาการและคนลาวชาตินิยม เขากลับไม่คิดอย่างนี้น่ะสิ
เช่น ในหนังสือประวัติศาสตร์ลาว บอกไว้เลยว่า
เมื่อก่อนคนลาวอยู่ภาคใต้ของจีน
และคนจีนก็มักจะเข้าใจผิดบ่อยๆว่าคนลาวคือคนไท
สุดท้ายผมก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง

พม่า คงหมายถึง ชาติพันธุ์หลักที่ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบบลุ่มน้ำอิระวดีใช่ไหมครับ
พวกนี้เมื่อก่อนอยู่แถบทางใต้ของจีน ใกล้ทิเบต
ก่อนจะอพยพลงมาทางใต้ ทำสงครามกับไทใหญ่ มอญ และเผ่าอื่นๆ

เขมร ก็อยู่แถวๆ ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน อาจจะรวมถึงดินแดนรอบๆ
เช่น บนสะพานลอยที่ กทม. หรือ โรงกุ้ง แถวมหาชัย
ตอนนี้ยังมีคนเถียงกันอยู่เลยว่า เขมร กับ ขอม เนี่ย
มันเผ่าเดียวกันหรือเปล่า
บ้างก็ตอบว่าใช่ บ้างก็ตอบว่าไม่ใช่
ถ้าเอามาออกทีวีรายการคุณสอ คงตีกันตาย

แกว (แก๋ว) ก็เผ่าเวียดนั่นแหละ เมื่อก่อนอยู่แถบลุ่มน้ำแดง
ก่อนจะขยายอำนาจลงไปทางใต้ รบชนะพวกจาม พวกเขมร
ได้ดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงมา
เนื่องจากแกว เคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนมาเป็นพันปี
เลยมีอะไรคล้ายๆจีนหลายอย่าง เช่น นับถือพุทธมหายาน
บางส่วนเชื่อในขงจื้อ เต๋า
เรียกตำแหน่งกษัตริย์ของตนว่าหว่างเด้ (ฮ่องเต้)
ใช้อักษรจีน (ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้อักษรโรมัน A B C ภายหลัง)

นอกจาก แกว แล้วที่พูดมาจะนับถือพุทธเถรวาท วัฒนธรรมในด้านนี้จะคล้ายๆกัน
ส่วนภาษาก็ตัวใครตัวมัน อย่าง ไท กับลาว อยู่ในตระกูลภาษาเดียวกัน (ไท-กะได)
คือ ส่วนพม่าก็อีกตระกูล (ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต กลุ่มทิเบต-พม่า)
เขมรก็อีกตระกูล (ออสโตร-เอเชียติก กลุ่มมอญ-เขมร)
ภาษาแกวก็ (ออสโตร-เอเชียติก กลุ่มเวียตติก)

ที่ว่ามายังไม่ใช่ทั้งหมดครับ สงสัยจุดไหนก็ถามมาละกัน
ดีนะครับที่ไม่ถาม มอญ มลายู จาม ปะเกอญอ อาระกัน ฉิ่น คะฉิ่น ฯลฯ
ไม่งั้นพิมพ์จนมือหงิกแน่


อ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Language_family
IP : บันทึกการเข้า
NostradaMo~
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 27 มกราคม 2010, 13:09:52 »

พี่ เชียงรายพันธ์แท้ นี่สุดยอดมากๆ ตัวจริงด้วย ติดตามมาตั้งกะกระดานเก่าแล้วยังรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลาย
ให้ผมเดา พี่เชียงรายพันธ์แท้ น่าจะเป็นอาจารย์เกษียณครับ ท่วงท่า ลีลา วจี ผมชอบครับ
ปล. คนเดียวกับคุณพี่ กกสัก ปล่าวครับ
IP : บันทึกการเข้า
น.นกเค้าแมว
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 108


« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2010, 15:35:11 »

แล้ว มอญ ละครับ ?? - - ทำไม คนรู้จักน้อย จัง
IP : บันทึกการเข้า
ap.41
ตอบแทนคุณแผ่นดิน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19,008


ไม่มีเทพไม่มีโปร..มีแต่เราที่จะก้าวไปพร้อมกัน...


« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2010, 15:41:22 »

แล้ว มอญ ละครับ ?? - - ทำไม คนรู้จักน้อย จัง
อยากรู้เหมือนกันครับ ผมนี่เชื้อสายมอญราชบุรีครับ
IP : บันทึกการเข้า

bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,576


canon eos


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010, 14:10:25 »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ...ผมเองก็ดีใจและปลื้มใจ..ที่บอร์ดแห่งนี้มีผู้ทรงความรู้มากๆอย่างท่านเชียงรายพันธ์แท้,ท่านNostradaMo~(พี่เสี่ยวเอ้อ)และมีอีกหลายๆท่าน..คอยตอบปํญหาและให้ความรู้หลายๆอย่าง..ได้อ่านคอมเม้นท์ของแต่ละท่านที่ว่ามา..ได้สาระความรู้ล้วนๆครับ.....
พี่ เชียงรายพันธ์แท้ นี่สุดยอดมากๆ ตัวจริงด้วย ติดตามมาตั้งกะกระดานเก่าแล้วยังรักษาคุณภาพเสมอต้นเสมอปลาย
ให้ผมเดา พี่เชียงรายพันธ์แท้ น่าจะเป็นอาจารย์เกษียณครับ ท่วงท่า ลีลา วจี ผมชอบครับ
ปล. คนเดียวกับคุณพี่ กกสัก ปล่าวครับ
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2010, 22:54:55 »

request มาก็จัดให้ มอญ ใช่ไหม ได้เลยครับ
ความจริงชนชาติมอญเนี่ยน่าสนใจมากๆเลยครับ
เพราะบุคคลชั้น elite ของสยาม ก็มีเชื้อสายนี้


ล้านนา & เม็ง

ที่แรกที่ควรทราบคือ คนล้านนาไม่เรียกกลุ่มชาติพันธุ์นี้ว่า "มอญ" แต่เรียกว่า "เม็ง" นะจ๊ะ
ดังเห็นได้จากชื่อบ้านนามเมืองในล้านนา เช่น
ชุมชนชัยมงคลบ้านเม็ง แขวงเม็งราย นครเชียงใหม่
บ้านร้องเม็ง ตำบลหนองแหย่ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่
บ้านสันนาเม็ง ตำบลสันนาเม็ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

อย่างที่รู้ๆกัน ชนชาติเม็งในลุ่มน้ำเจ้าพระยามีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ
(ลุ่มแม่น้ำท่าจีนหรือนครชัยศรี) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี)
ต่อมา ชาวเม็งได้ขยายอำนาจเข้ามาในดินแดนล้านนา
มีหลักฐานเล่าไว้ว่า ราว พ.ศ.1205 (บางตำนาน พ.ศ.1202)
พระนางจามเทวี ราชธิดาของเจ้าเมืองลวปุระหรือละโว้ลพบุรี
ได้อพยพผู้คนขึ้นไปตั้งกรุงหริภุญชัย (ลำพูน) โดยมีการค้นพบจารึกเม็งที่ลำพูนอายุราว พ.ศ.1628
(ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติหริภุญไชย จังหวัดลำพูน)

นอกจากนี้ ชนชาติเม็งยังมีความเกี่ยวพันกับพญามังรายอีกด้วย
หลังจากตีได้หริภุญชัยในปี พ.ศ.1835 แล้ว
พญามังรายได้ยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี
กษัตริย์เม็งในขณะนั้น คือ พระเจ้าฟ้ารั่ว (ครองราชย์ พ.ศ.1830-1849)
ยอมอ่อนน้อมเป็นไมตรีด้วยการยกพระธิดาให้แก่พญามังราย คือ นางอุสาปายโค
ในครั้งนั้นจึงมีเม็งจากหงสาวดีติดตามนางอุสาปายโคเข้ามามากมาย
มีทั้งพระสงฆ์ ช่างฝีมือ นักปราชญ์ และไพร่ธรรมดาๆ

พ.ศ.2101 พระเจ้าบุเรงนอง ตีเชียงใหม่แตก ล้านนาอยู่ภายใต้อำนาจพม่า
พม่ามีนโยบายเปิดกว้าง พยายามไม่กดขี่ล้านนา และให้เจ้าเมืองเดิมปกครองต่อไป
ถ้าเจ้าเมืองไม่ดื้อจริงๆ พม่าก็จะไม่ปลด ซึ่งพม่าให้ความสำคัญกับล้านนามาก
โดยพระเจ้าบุเรงนองถึงกับส่งโอรสอันเกิดแต่มเหสีลำดับ 3 มาปกครองเมืองเชียงใหม่
ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเลยทีเดียว

พ.ศ.2295 เม็งเผากรุงอังวะและโค่นราชวงศ์ตองอู (ลูกหลานพระเจ้าบุเรงนอง)
จนเกิดความวุ่นวายในอาณาจักรพม่า
"อ่องไชยะ" พ่อหลวงบ้านมุตโชโบ ได้รวบรวมกำลังพลชาวพม่าต่อต้านเม็ง
ต่อมา อ่องไชยะได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์พระนามว่า "พระเจ้าอลองพญา" ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คอนบอง
และในปี พ.ศ.2300 พระเจ้าอลองพญาก็ตีกรุงหงสาวดีแตก

ผลจากสงคราม เม็งจำนวนมากหนีภัยสงครามทะลักเข้าฝั่งอยุธยา
บางส่วนหนีมายังเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นปกครองโดยองค์คำและพวก
ช่วงดังกล่าวเป็นระยะที่เชียงใหม่เป็นอิสระจากพม่าถึง 36 ปี
(พ.ศ.2270-2306) เนื่องจากพม่าประสบปัญหาการเมืองภายใน
ไม่มีเวลาควบคุบล้านนาอย่างใกล้ชิด

แต่หลังจากนั้นไม่นาน พ.ศ.2306 พระเจ้าสินพยูฉิ่น (พระเจ้าช้างเผือก / มังระ)
โอรสพระเจ้าอลองพญา ก็ยกทัพปราบเชียงใหม่ให้อยู่ใต้อำนาจได้อีกครั้ง

ในสมัยประเทศราชของสยาม (พ.ศ.2317-2442) และสมัยมณฑลพายัพ (พ.ศ.2442-2476)
ได้มีคนเม็งและพม่าเข้ามาค้าขายและทำธุรกิจป่าไม้ในล้านนา บางส่วนก็ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน
และสร้างวัดในพระพุทธศาสนา ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปใน เชียงใหม่ และ ลำปาง
ซึ่งอาจสับสนเล็กน้อยว่าอันไหนเม็ง อันไหนพม่า




สยาม & มอญ

ที่มาของคำว่ามอญและรามัญ
นักภูมิศาสตร์อาหรับบางท่านเรียกมอญว่า รามัญประเทศ (Ramannadesa) ซึ่งหมายถึง "ประเทศมอญ" คำนี้เพี้ยนมาจากคำศัพท์โบราณของ"มอญ" คือ Rmen (รามัญ) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกตัวเองของ"มอญ" แต่พม่าเรียก"มอญ"ว่า ตะเลง (Talaings) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า Talingana อันเป็นแคว้นหนึ่ง ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย

ส่วนนาม รามัญ พบเก่าสุดในมหาวังสะของสิงหล ในสมัยพระเจ้าจันสิตตาแห่งพุกาม พบคำนี้ในศิลาจารึกมอญ เขียนออกเสียงว่า รมีง ซึ่งในจารึกนั้น ก็พบคำเรียกพม่าอ่านว่า มิรมา อีกด้วย ส่วนในสมัยหงสาวดี พบจารึกแผ่นทอง เขียนอ่านว่า รมัน คล้ายกับที่สยามเรียก รามัญ ส่วนในเขตรามัญเทสะ จะเรียกว่า มัน หรือ มูน ซึ่งใกล้กับคำว่า มอญ ในภาษาสยาม

ประวัติ
มอญ เป็นชนชาติเก่าแก่ มีอารยธรรมรุ่งเรืองมากชนชาติหนึ่ง จากพงศาวดารพม่ากล่าวว่า "มอญเป็นชนชาติแรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในพม่า มาเป็นเวลาหลายศตวรรษก่อนคริสตกาล" คาดว่าน่าจะอพยพมาจากตอนกลางของทวีปเอเชีย เข้ามาตั้งอาณาจักรของตนทางตอนใต้ บริเวณลุ่มแม่น้ำสาละวิน และสะโตง ซึ่งบริเวณนี้ในเอกสารของจีน และอินเดียเรียกว่า "สุวรรณภูมิ"

ในพุทธศตวรรษที่ 2 ศูนย์กลาง ของ"อาณาจักรมอญ" คืออาณาจักรสุธรรมวดีหรือสะเทิม (Thaton) จากพงศาวดารมอญ กล่าวไว้ว่าอาณาจักรสะเทิมว่า อาณาจักรสะเทิมสร้างโดยพระราชโอรส 2 พระองค์ของพระเจ้าติสสะ แห่งแคว้นหนึ่งของอินเดีย ก่อนปี พ.ศ.241 พระองค์นำ พลพรรคลงเรือสำเภา มาจอดที่อ่าวเมาะตะมะ และตั้งรากฐาน ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของเมือง อาณาจักรสะเทิม รุ่งเรืองมาก มีการค้าขายติดต่ออย่างใกล้ชิดกับประเทศอินเดีย และลังกา และได้รับเอาอารยธรรมของอินเดียมาใช้ ทั้งทางด้านอักษรศาสตร์ และศาสนา โดยเฉพาะรับเอาพุทธศาสนานิกายหินยานมา มอญมีบทบาทในการถ่ายทอดอารยธรรมอินเดีย ไปยังชนชาติอื่นอย่าง ชาวพม่า สยาม และลาว เจริญสูง มีความรู้ดี ทางด้านการเกษตร และมีความชำนาญ ในการชลประทาน โดยเป็นผู้ริเริ่มระบบชลประทานขึ้น ในลุ่มน้ำอิระวดี ทางตอนกลางของประเทศพม่า

พวกน่านเจ้าเข้ามาทองตอนเหนือของพม่า และทำสงครามกับพวกพยู อาณาจักรมอญ ที่สะเทิมขยายอำนาจขึ้นไปทางภาคกลางของลุ่มแม่น้ำอิระวดีระยะหนึ่ง แต่เมื่อ ชนชาติพม่า มีอำนาจเหนืออาณาจักรพยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ เข้ารุกรานมอญ มอญจึงถอยลงมาดังเดิม และได้สร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ.1368 ที่ หงสาวดี (Pegu)

พระเจ้าอนิรุทธ์ กษัตริย์พม่าแห่งพุกาม ยกทัพมาตีอาณาจักรสุธรรมวดี และกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก ต่อมาระหว่างปี พ.ศ.1600-1830 กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกาม แต่กระนั้นพม่าก็รับวัฒนธรรมมอญมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น "ภาษามอญ"ได้แทนที่ภาษาบาลี และสันสกฤตในจารึกหลวง และศาสนาพุทธเถรวาท ได้เป็นศาสนาที่นับถือสูงสุดในพุกาม มอญยังมีความใกล้ชิดกับลังกา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และนิกายเถรวาทก็แพร่กระจายไปทั่วเอเชียอาคเนย์

พระเจ้ากยันสิทธะทรงดำเนินนโยบายผูกมิตรกับราชตระกูลของพระเจ้ามนูหะ "กษัตริย์มอญ"แห่งสะเทิม โดยยกพระราชธิดาให้กับเจ้าชายมอญ พระนัดดาที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ก็ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ พระนามว่า อลองคะสิทธู ในยุคที่พระองค์ปกครอง "อาณาจักรพุกาม"ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของพระเจ้ากยันสิทธะ ในศิลาจารึกยกย่องไว้ว่า "วัฒนธรรมมอญ"เหนือกว่าวัฒนธรรมพม่าด้วย

ต่อมาในปี พ.ศ.1830 "มองโกล" ยกทัพมาตีพม่า ทำให้มอญได้รับเอกราชอีกครั้ง มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว หรือวาเรรุ ราชบุตรเขยของ "พ่อขุนรามคำแหง" ได้กอบกู้เอกราช และสถาปนาราชวงค์ชาน-ตะเลง สถาปนา"อาณาจักรมอญอิสระ" มีศูนย์กลางที่เมืองเมาะตะมะ ซึ่งเป็นเมืองของมอญจนถึงปี พ.ศ.1912 จากนั้นย้ายกลับไปหงสาวดีตามเดิม และในรัชสมัยพระเจ้าราชาธิราช หงสาวดีรุ่งเรืองจนเป็น ศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่โต ทางแถบอ่าวเบงกอล มีเมืองท่าหลายเมืองในละแวกใกล้ๆ และอาณาจักรมอญมารุ่งเรือง เจริญสูงสุดในช่วงปี พ.ศ.2015-2035 สมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ ต่อมาหงสาวดีก็เสียแก่ พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ กษัตริย์พม่า ในปี พ.ศ.2094 จนปี พ.ศ.2283 สมิงทอพุทธิเกศ ก็กู้เอกราชคืน มาจากพม่าได้สำเร็จ และได้ยกทัพไปตีเมืองอังวะอีกด้วย

ในปี พ.ศ.2290 พระยาทะละ ได้ครองอำนาจแทนสมิงทอพุทธิเกศ ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวาง ทำให้อาณาจักรพม่าสลายตัวลง จนในปี พ.ศ.2300 พระเจ้าอลองพญา ก็กู้อิสรภาพของพม่ากลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตีมอญ มอญตกอยู่ภายใต้อำนาจพม่า จนกระทั่งทุกวันนี้

ในปัจจุบัน ชาวมอญรุ่นหลังหันมาใช้ภาษาพม่ากันมาก และมีจำนวนมากที่เลิกใช้ ภาษามอญ จนคิดว่าตนเป็นพม่า อีกทั้งไม่ทราบว่า ตนมีเชื้อสายมอญ จากการสำรวจประชากรมอญในปี พ.ศ.2474 พบว่ามีจำนวนแค่ 3 แสน 5 หมื่นคน ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ได้มีการก่อตั้งสมาคมชาวมอญ และมีการสำรวจประชากรมอญอีกครั้ง พบว่ามีราว 6 แสนกว่าคน พอต้นสมัยสังคมนิยมสำรวจได้ว่ามีชาวมอญราว 1 ล้านกว่า ชาวมอญที่ยังพูดภาษามอญในชีวิตประจำวันอยู่ มีในหมู่บ้านในเมืองไจก์ขมี และเมืองสะเทิม แต่ในเขตเมืองก็จะพบแต่ชาวมอญที่พูดภาษาพม่าเป็นส่วนมาก

พระมหากษัตริย์และราชวงศ์
วงศ์ของอาณาจักรชนชาติมอญนั้น อาจแบ่งได้เป็น 3 ยุค

ยุคแรกคือยุคราชวงศ์สะเทิม-สุธรรมวดี
มีกษัตริย์ปกครอง 57 พระองค์ เริ่มจากสมัยพระเจ้าสีหราชา มาจนถึงสมัยพระเจ้ามนูหา เชื่อว่ายุคนี้ครอบครองพื้นที่ได้ ทั้งอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรสะเทิม ยุคแรกสิ้นสุดลงเมื่อพระเจ้าอโนรธาแห่งพุกาม ยกทัพมาตีเมืองสะเทิมในสมัยพระเจ้ามนูหา ซึ่งนักประวัติศาสตร์สยามบางท่านเชื่อว่าพระเจ้าอโนรธาน่าจะยกมาตีถึงนครปฐม

ยุคที่ 2 เป็นยุคราชวงศ์พะโค-หงสาวดี
มีกษัตริย์ปกครอง 17 พระองค์ องค์แรก ๆ คือ พระเจ้าสมละและพระเจ้าวิมละ และสิ้นสุดในสมัยพระเจ้าติสสะ

ยุคที่ 3 คือยุคราชวงศ์เมาะตะมะ-พะโค
เริ่มจากสมัยพระเจ้าวารีรู หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหง กษัตริย์ของสยาม ต่อมาในสมัยพญาอู ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือหงสาวดี ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือพระเจ้าราชาธิราช ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าในสมัยพระเจ้าซวาส่อแก กับ พระเจ้ามีงคอง ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ สมิงพระราม ละกูนเอง และแอมูน-ทยา กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพยะมองธิราช ซึ่งพระเจ้าอลองพญาปราบมอญจนพ่ายในปี พ.ศ.2300

วัฒนธรรม
ภาษาและอักษรมอญ
ภาษามอญ มีการใช้มานานประมาณ 3,000-4,000 ปี เป็นภาษาในในสายโมนิค มีผู้ใช้ภาษานี้อยู่ประมาณ 5,000,000 คน ส่วนอักษรมอญ มีความเก่าแก่ พบหลักฐานในประเทศสยามที่ จารึกวัดโพธิ์ร้าง พ.ศ.1143 เป็นอักษรมอญโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ในบรรดาจารึกภาษามอญที่ได้ค้นพบ ในแถบเอเซียอาคเนย์ เป็นจารึกที่เขียนด้วยตัวอักษรปัลลวะ ที่ยังไม่ได้ดัดแปลงให้เป็น อักษรมอญ พบว่ามีการประดิษฐ์อักษรมอญขึ้น เพื่อให้พอกับเสียงในภาษามอญ ในจารึกเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูง เมืองลพบุรี และยังพบจารึก จารึกในพุทธศตวรรษที่ 13 ราว พ.ศ.1314 เป็น ตัวอักษรหลังปัลลวะ มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

หลักฐานจารึกในสมัยกลางประมาณ พ.ศ.1600 เป็นต้นมา บันทึกทั้งภาษามอญและอักษรมอญ ซึ่งพม่าก็รับอักษรมอญมาใช้เขียนภาษาพม่าเป็นครั้งแรก ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 ตัวอักษรได้คลี่คลายจากตัวอักษรปัลลวะ มาเป็นตัวอักษรสีเหลี่ยม ก็คืออักษรมอญโบราณ และเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กลงในระยะต่อมา จนในพุทธศตวรรษที่ 21 ก็ได้กลายเป็นอักษรมอญปัจจุบัน ที่มีลักษณะกลม สันนิษฐานว่าเกิดจากการจารหนังสือโดยใช้เหล็กจารลงบนใบลาน มอญปัจจุบันมีอายุ ประมาณ 400 ปีเศษ

ภาษามอญจัดอยู่ในตระกูลภาษาออสโตรเอเซียติค (Austroasiatic Languages) ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันอยู่ในแถบอินโดจีนและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และเมื่อพิจารณาลักษณะทางไวยากรณ์ ภาษามอญ จัดอยู่ในประเภทภาษาคำติดต่อ (Agglutinative) อยู่ในกลุ่มภาษาตะวันออกเฉียงใต้ (South Eastern Flank Group) นักภาษาศาสตร์ที่ชื่อ วิลเฮม สชมิต (Willhelm Schmidt) ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาสายใต้ (Austric Southern family)

พระยาอนุมานราชธนได้กล่าวถึงภาษามอญไว้ว่า "ภาษามอญ นั้นมีลักษณะเป็นภาษาคำโดด ซึ่งมีรูปภาษาคำติดต่อปน ลักษณะคำมอญ จะมีลักษณะเป็นคำพยางค์เดียว หรือสองพยางค์ ส่วนคำหลายพยางค์ เป็นคำที่ได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาบาลีและสันสกฤต และคำที่เกิดจากการเติมหน่วยคำผสาน กล่าวคือ การออกเสียงของคำซึ่งไม่เน้นการออกเสียงในพยางค์แรก จะสร้างคำโดยการใช้การผสานคำ (affixation) กับคำพยางค์แรก เพื่อให้มีหน้าที่ทางไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้หน่วยผสานกลางศัพท์ และการใช้สระต่าง ๆ กับพยางค์แรก ในคำสองพยางค์ ก็จะเป็นการช่วยเน้นให้พยางค์แรกเด่นชัดขึ้นด้วย แต่พยางค์หลังเป็นส่วนที่มีความหมายเดิม"

สรุปคือ ภาษามอญ เป็นภาษาที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อน ไม่มีการผันคำนาม คำกริยา ตามกฏบังคับทางไวยากรณ์ ประโยคประกอบด้วย คำที่ทำหน้าประธาน กริยา และกรรม ส่วนขยายอยู่หลังคำที่ถูกขยาย

ศิลปะ
"ศิลปวัฒนธรรมมอญ"นั้น กลายเป็นศิลปวัฒนธรรมของพม่าไปหมด ศิลปวัฒนธรรมส่วนใหญ่นั้น พม่าได้รับไปจาก"มอญ" คือ "ศิลปวัฒนธรรมมอญ"มีเหนือพม่า เช่น สถาปัตยกรรมแบบปรางค์ ขอม-เขมร มีต่อสถาปัตยกรรมสยาม ศิลปสถาปัตยกรรมประเภทเรือนยอด (กุฏาคาร) คือหลังคาที่มียอดแหลมต่อขึ้นไป โดยเฉพาะเรือนยอดทรงมณฑปนี้ เรือนยอด (Spire) ทรงมณฑปนี้ เป็น"สถาปัตยกรรมมอญ" และสยามนำมาดัดแปลงต่อมา

ศิลปดนตรี นั้น สยามได้รับอิทธิพลจาก"มอญ"มามาก เช่น สยามเรารับ"ปี่พาทย์มอญ" และรับได้ดีทั้งรักษาไว้จนปัจจุบัน และให้เกียรติ์เรียกว่า ปี่พาทย์มอญ นิยมบรรเลงในงานศพ ดนตรีสยามที่มีชื่อเพลงว่า มอญ นั้น นับได้ 17 เพลง เช่น มอญดูดาว มอญชมจันทร์ มอญรำดาบ มอญอ้อยอิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมี มอญร้องไห้ มอญนกขมิ้น ฯลฯ และยังมี"แขกมอญ" คือ ทำนองทั้งแขกทั้งมอญ เช่น แขกมอญบางขุนพรหม แขกมอญบางช้าง เป็นต้น เพลงทำนองของมอญ มีความสง่าภาคภูมิ เป็นผู้ดีมีวัฒนธรรม และค่อนข้างจะเย็นเศร้า ซึ่งเป็นลักษณะของผู้มีวัฒนธรรมสูง ย่อมสงวนทีท่าบ้างเป็นธรรมดา แต่ที่สนุกสนานก็มีบ้าง เช่น กราวรำมอญ มอญแปลง ฯ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทให้จังหวะ คือ กลอง ที่เรียกว่าเปิงมาง นั้น คาดว่าเป็น"มอญ" สยามเรานำมาผสมวง ทำคอกล้อม เป็นวงกลมหลายวง เรียกว่า เปิงมางคอก ตีแล้วฟังสนุกสนาน

มอญในประเทศสยาม
หลักฐานทางประวัติศาสตร์
หลักฐานทางโบราณคดีที่พบในสมัยพุทธศตวรรษที่ 11–13 คือเหรียญเงินเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 ม.ม. พบที่นครปฐม และอู่ทองนั้น
พบว่ามีอักษรจารึกไว้ว่า “ศรีทวารวดีศวร”และ มีรูปหม้อน้ำกลศอยู่อีกด้านหนึ่ง ทำให้เชื่อได้ว่า ชนชาติมอญโบราณ ได้ตั้งอาณาจักรทวารวดี (บางแห่งเรียกทวาราวดี) ขึ้นในภาคกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ

มีศูนย์กลางที่เมืองนครปฐมโบราณ (ลุ่มแม่น้ำท่าจีนหรือนครชัยศรี) กับเมืองอู่ทองและเมืองละโว้ (ลพบุรี) ที่เมืองนครปฐมนั้นมีการพบ พระปฐมเจดีย์ และมีการพบจารึกภาษาปัลลวะ บาลี สันสกฤต และ ภาษามอญ ที่บริเวณพระปฐมเจดีย์และบริเวณใกล้เคียง พบจารึก ภาษามอญ อักษรปัลลวะ บันทึกเรื่องการสร้างพระพุทธรูป เสาหงส์ วิหาร และแนวต้นมะพร้าวเป็นอาณาเขตพระอารามที่วัดโพธิ์ร้าง จังหวัดนครปฐม อายุราว พ.ศ.1200 (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระปฐมเจดีย์)

ต่อมาอาณาจักรขอมหลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สวรรคตใน พ.ศ.1732 อำนาจก็เริ่มเสื่อมลง
หัวเมืองต่างๆเริ่มแยกตัวเป็นอิสระ พ่อขุนบางกลางหาว (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ตั้งตนเป็นกษัตริย์สุโขทัย
โดยอาณาจักรสุโขทัยรับอารยธรรมหลายอย่างมาจากขอมและมอญ เช่น ศาสนา ตัวอักษร เป็นต้น

ด้านจารึกภาษามอญ บนใบลานนั้น พบมากมายตาม หมู่บ้านมอญ ในประเทศสยาม ส่วนที่ประเทศพม่าพบมากตาม หมู่บ้านมอญในเมืองสะเทิมและเมืองไจก์ขมี ซึ่งมีการคัดลอกและรวบรวมนำมาเก็บไว้ ที่หอสมุดแห่งชาติเมืองย่างกุ้ง และที่ห้องสมุดมอญเมืองเมาะลำไย นอกจากนี้กองโบราณคดีและกองวัฒนธรรม ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรม ชาดก ตำรามอญ และเคยมีการริเริ่มจัดพิมพ์พจนานุกรมมอญ-พม่าอีกด้วย

มอญอพยพ
ทุกวันนี้ ชนชาติมอญ ไม่มีอาณาเขตประเทศปกครองตนเอง เนื่องจากตกอยู่ในภาวะสงคราม และการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง และการรุกรานของพม่า ชาวมอญอยู่อย่างแสนสาหัส ถูกกดขี่รีดไถ การเกณฑ์แรงงานก่อสร้าง ทำไร่นาหาเสบียงเพื่อการสงคราม และเกณฑ์เข้ากองทัพ โดยเฉพาะสงครามในปี พ.ศ.2300 เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ที่คนมอญพ่ายแพ้แก่พม่าอย่างราบคาบ ชาวมอญส่วนหนึ่งจึงอพยพโยกย้ายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนในเมืองสยามหลายต่อหลายครั้ง เท่าที่มีการจดบันทึกเอาไว้รวมทั้งสิ้น 9 ครั้ง

ครั้งที่ 1 เมื่อ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ตีหงสาวดีแตกใน พ.ศ.2082 ชาวมอญจำนวนมากหนีเข้ามากรุงศรีอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองกรุงศรีอยุธยาชั้นนอก พระยาเกียรติพระยารามและครัวเรือน ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แถบตัวเมืองชั้นใน ใกล้พระอารามวัดขุนแสน และเมื่อถึง พ.ศ.2084 ราชวงศ์ตองอูตีเมืองเมาะตะมะแตก มีการฆ่าฟันชาวมอญลงขนาดใหญ่ ก็เข้าใจว่ามีมอญหนีเข้ามาสู่กรุงศรีอยุธยาอีก ถือเป็นระลอกแรกของมอญอพยพ

ครั้งที่ 2 เมื่อพระนเรศวรเสด็จไปพม่าเมื่อคราวพระเจ้าบุเรงนองสิ้นพระชนม์ แล้วประกาศเอกราช ทรงชักชวนมอญที่เข้าสวามิภักดิ์ ให้อพยพเข้ามาพร้อมกัน ราว พ.ศ.2127 ในการอพยพครั้งนี้ไม่ปรากฏว่าพระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่ใด แต่คาดว่าคงเป็นย่านเดียวกับการอพยพคราวแรก

ครั้งที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อหงสาวดีถูกยะไข่ทำลายใน พ.ศ.2138 ครั้งนี้ก็มีการอพยพใหญ่ของ มอญ มาทางตะวันออกเข้าสู่ดินแดนของกรุงศรีอยุธยาอีก

ครั้งที่ 4 หลังจากที่ราชวงศ์ตองอูย้ายราชธานีไปอยู่ที่อังวะ หลังจากหงสาวดีถูกทำลายแล้ว พวกมอญ ตั้งอำนาจขึ้นใหม่ในดินแดนของตน ต่อมา ถึงรัชกาลพระเจ้านอกเปกหลุน พม่าจึงยกทัพมาปราบพวกมอญอีกใน พ.ศ.2156 ทำให้เกิดการอพยพของมอญเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาอีก หลักฐานบางแห่งกล่าวว่า มอญ กลุ่มนี้ได้รับอนุญาตให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามแนวชายแดนสยาม

ครั้งที่ 5 ใน พ.ศ.2204 หรือ 2205 พวกมอญในเมืองเมาะตะมะก่อการกบฎขึ้นอีก แต่ถูกพม่าปราบลงได้ จึงต้องอพยพหนีเข้ากรุงศรีอยุธยาอีกระลอกหนึ่ง ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ เข้าใจว่ากลุ่มนี้สัมพันธ์กับกลุ่มมอญที่ตั้งอยู่ชายแดน

ครั้งที่ 6 หลังจากที่มอญสามารถตั้งอาณาจักรของตนขึ้นได้ใหม่ในปลายราชวงศ์ตองอู แล้วยกกำลังไปตีกรุงอังวะแตก อลองพญารวบรวมกำลังพม่าแล้วลุกขึ้นต่อสู้จนในที่สุดก็ตั้งราชวงศ์อลองพญาได้ และใน พ.ศ.2300 ก็สามารถตีหงสาวดีได้อีก นโยบายของราชวงศ์นี้คือ กลืน มอญ ให้เป็นพม่าโดยวิธีรุนแรง จึงมีชาวมอญอพยพหนีมาสู่เมืองสยามอีกหลาย ระลอก รวมทั้งกลุ่มที่หนีขึ้นเหนือไปสู่ล้านนา และเรียกกันว่าพวก “เม็ง” ในปัจจุบันนี้

ครั้งที่ 7 ใน พ.ศ.2316 ตรงกับแผ่นดินกรุงธนบุรี มอญก่อกบฎในย่างกุ้ง พม่าปราบปรามอย่างทารุณแล้วเผาย่างกุ้งจนราบเรียบ ทำให้มอญอพยพเข้าสยามอีก พระเจ้าตากสินทรงโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ด ซึ่งทำให้เกิดกลุ่มมอญเก่า (พระยารามัญวงศ์) และมอญใหม่ (พระยาเจ่ง) คนที่นับตัวเองเป็น มอญ ในปัจจุบันล้วนอพยพเข้ามาจากระลอกนี้ หรือหลังจากนี้ทั้งนั้น ส่วน มอญ ที่อพยพก่อนหน้านี้กลืนหายเป็นชาวสยามไปหมด แม้แต่กลุ่มที่อยู่ตามชายแดนแถบเมืองกาญจนบุรี

ครั้งที่ 8 พ.ศ.2336 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ยึดเมืองทวายได้ แต่รักษาไว้ไม่ได้ ต้องถอยกลับเข้าสยาม ก็นำเอาพวกมอญโดยเฉพาะที่เป็นพวกหัวหน้าเข้ามาอีก

ครั้งที่ 9 พ.ศ.2357 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เมื่อ มอญ ไม่พอใจที่ถูกพม่าเกณฑ์แรงงานก่อสร้างพระเจดีย์ ก่อกบฎที่เมืองเมาะตะมะ ถูกพม่าปราบ ต้องหนีเข้าสยามเป็นระลอกใหญ่มาก ราว 40,000 คนเศษ เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 4) เสด็จเป็นแม่กองพร้อมด้วยกรมหลวงพิทักษ์มนตรี ออกไปรับถึงชายแดน พวกนี้มาตั้งรกรากที่สามโคก (ปทุมธานี) ปากเกร็ด และพระประแดง มอญที่อพยพเข้ามาครั้งนี้เรียกกันว่ามอญใหม่

ชุมชนมอญ
ชาวมอญได้อพยพมาพำนักอยู่ประเทศสยามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวร พระยาเกียรติและพระยาราม ขุนนางมอญที่มีความดีความชอบในราชการและกลุ่มญาติพี่น้องได้รับพระราชทานที่ดินตั้งบ้านเรือน ณ บ้านขมิ้น ซึ่งได้แก่บริเวณวัดขุนแสนในปัจจุบัน มอญในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ทั้งกลุ่มชาวมอญเก่าที่อยู่มาแต่เดิมและกลุ่มมอญใหม่ได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งชุมชนอยู่ชานกรุงศรีอยุธยาบริเวณวัดตองปุและคลองคูจาม

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงกลุ่มชาวมอญที่มีอาชีพฆ่าเป็ดไก่ขายที่ตลาดวัดวัวควาย และมีตลาดมอญขายขัน ถาดทองเหลือง ซึ่งเป็นทั้งตลาดสดด้วย ตั้งอยู่ภายนอกกำแพงเมืองด้านใต้ บริเวณปากคลองเกาะแก้วมีชาวมอญบรรทุกมะพร้าว ไม้แสมทะล และเกลือมาจำหน่าย

ในสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ผู้นำชุมชนชาวมอญในกรุงศรีอยุธยาคือสุกี้พระนายกอง ได้อาสากองทัพพม่าทำสงครามกับอยุธยา และรวบรวมกองทัพมอญได้ถึง 2,000 คน ในปัจจุบันแม้จะไม่มีชุมชนของผู้สืบเชื้อสายมอญภายในกรุงศรีอยุธยาอยู่ในบริเวณที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์แต่ก็ยังมีชุมชนมอญและกลุ่มวัฒนธรรมมอญกระจายอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพฯหลายชุมชน ชาวมอญได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไปตามที่ราบลุ่มริมน้ำภาคกลาง ได้แก่ ลพบุรี สระบุรี อยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครนายก ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสงคราม สมุทรปราการ สมุทรสาคร กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และบางส่วนตั้งภูมิลำเนาอยู่ในภาคเหนือของสยาม ได้แก่ ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี ทางที่ราบสูงโคราช ได้แก่ นครราชสีมา มีบ้างเล็กน้อยที่อพยพลงใต้ อย่าง ชุมพร สุราษฎร์ธานี โดยมากเป็นแหล่งที่พระเจ้าแผ่นดินทรงโปรดฯ พระราชทานที่ดินทำกินให้แต่แรกอพยพเข้ามา นอกจากนี้ ชาวมอญบางส่วนยังตั้งถิ่นฐานในล้านนา ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง

ชุมชนมอญในประเทศสยาม
มอญบางจะเกร็ง จ.สมุทรสงคราม
มอญบางปลา จ.สมุทรสาคร
มอญบ้านเก่า จ.อุทัยธานี
มอญสลุย จ.ชุมพร
มอญหนองดู่ จ.ลำพูน
บ้านมอญ จ.นครสวรรค์
มอญบางไส้ไก่ กรุงเทพฯ
มอญบ้านโป่ง-โพธาราม จ.ราชบุรี
มอญกระทุ่มมืด จ.นครปฐม
มอญสามโคก จ.ปทุมธานี
มอญบ้านเสากระโดง จ.อยุธยา
คลองมอญ กรุงเทพฯ
สะพานมอญ กรุงเทพฯ
มอญปากเกร็ด จ.นนทบุรี
มอญบางกระดี่ กรุงเทพ
มอญบางขันหมาก จ.ลพบุรี
มอญคลองสิบสี่ (มอญหนองจอก) กรุงเทพฯ
มอญลาดกระบัง กรุงเทพฯ
มอญปากลัด (มอญพระประแดง) จ.สมุทรปราการ
มอญเกาะเกร็ด จ.นนทบุรี
มอญ จ.สมุทรสาคร
มอญเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ
มอญปทุมธานี จ.ปทุมธานี

อ้างอิง
วิรัช นิยมธรรม, มอญ : ต้นตออารยธรรมอุษาคเนย์ เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ 10
จุลลดา ภักดีภูมินทร์, เล่าเรื่องมอญ บทความ-สารคดี ฉบับที่ 2486 ปีที่ 48 ประจำวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2545

http://en.wikipedia.org/wiki/Mon_people
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D
http://www.monstudies.com
http://www.kaowao.org
http://www.monlopburi.com
http://www.monnews-imna.com
http://www.monunityleague.org


* เด็กมอญ 01.jpg (68.65 KB, 394x599 - ดู 2798 ครั้ง.)

* เด็กมอญ 02.jpg (69.21 KB, 403x599 - ดู 3432 ครั้ง.)

* งานฉลอง 60 ปี วันชาติมอญ ที่กรุงลอนดอน.jpg (82.2 KB, 800x403 - ดู 3336 ครั้ง.)

* New Mon State Party Flag.jpg (4.92 KB, 470x305 - ดู 5055 ครั้ง.)

* ธงรัฐมอญ.png (7.35 KB, 325x217 - ดู 3097 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2010, 18:40:56 โดย เชียงรายพันธุ์แท้ » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!